จากสถิติข้อมูลการเข้าชมเว็บไซต์ในประเทศไทย ของบริษัทศูนย์วิจัยนวัตกรรมอินเทอร์เน็ตไทย จำกัด ในช่วงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ผลปรากฏว่ามีม้ามืดอย่าง www.ohozaa.com ทะยานขึ้นติด 1 ใน 5 เว็บยอดนิยม ซ้ำยังแซงหน้าเว็บดังอย่าง sanook, kapook, mthai ผู้เคยครองแชมป์ไปอย่างคาดไม่ถึง บวกกับความเคลื่อนไหวของอีกหลายเว็บที่กำลังสร้างฐานคนอ่านจากการดัดแปลงคอนเทนต์ของเว็บต้นฉบับอย่างไม่น่าให้อภัย นักวิชาการด้านสื่อออนไลน์จึงอยากชวนให้ลุกขึ้นมาต่อต้านเว็บไซต์ปรสิต ก๊อบปี้ข่าวและเปลี่ยนพาดหัวเรียกยอดวิว ส่งให้รูปแบบข่าวเปลี่ยนไปจนกำลังจะกลายเป็น “หายนะ”
ไล่ให้ทัน เว็บปรสิต!
ความเคลื่อนไหวล่าสุดที่ออกมาจากเว็บไซต์ยอดนิยมอย่าง sanook.com, kapook.com และ mthai.com คือการผนึกกำลังกันตามเก็บหลักฐาน เตรียมพร้อมเอาผิดเว็บไหนที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ก๊อบปี้ข้อมูลในเว็บเหล่านี้ไปวางลงเว็บไซต์ของตัวเองเพื่อปั่นยอดวิว ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีเกี่ยวกับผู้สร้างคอนเทนต์ออนไลน์ในประเทศไทย และบรรทัดต่อจากนี้คือทัศนะของผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อออนไลน์อย่าง ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการชื่อดังประจำสถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ (สวส.)
“ต้องอธิบายก่อนว่า เว็บข่าวที่เห็นๆ กันบนโลกออนไลน์ส่วนใหญ่ทุกวันนี้ไม่ใช่เว็บไซต์ข่าวจริงๆ จังๆ นะ แต่เป็นประเภท “Portal Web” หรือ “เว็บท่า” ที่รวมเอาเนื้อหาจากแหล่งอื่นมาไว้ในเว็บตัวเอง แม้แต่ Sanook, Kapook หรือ Mthai ก็เป็น Portal Web เหมือนกัน โดยเฉพาะในยุคแรกๆ ที่ไม่มีคอนเทนต์ของตัวเอง เน้นไปเอาเนื้อหาจากสำนักข่าวอื่นมา
ที่มา: truehits.net
ส่วนเว็บ www.ohozaa.com, petmaya.com หรือ www.catdumb.com คือเว็บที่หากินจากเว็บท่า (Portal Web) อีกที ถ้าจะเรียกให้ถูกก็คือเว็บพวกนี้คือ “เว็บปรสิต” (Parasite Web) เว็บที่ไม่สามารถสร้างคอนเทนต์ของตัวเอง แต่พึ่งพิงกำลังจากเว็บอื่นๆ เพื่อมาหากิน ใช้วิธีดูดข่าวดูดคอนเทนต์ของคนอื่นแล้วมาแปลงคำ เอามาพาดหัวข่าวให้ตื่นเต้นน่าสนใจ ล่อเหยื่อให้เข้ามาอ่าน หรือที่เรียกว่าการพาดหัวข่าวแบบ “Click Bait” เช่น คุณจะไม่เชื่อแน่ถ้าคุณได้เห็นสิ่งนี้!! หรือ คุณจะต้องอึ้ง ทึ่ง ช็อกมาก ถ้าได้ดู!! ซึ่งเป็นการพาดหัวข่าวแบบที่นิยมมากในเว็บต่างประเทศ เพื่อล่อให้คนอยากรู้อยากเห็นอยากอ่าน ทำให้เขามีจำนวน Click ที่สูงมาก เพราะมันไปกระตุ้นความสงสัยใคร่รู้ของคน
