ราวกับนิยายเล่มละไม่กี่สตางค์ หลายคนคงจะคิด เมื่อได้รับรู้เรื่องราวชีวิตของใครบางคน แต่นั่นแหละ โลกนี้ไม่เคยอับจนเรื่องราวที่ “ดั่งนิยาย” เฉกเช่นที่มาและที่ไปของชายคนนี้
จากเด็กต่างจังหวัด ตุหรัดตุเหร่เซซัดกับคืนวันอันอัตคัดในเมืองใหญ่ เข็นรถผักผลไม้และงานกรรมกรรับจ้างอีกจิปาถะประทังชีวิต ก่อนฟ้าที่เคยปิดจะแง้มเปิดราวกับจะหยั่งเชิงวิสัยทัศน์ในตัวเขา การเสี่ยงโชคด้วยล็อตเตอรี่ในงวดนั้นซึ่งทำให้เขาได้เงินมาจำนวนหลายแสนบาท อาจค่อยๆ หมดไป และหมดไป และหลงเหลือไว้เพียงเถ้าถ่านในความจำ ถ้าเขาไม่เลือกใช้เงินก้อนนั้นพาตัวเองบินลัดฟ้าผจญภัยในต่างแดน ซึ่งนั่นเอง กลายเป็นปฐมเหตุที่มาแห่งเรื่องราวชีวิตที่เกินฝัน จากไอ้หนุ่มบ้านนอกโนเนมหาเช้ากินค่ำ พลิกผันกลับกลายเป็นเซียนกาแฟระดับท็อปของประเทศ!
ในแวดวงคอกาแฟหรือนักธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องดื่มชนิดนี้ “ฉันท์ คำทองแท้” เป็นทั้งผู้เชี่ยวชาญ เป็นทั้งครูบาอาจารย์ของคนจำนวนไม่น้อย จนได้รับการเรียกขาน “อาจารย์ปอ เซียนกาแฟ”
เขาคือคนไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลชนะเลิศการแข่งขัน Barista Championship ปี 2005 ที่ประเทศออสเตรเลีย ขณะอยู่ออสเตรเลีย เขาเป็นผู้บริหารร้านกาแฟ One Origin Coffee และเป็นอาจารย์ในฐานะ Barista Trainer ประจำมหาวิทยาลัยที่คนออสเตรเลียให้การยอมรับ นอกจากนั้นยังเปิดสถาบันของตนเอง สอนหลักสูตรการชงกาแฟ สร้างงานให้แก่คนอื่นนับหมื่นชีวิต
นั่นจึงไม่แปลกแต่อย่างใด ที่เมื่อกลับมาเมืองไทยอีกครั้ง เขาจึงกลายเป็นดาวเด่นดวงหนึ่งบนเส้นทางสายกาแฟ ที่ผ่านมา นอกเหนือจากการเป็นที่ปรึกษาให้กับสถาบันต่างๆ ที่ถ้าจะร่ายให้หมด คงต้องเปลืองพื้นที่หลายบรรทัด แต่เอาเป็นว่า ณ นาทีนี้ เขาได้รับการยอมรับในฐานะ “บาริสต้ามือหนึ่งของเมืองไทย”
ก็คงคล้ายๆ กับเรื่องราวของใครต่อใครอีกหลายคน ซึ่งถ้าจะเริ่มต้นให้ตื่นเต้น เราก็มักเปิดประเด็นด้วยคำทำนองว่า “แต่คุณรู้หรือไม่ว่า กว่าที่เขาจะมาถึงจุดนี้ เขาผ่านอะไรมาบ้าง?” แต่นั่นล่ะ แม้จะเป็นถ้อยคำสำเร็จรูป เราก็ยังเชื่อว่า ถ้อยคำดังกล่าว สามารถใช้ได้กับเรื่องราวของชายผู้นี้ ที่แม้กระทั่งตัวเขาก็ยังเอ่ยปาก…
“มันมหัศจรรย์อย่างกับนิยาย”…
บทแรกของนิยาย
เปิดฉากที่ไอ้หนุ่มบ้านนอก
“เหมือนนิยายเลย หรืออาจจะยิ่งกว่านิยายเสียอีกนะ มันมีจริงในชีวิตจริง ใครจะรู้ครับ จู่ๆ ผมก็ได้เป็นแอมบาสซาเดอร์ แล้วก็เดินสายไปทั่วโลกเลยนะ ชิมกาแฟ ผมไปเซี่ยงไฮ้ ไปอเมริกา และอีกหลายๆ ที่ทั่วโลกที่มีคนจ้างผม…จ้างผมไปชิมกาแฟ มาเลเซียผมก็เคยไปเป็นกรรมการตัดสินงานอาเซียนลาเต้อาร์ตแชมเปี้ยนชิป ที่ปีนัง ผมเคยเสิร์ฟกาแฟให้ท่านสุลต่านแห่งมาเลเซีย แต่ว่าผมไม่มีสิทธิ์ที่จะถ่ายรูปได้ แค่ได้ชงกาแฟเสิร์ฟท่าน ไปยืนรอตั้งแต่ 9 โมงเช้า ได้เสิร์ฟบ่าย 3 ท่านนั่งอยู่โน่น แต่ผมมีความสุข รู้สึกมีบุญที่ได้ชง”
