บอย โกสิยพงษ์ "Life Composer"

“ผมคุยได้ทุกเรื่องแม้แต่เรื่องทำกับข้าว” บอย หรือ ชีวิน โกสิยพงษ์บอกกับเราว่าเวลานักข่าวมาสัมภาษณ์ก็มักจะเป็นเรื่องงาน เพลง ครอบครัว และศาสนา และเรื่องอื่นๆ แต่ถ้าถามถึงทฤษฎีหรือหลักการบริหารที่ซับซ้อนแล้ว เขาไม่มีอะไรจะเล่าจริงๆ

ภายในบ้านตกแต่งอย่างเรียบง่ายสวยงามสอดคล้องกันทุกห้อง บอยออกแบบเองทั้งหมดแต่ก็มีมัณฑนากรช่วยทำไอเดียให้เป็นจริง ตามมุมห้องแทบทุกห้องมีตัวการ์ตูนตั้งแต่สูงใหญ่ท่วมหัวคนจนถึงตัวเล็กๆ ยืนสร้างสีสันอยู่ เขาเล่าด้วยรอยยิ้มว่าสะสมของเล่นแนวๆ การ์ตูนพวกนี้ไว้จนแทบไม่มีที่เก็บแล้วไม่ว่าที่ออฟฟิศ BeBoyd หรือที่บ้าน

“ผมเป็นคนไม่ชอบเดินทาง ตอนเบเกอรี่ย้ายสำนักงานกันก็ขอเค้าว่าอย่าเกินอโศก” ชีวิตการทำงานทุกวันนี้ นอกจากสำนักงานเบเกอรี่มิวสิคที่อาคารวานิสสา ชิดลม แล้ว บอยใช้ชีวิตอยู่ในย่านซอยสุขุมวิท 49 ถึง 53 ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานบริษัท BeBoyd ที่เช่าไว้ใกล้บ้าน “ออฟฟิศ บ้านพี่สาว บ้านพ่อแม่ บ้านพี่ชาย น้องชาย ทุกคนอยู่แถวนี้หมด ไปมาหาสู่กันประจำ” บอยเล่าให้เราฟังด้วยสายตาที่มีความสุข

บอยสร้างห้องบันทึกเสียงเล็กๆ แต่มาตรฐานสูงไว้ที่บ้าน ใช้แต่งเพลงและผลิตงานของศิลปินในค่าย ในห้องเล็กๆ นี้ทุกตารางนิ้วถูกใช้อย่างคุ้มค่าจนกระทั่งต้องมีบันไดสำหรับปีนไปช่องเก็บของบนเพดาน ระยะหลังนี้เขาไม่ใช้สตูดิโอที่สยามสแควร์ เพราะไม่ชอบเดินทาง ศิลปินรายไหนที่บอยดูแลการผลิตก็จะมาร้องเพลงทำเพลงกันที่นี่ ซึ่งไม่ได้มีเครื่องดนตรีวางเรียงไว้มากมายเหมือนบ้านนักดนตรีหลายคน ในการแต่งเพลงใช้เพียงกีตาร์ไฟฟ้าแบบใหม่ที่จำลองเสียงได้หลากหลายในตัวเดียว 1 ตัว กีตาร์โปร่ง และเปียโนซึ่งให้ “น้องดีใจ” ลูกสาวซึ่งเริ่มเรียนเปียโนมาได้ 2 เดือนแล้วใช้ด้วย แต่ถ้าทำเพลงอัลบั้มของตัวเอง ในการบันทึกเสียงขั้นสุดท้ายก็ยังจะไปทำที่สหรัฐอเมริกาเหมือนทุกชุดที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลว่า “เพราะนักดนตรีที่นั่นเก่ง บอกไปสิบ ให้มาร้อย”

นอกจากที่บ้านแล้ว บอยไปๆ มาๆ ระหว่าง Bakery กับ Beboyd ตามแต่งานที่ไหนหนัก โดยมีผู้ช่วยคอยจัดการติดต่อนัดหมาย เขาสรุปว่านอกจากแต่งเพลงแล้ว งานทั้งที่ Bakery และ BeBoyd ก็ไม่พ้น 2 อย่างคือคิดโปรเจกต์และติดต่อลูกค้า

บอยรักการ์ตูนแต่เด็ก ในวัยเรียนนั้นเขาเริ่มมุ่งไปเรียนการ์ตูนก่อน แต่มีอุปสรรคจึงเปลี่ยนไปเรียนเรื่องเพลงซึ่งก็สนใจพอกัน เรียนทั้ง song writing กับ electronic music และ music business ผสมผสานเป็นองค์ความรู้ที่เขาใช้สร้าง Bakery Music ขึ้นมาร่วมกับเพื่อนๆ อย่าง กมล สุโกศล แคลปป์ และ สมเกียรติ อริยชัยพาณิชย์ บอยอธิบายว่า electronic music ในที่นี้ไม่ใช่แนวเพลง แต่เป็นศาสตร์ว่าด้วยการใช้เครื่องมือทั้งสังเคราะห์ บันทึก และเรียบเรียงสร้างเพลงขึ้นมา แต่ไม่ว่าอย่างไรการแต่งเพลงเป็นสิ่งที่เขารักมากที่สุด

