การที่คนคนหนึ่งเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ไม่ว่าจะเป็นการส่งหนังสือพิมพ์ เก็บลูกกอล์ฟขาย รับจ้างทำสวน ทำงานในร้านอาหาร ในวัยทีนเอจสามารถเก็บเงินส่งตัวเองเรียนจนจบมหาวิทยาลัย ระหว่างเรียนก็ทำงานควบคู่กันไปด้วย สิ่งเหล่านี้น่าจะมีส่วนกระตุ้นและหล่อหลอมความเป็น Entrepreneur ในตัวคนผู้นั้นได้ดีทีเดียว
Charles A. Parsons II เกิดและเติบโตที่บอสตัน สหรัฐอเมริกา หลังเรียนจบด้านบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัย North Eastern ในปี 1985 ผ่านงานในองค์กรขนาดใหญ่ 3 แห่ง จนกระทั่งปี 2003 จึงตัดสินใจเริ่มกิจการของตัวเองในเมืองไทยด้วยเงินทุนเริ่มต้น 2 ล้านบาท ในนาม Parsons Globe ทำธุรกิจฝึกอบรมและทำวิจัยทางการตลาด ที่แม้จะเป็นตลาดที่ถูกยึดครองด้วยรายใหญ่ทั้งที่เป็นองค์กรไทยและบริษัทข้ามชาติ แต่เขายังมองเห็นโอกาสเติบโตในตลาดที่ยังไม่อิ่มตัวนี้
ที่มาของเขานั้น ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ตอน 8 ขวบ ที่เขาเริ่มหารายได้ด้วยตัวเอง จากการขี่จักรยานออกไปส่งหนังสือพิมพ์ตอนเช้ามืดทุกวันก่อนไปโรงเรียน และการงมลูกกอล์ฟที่ตกอยู่ในบึง แล้วรวบรวมไปตั้งโต๊ะขายที่ลานจอดรถของสนามกอล์ฟทุกวันอาทิตย์ ผลปรากฏว่าตลอดหนึ่งซัมเมอร์เขาทำรายได้ถึง 800-1,000 เหรียญทีเดียว จากนั้น 2-3 ปีถัดมาก็จับงานทำสวน กวาดหิมะ กระทั่งเข้าเรียนไฮสคูลจึงทำงานพาร์ตไทม์ในร้านอาหารไปด้วย จนทำให้รวบรวมเงินได้มากพอสำหรับการเรียน 2 ปีแรกในมหาวิทยาลัย
เมื่อขึ้นปีที่ 3 จึงเริ่มทำงานให้กับ Boston Company ในแผนก Deposit & Trust ซึ่งมีโครงการ Tuition reimburse Program ในการให้ทุนนักศึกษาโดยวางเงื่อนไขว่า นักศึกษาจะได้ทุนเป็นเงินค่าหน่วยกิตคืน 100% ถ้าได้เกรด A ส่วนเกรด B จะได้ 80% และเพราะการทำงานเต็มเวลาในตอนกลางวัน และเรียนภาคค่ำไปด้วย เขาจึงใช้เวลาเรียนปริญญาตรีถึง 6 ปีด้วยกัน แต่เกรดเฉลี่ยที่ได้ 3.3 ก็นับว่าไม่น้อย เมื่อเรียนจบแล้วยังคงทำงานที่บริษัทเดิมต่อ ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Mellow Bank จนถึงปี 1993 จึงได้ย้ายไปทำกับ Chesterton Company
Charles เล่าว่า วิชาที่ชอบมากคือ International Business และใฝ่ฝันอยากเดินทางเหมือนคนวัยเดียวกันทั่วไป เขาเคยเดินทางมาเมืองไทยบ่อยๆ ตั้งแต่สมัยที่ทำงานอยู่ Chesterton Company ผู้ผลิตสินค้าประเภทชิ้นส่วนเครื่องจักร เช่น Pumping system รวมทั้งอะไหล่และอุปกรณ์เพื่อการบำรุงรักษาเครื่องจักร ในตำแหน่ง Senior Manager ที่รับผิดชอบการตลาดในเขตเอเชียแปซิฟิก 13 ประเทศ ถึงช่วงฟองสบู่แตกในปี 1998 จึงตัดสินใจสมัครเรียน MBA ด้านการตลาด ที่สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
“ที่เลือกเรียนศศินทร์ เพราะเป็นหลักสูตรของ Kellogg และ Wharton ตั้งใจเรียนเต็มที่เลยเลือกเรียนโปรแกรมปกติ เป็นแบบฟูลไทม์ ซึ่งใช้เวลาตั้งแต่ปี 1998-2000 ระหว่างนั้นก็ยังทำงานให้เชสเตอร์ตันไปด้วย ว่างจากห้องเรียนทีไรก็ต้องติดต่อธุรกิจ โดยใช้อีเมล โทรศัพท์และแฟกซ์ และถ้าวันไหนไม่ได้เข้าเรียนก็แสดงว่าต้องเดินทางไปทั่วเอเชียแปซิฟิกเพื่อติดต่อธุรกิจ อะไรที่เรียนไปก็ได้ใช้ทันที”
หลังจากจบจากศศินทร์ไม่นานก็ถูกดึงตัวจาก Glatfelter ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำธุรกิจผลิตกระดาษที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง (Highly technology paper) เช่น แสตมป์ กระดาษที่ใช้ทำพาสปอร์ต และผลิตภัณฑ์กระดาษอื่นๆ ที่ต้องอาศัยเทคนิคเฉพาะในการผลิต Glatfelter มีฐานการผลิตอยู่ในฟิลิปปินส์ ยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนี ฝรั่งเศส รวมทั้งอเมริกา ให้บริหารโครงการ 3 ปี ในตำแหน่ง Director of Global & Corporate Marketing โดยมีหน้าที่รับผิดชอบในการให้คำปรึกษาและประสานงานการควบรวมกิจการต่างๆ ของเครือ ที่มีอยู่ทั่วโลก เพื่อสร้างความเป็นโกลบอลแบรนด์ของ Glatfelter ให้สำเร็จ