ชายที่นั่งอยู่เบื้องหน้า บอกเล่าอย่างกระปรี้กระเปร่าคึกคัก ผ่านถ้อยคำปนความรู้สึกน่าอัศจรรย์กับความเป็นไปแห่งชีวิต ก็จริงอย่างที่เขาว่า ใครเลยจะคิดว่าชีวิตจะมาถึงจุดนี้ เพราะแม้แต่เขาเองก็ไม่เคยคิด
“พื้นเพชีวิตผม เป็นเด็กเกเรเกตุงมาก่อน แล้วทางบ้านผมก็ไม่ค่อยยอมรับความเกเรของผม เกเรในแบบของผมไม่ใช่ไปเที่ยวตีรันฟันแทงกับใครนะ แต่ผมเกเรเบบไม่ชอบเรียน ชอบเที่ยว ชอบสนุก นั่นเลยทำให้ผมเรียนไม่จบ ไปเรียนอะไรก็โดนไล่ออก เลยจบแค่ ม.3 เท่านั้น”
อาจารย์ปอ เซียนกาแฟ สนทนาถึงความหลัง ในคืนวันที่เกเร กระทั่งที่บ้านไม่ยอมรับ ทำให้เขาตัดสินใจกับชีวิต เดินทางจากบ้านเกิดเมืองลพบุรี มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงตั้งแต่วัยรุ่นๆ เป็นตัวละครเล็กๆ ในเมืองใหญ่ ทำงานรับจ้างหลากรูปแบบเท่าที่โอกาสจะเอื้ออำนวย
“เข็นผักขายที่ตลาดมหานาค เวลามีหอมกระเทียมจากสุพรรณบุรี หรือต่างจังหวัดมาถึงกิโลละ 15 บาท ผมรับซื้อไว้หมด แล้วเอาไปขายกิโลละ 18 ก็ค้าขายไป จากนั้นก็ทำงานห้าง ขายเสื้อผ้า แล้วก็เป็นคนนวดคนในห้องน้ำ ไปรับจ้างเลี้ยงนากุ้งกุลาดำที่คลองโค สมุทรสงคราม คือจริงๆ ก็ทำมาหลายอย่างเลยนะ พยายามเดินหาโอกาสด้วยตัวเองทุกวัน แต่ผมก็ไม่คิดว่ามันลำบากนะ มันลำบากตรงไหน มีงานทำ ผมไม่ย่อท้อกับมัน บอกตรงๆ นั่นคือพื้นฐานที่ทำให้ผมมีวันนี้ เพราะผมมีความทะเยอทะยานอยู่แล้วในตัว
“ถ้าย้อนกลับไปอยากขอบคุณนะ มันทำให้ผมมีวันนี้ได้ เพราะความลำบากมันทำให้เราแข็งแกร่ง นี่คือโรงเรียนอย่างดีที่สร้างให้เราแข็งแกร่ง ตอนเด็กๆ ผมต้องรับจ้างหาบน้ำ รับจ้างเกี่ยวข้าว อยากได้กางเกงกีฬาแกรนด์สปอร์ตตัวละไม่กี่บาท ก็ต้องไปรับจ้างหาบหญ้าได้ค่าแรงยี่สิบกว่าบาท กว่าจะซื้อกางเกงได้ตัวหนึ่ง แต่มันเท่นะเมื่อก่อน เสื้อเอฟบีที ใส่เที่ยวงานวัด เท่มากเลย”
ชายผู้เป็นเจ้าของตำแหน่งแอมบาสซาเดอร์ของกาแฟอโรมาในปัจจุบัน ยังคงสนุกสนานกับการคิดถึงคืนวันเก่าก่อน และไม่ใช่สุขแค่เพียงเมื่อคิดย้อน หากแต่ตอนนั้นเขาเองก็คิดว่าตนเองไม่ได้ลำบากอะไร หากแต่ยอมรับในฐานะแห่งวิถีที่เป็นไป ไม่ทุกข์ร้อนกระวนกระวาย
“การมีข้าวกินมีที่อยู่ที่นอน และมีงานทำ คือไม่ลำบากนะ ถูกไหม เราอย่าไปมองว่าความลำบากหรือไม่ลำบาก มันต้องมีเงินเยอะๆ สิครับ ถ้าเอาเงินเป็นบรรทัดฐาน ชีวิตนี้ก็ไม่มีทางสุขสบาย ผมไม่เลือกไปยึดมัน ชีวิตผมคนเรามีเกิดแล้วก็มีตาย และช่วงที่เรามีแรงอยู่ ทำไมเราจะไม่สู้ล่ะ ทำไมเราจะไม่ดิ้นรนล่ะ แล้วเราก็บ่นพระบ่นเจ้าว่าชีวิตลูกลำบากเหลือเกิน ปีหน้าขอให้หน้าที่การงานดี คนส่วนใหญ่พูดอย่างนั้น ก็คือรอวันไง ผมเลือกที่จะไม่พูดซะ แต่เลือกที่จะสู้ แล้วก็ไม่คิดถึงความย่อท้อด้วย ไม่คิดจะยอมแพ้มันด้วย และผมก็เชื่อว่าคนที่ลำบากกว่าผมมีอีกเยอะ”
ชีวิตที่โลดโผน โจนทะยานผ่านวันวัยเป็นหนุ่มใหญ่วัยฉกรรจ์ จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญก็เดินเข้ามาทักทาย จุดเปลี่ยนนั้นมักรอเราอยู่ที่ใดที่หนึ่งเสมอ และสำหรับคนหนุ่มจากเมืองลพบุรี จุดจุดนั้นมาถึงเขาขณะหาเลี้ยงชีพด้วยการขับวินมอร์เตอร์ไซค์รับจ้าง