ในการแต่งเพลงบอยเผยว่าไม่เคยต้องมาคิดว่าจะเจาะตลาดกลุ่มไหน แนวไหนกำลังมาแรง เพียงหานักร้องที่ดีแล้วแต่งเพลงให้ “เข้าปาก” นักร้อง นั่นคือนักร้องคนนี้อายุเท่านี้ เรื่องราวที่นักร้องคนนี้จะเล่าก็คงไม่พ้นเรื่องที่เข้ากับวัยและตัวตน และกลุ่มเป้าหมายที่สนใจนักร้องคนนี้ก็คงจะเป็นกลุ่มนี้ๆ ซึ่งสุดท้ายแล้วจะเป็นการกำหนดตัวเพลงไปโดยปริยาย โดยไม่ต้องมามองตลาด กำหนด segment ให้ซับซ้อนแต่อย่างใด

การแต่งเพลงจะเริ่มจากคิดคอนเซ็ปต์ก่อน แล้วไปแต่งเพลงที่เปียโนบ้าง กีตาร์บ้าง โปรแกรมกลองบ้าง โดยขั้นสุดท้ายมีทีมดนตรีทำ production ให้ตรงกับที่อยากได้ บุคลิกเพลงของบอยเองและศิลปินหลายรายในค่ายที่ผู้ฟังและสื่อขนานนามว่าเป็น “เพลงแนวเบเกอรี่” นั้น บอยสรุปว่าเป็นแนว Pop Soul ส่วนเอกลักษณ์อื่นๆ นอกจากนี้เขาตอบเพียงว่าคงต้องถามที่ผู้ฟังเอง ส่วนงานเพลงโฆษณานั้นบอยจะมีความยืดหยุ่นมากกว่า ลูกค้าจะสามารถสั่งแนวเพลงที่ต้องการได้เต็มที่ เช่นเพลงโฆษณาไอศกรีมยี่ห้อหนึ่งซึ่งลูกค้าขอว่าอยากให้เพลงคล้ายเพลง “The Game Of Love” ของ Carlos Santana ซึ่งเขาก็ทำให้

เมื่อพูดถึงเบเกอรี่มิวสิค เจ้าของเพลง “ฤดูที่แตกต่าง” เล่าว่าทุกคนทำงานกันอย่าง “เต็มที่ไม่มีกั๊ก” ด้วยความสนุก ตั้งแต่อัลบั้มแรกของค่ายคือ Moderndog ชุดแรกซึ่งประสบความสำเร็จมากเกินคาด ตามด้วยโจอี้บอย และงานของบอยเอง ทุกอย่างดูสดใสจนเมื่อวิกฤตเศรษฐกิจไทยช่วงปี 2540 ซึ่งธุรกิจของเบเกอรี่ “ตกวูบ เกือบเจ๊ง” ต่อสู้ผ่านพ้นมาได้ด้วยการทบทวนจุดยืนและขนาดของบริษัท ธุรกิจด้านไหนที่ไม่ใช่ core business ถึงแม้จะทำเงินก็ต้องตัดทิ้ง เพราะจะทำให้เสียโฟกัสในธุรกิจหลัก เช่นนิตยสาร Katch นอกจากนี้ก็ต้องกัดฟันตัดต้นทุนด้านต่างๆ ทิ้งมากมาย จนเมื่อบริษัทครบรอบ 10 ปีจึงจัดงานใหญ่แบบที่ทุ่มทุกอย่างลงไปเต็มที่ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นวัฒนธรรมการทำงานของบริษัทมาตลอด กับบริษัท BeBoyd เองก็เช่นกัน

