ชอปต่อเนื่อง! เปิดแผน “สิงห์ เอสเตท” ทุ่ม 18,800 ล้าน ลุยอสังหาฯ เจาะตลาดซูเปอร์ ลักชัวรี่

ยังคงเป็นกลยุทธ์หลักต่อไปของ “สิงห์ เอสเตท” ในการควบรวบกิจการ หรือ M&A ธุรกิจในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และทิศทางนี้คงยังมีต่อไปอีก 2-3 ปีข้างหน้า เพราะทางสิงห์ เอสเตทมองว่าเป็นวิธีการลงทุนที่รวดเร็วมากกว่า และได้รับผลตอบแทนที่เร็วว่าการลงทุนเองตั้งแต่ศูนย์
 
ในปีนี้สิงห์ เอสเตทจึงทุ่มงบ 18,800 ล้านบาท สำหรับการลงทุนในปีนี้ เน้นเจาะตลาด “ซูเปอร์ลักชัวรี” จับกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียม เป็นตัวเลขการลงทุนที่ใกล้เคียงกับปีที่แล้วที่ลงทุนอยุ่ราว 20,000 ล้านบาท 
 
รูปแบบการลงทุนมี 4 กลุ่มด้วยกัน ธุรกิจ Hospitality หรือโรงแรม สัดส่วน 42% มูลค่า 8,000 ล้านบาท ธุรกิจที่พักอาศัยสัดส่วน 27% มูลค่า 5,100 ล้านบาท ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า พื้นที่ค้าปลีก อาคารสำนักงาน สัดส่วน 20% มูลค่า และธุรกิจใหม่ คลังสินค้า โลจิสติกส์ สัดส่วน 11% รวมทั้ง 2 ธุรกิจมูลค่า 5,700 ล้านบาท
 
พร้อมเตรียมเปิดตัวโครงการที่มีแผนเป็นรูปเป็นร่างแล้วอย่างน้อย 3 โครงการ ได้แก่ โครงการคฤหาสน์ทำเลถนนประดิษฐ์มนูธรรม มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 150 ล้านบาท, โครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ อาคารมิกซ์ยูสมูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท และสุดท้ายโครงการคอนโดมิเนีนมภายในบริเวณสิงห์ คอมเพล็กซ์ ราคาขาย 300,000 บาท/ตารางเมตร
 
 
นริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ทิศทางของสิงห์ เอสเตทยังคงเน้นในเรื่องของการซื้อและควบรวมกิจการอยู่ อาจจะได้เห็นต่อไปอีก 2-3 ปี หลังจากนั้นก็คงจะเป็นเรื่องการสร้างแบรนด์อย่างจริงจัง โจทย์หลักของเราตอนนี้ก็คือเจาะตลาดกลุ่มซูเปอร์ลักซัวรี เป็นกลยุทธ์ในเรื่องของสร้างแบรนดิ้งให้พรีเมียมด้วย เราต้องการเป็นอสังหาแบบครบวงจรมีครอบคลุมทุกธุรกิจ เป็นการบาลานซ์พอร์ตโฟลิโอด้วย มีการกระจายความเสี่ยงเมื่อบางธุรกิจทำรายได้ไม่ดีในบางปี”
 
 
นริศยังเผยถึงธุรกิจที่มีโอกาสสูง และสิงห์ เอสเตทอาจจะลงทุนมากขึ้นได้แก่ ธุรกิจค้าปลีก ยังเป็นธุรกิจที่มีความสนุกอยู่ แต่บางรายอาจจะทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จ อาจจะมีการเจรจาร่วมทุน ตอนนี้มีคุยอยุ่ด้วยกัน 2 ดีล และอีกธุรกิจหนึ่งก็คือโลจิสติกส์ เพราะเป็นธุรกิจอนาคตของประเทศ เพราะไทยมีทำเลที่ดี
 
ในปีนี้สิงห์ เอสเตทเตรียมปิดดีลการซื้อขายอีก 6-7 ดีลด้วยกัน เป็นในหลายๆ ธุรกิจ ส่วนใหญ่เป็นโรงแรม และค้าปลีก และมีดีลที่ต่างประเทศอีก 1-2 ดีลเกิดขึ้นด้วย และตั้งเป้ารายได้ในปีนี้ 7,000 ล้านบาท
 
ปัจจุบันสิงห์ เอสเตทมีโครงการที่เป็นเจ้าของ และได้เปิดขายไปแล้ว ได้แก่ คอนโดมิเนียม ดิ เอส อโศก, อาคารสำนักงาน ซันทาวเวอร์ส, โครงการบ้านภายใต้แบรนด์เนอร์วาน่า, โรงแรมสันติบุรี บีช รีอสร์ท แอนด์ สปา สมุย, โรงแรมพีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ บีช รีสอร์ท และร่วมทุนในโรงแรมแบรนด์เมอร์เคียว 26 แห่ง ในประเทศอังกฤษ