ซัมซุงเผยวิชัน 'IoT' ใช้งานในชีวิตจริง

ซัมซุงโชว์วิสัยทัศน์ชิงความเป็นผู้นำด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ‘อินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์’ (Internet of Things หรือ IoT) ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทดีไวซ์ อุปกรณ์เสริม หรือแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นจากรากฐานของ IoT ประสานเข้ากับการใช้งานในชีวิตจริง โดยเตรียมส่งสินค้าลงตลาดเดือนเมษายนนี้ มั่นใจในอนาคตอันใกล้ IoT จะเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในสังคมไทย จนทำให้เกิดการใช้งานในวงกว้าง
 
วอน พโย ฮอง ประธานบริษัทซัมซุง เอสดีเอสและหัวหน้าฝ่ายโซลูชันสำหรับองค์กรธุรกิจ กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยี IoT ของซัมซุงในงาน (CES 2016) มหกรรมแสดงสินค้าอิเล็คทรอนิคส์สำหรับผู้บริโภคระดับนานาชาติประจำปี 2016ที่ลาสเวกัส ว่า เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์เสริม แพลตฟอร์ม ตลอดจนโซลูชันเพื่อความปลอดภัยของซัมซุงที่รองรับเทคโนโลยี IoT มีการพัฒนาไปอย่างมาก ด้วยการทำงานร่วมกับระบบนิเวศน์ของสมาร์ทธิงส์ (SmartThings) ทำให้ผลิตภัณฑ์ของซัมซุง ทั้งสมาร์ทดีไวซ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่รองรับเทคโนโลยี IoT เติมเต็มแนวคิดสมาร์ทโฮมหรือบ้านอัจฉริยะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างก้าวกระโดด
 
หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ ซัมซุง เอสยูเอชดีทีวี (SUHD TV) รุ่นปี 2016 ที่เป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อของเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ในบ้านที่มีคุณสมบัติรองรับ IoT ได้ รวมทั้ง ตู้เย็นรุ่นแฟมิลี่ฮับ (Family Hub) ที่มีหน้าจอแอลอีดีขนาด 21.5 นิ้วบนประตูหน้า ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้สามารถบริหารจัดการอาหารต่างๆ แบ่งปันข้อมูลหรือภาพถ่ายระหว่างสมาชิกในครอบครัว และกล้องในตู้เย็นที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบว่ามีอาหารใดอยู่ในตู้เย็นบ้างได้จากสมาร์ทโฟนอีกด้วย
 
นอกจากนี้ซัมซุงยังได้นำเสนออุปกรณ์เสริมหรืออุปกรณ์ต่อพ่วงรุ่นใหม่อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่ความจุสูงที่มีขนาดบางมากและยืดหยุ่นได้ และหน่วยประมวลผลไบโอโพรเซสเซอร์ขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับใช้งานด้านสุขภาพ
 
 
ซัมซุงใจกว้างเชื่อมโยงแบรนด์อื่นได้
 
กลยุทธ์ด้านเทคโนโลยี IoT ของซัมซุง คือ การเปิดกว้างเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้สามารถสั่งงานอุปกรณ์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าจากอุปกรณ์ของแบรนด์อื่นได้ เพื่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างอุตสาหกรรมต่างๆ และช่วยให้เทคโนโลยี IoT เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับและใช้งานในวงกว้าง
 
‘การเชื่อมต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่รองรับเทคโนโลยี IoT เข้าด้วยกันเป็นสิ่งสำคัญเพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานที่เหนือชั้นไปอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ซัมซุงกำลังเสริมสร้างความร่วมมือกับสมาชิกในกลุ่ม Open Interconnect Consortium (OIC) ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรที่พัฒนามาตรฐานกลางสำหรับการเชื่อมต่อของอุปกรณ์ที่รองรับเทคโนโลยี IoT ในชื่อ IoTivity’
 