จากเดิม การพาดหัวจะเป็น ใคร, ทำอะไร, ที่ไหน, เมื่อไหร่, อย่างไร, ทำไม ฯลฯ คนอ่านจะได้ตัดสินใจว่าจะอ่านต่อหรือเปล่าเพราะผู้คนทุกวันนี้มีเวลาน้อยลง ผมมองว่าเว็บปรสิตเหล่านี้จะทำงานค่อนข้างมักง่ายมาก เพราะเขาอยากได้ยอดวิวสูงๆ เขาก็เลยพาดหัวข่าวด้วยการล่อหลอกคนให้เข้าไปคลิก แต่พอเข้าไปอ่านแล้วพบว่าเป็นข่าวเก่าหรือเป็นบทความที่ไม่มีข้อมูลอ้างอิง บางครั้งเป็นข่าวลือด้วยซ้ำที่หยิบมาเผยแพร่ บางครั้งยังไม่มีข้อพิสูจน์แต่ไปเอาคลิปของใครก็ไม่รู้มาและมาตีประเด็นข่าวก็มี
ปัจจุบันมีคนแชร์เว็บปรสิตเหล่านี้มากเพราะมันเข้ามาอยู่ในหน้า News Feed บนเฟซบุ๊กอยู่เยอะ ซึ่งวิธีการรับมือของผมก็คือ ผม Unfollow เว็บปรสิตเหล่านั้นไปเลย และ Unfollow คนที่แชร์เว็บพวกนี้มาด้วย เพื่อที่ผมจะได้รักษาพื้นที่ News Feed ของผมให้มีเนื้อหาจากเว็บข่าวออนไลน์ ซึ่งเป็นเจ้าของเนื้อหาจริงๆ ขึ้นมาให้เห็นแทนที่ เพราะผมมองว่าเว็บปรสิตเหล่านี้คือเว็บที่มักง่าย คอนเทนต์ของเขาก็ไม่ได้มีคุณภาพเท่าไหร่ แต่เมื่อเอาไปขายแลกค่าโฆษณา เขากลับได้ผลตอบแทนเยอะ และที่อันตรายยิ่งกว่านั้น โฆษณาที่ลงประกาศบนเว็บไซต์เหล่านี้ จะเป็นโฆษณาประเภทคุณภาพต่ำ ขายครีมผิวขาว ขายยาเพิ่มสมรรถนะทางเพศ บางครั้งยังมีคลิปโฆษณาหนังโป๊ต่างประเทศแปะเอาไว้ในนั้นด้วย บอกได้เลยว่าเป็นเหมือนพื้นที่สลัมดีๆ นี่เอง
ส่วนเรื่องคอนเทนต์ข่าวทั้งหมด เขาก็ไม่มีการรับผิดชอบอะไรเลย เพราะมันมักจะไม่มีรายชื่อบรรณาธิการ ไม่ปรากฏว่ามีนักข่าวที่เขียนข่าวจริงๆ บรรณาธิการผู้เผยแพร่โฆษณาก็ไม่รู้ว่ามีตัวตนอยู่จริงๆ หรือเปล่า คงต้องไปถามสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย (Thai Webmaster Association) หรือ สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (Society Online News Providers) ของสมาคมนักข่าวฯ ดูว่าเขาจะลงมาจัดการเรื่องนี้ยังไงบ้างหรือเปล่า เพราะมันทำให้อุตสาหกรรมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ตกต่ำลงอย่างมาก จากการที่เนื้อหาของเว็บข่าวปรสิตเข้ามาแทรกแซงแบบนี้
เว็บปรสิต = เว็บละเมิดลิขสิทธิ์
ปัญหาลิขสิทธิ์ในประเทศไทยยังคงเป็นเรื่องใหญ่ที่เรื้อรัง ลิขสิทธิ์ด้านตัวอักษรและข้อมูลที่อยู่บนเว็บไซต์ก็เผชิญกับปัญหาหนักไม่แพ้กัน และวิธีที่จะแยกแยะเว็บละเมิดลิขสิทธิ์ได้ก็คือการพิจารณาจากคุณสมบัติดังต่อไปนี้
“การก๊อบปี้เนื้อหา จริงๆ แล้วมี 2 ระดับใหญ่ๆ คือ
1.การแปลข่าวจากต่างประเทศ กับ
2.การลอกข่าวกันเองจากเว็บในประเทศ ถ้าเป็นการก๊อบฯ กันเองด้วยการคงรักษาต้นฉบับเดิมเอาไว้ ให้เครดิตด้วย อาจจะไม่มีปัญหาเท่าไหร่
และนี่คือวิธีการดู
1.เป็นเว็บที่ก๊อบปี้เนื้อหาจากต้นฉบับมา และนำมาตัดแต่งประโยค แปลงคำใหม่
2.ไม่อ้างอิงลิงก์เว็บของต้นฉบับให้เข้าไปคลิกได้ เพราะต้องการยอดวิวบนเว็บไซต์ตัวเอง
3.ใช้พาดหัวข่าวแบบเน้นล่อให้เหยื่อคลิกเข้าไปอ่านอย่างเดียว โดยไม่บอกอะไรเลย และ
4.เป็นเว็บที่ไม่มีกองบรรณาธิการที่มีความรับผิดชอบด้านงานวารสารศาสตร์ ไม่มีนักข่าว ไม่มีหัวหน้าบรรณาธิการ