ส่วนงานด้านการ์ตูนของบอยเริ่มต้นเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ตั้งแต่จัดหาและพัฒนาทีมงาน เริ่มจากภาพนิ่งพัฒนามาสู่ภาพเคลื่อนไหวออกฉายทางทีวี และจะเข้าสู่โรงภาพยนตร์ต่อไปเพราะงานล่าสุดขณะนี้คือ “แม่นาค” ภาพยนตร์แอนิเมชั่นคอมพิวเตอร์ ที่ BeBoyd ทำให้กับบริษัทสหมงคลฟิล์ม เขายอมรับว่างานสองด้านคือเพลงกับการ์ตูนนั้นยังไม่ได้ผสมผสานกันเท่าไร ที่ผ่านมามีแค่เพลงสองเพลงเท่านั้นที่บอยแต่งให้กับการ์ตูน และงานสองด้านนี้ก็แตกต่างกัน การคิดงานเพลงจะเร็วกว่าการทำการ์ตูนอยู่มาก เพราะการ์ตูนเกี่ยวข้องกับคนมากมาย ต้องทำงานเป็นทีมเท่านั้น และบอยก็ไม่ได้วาดเอง ขณะที่เพลงยังทำเองคนเดียวพอได้ แต่เขาก็มีความรักในงานทั้งสองด้านอย่างมาก ความเกื้อหนุนกันที่มีอยู่บ้างก็คงจะเป็นสายสัมพันธ์และชื่อเสียงที่เขาได้จากงานเพลงที่เบเกอรี่ ส่งผลดีให้ใครต่อใครรู้จักทั้งจากเพลงจากสื่อช่วยให้ “คุยกันง่ายขึ้น” โดยบุคลิกการ์ตูนของ BeBoyd เป็นแนวครอบครัว ให้เด็กดูแล้วซึมซับถึงคุณค่าของสถาบันครอบครัว

บอยสรุปหลักการบริหารคนของตัวเองว่าไม่มีอะไรซับซ้อน การแบ่งระหว่างความเป็นผู้บริหารและความเป็น creative ต้องใช้ผสมกัน คือ “บริหารแบบ creative” และ “บริหารแบบไม่บริหาร” ไม่ชอบสั่งงานใคร ใช้วิธี convince ลูกน้องให้เข้าใจคล้อยตามแล้วลุยไปด้วยกันบนความสนิทสนม ชอบให้ลูกน้องรู้สึกอยากทำเอง และถ้าเมื่อไรเบื่อจะออกไปลองทำที่อื่นหรือทำอะไรของตัวเองก็ได้ หลังจากนั้นอยากกลับมาก็มา เพราะทุกคนมีความต้องการลองของใหม่ บอยยอมรับว่า “อย่าว่าแต่คนอื่น เราเองก็ยังเป็นเลย” ฉะนั้นจะเข้าๆ ออกๆ ก็ไม่ว่ากัน ให้อยู่กันด้วยความสงบรักกันก็พอ

ในด้านศาสนาคริสต์ที่บอยยึดหลักคำสอนเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เจ้าของเพลง “Live And Learn” เล่าถึงที่มาว่าเริ่มจากช่วงหนึ่งที่มีงานแต่งเพลงที่ต้องรับผิดชอบมากมาย เกิดความเครียดในการหน้าที่การงาน เพราะตำแหน่งของเขาในบริษัทคือ “นักแต่งเพลงโดน” คนเดียวในบริษัท เมื่อแต่งเพลงแล้วไม่โดน คนอื่นผิดหวัง ยิ่งเพื่อนร่วมงานไว้ใจ ยิ่งแฟนเพลงคาดหวังมาก ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนแบกทุกอย่างไว้เพียงคนเดียว นักแต่งเพลงในบริษัทมีน้อยเพราะหาแต่คนถูกใจจริงๆ ซึ่งหายาก “เราเริ่มรู้สึกว่าแต่งวนไปมา ไม่ไปไหน จนเมื่อเราพบพระเจ้า ทำให้เราเข้าใจว่ามันไม่ใช่งานเรา ทำให้ลื่นไหล ไม่ตัน”

เดิมทีนั้นบอยเป็นคาทอลิกมาตั้งแต่เด็ก แต่ต่อมารู้สึก “ไม่ลงตัว” กับความเชื่อแบบคาทอลิก จนกระทั่งช่วงที่งานกดดันขณะอยู่ที่สหรัฐอเมริกา เขาได้พบกับ “David” เพื่อนรุ่นพี่มอบคัมภีร์ไบเบิลให้แล้วบอกเพียงให้วางที่หัวนอน จนวันหนึ่งที่เครียดมากจึงหยิบมาเปิดอ่านและอธิษฐานในใจว่า “ถ้ามีอยู่จริงขอให้เราเชื่อด้วย” บอยเล่าถึงประสบการณ์นี้ว่า “เปิดปุ๊บเจอเลย ประโยค You must trust in me” คำพูดนี้ในเวลานั้นเหมือนยกความหนักออกไปทั้งหมด นำไปสู่ความรู้ใหม่ว่า “ศาสนาทำให้เรามั่นใจว่าเพลงทุกเพลงไม่ได้มาจากเรา พระเจ้าประทานมา ไม่ต้องไปกังวลว่าจะดังไม่ดัง พระเจ้าประทานมาถ้าเพลงจะดังก็ดังเอง ทุกวันนี้รู้สึกงานแต่งเพลงเบาลงเพราะเราไม่กดดัน เขียนเพลงเหมือนเขียนไดอารี่” บอยย้ำอีกครั้งว่า “เราต้องรักทุกอย่างและทุกคนที่เราเจอ ถ้ายังทำไม่ได้ก็ต้องทำให้ได้ เป็นคอนเซ็ปต์ที่ดีมากในการเผชิญปัญหาต่างๆ ทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น”

