เอเจนซีส์ – แค่ชั่วข้ามคืนวันอังคาร(2 กพ.)ที่ผ่านมา มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและเจ้าของบริษัทเฟซบุ๊ก อิงก์ วัยแค่ 31ปีกลายเป็นบุคคลที่รวยมากที่สุดของโลกในอันดับ 4 แซงหน้าเจฟ เบโซส์ (Jeff Bezos) เจ้าของเว็บไซต์ร้านหนังสือ “อเมซอน” ไป จากตารางดัชนีวัดความร่ำรวยของบลูมเบิร์ก พบว่าทรัพย์สินทั้งหมดของซัคเคอร์เบิร์กล่าสุดแตะหลัก 50 พันล้านดอลลาร์ไปแล้ว แถมบริษัทเฟซบุ๊ก อิงก์ถูกจัดให้เป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในโลกในอันดับ 4 ตามหลังกูเกิล แอปเปิล และไมโครซอฟต์
เดลีเมล สื่ออังกฤษรายงานในวันนี้(4 กพ.)ว่า หลังจากตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลงในวันอังคาร(2) มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก วัย 31 ปีที่ในขณะอยู่ระหว่างการลาพักช่วงภรรยาคลอดบุตรได้เห็นทรัพย์สินของตนเองแตะ 50 พันล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก หลังจากที่พบว่าหุ้นบริษัทเฟซบุ๊ก อิงก์ที่เขาเป็นผู้ก่อตั้ง และเป็นเจ้าขึ้นขึ้นสูงเป็นประวัติการ
และทำให้ซัคเคอร์เบิร์กกลายเป็นเศรษฐีพันล้านที่มีทรัพย์สินมากที่สุดในโลกเป็นอันดับ 4 แซงหน้าเจฟ เบโซส์ (Jeff Bezos) เจ้าของเว็บไซต์ร้านหนังสือ “อเมซอน” และคาร์ลอส สลิม (Carlos Slim) เจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเทเลคอมมูนิเคชันในแถบลาตินอเมริกา อเมริกา โมวิล แซบ (America Movil SAB) ไป บลูมเบิร์ก สื่อธุรกิจชี้
สื่อธุรกิจรายงานเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดทุนทั่วโลกจะซบเซาในช่วงที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ส่งผลกับหุ้นของเฟซบุ๊กที่พบว่า ถึงแม้จะตกลงในระหว่างวันไป 0.4% ในช่วงเดือนที่ผ่านมาหุ้นเฟซบุ๊กเพิ่มขึ้นถึง 9.5%
โดยบริษัท เดอะ เมนโล ปาร์ก (The Menlo Park) ที่มีฐานในรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้รายงานในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า นักวิเคราะห์เบนต์ (beat analyst)ชี้ว่า บริษัทเฟสบุ๊ก อิงก์ของซัคเกอร์เบิร์กมีมูลค่าสูงที่สุดในโลกเป็นอันดับ 4 ตามหลังบริษัทอัลฟาเบต อิงก์( Alphabet Inc) บริษัทแม่ของกูเกิล บริษัทแอปเปิล อิงก์ และบริษัทไมโครซอฟต์ คอร์ป ตามลำดับ
ซึ่งทำให้ซัคเคอร์เบิร์กเลื่อนขึ้นมาจากลำดับ 6 สู่เศรษฐีพันล้านที่รวยเป็นอันดับ 4 ของโลกภายในเพียงแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้น
เดลิเมลรายงานเพิ่มเติมว่า ในขณะที่เบโซส์เจ้าของบริษัทอเมซอน เริ่มต้นปี 2016 ด้วยอันดับ 4 ของผู้มีทรัพยสินมากที่สุดในโลก จากมูลค่าทรัพย์สินที่เขามีราว 59.7 พันล้านดอลลาร์ ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่หลังจากวันอังคาร(2)ล่าสุด เบโซส์กลับมีทรัพย์สินลดลงเหลือ 49.1 พันล้านดอลลาร์ ทำให้เจ้าพ่ออเมซอนต้องกลายเป็นอันดับสุดท้ายของท็อปไฟว์เศรษฐีพันล้านของโลกไปอย่างช่วยไม่ได้ อ้างอิงจากตารางดัชนีวัดความร่ำรวยของบลูมเบิร์กในช่วงระหว่างวันที่ 4 มกราคม ถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ล่าสุด