ด้วยคุณสมบัติ 4 ข้อของเว็บปรสิตนี้ บอกได้เลยว่ามันทำให้คุณภาพข่าวสารออนไลน์ของแย่ลงไปมาก ในอเมริกา ตอนนี้เฟซบุ๊กได้สั่งแบนเว็บข่าวต่างประเทศที่ผ่านหัวข่าวแนวล่อเหยื่อให้เข้าไปคลิกอ่านเพื่อสร้างยอดวิวแล้ว แต่ในเมืองไทยยังทำไม่ได้ ปุ่มแจ้งร้องเรียนยังไม่มี
ผมว่าสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย (Thai Webmaster Association) กับ สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (Society Online News Providers) คงต้องลงมาคุยกันจริงๆ จังๆ แล้วล่ะครับ เพราะปัญหาการก๊อบเนื้อหาไปไว้บนเว็บของตัวเองแบบนี้มันรุนแรงแล้วนะ ไหนจะเป็นปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ ไหนจะมีปัญหาเรื่องคุณภาพข่าวสารอีกที่แย่ลงเรื่อยๆ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปก็คงจะกลายเป็นการก๊อบฯ กันทั้งวงการ
ที่สำคัญ มันถามหาความรับผิดชอบจากใครไม่ได้เลย สมมติว่าเว็บหนึ่งนำเสนอเรื่องนี้และปรากฏว่าเป็นการนำเสนอข้อมูลที่ผิด แต่สุดท้าย กลับหาตัวต้นตอที่เผยแพร่ข่าวนี้ไม่ได้เลยเพราะทุกเว็บก๊อบกันมาหมด เรื่องนี้สมาคมนักข่าวฯ คงต้องลงมาตรวจสอบจริงจังกันแล้ว
อาจจะต้องแนะนำประชาชนทั่วไปให้ติดตามข่าวสารจากแหล่งข้อมูลต้นฉบับจริงๆ จากเจ้าของเว็บไซต์หรือสำนักข่าวที่น่าเชื่อถือได้จริงๆ อย่างน้อยเป็นเว็บไซต์ข่าวออนไลน์ที่มีหนังสือพิมพ์จริงๆ ก็ได้ และถ้าใครมีความสามารถด้านภาษาอังกฤษก็ไปกดติดตามข่าวสารจากสำนักข่าวต่างประเทศเพิ่มด้วย จะได้อ่านจากเจ้าของเนื้อหาจริงๆ
และอยากให้ตระหนักว่า ทุกครั้งที่คุณกดไลค์หรือแชร์ คุณได้มีส่วนร่วมในกระบวนการก๊อบปี้ คัดลอกเนื้อหา ทำสำเนาซ้ำแบบผิดจริยธรรม-ผิดกฎหมายของบรรดาเว็บปรสิตเหล่านี้ไปเรียบร้อยแล้ว พึงระลึกไว้เสมอว่าเว็บเหล่านี้กำลังเอาเปรียบคนในวิชาชีพเดียวกันอยู่โดยที่เขาแทบไม่ได้ทำอะไรเลย นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะครับ หน้าเพจหรือเว็บปรสิตเหล่านี้ทำเป็นธุรกิจ มีคนกดไลค์เป็นหมื่นเป็นแสน และเขาก็เอายอดพวกนี้ไปปั่นหาเรตติ้งโฆษณา ถือเป็นการเอาเปรียบและบิดเบือนคอนเทนต์เดิมอย่างมาก เพราะมันคือการขโมยออนไลน์ ดังนั้น ผู้อ่านก็ต้องรู้เท่าทันเว็บปรสิตเหล่านี้ที่ชอบพาดหัวดักควายเพื่อเพิ่มยอดวิวให้กับตัวเอง
สิ่งที่เว็บปรสิตเหล่านี้ควรรู้ไว้คือ ตอนนี้เฟซบุ๊กของต่างประเทศออกมาตรการหนึ่งออกมาเมื่อเดือนที่ผ่านมานี้เองว่า ถ้ามีลิงก์ของเว็บไหนมาแปะบนเฟซบุ๊ก เพื่อให้คนกดเข้าไปอ่านที่หน้าเว็บนั้น เฟซบุ๊กจะบล็อกไม่ให้เข้าไปเพื่อสร้างยอดวิวอย่างที่เจ้าของเว็บต้องการ แต่จะดึงคอนเทนต์จากเว็บนั้นมาอยู่ในเฟซบุ๊กและให้คนอ่านบนเฟซบุ๊กแทน เพราะฉะนั้น เรื่องการหวังสร้างยอดวิวบนหน้าเว็บก็จะทำไม่ได้อีกต่อไป”
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live