“ก็ขับอยู่ที่เพชรบุรีซอย 5 ตรงข้ามซอยกิ่งเพชร แถวๆ พญาไทย ราชเทวี ทำอยู่นานมาก เพื่อนๆ แต่ละคนก็ไม่รู้ไปไหนกันหมดแล้วตอนนี้”
“พูดง่ายๆ ก็คือถูกล็อตเตอรี่น่ะ” อาจารย์ปอหัวเราะเบาๆ เมื่อจะเข้าสู่เรื่องราวจุดเปลี่ยนของชีวิต
“จริงๆ ไม่ค่อยเล่นอะไรพวกนี้นะ เพียงแต่วันนั้น ผมคิดจะจีบสาวซึ่งเขาขายล็อตเตอรี่ แล้วเขาสวยด้วย สวยประเภทที่ว่าแค่เรามองหน้าเขามากๆ เขาก็ด่าเราแล้ว (หัวเราะ) แต่มีอยู่วันหนึ่ง เขายิ้มให้ผม ผมก็เลยเชิญนั่งก่อน เขาบอกว่านั่งได้ แต่ต้องซื้อล็อตเตอรี่เขาก่อน ผมก็จัดไปเลยเป็นพัน
“ซื้อเสร็จเหลือเงิน 20 บาท ขึ้นบ้านนอน แค่นั้นสบายใจแล้ว สะใจตัวเอง (ยิ้ม) แต่ปรากฏว่าเลขที่เราซื้อมันถูกรางวัล เขาก็เอาเงินมาให้ แล้วตอนให้เงินนะ เขาบอกว่า “พี่ ถ้าคิดจะจีบหนูจริงๆ นะ ไปเรียนต่อซะ ถึงพี่จะมีเงินขนาดไหน หนูก็ไม่เอาหรอก ถ้าพี่ไม่รักเรียน ไม่มีการศึกษา” คำพูดนั้นทำให้ผมคิดหนักมาก ผมนอนไม่หลับเลย ไม่ได้นอนไม่หลับเพราะว่ารักเขานะ แต่คำพูดของเขาทำให้ผมคิดได้จริงๆ ผมจะขอบคุณ ถ้าเจอเขาอีกที
“และจะว่าเป็นโชคดีอย่างหนึ่งก็พอได้ ผมเคยอ่านเจอข่าวเกี่ยวกับสามล้อถูกหวย คือตังค์หมดเร็วมาก ผมก็เฮ้ย เราคงจะเหมือนมอเตอร์ไซค์ถูกหวยแน่เลย ตอนนั้นจริงๆ นะ ทีแรกผมอยากจะถอยรถสักคันหนึ่ง แต่งตัวหล่อๆ ใส่กางเกงยีนส์บิ๊กจอห์น พกหวีเหน็บหลัง ซื้อบุหรี่มาร์ลโบโร่เหน็บตรงไหล่ ใส่ทองสักบาทสองบาท นั่นคือความคิดแบบเด็กๆ คือคิดไปเองว่ามันเท่ แล้วรองเท้าต้องคอนเวิร์สออลสตาร์หรือไนกี้เท่านั้น นั่นคือหล่อแล้วสำหรับยุคนั้น
“แต่พอข้ามคืนไม่รู้อะไรเข้าสิงผมนะ ผมถามตัวเองว่าคิดได้แค่นี้เหรอ ถ้าคิดได้แค่นี้ เราก็อยู่แค่นี้ อีกหน่อยเราก็คงหมดตัว 3 เดือน ก่อนหน้านี้มีคนขับตุ๊กตุ๊กคนหนึ่งถูกล็อตเตอรี่ได้เงิน 6 ล้าน แล้วก็หมดภายใน 3 เดือน ผมไม่อยากเป็นอย่างนั้น เมื่อคิดได้แบบนั้น ทีแรกจะเอาไปซื้อรถเข็นหรือว่าทำร้านเกี๋ยวเตี๋ยวขาย แต่สุดท้าย ผมก็ได้คิดว่าทำไมไม่เอาเงินตรงนี้ไปลงทุนสร้างอนาคตให้ตัวเอง ไปเมืองนอก ประเทศออสเตรเรีย”
รุ่งอรุณแห่งบาริสต้า
ฉากต่อมาที่น่าทรมาน แต่…“มันเท่มาก”
ทั้งๆ ที่ไม่รู้เลยว่า เส้นทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่วินมอเตอร์ไซค์แห่งซอย 5 เพชรบุรี ก็ตัดสินใจให้ชีวิตไปสู่ทิศทางใหม่ ไกลกันคนละขอบฟ้ากับบ้านเกิดเมืองนอน ตอนนั้น นายฉันท์ คำทองแท้ ไม่ได้หวังอะไรมาก นอกเสียจาก…
“เราอาจจะกลับมาไม่เหลืออะไรเลย แต่อย่างน้อยๆ ได้เรื่องภาษา ก็ยังดี นั่นคือที่คิด กลับมาทำงานโรงแรมก็ได้”
แต่ใครเลยจะคิด นั่นกลับนำมาซึ่งจุดพลิกผันแห่งชีวิต อย่างไม่คิดฝัน…
– จากเมืองไทย ไปอยู่ออสเตรเลีย ทั้งที่ไม่มีพื้นฐาน คุณไปเริ่มต้นยังไงที่นั่นครับ