ทุกวันนี้งานกับชีวิตส่วนตัวของบอยนั้นกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน เริ่มต้นวันจันทร์ถึงศุกร์โดยเช้าส่งลูกสาวไปโรงเรียน Harrow ซึ่งภรรยาเป็นคนเลือก ส่วนบอยนั้นมีทัศนะว่า “ไม่ค่อยสนใจว่าลูกจะต้องเรียนอะไรที่ไหน ไม่เรียนเลยยังได้” หลังจากนั้นเขาจะกลับมาทานมื้อเช้ากับภรรยา จน 10 โมงเช้าก็เริ่มงาน จนมื้อเที่ยงก็กลับบ้านกินข้าวกับภรรยาที่บ้าน ช่วงบ่ายถ้าเคลียร์งานทันก็จะไปรับลูก ซึ่งบอยเล่าว่า “ไปคุยกับพวกพ่อๆ แม่ๆ สนุกดี ได้รู้อะไรๆ อีกเยอะ” แต่แม้บางวันจะไปรับลูกด้วยตัวเองไม่ได้ แต่ 5 โมงเย็นจะกลับบ้านทานมื้อเย็นกับลูกเสมอ 2 ทุ่มครึ่งเป็นเวลาพาลูกเข้านอนพร้อมภรรยา และหลังจากสามทุ่มจึงเริ่มมานั่งทำเพลง ซึ่งแม้จะเป็นระหว่างทำงานเพลงลูกเมียก็เข้ามาดูได้เสมอ

เสาร์อาทิตย์เป็นวันหยุด ที่มื้อเย็นวันเสาร์ก็จะได้กินข้าวพร้อมหน้าครอบครัวใหญ่คือพ่อแม่พี่น้อง วันอาทิตย์ไปโบสถ์ ที่สุขุมวิท ซอย 16 ซึ่งเป็นโบสถ์เดียวกับที่ ปุ๊ อัญชลี จงคดีกิจ ไปเป็นประจำ นอกจากเข้าโบสถ์วันอาทิตย์แล้ว ทุกเย็นวันพุธจะเป็นเวลาเรียนไบเบิลจนถึงสี่ทุ่มครึ่ง ซึ่งนักร้องบางคนก็เรียนด้วยกันที่บ้านของบอย เขาย้ำว่า “ดำเนินชีวิตด้วยไบเบิล สอนไงทำงั้นเลย ทำบนแกนที่ว่าทำด้วยความรัก พระเจ้าคือความรัก”

บอย เจ้าของเพลง “พอ” เล่าถึงการแต่งตัวว่าเป็นแบบเดิมๆ ตลอดมา คือเสื้อยืดคอปกตัวละ 150 ใส่ได้หลายๆ ปีซึ่งเขารู้สึกว่าคุ้มและทนมาก ไม่มีเหตุผลที่เขาจะซื้อเสื้อแพงกว่านี้ “สู้เอาเงินไปให้คนที่เค้าลำบากดีกว่า” เขาส่งท้ายการพูดคุยด้วยการถอดเข็มขัดสภาพเก่าจนหลุดเป็นสองชั้นออกมาแสดง “ใส่ประจำมา 15 ปีแล้ว แฟนซื้อให้ตอนเป็นแฟนกัน” สะท้อนถึงความเป็นบอย โกสิยพงษ์เจ้าของเพลง “Home” และนักแต่งเพลงที่โรแมนติกที่สุดคนหนึ่ง “แฟนทำงานหนักกว่าเรา ต้องดูแลลูก ต้องเหนื่อยมาก อดทนมาก ผู้หญิงทำงานหนักกว่าผู้ชายเยอะ ที่บ้านเรียบร้อยสะอาดอย่างนี้ก็เค้าทำทั้งนั้น ผู้ชายไม่มีทางดูแลบ้านให้เรียบร้อยแบบนี้ได้”

Profile

Name : ชีวิน โกสิยพงษ์
Age : 37 ปี
Education :
ปริญญาตรี Music Business จาก UCLA
Career Highlights :
2535-2536 นักแต่งเพลงอิสระ
2536- ปัจจุบัน นักแต่งเพลง และหุ้นส่วนบริษัทเบเกอรี่มิวสิค
Family :
คู่สมรส คุณวรกัญญา โกสิยพงษ์ บุตร ด.ญ. ดีใจ โกสิยพงษ์