ซัมซุงมีความเชื่อว่าการพัฒนาสิ่งต่างๆ โดยเปิดให้บุคคลภายนอกร่วมพัฒนาได้เป็นแนวทางที่ถูกต้อง (Open Partnership approach) ภายใต้แนวคิดนี้ ซัมซุงได้นำเสนอการเชื่อมต่อโปรแกรมประยุกต์สำหรับการใช้งานบนคลาวด์ในชื่อ Samsung Smart Home Cloud API เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสามรถใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ใดๆ ของซัมซุงที่รองรับเทคโนโลยี IoT กับอุปกรณ์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าของผู้ผลิตอื่นๆ ที่รองรับเทคโนโลยี IoTเช่นกัน
 
ความปลอดภัยคือสิ่งสำคัญที่สุด
 
เทคโนโลยี IoT เป็นเทคโนโลยีที่สร้างข้อมูลขึ้นมาเป็นจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องมีการสร้างโซลูชันด้านความปลอดภัยที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เพื่อเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ให้ปลอดภัยมากที่สุด โดยซัมซุงได้พัฒนาโซลูชันความปลอดภัยสำหรับสมาร์ททีวี ซึ่งต่อยอดการพัฒนามาจากซัมซุง นอกซ์ (Samsung KNOX) อันเป็นแพล็ตฟอร์มเพื่อความปลอดภัยสำหรับอุปกรณ์พกพา ซึ่งโซลูชันนี้เกิดขึ้นเพื่อสร้างความปลอดภัยให้ผู้ใช้ในระดับสูง และจะติดตั้งมาพร้อมกับอุปกรณ์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงแอปพลิเคชันต่างๆ โดยจะเริ่มติดตั้งโซลูชันบนสมาร์ททีวีรุ่นที่จะวางจำหน่ายในปีนี้เป็นต้นไป
 
สร้างความร่วมมือเสริมศักยภาพ IoT
 
ความร่วมมือจากองค์กรในอุตสาหกรรมต่างๆ เป็นปัจจัยอีกประการหนึ่งที่ส่งเสริมให้แนวคิด IoT เป็นแนวคิดที่มีประโยชน์ต่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง โดยซัมซุงและตัวแทนผู้บริหารจากองค์กรชั้นนำ อย่าง Microsoft, Goldman Sachs, BMW, เครือโรงแรม Ascott, ผู้ผลิตวัสดุชั้นนำ Corning และ Samsung SDI ผู้ให้บริการโซลูชันพลังงาน ได้ร่วมกันแสดงให้เห็นว่าแพลตฟอร์มและอุปกรณ์ของซัมซุงสามารถช่วยให้ชีวิตการทำงานหรือการอยู่อาศัยในบ้านสะดวกสบายขึ้น
 
ซัมซุงพร้อมจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติอัจฉริยะมากมายสู่ผู้บริโภคทั่วโลก ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า แพลตฟอร์ม และการบริการที่หลากหลาย นับตั้งแต่สมาร์ทโมบิลิตี้ (Smart Mobility) และซัมซุงเปย์ ตลอดจน โซลูชันเพื่อสุขภาพที่ใช้หน่วยประมวลผลไบโอโพรเซสเซอร์เป็นอุปกรณ์หลัก รวมถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี IoT เพื่อยกระดับกระบวนการผลิต ผลผลิต กระบวนการจัดจำหน่าย และการบำรุงรักษาขององค์กรธุรกิจต่างๆ ด้วยเทคโนโลยีโซลูชันของซัมซุงเอสดีเอส
 
‘การเพิ่มมูลค่าให้กับเทคโนโลยี IoT จะช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภค องค์กรธุรกิจ หรือแม้แต่สังคมโดยรวม เมื่อทุกฝ่ายทำงานร่วมกัน เทคโนโลยี IoT จะกลายเทคโนโลยีที่สอดประสานเข้ากับชีวิตจริงของเราทุกคน’ฮอง กล่าว
 
 
ด้าน ศศิธร กู้พัฒนากุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดองค์กร บริษัท ไทยซัมซุงอิเลคโทรนิคส์ กล่าวว่าตลาดไทยมีความพร้อมอย่างมากกับสินค้าซัมซุงอีโคซิสเต็มส์ โดยสินค้าที่โชว์ในงาน CES 2016 ก็พร้อมที่จะลงตลาดไทย โดย VD- SUHD TV รุ่นใหม่จะเข้าตลาดไทยประมาณเดือนพฤษภาคมนี้ ส่วน DA-ADDWash จะเข้ามาทำตลาดในไทยประมาณเดือนเมษายน
 
