เซี่ยงไฮ้ คู่แข่งที่น่าหลงใหล

พูดถึง “เซี่ยงไฮ้” ภาพหนังเรื่อง “เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้” ก็ผุดขึ้นมาในหัว คือเมืองที่เต็มไปด้วยชายในสูทยาวสีดำพันผ้าพันคอ ปากคาบบุหรี่ กับผู้หญิงผมยาวในชุดกระโปรงเชยๆ พร้อมด้วยอาชญากรรมมากมาย คงไม่มีอะไรน่าประทับใจนัก…จนพรหมลิขิตให้ได้เดินทางไปสัมผัสนครเซี่ยงไฮ้ด้วยตัวเอง ความรู้สึกจึงเปลี่ยนไป!!

เพียงไม่ถึง 4 ชั่วโมง เครื่องการบินไทยก็ลงสู่สนามบิน Pudong International Airport เมืองเซี่ยงไฮ้ เปิดใช้มา 2 ปี ขนาดใหญ่ติดอันดับสนามบินที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย คงเพื่อเตรียมรับนักเดินทางจากทั่วโลกที่อยากเข้ามาเยี่ยมเยือนและลงทุนในเมืองที่ได้ชื่อ “ไข่มุขเอเชีย” หรือสมญาว่า “ปารีสตะวันออก” และ “นิวยอร์กแห่งเอเชีย” จำนวนชาวต่างชาติที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง (immigration) ประมาณว่าน่าจะหลายร้อยคน ส่วนใหญ่เป็นชาวเอเชีย ทั้งนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ…“เซี่ยงไฮ้” น่าจะเป็นคู่แข่งด้านการท่องเที่ยวและการลงทุนที่สูสีกับกรุงเทพฯ และไม่นาน กรุงเทพฯ อาจเป็นเพียงอดีตคู่แข่งของเซี่ยงไฮ้

ความตื่นเต้นในมหานครเซี่ยงไฮ้ของฉันเริ่มก่อตัวขึ้น เมื่อรถของเราออกตัว…การเป็นคนขับรถบนถนนในเซี่ยงไฮ้ ต้องใช้ความอดทนไม่แพ้กรุงเทพฯ เพราะการจราจรติดขัดพอกัน แต่คนเซี่ยงไฮ้อาจต้องมีทักษะ สติ และความกล้ามหาศาลกว่า และการเป็นคนข้ามถนนในเมืองนี้ยิ่งต้องมีสิ่งเหล่านั้นมากกว่าหลายเท่า เพราะคนขับรถที่นี่ขาดวินัยและไร้น้ำใจ ขณะที่สะพานลอยคนข้ามก็เป็นของหายาก เห็นตามสี่แยกใหญ่ๆ เท่านั้น ส่วนทางม้าลาย และสัญญาณไฟคนข้ามก็ไม่อาจรับรองความปลอดภัย ทำให้ฉันคิดถึงสะพานลอยที่กรุงเทพฯ ซึ่งมีถี่แบบป้ายเว้นป้ายแต่ไม่มีคนข้าม

ที่พักของเราคือโรงแรม Portman Ritz Carlton บนถนนนานจิง (Nanjing Lu) เป็นถนนที่มีห้างขายสินค้าแบรนด์เนมขนาดใหญ่ เช่น Plaza 66 ซึ่งมีกระเป๋า LV ขนาดยักษ์ตั้งโดดเด่นอยู่หน้าห้าง รวมถึง Citric Square และ Isetan โดยโรงแรมนี้เป็นหนึ่งในหลายโรงแรมห้าดาวที่เรียงแถวรอให้บริการกับนักเดินทางระดับเฟิร์สคลาสจากทั่วโลก นอกจากนี้ยังมี Hilton, Four Season, JW Marriot และ Sofitel อยู่ไม่ไกลกัน

