W Hotels ฤาจะเป็นอีกกระแสที่จะพัดมา?

กลุ่ม Starwoods เจ้าของโรงแรมหรู 4-5 ดาว ที่มีอยู่ทั่วโลก เช่น Sheraton, Westin, Four Points by Sheraton

ถือเป็นกลุ่มโรงแรมที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลกในเรื่องของ business hotel แต่ทว่าย้อนไป 6 ปีที่แล้ว วงการโรงแรมของโลกก็ตื่นตัวอีกครั้งเมื่อกุล่ม Starwoods ขอกระโจนลงมาปันส่วนแบ่งจากกลุ่มโรงแรมบูติกขนาดเล็กด้วยอีกคน จึงกลายเป็นที่มาของแบรนด์ W Hotels

ลักษณะเด่นของ W Hotels ต่างจากเชนโรงแรมอื่นในเครือคือ การผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างข้อดีของ business hotel และ boutique hotel ที่แม้จะมุ่งเน้นดีไซน์สถาปัตย์และการตกแต่งที่มีบุคลิกโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละแห่ง แฝงความสร้างสรรค์และทันสมัยด้วยเทคโนโลยี รวมถึงบริการตามความต้องการของลูกค้าดั่งสโลแกน “whatever you want, whenever you want it” แต่ก็ไม่ละเลยตัวตนของ “กลุ่ม” ด้วยความหรูหราและความสะดวกสบายตามสไตล์ business hotel เช่น ห้องประชุมขนาดกลาง ห้องจัดเลี้ยง ฟิตเนสไว้ด้วย ซึ่งทุกแห่งจะถูกออกแบบให้แตกต่างทั้งคอนเซ็ปต์ จุดเด่น หรือขนาด โดยแปลนทุกแห่งต้องส่งให้ประธานกลุ่ม Starwoods อนุมัติก่อนจึงจะสร้างได้

ความหมายของ W มาจาก Warm, Wonderful, Witty, Wired และ Welcome ซึ่งเป็นความคิดของประธานกลุ่ม Starwoods ที่เล็งเห็นถึงกระแสนิยมโรงแรมบูติกที่ถาโถมในอุตสาหกรรมโรงแรมทั่วโลก จึงได้ตั้งเชน W Hotels ขึ้นมาครั้งแรกในปี 2541 ในนิวยอร์กและแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีจำนวนห้องเพียงร้อยกว่าห้อง หลังจากนั้นก็เริ่มขยายออกไปยังเมืองสำคัญอื่นๆ ในอเมริกา และก็เพิ่มจำนวนห้องมากขึ้นเพื่อรองรับกับความต้องการในแต่ละทำเล ซึ่งมักจะเป็นเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ ย่านธุรกิจ แหล่งช้อปปิ้งและแหล่งราตรี

ปัจจุบัน มี W Hotels ทั้งสิ้น 20 แห่ง มีเพียง 5 แห่งที่อยู่นอกประเทศอเมริกา ได้แก่ Mexico, Canada, Sydney จะเปิดปลายปีนี้ที่กรุงโซล เกาหลีใต้ และในปี 2550 บนถนนสุขุมวิท กรุงเทพฯ ของเราก็จะมีโรงแรมแบรนด์นี้มาตั้งตระหง่านก่อนชาติใดในอาเซียน นำเข้ามาโดยบริษัท Grand Asset ของพงศ์พันธ์ สัมภวคุป นักพัฒนาอสังหาเจ้าเก่าที่หันมาลงทุนธุรกิจโรงแรมมากขึ้น ด้วยชื่อโครงการ “W City” ออกแบบสถาปัตย์โดยบริษัทอเมริกันที่มีชื่อเสียงมากคือ WATG ซึ่งเป็นบริษัทที่ทางกลุ่ม Starwoods แนะนำให้มาดูแลเรื่อง conceptual design

นอกจาก W Hotels ขนาด 300 ห้อง ที่ต้องใช้เงินลงทุนทั้งสิ้นกว่า 2,400 ล้านบาท ยังมีคอนโดที่มีดีไซน์โดดเด่นไม่แพ้กัน โดยมีระบบบริหารจัดการและสิ่งอำนวยความสะดวกร่วมกับ “W Hotels แต่ใช้ชื่อ W Residence ซึ่งถือเป็น W Residence แห่งแรกที่อยู่นอกประเทศอเมริกา ซึ่งเปิดให้จองเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และจะเสร็จราวปลายปี 2549 ซึ่งเหตุที่พงศ์พันธ์ให้ความเชื่อมั่นในแบรนด์ W Hotels และเครือ Starwoods ก็เพราะได้ใช้บริการกันมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น Westin ที่สุขุมวิท หรือ Sheraton หัวหิน บลูลากูน และความร้อนแรงของเชน W Hotels เองด้วยในอเมริกา และก็คิดว่าจะกระแสนี้คงจะต้องหมุนวนมาเอเชียในไม่ช้า เหมือนเช่นที่กระแสบูติกที่พัดแรงไม่ลดละมาจากยุโรป

“เราอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ลงทุนลงแรง ก็แน่นอนหวังรายรับ เราก็เลยนิยมจ้างเชนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จ เพราะเขามี network กว้าง และมีลูกค้าของเขาอยู่แล้ว ถ้าเราจะสร้างตลาดเองมันต้องใช้เวลานานและเหนื่อยในการตลาดกว่าคนจะรู้จักชื่อ ในเมื่อเราเลือกทำเลที่เหมาะสม และเลือกเชนที่ดีแล้ว เราก็หวังรายรับที่มั่นคงได้แล้ว” คำกล่าวนี้ไม่เพียงแสดงเหตุแห่งความนิยมในโรงแรมเชน ยังสะท้อนแนวคิดที่มาของธุรกิจแบบ “Design HotelsTM” ได้อีกด้วย