“อาเจ” ตอกย้ำจุดยืน “ราคาคุ้มค่า” สู้ศึกน้ำดำอันดุเดือด

แม้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาบทบาทของ “อาเจ” ค่อนข้างจะหายไปในตลาดน้ำดำ ไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงมากนัก เพราะพิษทางเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยสู้ดีจึงชะลอการลงทุน แต่ในปี 2558 นี้อาเจกลับมาบุกตลาดในประเทศไทยอย่างดุเดือดอีกครั้ง พร้อมผุดหลายแคมเปญใหญ่ขึ้นมาทั้งการเป็นสปอนเซอร์รายการ “เอเชีย ก็อต ทาเลนท์” รวมไปถึงการสานต่อการเป็นสปอนเซอร์ให้กับฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ

ทั้งนี้แคมเปญใหญ่ที่ผ่านมาเป็นในเรื่องของการสร้างแบรนด์ ที่อาเจสื่อสารกับผู้บริโภคว่าอาเจเป็น “อินเตอร์แบรนด์” ที่มีต้นกำเนิดจากประเทศเปรู ไม่ใช่โลคอลแบรนด์แต่อย่างใด

แต่สุดท้ายแล้วเมื่อการแข่งขันในตลาดที่สูงมากขึ้น มีการอัดแคมเปญโปรโมชั่นตลอดทั้งปี โดยที่แบรนด์ใหญ่ทั้ง “โค้ก” และ “เป๊ปซี่” ก็ได้ในเรื่องของแบรนด์ที่แข็งแกร่ง มีฐานลูกค้าอยู่มากมาย หรือ “เอส” ก็มีการลงทุนสูงอยู่ตลอด อีกทั้งการคัมแบ็กของ “อาร์ซี โคล่า” ที่ดูเหมือนว่าจะใช้จุดเด่นในเรื่อง “ราคา” เช่นเดียวกับของอาเจ ทำให้อาเจไม่สามารถอยู่เฉยได้อีกต่อไป

ทำให้ทิศทางการตลาดของอาเจในปีหน้าภายใต้การกุมบังเหียนของผู้จัดการฝ่ายการตลาดคนใหม่ “ภาณุวัตร แตงงาม” ขอพาอาเจหวนกลับสู่จุดเริ่มต้น ด้วยการตอกย้ำในเรื่อง “ราคาคุ้มค่า” ที่อาเจเคยประสบความสำเร็จกับกลยุทธ์ “ป่าล้อมเมือง” มาแล้ว ควบคู่กับการสื่อสารการตลาดที่โดนใจผู้บริโภค ทั้งในแบรนด์ของ “บิ๊ก โคล่า” และ “บิ๊กเฟรช”

“ในปีนี้เห็นการแข่งขันในตลาดน้ำอัดลมสูงมาก และมีการแข่งขันที่เข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ในการแข่งขันก็เป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง ทำให้เรามองว่าทิศทางต่อไปของเราจะต้องตอกย้ำจุดแข็งเรื่องความคุ้มค่าของราคา ในที่นี้รวมในเรื่องของการทำแพคเกจจิ้ง ราคา และตัวสินค้าให้มีความคุ้มค่าด้วย ทำให้สินค้าที่มีอยู่ในพอร์ตสามารถแข่งขันได้” ภาณุวัตรกล่าว

อย่างที่ทราบกันดีว่าอาเจใช้กลยุทธ์ป่าล้อมเมืองจนทำให้แบรนด์บิ๊กโคล่าจุดติดได้ ปัจจุบันรายได้ในส่วนของต่างจังหวัดจึงมีสัดส่วนถึง 80% และในกรุงเทพฯ 20% ในการทำตลาดต่อไปอาเจก็ยังคงเน้นเจาะตลาดรอบนอกอยู่ เพราะเป็นตลาดที่แข็งแกร่งของอาเจ

ส่วนภาพรวมรายได้ของบริษัทยังคงมาจากน้ำอัดลม 70% และอื่นๆ ได้แก่ บิ๊กเฟรช น้ำเปล่า Cielo และเครื่องดื่มเกลือแร่ Sporade รวม 30% และเป็นรายได้จากช่องทางเทรดดิชันนอลเทรด 75% โมเดิร์นเทรด 25%

ตอนนี้อาเจมีส่วนแบ่งตลาดในตลาดน้ำอัดรมราว 7-8% โดยที่ตั้งเป้าให้ได้ 13% ภายใน 3 ปี ซึ่งตัวเลขนี้อาเจเคยทำได้เมื่อหลายปีก่อน

สำหรับภาณุวัตรนั้นเรียกว่าเป็นศิษย์เก่าของ “บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด” ซึ่งดูแลในส่วนของช่องทางการขาย และ “โคคา-โคล่า (ประเทศไทย)” ที่ดูแลในส่วนของการบริหารแบรนด์ และการสื่อสารการตลาด ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นประสบการณ์ที่สำคัญที่ภาณุวัตรจะนำมาใช้กับอาเจต่อไป