ยามค่ำคืนของที่นี่สว่างไสวไม่แพ้บ้านเรา ถึงแสงไฟจะหลี่ลงบ้างตามนโยบายประหยัดพลังงานของรัฐบาลจีน แต่ก็ยังคงภาพเซี่ยงไฮ้ที่ไม่เคยหลับ เหมือนกับกรุงเทพฯ ที่ตื่นตลอดคืน ต่างกันก็แค่ที่นี่ไม่มีป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ให้เกะกะสายตามากเท่าบ้านเรา

ฉันมีโอกาสไปลาดตระเวนถนนนานจิงอย่างไร้ปลายทาง แม้จะเดินเรื่อยเปื่อยตามลำพังแต่ก็ไม่รู้สึกเหงา เพราะเมื่อไรที่อยากจะพูด ฉันจะแกล้งเข้าไปถามทางคนแถวนั้น ฉันพูดภาษาจีนไม่ได้ และคนจีนแถวนั้นก็ไม่ถนัดภาษาอังกฤษ สิ่งที่พวกเราใช้สื่อสารกันก็คือ แววตา สีหน้า รอยยิ้ม และท่าทาง ซึ่งมีความหมายมากกว่าคำพูด และตอบมากกว่า ”หนทาง” ที่ฉันแกล้งถามไป อย่างไรก็ดี หนุ่มสาวยุคใหม่ในเมืองเซี่ยงไฮ้มักจะพูดภาษาอังกฤษพอได้ และคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะพูดได้คล่องอย่างไม่น่าเชื่อ หนุ่มสาวที่นี่ค่อนข้างมั่นใจในการพูดจา ความคิด และการแต่งตัว ไม่แพ้เด็กสยามสแควร์ หรือสาวเอ็มโพเรี่ยม

การเดินทางในตัวเมืองเซี่ยงไฮ้สะดวกมาก รถแท็กซี่จำนวนมากเรียงรายรอลูกค้าตามแหล่งท่องเที่ยว รถเมล์และรถรางมีบริการหลายสาย พร้อมด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินที่ราคาถูกมากเริ่มที่ 2 หยวน และสูงสุด 3 หยวน (อัตราแลกเปลี่ยนราว 5 บาท/1 หยวน) ทั้งนี้เพื่อลดการใช้รถส่วนตัว และช่วยชนชั้นทำงานที่บ้านอยู่นอกตัวเมืองให้อยู่ได้ ขณะที่อีกหลายคนยังนิยมใช้รถจักรยานเป็นพาหนะ เพราะค่าทะเบียนและภาษีรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ของที่นี่แพงมาก

การเดินบนทางเท้าในตัวเมืองเซี่ยงไฮ้เป็นอีกสิ่งที่ฉันประทับใจมาก เพราะที่นี่ไม่มีหาบเร่เบียดเบียนสิทธิพลเมืองของฉัน ไม่มีสุนัขจรจัดมาทิ้งกับระเบิดให้ต้องคอยหลบ ไม่มีท่อระบายน้ำเปิดฝาทิ้งไว้เป็นกับดัก ไม่มีขยะกองโตส่งกลิ่นเหม็นโชย และไม่มีควันดำให้ระคายปอด จะมีก็เพียงภาพตึกเก่าถูกคั่นด้วยเสื้อผ้าและชั้นในบนราวตากที่ยื่นมาจากหน้าต่างห้องพาดกับเสาไฟฟ้าหรือผูกกับต้นไม้ ไว้ให้รำคาญสายตาบ้าง

