"เรื่องเล่าเช้านี้" เมื่อ "น้องไบรท์" เอาไม่อยู่

อาจจะไม่ใช่คนแรก แต่ต้องยอมรับว่า “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” คือผู้ที่ทำให้รายการประเภท “เล่าข่าว” ได้รับความนิยมในบ้านเรากระทั่งหลายๆ ช่องต้องนำรูปแบบดังกล่าวมาปรับใช้ตาม
 
ตลอดระยะเวลากว่า 13 ปีกับการทำรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” ผ่านหน้าจอชนิดที่แทบจะไม่เคยลาป่วย ลากิจ ไม่มีวันหยุดนักขัตฤกษ์ ผลที่ตามมาก็คือตัวเลขเรตติ้งที่ขึ้นไปอยู่ในอันดับต้นๆ และจากเวลายามเช้าที่แทบจะหามูลค่าไม่ได้ กลายเป็นช่วงเวลาเงินเวลาทองของช่อง 3 ชนิดเป็นรองก็แค่ช่วงไพรม์ไทม์ (prime time) มีเจ้าของสินค้าอยากให้สินค้าตัวเองมาโผล่ในรายการแม้จะต้องยอมเสียเงินในหลักแสนก็ตาม
 
อย่างไรก็ตาม พลันที่ผู้ดำเนินรายการครดังได้ประกาศยุติบทบาทการทำหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” มาตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 มีนาคม หลังถูกกระแสกดดันอย่างหนักจากรณีที่ตนเองถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 13 ปี 4 เดือน ในคดีทุจริตเงินค่าโฆษณาจาก อสมท เป็นจำนวนกว่า 138 ล้านบาท โดยไม่รอลงอาญา หลายคนต่างพากันจับตาว่ารายการที่ปราศจากผู้ดำเนินรายการคนดังคนนี้ทำหน้าที่จะเป็นไปในทิศทางใด?
 
และมันก็เป็นไปตามที่หลายคนคาดหมาย เพราะทันทีที่เจ้าตัวไม่อยู่รายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” ก็มีตัวเลขเรตติ้งที่ตกลงทันที โดยมี “เช้านี้ที่หมอชิต” ของช่อง 7 ซึ่งตัวเลขเรตติ้งสูสีกันอยู่ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งแทน (ข่าวช่อง 3 ไร้ “สรยุทธ” เรตติ้งหล่นฮวบ-คนดูหายหลักล้าน)
 
เบื้องต้นตัวเลขคนดูที่หายไปร่วมล้านแง่หนึ่งอาจจะมองได้ว่าเป็นเพราะผู้ดำเนินรายการร่วมอย่าง “ไบรท์” น.ส.พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ บังเอิญมามีอาการป่วยเป็นไข้เลือดร่วมด้วยพอดี แต่กระนั้นเมื่อเจ้าตัวหายป่วยและกลับมาทำรายการแล้วทว่าเรตติ้งของ “เรื่องเล่าเช้านี้” เองก็หาได้กระเตื้องขึ้นมาแต่อย่างใดและมีทีท่าว่าจะถูกช่อง 7 ทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ อีกต่างหาก
 
จะด้วยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจแต่ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาด้วยรูปแบบและวิธีการนำเสนอของรายการนั้นสามารถนิยามได้ว่า “สรยุทธ” นั้นคือรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” และ รายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” ก็คือตัว “สรยุทธ” เอง
 
ความนิยมในตัวบุคคล แง่หนึ่งมันคือจุดแข็งโป๊กที่คู่แข่งยากจะเลียนแบบ หากแต่ในทางกลับกันมันก็ได้กลายเป็นจุดอ่อนของรายการนั้นๆ ไปด้วยเช่นกัน
 
ในขณะที่ช่อง 3 กับ “เรื่องเล่าเช้านี้” ขายความเป็นซูเปอร์สตาร์ของ “สรยุทธ” เหลียวไปมองช่องคู่แข่งอย่างช่อง 7 กับ “เช้านี้ที่หมอชิต” เราจะพบถึงความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากวิกหมอชิตนั้นมีรูปแบบของข่าวในการนำเสนอที่มีไสตล์เป็นของตนเอง มีบรรยากาศที่เป็น “เช้านี้ที่หมอชิต” ไม่ว่าตัวตนคนที่มานั่งเก้าอี้ดำเนินรายการนั้นจะเป็นใคร
 