เมื่อหมดภารกิจ ก็เหมือนไม่มีอะไรท้าทาย จนทำให้ต้องกลับมาท้าทายตัวเองให้กล้าลองเริ่มต้นธุรกิจขึ้นจากประสบการณ์ที่สั่งสมมาตลอดชีวิต “I think I was born to be an entrepreneur.” คือสิ่งที่เขาพูดถึงตัวตนซึ่งไม่เคยเปลี่ยนจนกระทั่งบัดนี้
ในเดือนกรกฎาคม 2003 Charles จึงกลับมาเมืองไทย เพื่อเริ่มธุรกิจของตนเอง ด้วยความลงตัวของสถานการณ์และเวลา เพราะปีนั้นเป็นปีที่เขาอายุครบ 40 ปีพอดี
“เมื่อมองย้อนไปก็เห็นว่า ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จในการทำงานมาโดยตลอด เริ่มถามตัวเองว่าควรจะไปทางไหนต่อ ถึงตอนนั้นนับจากจบมหาวิทยาลัยออกมา ก็ทำงานมานาน 18 ปีแล้ว ผ่านงานมาหลายบริษัท โดยเฉพาะตอนที่อยู่ 2 บริษัทสุดท้าย ต้องดูแลเรื่องการตลาดและการขาย ต้องไปบรรยายให้พนักงานตามสาขาต่างๆ ฟัง ต้องติดต่อประสานงานทั่วพื้นที่เอเชียแปซิฟิก มีเครือข่ายที่เราเคยรู้จัก รวมทั้งเพื่อนจากศศินทร์ ในที่สุดจึงลงตัวที่การทำธุรกิจฝึกอบรมที่เน้นด้านการพัฒนาทักษะการตลาดและการขาย”
เมื่อ Parsons Globe ครบรอบ 1 ปี Charles บอกว่าเบรกอีเวนต์ได้แล้ว ช่วงต้นปีมีลูกค้า 3 รายที่เขารับทำ Market Feasibility Study ในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ คือ Caltex, DKSH และ Cyber Planet Group ส่วนการจัดฝึกอบรมนั้น นอกจากคอร์สแบบ tailor made ให้กับองค์กรต่างๆ และรับซับคอนแทร็คต์จากรายใหญ่ Parsons Globe เพิ่งจัดสัมมนาที่โรงแรมแชงกรีล่าเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาเป็นผู้บริหาร 100 รายจากประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประเทศเป้าหมายที่เขาจะขยายสาขาไปที่นั่นใน 2-3 ปีข้างหน้า
เป้าหมายในไทยนั้น เขามุ่งไปที่องค์กรขนาดใหญ่อย่างเช่น Unilever และ ดีทแฮล์ม โดยไม่หวาดหวั่นผู้ให้บริการฝึกอบรมรายใหญ่ที่มีอยู่แล้วในตลาดอย่าง TMA, PricewaterhouseCooper และ Accenture เพราะมั่นใจในจุดแข็งของรายเล็กอย่างเขา ว่าเหนือกว่าในแง่ความคล่องตัว รูปแบบคอร์สที่จัดได้ตามใจลูกค้า การถ่ายทอดที่ลูกค้านำไปปฏิบัติได้จริง และความชำนาญด้านการขายและการตลาดในพื้นที่เอเชียแปซิฟิก และยังมีช่องว่างในตลาดอีกมากที่รายใหญ่ไม่สนใจจะเข้าถึง รวมทั้งแนวโน้มของธุรกิจที่มีความต้องการด้านเทรนนิ่งมากขึ้นด้วย
ซึ่งความมั่นใจของ Charles Parson คนนี้ ไม่ได้มาจากความเป็นอเมริกัน หรือสะท้อนจากนิสัยส่วนตัวที่มีงานอดิเรกอย่างการชอบที่จะปีนเขาหรือดำน้ำลึกคนเดียว หรือจากประสบการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่หล่อหลอมและสั่งสมมาตั้งแต่การเริ่มทำธุรกิจครั้งแรกในวัยเด็กเลยทีเดียว
Profile
Name Charles A. Parsons II
Born 8 สิงหาคม 1963
Education
985 BSc in Business Administration, Northeastern University, Boston, USA
2000 MBA in Marketing, SASIN Graduate Institute of Business, Bangkok, Thailand
Career Highlights
1985 – 1993 Boston Company and Mellow Bank
1993-2000 Chesterton Company, Senior Manager Asia-Pacific (Responsible for all business activities, Sales & Marketing, distribution management in 13 countries of Pacific Rim)
2000-2003 Glatfelter, Global Brand manager
2003- ปัจจุบัน Parsons Globe, President – Lead Trainer
Family
บิดามารดาอาศัยอยู่ในเวอร์มอนต์ สหรัฐอเมริกา มีพี่น้อง 4 คน เขาแต่งงานกับภรรยาชาวไทย คือ สุภาภรณ์ เมื่อ 8 ปีที่แล้ว มีลูกสาว 2 คน คือ โสภิตสุดา 7 ขวบ และ แองเจล่า 4 ขวบ
E-mail [email protected]
Website www.parsonsglobe.com