เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งดีลที่น่าสนใจไม่น้อยในวงการสื่อดิจิตอล สำหรับการจับมือเป็นพาร์ทเนอร์กันระหว่างเว็บไซต์ “MThai” หรือ “เอ็มไทย” ภายใต้ในเครือ “โมโน กรุ๊ป (Mono Group)” กับเว็บไซต์ “Mashable” สื่อออนไลน์จากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ได้ตกลงปลงใจเป็นพาร์ทเนอร์ในการป้อนคอนเทนต์จากสหรัฐอเมริกาเข้าสู่ประเทศไทย โดยผ่านเว็บไซต์เอ็มไทย หลังจากที่ได้พูดคุยกันตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายน
ต้องบอกว่าในตลาดสื่อดิจิตอลในตอนนี้มีการแข่งขันกันสูงมากขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงการเข้ามาของเว็บไซต์ประเภท Clickbiat ที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรม และผู้ผลิตคอนเทนต์กันระนาว ทำให้เอ็มไทยเองก็ต้องลุกขึ้นมาโฟกัสในเรื่องของผลิตคอนเทนต์เองมากขึ้น การได้คอนเทนต์จาก Mashable เข้ามาก็เหมือนเป็นการเสริมคอนเทนต์ในระดับพรีเมี่ยม เป็นคอนเทนต์ในแง่มุมของประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นทั่วทุกมุมโลก
ในขณะที่ทาง Mashable เองก็มีการปรับกลยุทธ์ในการขยายตลาดมาทางภูมิภาคเอเชียมากขึ้น โดยมีการตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคที่ประเทศสิงคโปร์ได้ไม่นานมานี้ ซึ่งไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียนที่ Mashable เลือกมาทำตลาด และทำคอนเทนต์เป็นในรูปแบบ Localize ด้วยการแปลเป็นภาษาไทย
ลักษณะความร่วมมือกันในครั้งนี้เป็นในรูปแบบของ Revenue share หรือเป็นการ “แบ่งรายได้จากค่าโฆษณา” ภายในเว็บไซต์เอ็มไทยในหน้าเพจที่มีคอนเทนต์ของ Mashable อยู่
จิรประวัติ บุณยะเสน ผู้อำนวยการธุรกิจโมบายอินเตอร์เน็ต บมจ. โมโน เทคโนโลยี กล่าวว่า สาเหตุที่เลือกจับมือกับ Mashable ก็เพราะว่าเรามีอะไรหลายอย่างคล้ายๆ กัน เป็นข่าวสารสำหรับคนรุ่นใหม่ และเป็นเหมือนการเล่าข่าว ทาง Mashable เองก็มีการเติบโตขึ้นทุกปีๆ รวมกับเขาเองก็ต้องการเจาะตลาดทางเอเชียมากขึ้นด้วย ทำให้หลายๆ อย่างมันคลิ๊กกัน จึงเป็นพาร์ทเนอร์กัน เบื้องต้นมีสัญญาเวลา 1 ปี แต่ก็ได้มีการคุยแผนระยะยาวเหมือนกัน อาจจะมีไปถึง 3-4 ปีเลยก็ได้”
ก่อนหน้าที่มีการจับมือกับ Mashable ทางเอ็มไทยได้มีพาร์ทเนอร์กับทางต่างประเทศบ้างแล้ว ได้แก่ Celeb TV จากประเทศออสเตรเลีย เป็นคอนเทนต์เกี่ยวกับการวิเคราะห์เรื่องของดาราในวงการฮอลลีวู้ด และเป็นพาร์ทเนอรในการซื้อลิขสิทธิ์ซีรีส์เกาลี ส่วนในประทเศไทยได้ร่วมมือกับทางนิตยสาร “ดิฉัน” เพื่อดึงคอนเทนต์เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ผู้หญิงเข้ามา
จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลังจากความร่วมมือนี้
เอ็มไทยสามารถใช้คอนเทนต์ของทาง Mashable ได้ทุกคอนเทนต์ ทั้งบทความ และรูปภาพ ถือว่าเป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์ในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งทาง Mashable ในอเมริกาจะมีการฟีดข่าวจำนวนหลายร้อยข่าวต่อสัปดาห์ กับจำนวนบุคลากรทั้งหมด 250 คน
แต่คอนเทนต์ที่ทางเอ็มไทยจะเลือกเป็นหลักได้แก่ 3 หมวดด้วยกัน คือ 1.กระแสในโลกโซเชียลมีเดีย 2. บันเทิง และ 3.ไลฟ์สไตล์ ซึ่งคอนเทนต์ประเภทนี้เป็นคอนเทนต์หลักในเว็บไซต์เอ็มไทยอยู่แล้ว
โดยที่ทางเอ็มไทยตั้งเป้าการเติบโตในแง่ของผู้เข้าชมเว็บไซต์ หลังจากได้คอนเทนต์ของ Mashable เข้ามาเพิ่มขึ้น 15% จากเดิมที่มีผู้เข้าชม 45 ล้านคน/ปี
สื่ออื่นต้องระวัง เข้าข่ายละเมิดลิขสิทธิ์
เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่วงการสื่อดิจิตอลต้องถึงคราวกุมขมับ เพราะเว็บไซต์ Mashable เป็นเว็บไซต์อันดับต้นๆ ที่สื่อออนไลน์ หรือนักการตลาด ต่างนำบทความมาแปล พร้อมอ้างอิงบทความนั้นๆ ในเว็บไซต์ตนเอง
แต่หลังจากนี้ไปเมื่อเอ็มไทยเปรียบเสมือนผู้ครองลิขสิทธิ์ของ Mashable แล้วนั้น เท่ากับว่าเอ็มไทยมีสิทธิ์ในบทความนั้นๆ ในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว ถ้าเว็บไซต์อื่นมีการนำบทความไปลงก็อาจจะเข้าข่ายละเมิดลิขสิทธิ์ได้ อาจจะมีการแก้ปัญหาด้วยการเจรจาขออนุญาตให้เป็นเรื่องเป็นราวไป
แต่ในกรณีที่คอนเทนต์นั้นๆ ที่ทางสื่ออื่นลง ทางเอ็มไทยไม่ได้ทำการแปลลงในเว็บไซต์ของตนเอง กล่าวง่ายๆ ก็คือคอนเทนต์นั้นอาจจะไม่ใช่คอนเทนต์ประเภทไลฟ์สไตล์ บันเทิง หรือกระแสโซเชียลที่เข้าข่ายที่จะไปอยู่ในเว็บไซต์เอ็มไทย มีการเปิดเผยจากปากผู้บริหารว่าจะเป็นการ “ปิดตาข้างเดียว” ละกัน ถือว่าเป็นคอนเทนต์ที่เราไม่ได้ใช้
จำนวนการเข้าชมเว็บไซต์ MThai
– 45 ล้านครั้ง/ปี (Unique IP)
– 2,145 ล้าน เพจวิว
– มีการเข้าชมเฉลี่ย 832,000 วิว/วัน
– เข้าผ่านโทรศัพท์มือถือ 55% คอมพิวเตอร์พีซี 45%
สัดส่วนผู้เข้าชม
– 60% อายุ 18-35 ปี
– 20% อายุ 35 ปี ขึ้นไป
– 20% อายุต่ำกว่า 18 ปี
จำนวนการเข้าชมเว็บไซต์ Mashable
– 43 ล้านครั้ง/เดือน (Unique IP)
– เข้าชมผ่านโซเชียลมีเดีย 24 ล้านครั้ง
– ยอดการเข้าถึงผู้อ่านได้ 2 พันล้านครั้ง/เดือน
– เข้าผ่านโทรศัพท์มือถือ 50% คอมพิวเตอร์พีซี 50%
สัดส่วนผู้เข้าชม
– 66% อายุ 18-44 ปี
– 21% อายุ 45-54 ปี
– 13% อายุ 55 ปี ขึ้นไป
– ผู้ชาย 50% ผู้หญิง 50%