โดยพบว่าเพียงแค่ในวันพุธ(3)วันเดียวเท่านั้น เจ้าพ่ออเมซอนสูญเงินไปถึง 6 พันล้านดอลลาร์ และนับตั้งแต่วันแรกของการเปิดตลาดหุ้นในต้นปี 2016 บริษัทอเมซอนของเขาประสบปัญหากับมูลค่าหุ้นที่ตกไปถึง 18% หรือราว 10.6 พันล้านดอลลาร์
แต่อย่างไรก็ตาม เบโซส์สามารถไต่อันดับจาตารางในปีที่ผ่านมา ที่เขาถูกจัดความร่ำรวยอยู่ในอันดับที่ 16 เท่านั้น
ซึ่งพบว่าในตลอดทั้งปี 2015 ธุรกิจอเมซอนประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ทำให้ความมั่งคั่งของเจฟ เบซอสเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า โดยพบว่าภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2015 มูลค่าทรัพย์สินรวมของเจ้าพ่ออเมซอนมีถึง 30.7 พันล้านดอลลาร์ทีเดียว
ในขณะที่คู่แข่งอีกคนของซัคเคอร์เบิร์ก เศรษฐีพันล้านชาวเม็กซิกัน คาร์ลอส สลิม (Carlos Slim) ที่มีอันดับความร่ำรวยแซงหน้าซัคเกอร์เบิร์ก 2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ต้องประสบปัญหาเช่นเดียวกับเบโซส์ที่มียอดทรัพย์สินลดลง แต่ของเจ้าพ่ออเมริกา โมวิล แซบเกิดจากปัญหาตกต่ำทางเศรษฐกิจในแถบลาตินอเมริกาเป็นหลัก โดยเฉพาะในบราซิลที่เป็น 17% ของแหล่งรายได้ในยอดขายของไตรมาสที่ 3 ทำให้เฉพาะแค่ในปี 2016 มูลค่าทรัพย์สินของสลิมลดไปถึง 3.3 พันล้านดอลลาร์ บลูมเบิร์กรายงาน
อย่างไรก็ตาม สื่ออังกฤษชี้ว่า บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟต์ คอร์ป ยังคงถูกจัดเป็นบุคคลที่มีความร่ำรวยมากที่สุดในโลกด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวมสูงถึง 78.7 พันล้านดอลลาร์ ในขณะที่อันดับ 2 ตกเป็นของ เอมานซิโอ ออร์ติโก (Amancio Ortega) เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำ “ซารา” ที่โด่งดังทั่วโลก และเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในไทย ส่วนอันดับ 3 ตกเป็นของเจ้าพ่อวอลสตรท วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett)ที่มีมูลค่าทรัพย์สินรวมราว 59.6 พันล้านดอลลาร์
อย่างก็ตาม บลูมเบิร์กชี้ว่า มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กเป็นเศรษฐีพันล้านคนเดียวในท็อปไฟว์จากตารางที่มีมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นในปีนี้ และยังพบว่าครึ่งหนึ่งของ 10 อันดับแรกของเศรษฐีพันล้านทั่วโลกได้ความร่ำรวยมาจากธุรกิจทางด้านเทคโนโลยี
(ซ้าย)เจฟ เบโซส์ (Jeff Bezos) เจ้าของเว็บไซต์ร้านหนังสือ “อเมซอน” และ(ขวา)คาร์ลอส สลิม (Carlos Slim) เจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเทเลคอมมูนิเคชันในแถบลาตินอเมริกา อเมริกา โมวิล แซบ (America Movil SAB)
ตารางดัชนีวัดความร่ำรวยของบลูมเบิร์กในช่วงระหว่างวันที่ 4 มกราคม ถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ล่าสุด