ทั้งนี้พันธกิจของซัมซุงในปีนี้เป็นไปตามแนวคิด Internet of Things ที่ บี เค ยุน ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด ตั้งเป้าไว้เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งหมดให้รองรับนวัตกรรมต่างๆ โดยทีวีซัมซุงทุกรุ่นจะต้องมีคุณสมบัติที่สอดรับกับแนวคิด IoTภายในปี 2017 และภายในปี 2020 จะครอบคลุมมาถึงฮาร์ดแวร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ของซัมซุง 
 
เมื่อปี 2015 ที่ผ่านมา ซัมซุงมีโครงการนำร่องกับอนันดา ดีเวลอปเม้นท์ เปิดตัว ‘Samsung Smart Home’ ด้วยเทคโนโลยี IoT รายแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่นำนวัตกรรมมายกระดับคุณภาพชีวิต นำร่องด้วยโครงการ คิว เทอร์ตี้ วัน (Q31) โครงการแรกที่จะตอบรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัย สะดวกสบาย ปลอดภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพพร้อมให้ลูกค้าใช้งานได้จริง
 
ศศิธร กล่าวว่า ‘ซัมซุง สมาร์ท โฮม’ จะยกระดับการใช้ชีวิตในบ้านให้เป็นมากกว่าแค่ที่พักอาศัย แต่เป็นบ้านที่จะดูแลทุกคนในครอบครัวทั้งในด้านความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และสุขภาพ ตามแนวคิด ‘Home that cares for you’ โดยใช้หลักการทำงานบน IoT หรือแพลตฟอร์มการทำงานเชื่อมต่อกันระหว่างดีไวซ์ต่างๆ แบบไร้สายผ่านอินเทอร์เน็ต มีการสื่อสารระหว่างเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ชนิดต่างๆ เพื่อทำงานตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยเป็นพัฒนาไปอีกขั้นด้วยความสามารถในการออกแบบฟังก์ชั่นการทำงานต่างๆ ของผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย
 
‘หลายบ้านต้องให้ผู้สูงอายุและเด็กอยู่กันลำพังซึ่งระบบสมาร์ท โฮม จะช่วยเป็นหูเป็นตา และคอยระวังภัยให้ ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมการส่งสัญญาณแจ้งเตือน เมื่อผู้สูงอายุหกล้มและหมดสติ ระบบความปลอดภัยและการเตือนสำหรับการเปิด-ปิดประตูแม้แต่หน้าต่าง หรือการคอนโทรลระบบไฟฟ้าต่างๆ ในห้องนอนเด็ก โดยซัมซุงเป็นแบรนด์เดียวที่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าครบทุกหมวด ซึ่งนับได้ว่าจะเป็นการปฏิวัติไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยไปอย่างสิ้นเชิง’
 
ในส่วนการทำตลาดในประเทศไทยซัมซุงยังร่วมมือกับพันธมิตรในมืองไทย ศึกษาพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคอย่างจริงจังและร่วมกันพัฒนาบริการต่างๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ซึ่ง IoT ถือว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับสังคมไทย ดังนั้นช่วงแรกจำเป็นต้องมีการให้ความรู้ความเข้าใจว่า IoT จะช่วยยกระดับชีวิตได้อย่างไรบ้าง
 
‘คาดว่าภายในสิ้นปีหน้า 90% ของผลิตภัณฑ์ซัมซุงทั้งหมดจะเป็นอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกันได้ นั่นรวมถึงทีวี และโมบายล์ดีไวซ์ทั้งหมด’
 
ผู้บริหารซัมซุงกล่าวว่า IoT จะช่วยยกระดับคุณภาพของการใช้ชีวิตประจำวันของเรา ให้มีความสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซัมซุงมั่นใจว่า ในอนาคตอันใกล้ เทคโนโลยี IoT จะเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในสังคมไทย ที่จะเกิดการยอมรับและใช้งานในวงกว้าง และจะปฏิวัติไลฟ์สไตล์ความเป็นอยู่ของคนรุ่นใหม่อย่างแน่นอน