แสนสิริ ปั้นแฟลกชิปคอนโด แพงสุดในไทย เคาะราคา 5.5 แสน ตร.ม. ยูนิตละ 60 ล้าน – 600 ล้าน

“โลเคชั่น โลเคชั่น และโลเคชั่น” 3 คำสั้นๆ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของโครงการ 98 Wireless  เมื่อ 6 ปีที่แล้ว เมื่อแสนสิริได้สร้างความฮือฮา ด้วยการตัดสินใจซื้อที่ดินผืนงามบนถนนวิทยุมาในราคาตารางวาละ 1.5 ล้านบาท  
 
มาวันนี้ แสนสิริได้ฤกษ์เผยโฉมโครงการ 98 Wireless คอนโดมิเนียม ระดับ “ซูเปอร์ พรีเมียม” บนที่ดินผืนดังกล่าว ด้วยมูลค่าโครงการ 8,500 ล้านบาท ถือเป็น 1 ใน 2 หรือ 3 โครงการในรอบ 30 ปี ที่แสนสิริได้ทำโครงการในระดับนี้ 
 
“ที่ดินถนนวิทยุ เวลานี้ที่เป็นฟรีโฮล (ที่ซื้อขาด) หาไม่ได้อีกแล้ว ที่มีอยู่ส่วนใหญ่จะเป็นที่ให้เช่า หรือไม่ก็ถือครองโดยสถาบัน ตอนที่เราได้ที่ดินผืนนี้มา ก็คิดแล้วว่า เราจะมาทำคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ เหมือนกับบ้านไข่มุก ที่หัวหิน ที่เคยทำมาเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว” อภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสริ จำกัด (มหาชน) 
 
 
ที่ทำให้แสนสิริ มั่นใจ ยอมควักเงินซื้อมาในราคาแพงระดับนี้ นอกจากเป็นที่ดินหาไม่ได้อีกแล้ว และยังดูจากโครงการบ้านไข่มุก หัวหิน เมื่อ 27  ปีที่แล้ว ถือเป็นโครงการระดับแฟลกชิปของแสนสิริ ที่เคยสร้างความฮือฮามาแล้วเช่นกัน ด้วยการควักเงินซื้อที่ดินมาในตารางวาละ 37,500 บาท ถ้าเทียบกับราคาที่ดินในกรุงเทพฯ ที่ซื้อขายในราคาตารางวาละ 15,000-16,000 บาท ซึ่งเวลานั้นตั้งราคาขายเริ่มต้นยูนิตละ 7 ล้านบาท ปรากฏว่าราคาขายเวลานี้เพิ่มขึ้นเป็น 80 ล้านบาท หรือ 330,000 บาทต่อ ตร.ม. เพิ่มขึ้นกว่า 1,150 เปอร์เซ็นต์ 
 
 
แสนสิริ มองว่า ไม่ต่างจากโครงการ 98 Wireless ที่อีกไม่นานจะกลายเป็นของหายาก เพราะเป็นคอนโดเพียงแห่งเดียวที่ลูกค้าสามารถถือครองกรรมสิทธิ์ 100%  ที่สำคัญผ่านมา 6  ปี ราคาที่ดินที่แสนสิริซื้อมาในราคา 1.5 ล้านบาท /ตารางวา เวลานี้ราคาประเมิน ทะลุไปถึง 2.8 ล้านบาท/ตารางวาไปแล้ว  
 
โครงการ 98 Wireless คอนโดมิเนียม ความสูง 25 ชั้น จำนวน 77 ยูนิต บนพื้นที่ 2 ไร่ ออกแบบเน้นสไตล์โมเดิร์นคลาสสิก มีที่จอดรถ 240% รวมทั้งที่จอดรถซูเปอร์คาร์ มีลิฟต์ส่วนตัวทุกยูนิต และมีพื้นที่ส่วนกลางไว้บริการลูกค้า 3 ชั้น ซึ่งมีความสูงเท่ากับตึก 8 ชั้น เติมความหรูด้วยการใช้วัสดุ เช่น หินอ่อนที่ต้องบินไปเลือกถึงแหล่งจากอิตาลี และใช้เฟอร์นิเจอร์ส่วนกลางของ Ralph Lauran Home ส่วนห้องชุดมีตั้งแต่ 2- 4 ห้องนอน ตั้งราคาขายเฉลี่ย 550,000 บาทต่อตารางเมตร มีราคาเทียบเท่ากับคอนโดมิเนียมในประเทศสิงคโปร์ แถมยังทำลายสถิติราคาขายเฉลี่ยคอนโดมิเนียมสูงที่สุดในย่าน CBD ของกรุงเทพฯ ซึ่งปัจจุบันมีราคาขายเฉลี่ยสูงสุดที่อยู่ที่ประมาณ 3 แสนบาทต่อตารางเมตร
 
 
โดยมีตั้งแต่ขนาด 2– 4 ห้องนอนเพนต์เฮาส์ และซูเปอร์เพนต์เฮาส์ “The One” ซึ่งตั้งอยู่ชั้นสูงสุดของโครงการ ราคาเริ่มต้น 60 ล้านไปจนถึง 600-700 ล้าน
 
ไม่ต้องรอให้โครงการแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม 2559 ที่จะเปิดขายอย่างเป็นทางการ เพราะเวลานี้ขายไปได้ 20%  จ่ายเป็นเงินสดโดยลูกค้าคนไทยล้วนๆ รวมทั้งเพนต์เฮาส์ และซูเปอร์เพนต์เฮาส์ เดอะวัน ก็ขายไปแล้ว โดยเฉพาะซูเปอร์เพนต์เฮาส์ ได้เศรษฐีของเมืองไทยซื้อไปในราคา 600-700 ล้านบาท 
 
ส่วนที่เหลืออีก 80% อภิชาติ บอกว่า ไม่ได้กำหนดว่าจะขายหมดเมื่อไหร่ แต่ได้วางสัดสวนลูกค้า ชาวไทย 60%  และต่างชาติ 40%  
 
“เชื่อว่าโครงการฯ นี้จะสามารถดึงดูดลูกค้าระดับบนทั้งชาวไทยและต่างประเทศได้ ซึ่งเราวางสัดส่วนลูกค้าชาวไทยที่ 60% ในขณะที่ลูกค้าชาวต่างประเทศ 40% และถือหนึ่งในโครงการที่พรีเมี่ยมที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และครั้งแรกของเมืองไทยที่มีโครงการคอนโดมิเนียมลักษณะนี้” อภิชาติ บอกทิ้งท้าย