เริ่มจากไปสมัครทำงานร้านอาหาร เป็นเด็กล้างจานก่อนเลย ล้างจานล้างแก้ว เช็ดโต๊ะ โอ้โหทำแบบทุกอย่างอะไรก็ตามที่มันได้เงินทำหมด ผมทำงานตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็น แล้ววิ่งกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ทำงานต่อถึงเที่ยงคืน ผมทำอย่างนั้น 5 ปีติดต่อกัน ทำอาทิตย์ละ 7 วัน เอาเป็นว่าตอนนั้น รายได้ผมเยอะมากครับ คือถ้าทำในเมืองไทย ก็คงจะเป็นไปไม่ได้เลย
– แล้วไปเริ่มทำความรู้จักกับการชงกาแฟเตอนไหน
ทีแรกเลย ผมไปขโมยฝึกที่ร้านกาแฟที่ผมทำงานอยู่ ฝึกทุกวันตอนจะเลิกงาน กระทั่งวันหนึ่ง เจ้าของร้านจับได้ เพราะเขาลืมกุญแจ แล้วกลับมาเห็นเรา เขาพูดเลย “เอาแก้วกาแฟวางไว้ตรงนั้นเดี๋ยวนี้” แล้วเขาก็เดินเข้าไปชิม วันนั้นวันศุกร์ด้วย มันโคตรทรมานเลยนะ ช่วงระยะเวลาสองวัน เสาร์อาทิตย์ 48 ชั่วโมงนั้น มันเหมือนกับกำลังโดนศาลตัดสิน พอถึงวันจันทร์ เขาเรียกไปนั่งคุย ก็ถามคนชงกาแฟคนเก่าว่าสอนผมชงกาแฟได้มั้ย ได้ ดีแล้ว ถ้าไม่ได้ เธอลาออกไปเลย แล้วก็เธอด้วยไอ้ตัวดี อยากชงกาแฟมากใช่มั้ย มาเรียนชงกาแฟกับเขาซะ ถ้าเรียนไม่ได้ เธอลาออกไป จะให้เวลา 3 เดือน เธอต้องทำให้เห็นว่าเธอชงกาแฟได้
คนชงกาแฟคนเดิมนั้นก็มองหน้าผม เหมือนจะกัดฟัน แล้วผมก็เรียนอยู่ประมาณเดือนกว่าๆ คนที่เป็นตัวหลักร้านกาแฟก็กลับอังกฤษไป เพราะคุณแม่เขาเสีย วันรุ่งขึ้น ผมก็ได้ชงกาแฟจริงๆ แต่เงินเดือนแบบเด็กล้างจานเท่าเดิม ผมต้องทำให้เขาเห็นอีกว่า ผมเป็นคนชงกาแฟที่ดีได้ ให้เวลาผมแค่เดือนเดียว จนเหลืออีก 2 อาทิตย์จะจบ เขาเดินมาจับมือผมแล้วบอก “ขอแสดงความยินดีด้วย เธอเป็นนักชงกาแฟแล้ว โดยปกติ เรตค่าจ้างจะอยู่ที่ชั่วโมงละ 18 เหรียญ แต่อย่างเธอ เราให้ 20 เพราะว่าถ้าคนชงกาแฟอย่างเธอ ทำได้ทุกอย่างขนาดนี้ บริษัทชอบมากเลย เธอไม่ต้องบอกนะว่าเธอทำอะไรบ้าง แต่สิ่งที่เราเห็น ฉันก็ไม่ได้เห็นนะ แต่กล้องที่อยู่ในร้านมันเห็นการกระทำของเธอทั้งหมด”
โอ้โห น้ำตาลูกผู้ชายมันไหลออกมาเลย แล้วเขาก็ทำซิติเซน (citizen) ให้ผมเป็นคนที่นั่น ตอนนั้นรู้สึกเท่มาก คือมีคนขอร้องให้อยู่ ถูกมั้ย ความรู้สึกเหมือนคนที่ไปอยู่อเมริกา ก็อยากเป็นคนที่นั่น แต่ผมนี่เท่มาก ได้อยู่ที่นู่นได้ บาทเดียวก็ไม่เสียด้วย
– เริ่มมาจากขโมยฝึกซ้อม มีแรงผลักดันทางใจอะไรมั้ยครับ จากการกระทำครั้งนั้น
ชีวิตผม ผมมองอยู่แล้วว่าตรงนี้แหละจะเป็นบันไดที่ดึงผมขึ้นไปให้ได้ ต้องทำมันให้ได้ จนผมฝึกซ้อมอยู่กับมัน แล้วผมก็บอกว่า ผมจะเป็นนักผจญภัยที่เก่งที่สุดให้ได้ ต่างประเทศให้อะไรกับผมหลายอย่าง ทำให้ผมคิดเป็น ทำให้ผมมองโลกออก ทำให้ผมเป็นผู้ใหญ่ได้ แต่ก่อน บอกตรงๆนะ ความคิดผมกับเด็ก 16 ปี ไม่เคยต่างเลยนะ จนอายุ 30 แล้ว ไม่เคยมีอะไรในสมอง ไม่เคยคิดอะไรเลย บางคนเขาอายุไม่เท่าไหร่นะ เขาคิดได้นะ แต่ผมคิดไม่ได้ มาคิดได้ตอนอยู่เมืองนอกนะ จริงๆ
– จากจุดที่ได้เป็นพนักงานชงกาแฟของร้านแล้วไปยังไงต่ออีกครับ
