แม้ในปีนี้ยุทธ์ศาสตร์ของเคเอฟซีจะวนเข้าลูปเดิมเหมือนอย่างเช่นทุกปี คือ การขยายสาขา พร้อมทั้งเน้นเรื่องนวัตกรรมของสินค้าให้มากขึ้น โดยเคเอฟซีตั้งเป้าขยายสาขาให้ได้ครบ 800 สาขาในปี 2563 นั่นก็คืออีก 5 ปีต่อจากนี้เคเอฟซีจะต้องขยายสาขาเฉลี่ยปีละ 60 สาขา โดยที่ผ่านมาเคเอฟซีมีการขยายสาขาเฉลี่ยปีละ 45-50 สาขาเท่านั้น ทำให้ปัจจุบันมีสาขารวมทั้งหมด 532 สาขา (เป็นไดร์ฟทรู 10 สาขา)
แต่กลยุทธ์สำคัญที่เคเอฟซีจะใช้ในปีนี้อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งจะทำให้เคเอฟซีดูมีพลังขึ้นมาทันที นั่นก็คือการหา “พาร์ทเนอร์” ผู้ลงทุนเพิ่มเติม นับเป็นการหาพาร์ทเนอร์ครั้งที่สองนับตั้งแต่ทำตลาดมา 31 ปี จากเดิมที่มีพาร์ทเนอร์หนึ่งเดียวตลอดกาลมา 31 ปี นั่นก็คือ “ซีอาร์จี” หรือบริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด โดยที่ซีอาร์จีก็ยังคงเป็นพาร์ทเนอร์ และบริหารต่อไป
เข้าสู่คำถามที่ตามมาก็คือ ทำไมเคเอฟซีต้องหาพาร์ทเนอร์? ทั้งๆ ที่ซีอาร์จีก็แข็งแกร่งอยู่แล้ว นั่นก็เพราะเป้าหมายการขยายสาขาที่ดุเดือดนั้นนำพาให้เคเอฟซีต้องอาศัยเงินลงทุนจากพาร์ทเนอร์ที่มีสายป่านยาวๆ เพื่อให้เคเอฟซีติดสปีดในการขยายสาขา โดยที่นัยยะสำคัญหลังจากที่มีพาร์ทเนอร์มาช่วยบริหารแล้ว ก็คือการที่เคเอฟซี หรือทาง “ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล” จะถอยตัวเองลงมา (นิดเดียวเท่านั้น) เพื่อให้เวลากับการ “สร้างแบรนด์” เคเอฟซีให้แข็งแกร่งมากขึ้นนั่นเอง
แววคนีย์ อัสโสรัตน์กุล ผู้จัดการทั่วไปเคเอฟซี ประจำประเทศไทย บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแกนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เราทำตลาดในประเทศไทยมา 31 ปี แล้วเรายังโตอย่างต่อเนื่องทุกๆ ปี ตั้งแต่ต้นปีมานับมา 5 เดือนเราก็โต 8% อีกทั้งส่วนแบ่งการตลาดก็เพิ่มขึ้นจาก 51% เป็น 53% จึงเป็นสัญญาณที่ดีที่เราจะต้องหาพันธมิตรเพื่อต่อยอดในการขยายธุรกิจ ซึ่งเคเอฟซีเองก็มีเงินลงทุนเฉลี่ยปีละ 2,000 ล้านบาท การได้พันธมิตรทางธุรกิจมาเพิ่มก็ทำให้ทางเราก็ได้ขยับตัวเองลงมาดูแบรนด์ สร้างแบรนด์ ออกนวัตกรรมใหม่ๆ ได้มากขึ้น”
คุณสมบัติหลักของพาร์ทเนอร์ที่ทางยัมฯ ต้องการก็คือ มีความสามารถในการลงทุนทั้งในด้านปรับปรุงร้าน ขยายร้าน และมีวิสัยทัศน์ทางธุรกิจที่ใกล้เคียงกัน โดยที่ไม่จำกัดประเภทของธุรกิจว่าจะต้องอยู่ในธุรกิจอาหาร แววคนีย์เน้นว่า “พาร์ทเนอร์จะเป็นธุรกิจอะไรก็ได้ ขอให้สายป่านยาวก็พอ อย่างในต่างประเทศก็มีการทำหลายพาร์ทเนอร์เช่นกัน และก็มีหลากหลายธุรกิจ เอามาเสริมกัน”
โดยปกติแล้วทางยัม เรสเทอรองตส์ฯ หรือเคเอฟซีจะแบ่งสัดส่วนการลงทุนกับพาร์ทเนอร์เป็นทางยัมฯ 65% และซีอาร์จี 35% ซึ่งปัจจุบันมีสาขาที่ยัมฯ บริหารเองจำนวน 330 สาขา และซีอาร์จี 202 สาขา และเมื่อมีพันธมิตรใหม่เข้ามา ทางยัมฯ ก็จะโอนสาขาในสังกัดจำนวน 120-150 สาขาให้ทางพาร์ทเนอร์ใหม่ดูแล