Lexus ES ปรับโฉมกระตุ้นความสด

ทำตลาดมาได้ 3 ปีจนถึงช่วงกลางของอายุตลาด ทางเล็กซัสจึงประโฉมซีดานระดับหรูขนาดกลางแบบ ขับเคลื่อนล้อหน้าในรหัส ES เพิ่มความสดใหม่ทั้งภายนอกและภายใน พร้อมเพิ่มเครื่องยนต์เบนซินใหม่ 2,000 ซีซี แบบ Di สำหรับตลาดโลก โดยขุมพลังบล็อกนี้ยังไม่มีขายในเวอร์ชันที่ขายอยู่ในสหรัฐอเมริกา

ES ถือเป็นรถยนต์ขายดีที่สุดรุ่นหนึ่งของเล็กซัส และแชร์พื้นฐานทางวิศวกรรมร่วมกับคัมรี่ของโตโยต้า โดยรุ่นล่าสุดซึ่งเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 6 นั้นเปิดตัวขายมาตั้งแต่ปี 2012 และมีการปรับโฉมเพื่อกระตุ้นตลาด ด้วยรุ่นใหม่ที่ถูกเปิดตัวในงานออโต้ เซี่ยงไฮ้ ปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา
       
ความแปลกและแตกต่างจากรุ่นเดิมในแง่ของรูปลักษณ์ภายนอก สามารถสัมผัสได้ทันทีกับกระจังหน้า ทรงใหม่ รวมถึงไฟหน้าซึ่งมีการนำ Projector แบบ LED มาใช้ พร้อมกับไฟแบบ DRL ทรงตัว L อันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์หลายรุ่นจากเล็กซัสมาใช้ รวมถึงการออกแบบกันชนหน้าใหม่ ที่ปรับความสวยของช่องสปอตไลท์ และช่องรับอากาศด้านหน้า ส่วนด้านหลังมีการปรับทั้งกันชนท้าย และรายละเอียดของชุดไฟท้ายที่สวยสะดุดตาขึ้น นอกจากนั้นล้อแม็กขนาด 17 นิ้วยังเป็นลายใหม่ที่สวยสปอร์ตขึ้น ส่วนโทนสีก็เพิ่มสีใหม่อีก 4 สี คือ Amber, Nightfall Mica, Caviar และ Eminent White Pearl

ห้องโดยสารยึดรายละเอียดหลักของรุ่นเดิมเอาไว้ แต่มีการปรับวัสดุที่ใช้ในการตกแต่ง และมีการเพิ่มโทน สีใหม่ด้วยอีก 4 สีคือ Flaxen, Parchment, Stratus Gray และ Black พร้อมความมั่นใจในการควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ด้วยหน้าจอ TFT หรือ Thin Film Transistor ขนาด 4.2 นิ้ว ซึ่งติดตั้งอยู่ตรงแผงคอนโซลกลาง เพื่อแสดงข้อมูลต่างๆ ของตัวรถ เช่นเดียวกับการเป็นพื้นที่ควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ
       
อีกความเปลี่ยนแปลงที่ถือเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือ การปรับปรุงไลน์อัพของเครื่องยนต์สำหรับตลาดโลก ด้วยการเพิ่มเครื่องยนต์ 4 สูบ 2,000 ซีซี Direct Injection บล็อกใหม่เข้าไปเพื่อช่วยเพิ่มความประหยัด และเป็นเครื่องยนต์หลักสำหรับตลาดอย่างจีน ไต้หวัน และรัสเซีย โดยขุมพลังบล็อกนี้จะทำตลาดร่วมกับเครื่องยนต์ 4 สูบ 2,500 ซีซี ส่วนตลาดที่เหลือก็จะขายเครื่องยนต์วี6 3,500 ซีซีของเดิมที่มีอยู่แล้วคู่กับขุมพลังไฮบริด
       
เล็กซัสเปรยว่าจะเริ่มส่ง ES ใหม่แบบไมเนอร์เชนจ์ทยอยทำตลาดตามภูมิภาคต่างๆ ของโลก ใครที่สนใจก็เก็บเงินรอได้เลย บ้านเราคงอีกไม่นาน

ที่มา : http://manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9580000049187