ตอนนั้น ผมต้องการแค่ได้เงินก้อนหนึ่งมา คือแต่ก่อน ผมตั้งรายได้ไว้ที่ 1,500 เหรียญต่อเดือน อยากได้ก็ต้องทำสองงานถึงจะได้ แต่พอขึ้นเป็นบาริสต้าแล้ว ทำจ๊อบเดียว ผมได้ 2,000 เหรียญแล้ว คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณเดือนละ 240,000 ถ้าเป็นที่นี่ก็ระดับ CEO แล้ว เราก็อยากจะรักษาเงินเดือนนี้ไว้ตลอด ผมจึงไม่หยุดที่จะศึกษา จนเจ้าของร้านถามว่าความฝันของผมคืออะไร ผมบอกว่า อยากเป็นคนทำกาแฟที่เก่งที่สุดและดีที่สุด เขาบอกว่า ร้านเราทำไม่ได้หรอก ถ้าเธออยากเป็นอย่างงั้น เธอต้องออกจากร้านเราไป แต่จำไว้อย่างนะ ถ้าเธอหาความฝันไม่เจอ กลับมาร้านเรา เราก็พร้อมที่จะอ้าแขนรับเธอตลอดเวลา เจ้าของคนนี้ดีมาก แถมบอกว่า ที่ผ่านมาตอนนั้น (ตอนให้พิสูจน์ตัวเอง) ยังไงเขาก็รับผม แต่เขาจะดูว่าคนอย่างผมเหยียบขี้ไก่ฝ่อมั้ย
– หลังจากเจ้าของร้านเปิดโอกาสให้ออกไปแล้ว ยังไงต่อครับจากนั้น
ผมก็มองหาร้านใหม่ ที่ต้องเก่ง ต้องดัง เพราะผมคิดว่าต้องได้ความรู้สักอย่างหนึ่ง ผมไม่มองเรื่องเงินแล้ว แต่มองเรื่องความรู้ ผมก็ไปทำมาหลายที่มาก ได้ไปเจอนักชงกาแฟต่างประเทศที่เก่งๆ สอนให้ผม แชมป์โลกเยอะแยะเลยครับที่เทรนผม จนเขาให้ฉายาผมว่า Crazy Barista เพราะผมฮาอย่างเดียว ไม่มีอะไรสักอย่าง เน้นขำฮา ไม่ซีเรียสสักอย่าง คือผมเป็นคนที่คิดนอกตำรา ผมคิดว่าถ้าเราทำตัวเป็นนักเรียน ชาตินี้ก็เรียนไม่จบ ผมเลือกที่จะเป็นนักวิทยาศาสตร์มากกว่า ครูพักลักจำ ลองนี่ลองนั่นลองผิดลองถูก อย่างทุกวันนี้ ผมสอนนักเรียนชงกาแฟ ผมไม่เคยแจกซีดีและหนังสือเลยนะ ปากกาก็ไม่แจก จำเอาเอง จำได้จำ จำไม่ได้ก็ไม่ต้องจำ
– เห็นว่าคุณไปเริ่มเปิดร้านกาแฟเป็นของตัวเองด้วยใช่ไหม
ตอนนั้นมันมีเงินอยู่ก้อนหนึ่ง เราก็ทะลึ่งไปเปิด แต่ปรากฏว่าแป้กเลย ค่าเช่าผมเดือนละแสน ขายได้วันละแก้ว วันไหนขายได้ 2 แก้ว นี่สุดยอดแล้ว
– เพราะอะไรถึงเป็นแบบนั้น เพราะเท่าที่ฟังมา โปรไฟล์คุณก็ใช่ย่อยเลย
ผมอยากจะบอกว่า การเป็นเซียนกาแฟ มันไม่ได้หมายความว่าจะทำร้านกาแฟได้ประสบความสำเร็จ เพราะนอกจากเราทำกาแฟเป็น เราต้องเป็นพ่อค้าด้วย พ่อค้า เวลาเจอใครยกมือไหว้หมด ผมไม่มีตรงนั้นแต่ก่อนนี้ ผมก็ต้องเรียนรู้ แต่ผมทำอย่างไรรู้ไหม คือไหนๆ ร้านก็จะเจ๊งแล้ว จะปิดตัวแล้ว ผมเขียนจดหมายไปหาหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในออสเตรเลีย ซึ่งก็เหมือนกับหนังสือพิมพ์ไทยรัฐที่บ้านเรานี่ล่ะ ว่าผมจะเจ๊งแล้วนะ ถ้าไม่มาเอาผมลงหนังสือพิมพ์ ผมจะปิดร้านให้ดู แล้วถ้าผมเจ๊งขึ้นมา ทุกคนจะหากาแฟอร่อยที่ไหนกิน ดังนั้น ต้องรีบมากินก่อนที่ผมจะเจ๊ง
ผมเขียนสามสิบสี่สิบฉบับได้ ภายในเดือนหนึ่ง แต่เขาก็มาตั้งแต่ฉบับแรกนะ เราก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครหรอก เขามาดูว่า ทำไมร้านผมขายได้แค่วันละ 2 แก้ว เขาไม่บอกว่าเขาคือใคร จนวันสุดท้ายถึงรู้ พอลงหนังสือพิมพ์ จากที่ขายได้วันละแก้วสองแก้ว กลายเป็นวันละ 2,500 แก้ว ยุ่งอีก ชงไม่ทัน เครียดอีก
– เหมือนเกิดปาฏิหาริย์?