ที่สำคัญคือผู้ดำเนินรายการของ “เช้านี้ที่หมอชิต” แต่ละคนที่เข้ามาทำหน้าที่นั้นไม่มีใครพยายามแสดงความเป็นซูเปอร์สตาร์เพื่อให้ตัวเองดูเด่นดูดังกว่าเพื่อนๆ และมีความสามารถที่ใกล้เคียงกันสามารถทำหน้าที่ทดแทนกันได้อย่างไม่รู้สึกถึงความแตกต่างยามเมื่ออีกคนไม่อยู่
 
เปรียบเทียบให้เห็นภาพ ก็คงจะเหมือนทีมฟุตบอลสองทีมที่ทีมหนึ่งเล่นบอลโดยฝากความหวังเอาไว้กับตัวซูเปอร์สตาร์ แต่กับอีกทีมนั้นเล่นบอลด้วยระบบทีมเวิร์คนั่นเอง
 
อันที่จริงคนข่าวของช่อง 3 เองที่มีอยู่ หลายต่อหลายคนรวมไปถึงที่ถูกดึงมาอุดรอยรั่ว “สรยุทธ” ในตอนนี้ ทั้ง กุ๊ก กฤติกา, ปิยณี เทียมอัมพร, เจก รัตนตั้งตระกูล ฯ แต่ละคนทั้งชื่อและชั้นก็หาได้ขี้เหร่ เพียงแต่ถึงตอนนี้แต่ละคนไม่สามารถที่จะทำให้รายการนั้นน่าสนใจขึ้นมาแต่อย่างใด
 
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ ณ วันนี้ช่อง 3 ยังคงเล่นในระบบรูปแบบเดิมโดยการดันผู้ประกาศหญิง “ไบรท์ พิชญทัฬห์” ขึ้นมานั่งทำหน้าที่เป็นลีดเดอร์แทน “สรยุทธ” มีหน้าที่คอยพูด คอยเกริ่น คอยส่ง คอยเลือกประเด็นข่าวแล้วโยนให้กับผู้ดำเนินรายการคนอื่นๆ แต่เนื่องด้วยความต่างกันเหลือเกินของวัยวุฒิ ประสบการณ์ อารมณ์ น้ำเสียง ความเก๋า ความเชื่อมั่น ผลที่ออกมานอกจากจะไม่ลื่นไหล ไม่น่าดูเหมือนกับที่ผู้ดำเนินรายการคนดังทำแล้ว ในทางกลับกันยังทำให้รายการพังราบอย่างไม่เป็นท่าอีกต่างหาก
 
วันนี้เชื่อว่าใครก็ตามที่ได้ดู “เรื่องเล่าเช้านี้” จะสัมผัสได้ถึงความน่ารำคาญ ทั้งจากการอ่านข่าวแบบทอดน้ำเสียงของผู้ดำเนินรายการหญิงบางคน ผู้ดำเนินรายการที่แย่งกันพูด พูดซ้ำกัน รวมถึงบางทีก็ไม่รู้ว่าจะโยนข่าวไปให้อีกคนทำไมในเมื่อตนเองพูดไปเกือบจะหมดข่าวนั้นอยู่แล้ว ฯ
 
แน่นอนว่าเรื่องนี้จะไปโทษผู้ประกาศสาวโดยตรงก็คงไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาบทบาทของเธอหรือจะว่าไปแล้วก็คือทุกคนที่มาจัดรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” ล้วนแล้วแต่มีสถานะเป็น “ลูกคู่” ของ “สรยุทธ” หาใช่ “ผู้ดำเนินรายการร่วม” แต่อย่างไร
 
ถึงตรงนี้เองช่อง 3 หรือผู้ผลิตอย่างบีอีเซี เทโรฯ เองคงจะต้องพิจารณาแล้วว่าจะเอาอย่างไรกับ “เรื่องเล่าเช้านี้”
 
จะปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอมั้ย? หรือจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบของเนื้อหาของข่าว? หรือจะเปลี่ยนคนใหม่? หรือจะยังคงใช้รูปแบบเดิมแต่หาซูเปอร์สตาร์คนใหม่เข้ามานั่งประจำหัวโต๊ะ? หรือจะยอมทนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ด้วยการกลับไปดึงซูเปอร์สตาร์คนเดิมกลับมา?
 
เอาเป็นว่าจะทำอะไรก็ต้องรีบทำ เพราะขืนทิ้งไว้เนิ่นนานวันรับรองโดนช่อง 7 ทิ้งไม่เห็นฝุ่นแน่นอน…