ด้วยเวลาที่จำกัด ฉันมีได้แวะไปแค่ย่านช้อปปิ้งที่แนะนำตามหนังสือคู่มือเที่ยวเซี่ยงไฮ้ทั่วไป เริ่มจากถนนนานกิงซึ่งเป็นแหล่งรวมร้านค้าแบรนด์เนมตลอดสาย ตลาดเซี่ยงหยาง (Xiang Yang Park) หรือก็คือตลาดจตุจักรบ้านเราเพียงแต่เล็กกว่า หลากหลายน้อยกว่า และมีดีไซน์แย่กว่า ถนน Yuyuan เป็นย่านช้อปปิ้งสำคัญอีกแห่ง ซึ่งแม้อาคารแถวนี้จะเป็นเก๋งจีน แต่มีความทันสมัยอยู่ในสไตล์ การตกแต่ง สินค้าที่ขาย และผู้คนที่มาเที่ยว

แหล่งที่น่าสนใจอีกแห่งคือ Xin Tian Di ซึ่งถือเป็นสถานที่ HIP (Highly Independent Place) แห่งใหม่ของคนเซี่ยงไฮ้ นอกจากจะมี Life Ztore ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าที่ขายของตกแต่งบ้านที่มีดีไซน์เก๋ๆ แล้ว ที่นี่ยังมีอาคารเก่าถูกตกแต่งเป็นร้านค้าและร้านอาหารสไตล์ร่วมสมัยหรือโมเดิร์น เป็นย่านที่วัยรุ่นนิยมเดิน ในยามค่ำคืนก็จะมีสีสันของผับบาร์ดึงดูดทั้งหนุ่มสาวชาวจีนและนักท่องเที่ยวให้มาดื่มและแดนซ์ที่นี่

ที่ตัวเมืองเซี่ยงไฮ้กำลังมีโครงการสร้างแหล่งช้อปปิ้งแบรนด์เนมขนาดใหญ่อีกหลายแห่ง…จนอดคิดไมได้ว่า ที่นี่อาจจะกลายเป็น “Shopping Paradise of Asia” หรือเป็น “Shiang Hai Hub of Fashion” แทนที่กรุงเทพฯ ก็เป็นได้ ถ้าเรายังไม่ร่วมมือกันอย่างจริงจัง…เพราะ “เซี่ยงไฮ้” วันนี้เปรียบเหมือนสาวน้อยวัยละอ่อนที่กำลังแตกเนื้อสาวยวนใจนักลงทุนและนักท่องเที่ยวให้เดินทางเข้าไปสัมผัส “เธอ” และด้วยมนต์เสน่ห์แห่งเซี่ยงไฮ้อาจทำให้หลายคนหลงใหลเมืองนี้จนลืมชื่อ “บางกอก” ไปเลยก็ได้

….แต่จะอย่างไร เราก็จะต้องได้เจอกันอีกแน่ เซี่ยงไฮ้!! เพราะว่า “หว่ออ้ายหนี่ ซรั่งไห่”

Did you know?

1. เซี่ยงไฮ้ หรือ ซรั่งไห่ หมายถึง “ตั้งอยู่ริมทะเล” และ Xin Tian Di แปลว่า “โลกใบใหม่”
2. ประวัติ : เมืองเซี่ยงไฮ้ เริ่มเป็นที่รู้จักในปี พ.ศ. 2383 (อายุเมือง164 ปี น้อยกว่ากรุงเทพฯ ซึ่งมีอายุ 222 ปี) ตั้งอยู่บนปากแม่น้ำแยงซี จึงกลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญ หลังสงครามฝิ่นสิ้นสุดทำให้พื้นที่บางส่วนตกอยู่ใต้อาณัติของอังกฤษ และตามมาด้วยฝรั่งเศส เป็นเหตุให้เห็นสถาปัตยกรรมของอังกฤษและฝรั่งเศสอยู่ในบางพื้นที่ของเมืองนี้
3. ข้อมูลทั่วไป : พื้นที่ 6,200 ตารางกิโลเมตร ประชากรประมาณ 15 ล้านคน เป็นเมืองที่มีความสำคัญมากที่สุดของจีนทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน แฟชั่นและการท่องเที่ยว และเป็นที่ตั้งของตลาดหลักทรัพย์ หนึ่งในสองแห่งของจีน