ใช่ครับ เพราะช่วงที่ผมขายไม่ได้ หนี้สินเยอะมาก เครดิตการ์ดทุกใบเต็มหมด ผมต้องใช้เวลาเคลียร์หนี้สินประมาณ 2 ปี พอเคลียร์เสร็จ ร้านอยู่ได้ปุ๊บ ขายร้านเลย
– เห็นคุณบอกว่า ได้เป็นอาจารย์สอนเรื่องกาแฟที่ประเทศออสเตรเลียด้วย คือช่วงไหนอย่างไร
ตอนที่ผมไปแข่งแล้วชนะก็ได้สอนเลย ผมเป็นอาจารย์คนเอเชียคนแรกที่สอนวิชากาแฟที่มหาวิทยาลัยที่คนออสเตรเลียให้การยอมรับ แล้วก็สอนอยู่นาน แต่ก็ไม่รู้อะไรเข้าสิง ผมลาออก แล้วไปเปิดโรงเรียนตัวเอง ทุกคนหัวเราะหมดเลย แต่ผมก็เปิดจริงๆ นะ แต่ก็ไม่มีใครมาเรียนเป็นปีเลย ต้องจ้างเขามาเรียนอ่ะ “มาเรียนกาแฟกับผมนะ เดี๋ยวเลี้ยงเบียร์ด้วย” (หัวเราะ) ตอนเย็นเลี้ยงเบียร์เขา จนไอ้คนนั้นได้งานทำ ก็บอกต่อๆ กันไป และ 8 ปีหลังจากนั้น ลูกศิษย์ลูกหาก็มาเรียนกับผมเยอะมาก มีทุกชาติ ทุกภาษา ได้งานกันไป
– เท่าที่ฟังมา เหมือนชีวิตจะระห่ำดีเหมือนกันนะครับ
พูดจริงๆ ผมมาไกลเกินฝันแล้ว มันไกลมาก ผมบอกตรงๆ นะ เหมือนนิยายเรื่องหนึ่ง เหมือนพระเอกที่แต่ก่อนเลี้ยงควาย เข้ากรุงเทพฯ มา ผมยังงงเลย
– คนบางคนอาจจะเห็นชีวิตของคุณเป็นเหมือนชีวิตในฝันไปแล้ว
ผมอยากให้เขาคิดอย่างงั้นนะ แล้วผมจะบอกเขาว่า ทำไมถึงเป็นอย่างงั้น อยากให้เขาถาม
– งั้นผมถามเลยแล้วกัน
สำหรับผมนะ สิ่งที่อันตรายที่สุดคือความคิดเราเอง เพราะความคิดของเรา สามารถทำให้เราร้องไห้ได้ ทำให้เราหัวเราะได้ สู้ได้ แปลกมั้ย เนี่ยไอ้ตรงนี้ สำคัญมาก มันคิดได้หลายอย่าง และมันแปรปรวนด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าเราคุมมันได้ สุดยอดเลย เราชนะตัวเองได้ นั่นแหละสุดยอดแล้ว
บทส่งท้าย…
ฝั่งฝันแสนไกลของ “ไส้เดือน”
“ชีวิตผม พอๆ กับไส้เดือนเลยนะ ต่ำกว่าศูนย์เลย”
ผ่านไปหลายนาทีในความเงียบ “เซียนกาแฟ” พักจิบกาแฟที่โชยกลิ่นหอมกรุ่น ก่อนจะดึงเรากลับเข้าสู่บทสนทนาอีกวาระ
“ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเราจริงๆ นะ ผมมาค้นพบสมการข้อหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ว่า ตัวเรานี่แหละคือผู้กำหนด อย่าไปมองว่าเราด้อยค่า ต้อยต่ำ ถ้าเรามองตัวเองมีค่า มันก็จะมีค่า แต่ถ้าเรามองตัวเองด้อยค่าเมื่อไหร่ เราก็จะหมดค่าทันที ถ้าชีวิตไม่ดีขึ้น เราก็ต้องดิ้นรน ถูกมั้ย มันไม่มีใครสอนหรอกครับเรื่องการดิ้นรน จริงๆ น่าจะมีการสอนวิชาดิ้นรนในโรงเรียนกันนะ แต่ไม่มี มันต้องดิ้นรนเอง เวลาผมสอนลูกศิษย์ ผมไม่ให้วิชาชงกาแฟอย่างเดียว แต่จะสอนวิชานี้ไปด้วย คนเราต้องใช้ชีวิตให้เป็น ไม่ประมาท”
เพราะการดิ้นรนในแบบของคนที่ไม่ยอมหยุดนิ่งอยู่กับที่ ทำให้คนคนหนึ่งพ้นจากสภาพ “ไส้เดือนใต้ดิน” กลายเป็นนกที่ผกผินอย่างสง่างามในเวลาต่อมา
