เอซุส (Asus) เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของผู้จัดจำหน่ายโน้ตบุ๊ค โดยเติบโตมาจากผู้ผลิต “Motherboad” ให้กับบริษัทไอทีอื่นๆ และได้แตกไลน์สินค้ามาทำโน้ตบุ๊คเป็นของตัวเอง แต่ด้วยเทรนด์ของสมาร์ทโฟนและแท็ปเล็ตมาแรง เอซุสก็ได้กระโจนลงมาตลาดในส่วนนี้ และได้คลอดสมาร์ทโฟนในแบรนด์ “PadFone” ที่วางจุดยืนเป็นแท็บเล็ต ผสมกับสมาร์ทโฟนที่สามารถโทรศัพท์ได้
แต่ด้วยโพซิชั่นที่ไม่ชัดเจน ทำให้แพดโฟนไม่สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดในใจผู้บริโภคได้มากนัก เอซุสจึงปั้น “Zenfone” ที่เป็นแบรนด์ใหม่ขึ้น เพื่อสร้างจุดยืนในสมาร์ทโฟนอย่างเต็มที่ โดยที่แพดโฟนก็ยังคงมีการทำตลาดอยู่ แต่ไม่ได้โฟกัสมากมายนัก
ถึงแม้ว่าการมาของเซ็นโฟนจะเพิ่งวางตลาดได้เพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น โดยที่เอซุสได้เปิดตัวสมาร์ทโฟน Zenfone 1 ในช่วงกลางปี 2557 แต่สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดในประเทศไทยได้ถึง 8% รั้งอันดับ 5 ในตลาดสมาร์ทโฟน ถือว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ซึ่งเซ็นโฟนได้ชูจุดเด่นด้วย “ราคา” และ “ความคุ้มค่า” ทำให้เซ็นโฟนประสบความสำเร็จได้
ในปีนี้เอซุสจึงได้กษ์งามยามดีในการเปิดตัวสมาร์ทโฟน “Zenfone 2” ที่หมายมั่นปั้นมือให้เป็นแฟล็กชิพตัวล่าสุด ที่มาพร้อมฟีเจอร์แรม 4 GB เครื่องแรกของโลก โดยที่ได้เปิดตัวครั้งแรกในงาน CES 2015 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้มาเปิดตัวที่กรุงจากาตาร์ ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นการเปิดตัวในโซนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สาเหตุที่เลือกเปิดตัวที่อินโดนีเซีย เพราะเป็นอีกหนึ่งประเทศที่เซ็นโฟนสามารถครองอันดับ 1 ในตลาดสมาร์ทโฟนได้
ด้วยความที่ต้องการปั้นให้เป็นสินค้าแฟล็กชิพ เอซุสจึงไม่มองสมาร์ทโฟนแบรนด์จีนที่กำลังตีตลาดอย่างหนักในตอนนี้เป็นคู่แข่งแต่อย่างใด แต่มองไปถึงคู่แข่งที่แท้จริงคือ “แอปเปิ้ล” และ “ซัมซุง” ที่แต่ละแบรนด์ต่างมีสาวกของตนเองทั้งสิ้น
เจฟฟ์ โล Country Manager บริษัท เอซุสเทค คอมพิวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เรามองแอปเปิล กับซัมซุงเป็นคู่แข่งโดยตรง เราต้องการเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค โดยชูจุดเด่นด้วยราคาที่สมเหตุสมผล เราต้องการสื่อสารว่าไม่อยากให้ตีค่าโพซิชั่นของสินค้าจากราคาสินค้า อยากให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าจ่ายแพงกว่าอาจจะไม่ได้ดีเสมอไป”
เพราะฉะนั้นในการทำวิจัยและพัฒนาสินค้า Zenfone 2 ตัวนี้ เอซุสจึงพยายามจับฟีเจอร์ของทั้งสองแบรนด์ แอเปิล และซัมซุง เพื่อในการเปรียบเทียบฟังก์ชั่น และได้ทำการใส่เข้าไปให้มีมากกว่า ในราคาที่สบายกระเป๋ามากกว่าคือเริ่มต้นที่ 7,000 – 11,000 บาท ถือว่าเป็นการท้าชนอย่างแท้จริง
แต่การที่จะล้ม 2 แบรนด์ใหญ่ได้ เอซุสจึงต้อง “สร้างแฟน” เพื่อเป็นฐานผู้ใช้ที่สำคัญ กลยุทธ์หลักที่เน้นเป็นพิเศษจึงอยู่ที่ “การสร้างประสบการณ์” ของผู้ใช้งาน เอซุสจึงมีการจัดโรดโชว์ไปตามที่ต่างๆ พร้อมใช้สื่อดิจิตอลในการช่วยเป็นกระบอกเสียง โดยที่มีการใส่ข้อมูลรายละเอียดให้มากขึ้น
ที่สำคัญในครั้งนี้มาพร้อมกับ “Influencer Marketing” ในการสื่อสารผ่านบุคคลที่มีชื่อเสียงในโลกออนไลน์ โดยที่ในวันเปิดตัวที่ประเทศอินโดนีเซียนั้น เอซุสได้เชิญ Robert Jahns (โรเบิร์ต จานส์) ศิลปินช่างภาพผู้โด่งดัง และมีผู้ติดตามบนอินสตาแกรมกว่า 6 แสนคน ได้มาแชร์รูปที่ถ่ายด้วย Zenfone 2 ภาพดังกล่าวได้แชร์บนอินสตราแกรมส่วนตัวของเขาด้วย
อย่างไรก็ดีทางเอซุสได้คาดการณ์ตลาดรวมของสมาร์ทโฟนในปี 2558 ไว้ว่าจะมีสมาร์ทโฟนราว 18 ล้านเครื่อง เติบโต 15% จากปี 2557 เอซุสได้ตั้งเป้าในการครองส่วนแบ่งการตลาด 10% หรือทำยอดขายได้ 1.8 ล้านเครื่อง เติบโตกว่าปีที่แล้วที่มียอดขาย 800,000 เครื่อง