ไหนๆ ก็ได้ชื่อเป็นร้านยอดฮิตของคนไทยเวลาไปญี่ปุ่นอยู่แล้ว เมื่อมาเปิดสาขาในไทยวันแรก จึงสร้างความคึกคักให้สาวไทยมาเข้าคิวต่อแถวได้ไม่น้อยทีเดียว สำหรับร้านมัทสึโมโตะ คิโยชิ หรือชื่อที่คุ้นหูกันดีว่า “ร้านป้ายเหลือง” ที่ได้ตัดสินใจเพิ่มโอกาสหารายได้นอกประเทศเป็นครั้งแรกในไทย หลังจากประเมินแล้วว่าตลาดค้าปลีกเพื่อสุขภาพและความงามของไทย เป็นตลาดที่เติบโตขึ้นทุกปี
ก่อนหน้านี้ ร้านมัทสึโมโตะ คิโยชิ ได้เซ็นสัญญาแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้เกี่ยวกับธุรกิจร้านสุขภาพและความงามในไทย รวมถึงแนวโน้มการเติบโตและโอกาสในการทำธุรกิจรูปแบบต่างๆ พร้อมกับได้เคยชิมลางด้วยการนำสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันและเครื่องสำอาง 200 รายการเข้ามาทดลองวางขายในร้านค้าปลีกของเซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล 23 สาขา ตั้งแต่ปลายปี 2556 ปรากฏว่าได้ผลตอบรับดี จึงตัดสินใจลงขันร่วมทุนเปิดสาขาในไทย เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล และกลุ่มเอ็มเค จากญี่ปุ่น เจ้าของร้านมัทสึโมโตะ คิโยชิ สัดส่วน 51:49
ประเดิมสาขาแรกที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว ขนาดพื้นที่ 270ตารางเมตร ก่อนจะเปิดอีกสาขาในช่วงปลายปีที่ เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า โดยอนาคตจะมีสาขาที่วางขายสินค้าครบทั้งสุขภาพ ความงาม อาหาร และของใช้ในบ้าน ซึ่งต้องใช้เนื้อที่ไม่น้อยกว่า 400 ตารางเมตรขึ้นไป ตั้งเป้าจะเปิดให้ครอบคลุมกรุงเทพฯ และเปิดให้ครบ 100 สาขาภายใน 5 ปี
การมาทีหลังคู่แข่งที่มาเปิดตลาดก่อนหน้าหลายปี ทั้งวัตสัน บู๊ทส์ ร้านมัทสึโมโตะ คิโยชิ จึงต้องวาง Positioning ให้แตกต่าง โดยมุ่งเน้นกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่น ถอดแบบมาจากสาขาในญี่ปุ่น ทั้งชั้นวางสินค้า อุปกรณ์การตกแต่งร้านและสินค้า ซึ่งผู้บริหารบอกว่า ต้องอิมพอร์ตมาจากญี่ปุ่น เพื่อให้เหมือนกับสาขาในญี่ปุ่นมากที่สุด
ส่วนสินค้าวางขายในร้านมัทสึโมโตะ คิโยชิ จะเป็นแบรนด์จากญี่ปุ่นประมาณ 2,000 รายการ ในช่วงแรกจะนำเข้ามาก่อน 1,000 รายการ สินค้าไฮไลต์ คือ ชิฟุเระ สกินแคร์ และเครื่องสำอางวางขายครั้งแรกที่สาขาในไทย ประมาณ 200รายการ และแชมพู แบรนด์ Argelan และ Love & Peace โดยแบ่งเป็นสินค้าความงาม 80% อีก 20% สินค้าสุขภาพ อาหารเสริมและยา ราคาวางขายจะสูงกว่าญี่ปุ่นประมาณ 1.20-1.30เท่า
การเข้ามาในไทยตลาดไทยของร้านมัทสึโมโตะ คิโยชิ ต้องเผชิญความท้าทายไม่น้อยกับการแข่งขันในตลาดเชนร้านค้าปลีกสินค้าความงามและสุขภาพจากที่มีแบรนด์ใหญ่อย่าง วัตสัน และบู๊ทส์ ที่เข้ามาเปิดสาขาเป็นรายแรกๆ ตั้งแต่ปี 2539 จากนั้นในปี 2554 กลุ่มสหพัฒน์ได้ร่วมทุนกับ “ซูรูฮะ”จากญี่ปุ่น เปิดสาขาในไทย ชูความเป็นซูเปอร์ดรักสโตร์สไตล์ญี่ปุ่น ขายสินค้าความงามและสุขภาพ ผนวกกับสินค้าของใช้ในบ้านของสหพัฒน์ มีสาขาทั้งในกรงเทพฯ และต่างจังหวัด ทั้งในห้างและสแตนอโลน ถัดจาก ซูรูฮะ มีแบรนด์โอเกนกิ จากญี่ปุ่น ที่จับมือกับค่ายเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ ของเสี่ยเจริญ สิริวัฒนภักดี มาเปิดสาขาในไทยแล้ว เน้นทำเลช้อปปิ้งมอลล์ และอาคารสำนักงาน