“ความรับผิดชอบต้องมี คิดถึงอนาคตข้างหน้าบ้าง เรามีครอบครัวต้องเลี้ยงดู เราจะอยู่อย่างนี้ตลอดไปเหรอ เราจะไม่แก่เหรอ อีก 10 ปี เราทำงานไม่ไหว ใครจะเลี้ยงเรา เราก็ต้องมีเงินเก็บ จะทำงานแล้วเหลือเงินเดือน 1,000 ทุกเดือนตลอดไป มันก็ไม่ใช่ มันต้องมีมากกว่านั้น ถ้าเราคิดว่าเราจะเก็บแค่ 1,000 มันก็จะได้หนึ่งพันอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าเราคิดว่าจะเก็บ 2,000 บาท มันก็ได้ ถ้าไม่พอสองพัน เราก็หารายได้อื่นมาเสริมได้ ถ้าเราคิดว่าใช้เงินเยอะ เราก็หาเงินเยอะๆ มันต้องทำ ไม่อย่างนั้นมันก็จะเหมือนเดิม”
“ไส้เดือนที่พ้นดินมาแล้วอย่างคุณ ใช้ชีวิตแพงขึ้นไหม ตามราคาค่าตัวและรายได้ที่แพงขึ้น” เราถาม
“เหมือนเดิม ทำปกติ” บาริสต้าที่มีลูกศิษย์ลูกหาตั้งแต่ระดับซูเปอร์สตาร์ของประเทศไปจนถึงคนหาเช้ากินค่ำ ตอบอย่างรวดเร็วราวกับระบบออโต้ที่อยู่ในตัวตน
“ผมก็ยังกินลูกชิ้นระเบิดตามตลาดได้ เช้าๆ ก็ไปซื้ออาหารที่ตลาด ก็เหมือนเดิม บางวันผมใช้เงินไม่ถึงร้อย เพราะอย่างหนึ่งคือไม่ค่อยได้ใช้ ไปไหนมีแต่คนเลี้ยง เวลาไปงานกาแฟ เลี้ยงนู่นนี่ อิ่มแล้ว กินจนเบาหวานจะขึ้นแล้ว เค้กเนี่ย” (หัวเราะ)
“คือผมจะไม่ยอมให้มันมาครอบงำผมได้ ผมจะเป็นผมอย่างนี้ แล้วผมจะไม่เปลี่ยน จริงๆ อาหารกี่มื้อก็ไม่อร่อยเท่ากะเพราไก่ไข่ดาว ลองกินอาหารทะเลทุกมื้อสิ กินไม่ได้ แต่กะเพราไก่ไข่ดาวนี่ สุดยอดแล้วนะ แล้วเคยกินข้าวคลุกน้ำมันหมูมั้ย อร่อยมาก..(ลากเสียงยาว) สมัยเด็ก ผมชอบสุดๆ ทุกวันนี้ก็ยังกิน หรือแบบกินมาม่าแบบดิบๆ น่ะ เวลานั่งดูทีวีตอนดึกๆ ผมกินแบบนั้น ไม่ได้อะไรมากมาย อย่างตอนที่อยู่ต่างประเทศ ก็ไม่กินอาหารฝรั่งนะ ผมทำกับข้าวเป็น ผมกินปลาร้า ปลาร้าสับน่ะ สับเสร็จปุ๊บใส่ตู้เย็นแช่ไว้คืนหนึ่ง พรุ่งนี้เช้าอร่อย หอมแดงตะไคร้ต้องถึงนะ พริกขี้หนูตาม อร่อยมาก (ยิ้ม)
“พวกร้านอาหารหรูๆ ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ไม่ใช่ไม่มีตังค์ แต่รู้สึกว่ามันไม่อร่อยอ่ะ อีกอย่างมันไม่สะใจ อย่างเวลาผมสั่งกะเพราหมู ผมจะสั่งแบบสองจานแต่ให้ใส่รวมจานเดียวกันมา ไข่ดาว 4 ฟอง ทำไมต้อง 4 ฟอง เพราะเวลากินมันจะได้ต่อเนื่อง เพราะอย่างที่เราเห็น ข้าวจะหมดก่อนประจำเลย ดังนั้นมันต้องคู่กันน่ะ สั่งมาให้พอปริมาณเลย ไม่เสียเวลา กินอย่างนั้นแหละ ชอบมาก กรอบนอกนุ่มใน บีบมะนาวนี่ใช่เลย หรือวันไหนกลับบ้านดึกๆ ผมจะแวะไปชายสี่หมี่เกี๊ยว ซื้อสองห่อ ถึงบ้านนั่งขัดสมาธิกินเลย สุดยอดมาก”
ภายใต้ท่าทีชีวิตที่ไม่ติดยึดกับรูปแบบความหรูหรา เมื่อถึงเวลาต้องหาความรื่นรมย์ให้แก่ชีวิต ก็ไม่มีอันใดให้ต้องคิดยุ่งยากมากความ
“มีอยู่ช่วงหนึ่ง หลังจากทำงานไปได้พักใหญ่ ผมมีเงินเยอะพอสมควร เราก็แยกเงินสำหรับไปเที่ยวเลยนะ สามล้านบาท แต่กลับมาก็เหลือเงินสามล้านเท่าเดิม เพราะตอนผมไป ผมก็ไปทำงานด้วย ทำทุกอย่าง ไม่มีเงินจ้างไม่เป็นไร ทำฟรี ขอที่พัก อาหารพอ ผมไปมาหมดทั้งยูเครน รัสเซีย อิตาลี ฯลฯ แล้วผมเป็นคนมองโลกแง่บวก ผมมองตัวเองว่าก็เป็นมนุษย์เหมือนคนอื่นเขา ไม่ได้มองตัวเองว่าเป็นคนไทยแบบน้อยเนื้อต่ำใจนะ ไม่ได้มอง มนุษย์คนหนึ่ง เกิดมาครั้งหนึ่งแล้ว ถ้าเราไม่กล้าแม้แต่จะคิด มันก็จะอยู่แค่นั้นแหละ พอเราแก่ตัวไป เราอาจจะคิด “รู้งี้ ทำตั้งแต่ตอนมีแรง” แต่พอคิดได้มันก็สายไปแล้ว เคยเห็นมั้ย พวกจะทำแต่ไม่เริ่มซะที “จะๆๆ ทำ” อยู่นั่นล่ะ โปรเจกต์เยอะ แต่ผมไม่ใช่คนอย่างนั้น ผมทำเลย ไม่ต้องรอ อยากทำก็ทำเลย ผมคิดว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิดกับการที่จะทำมาหากินอย่างสุจริต
“คือผมโชคดีอย่าง ผมได้ทำในสิ่งที่ผมรัก แล้วออกมาเป็นเงินเป็นทองได้ มันก็คงจะเหมือนนักกีฬาทั่วไปที่รักกีฬาจริงๆ แล้วเล่นกีฬาเป็นเงินเป็นทองได้ มันเป็นความฝันของทุกคน”
หลังจากผ่านพ้นด้วยตนเอง กับชีวิตที่เดินทางมาถึงจุดนี้ เป้าหมายต่อไปที่อยู่ในใจของ “อาจารย์ปอ เซียนกาแฟ” คือการเผื่อแผ่ความรู้แก่ผู้ที่ต้องการ ดังจะเห็นได้ว่า ถึงแม้จะได้รับค่าตัวหรือค่าสอนแต่ละคอร์สค่อนข้างแพง แต่ก็มีบางครั้งที่เขายินดีเปิดคอร์สสอนโดยไม่คิดเงินสักสตางค์แดงเดียว
“ทุกวันนี้ ผมคิดว่าผมมาไกลเกินฝันแล้ว และคนเรามีการได้รับ ก็ต้องมีการให้คืนกลับบ้าง ผมเคยตั้งปณิธานไว้ว่าอีกสิบปีข้างหน้า ผมจะอุทิศตน เพราะไม่อยากปล่อยให้ความรู้กลายเป็นเป็นปุ๋ยหรือขี้เถ้าเวลาตาย ผมอยากจะเอาวิชาความรู้ไปช่วยชาวไร่กาแฟ ไปช่วยชาวไทยภูเขาให้มีความรู้ขึ้นมา เพื่อเขาจะผลักดันและถีบราคากาแฟให้สูงขึ้น สมกับความเหนื่อยยากของเขา คนมักจะพูดกันว่าโชคดีนะปลูกกาแฟแล้วราคาดี แต่ถามว่า เคยไปเห็นเขาจริงๆ หรือเปล่า เขาปลูกกาแฟบนไหล่เขา มันไม่ได้เก็บกันง่ายๆ นะ ทำนาเกี่ยวข้าวยังเป็นที่ราบนะ แต่คุณคิดดูว่าไร่กาแฟเป็นเชิงเขา แล้วต้องเดินขึ้นลง กาแฟเป็นล้านๆ ต้น กว่าจะเก็บได้กิโลหนึ่ง แล้วเก็บมาได้สิบกิโลกรัม แต่พอนำมาคั่วแล้วเหลือ 4 กิโล มันเหนื่อยเหมือนกันนะ
“ดังนั้น ปณิธานของผม หนึ่งก็คือ ให้ความรู้คน ให้ความสามาถคน ผมถือว่าเป็นการให้แก่ประเทศ และผมก็ปฏิญาณว่าผมจะทำกาแฟไทยให้สู่กาแฟโลกให้ได้ ถึงแม้มันจะไม่สำเร็จในรุ่นผม แต่ก็จะพยายาม ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ เพราะผมคิดว่ามันต้องให้น่ะครับ พระเจ้าให้ผมมามากแล้ว ผมจะให้พระเจ้ากลับคืนบ้าง”
เรื่อง : อภินันท์ บุญเรืองพะเนา
ภาพ : ศิวกร เสนสอน