Real Entrepreneur สมชาย ชีวสุธานนท์

“ประสบความสำเร็จ” เป็นคำที่ใครก็พูด และเป็นคำที่ใครก็อยากจะสัมผัส โดยเฉพาะจากคนที่ทำธุรกิจ จากคำว่าพูดที่ว่า “โอกาสมันมีอยู่แล้วในอากาศอยู่ที่ใครจะคว้า” เอาเป็นจริงหรือไม่ในพอศอนี้ โดยเฉพาะจากคนที่มีแต่ตัวในช่วงหนึ่งของชีวิต…

สูตรสำเร็จของ “แม็ทชิ่ง สตูดิโอ” บริษัทที่ก้าวขึ้นมาจากโปรดักส์ชั่นเฮาส์แบบมือถือ มีพนักงานทั้งบริษัทเพียงคนเดียว ก่อนที่จะกลายเป็นบริษัทมหาชน เป็นสิ่งที่มีคนนำเสนอเรื่องราวกันอย่างมากจนต่อเนื่อง จนถึงชื่อ “แม็ทชิ่งเอ็นเตอร์เทนเม้นต์” ก็กลายเป็นอีกกิจกรรมความบันเทิงที่เราทุกคนรู้จัก ตอนนี้สินทรัพย์ของกิจการของเขาขนาด 9 ร้อยล้านบาท ได้ยืนยันเรื่องราวของการฝ่าฟันของเด็กเกเรเสพยา จนกลายเป็นชายที่เรานิยามว่าเขาเป็น “Real Entrepreneur” ที่รู้จักอย่างคุ้นหูว่า “ตี๋แม็ทชิ่ง”

Business Summarize

ย้อนกลับไปปี 2535 ก่อนที่ “ตี๋” สมชาย ชีวสุทธานนท์ ในฐานะโปรดิวเซอร์คู่บุญ และ “ดอม” ฐนิสสพงศ์ ศศินมานพ ยังอยู่ในฐานะช่างภาพมือหนึ่งของประเทศ เขาเลือกคนที่มีแต่ตัวอย่างตี๋เป็นหุ้นส่วน เนื่องจากเห็นการทำงานหนักของเขา ทั้งๆ ที่เขามีเงินติดลบ และความเชื่อว่าคนที่ ”อึด” และมีสมองอย่างเขาจะต้องมีอนาคต

5 ปีถัดมา โฉมหน้าโฆษณาเมืองไทยก็เปลี่ยนไปสู่เทรนด์ใหม่ สมชายจับเอาตัวครีเอทีฟไดเร็กเตอร์มานั่งแท่นผู้กำกับ สิ่งที่ตามมา รูปแบบการทำงานที่ละเอียดลึกซึ้งสัมพันธ์กับโจทย์ของงานโฆษณา ไม่เพียงจะทำให้งานมีคุณภาพ แต่ยังตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ที่มีความสมบูรณ์ทั้งไอเดียและเทคนิคการถ่ายทำ รางวัลในประเทศเป็นเครื่องการันตีคุณภาพ

อีก 4 ปีถัดจากนั้น ปี 2544 รายงานของ The Gunn Report ที่ตีพิมพ์ลงในนิตยสาร Creative Review ฉบับเดือนมกราคม ได้กล่าวถึง “แม็ทชิ่ง สตูดิโอ” ในฐานะโปรดักชั่นเฮาส์ที่ได้รับรางวัลระดับโลกมากที่สุด เช่นจากคานส์ มากเป็นอันดับ 5 ของโลก และสุธน เพ็ชรสุวรรณ (หม่ำ) ก็ยังเป็นผู้กำกับอันดับ 4 ของโลกที่ได้รับรางวัลมากที่สุดเช่นกัน งานที่ไหลมาจากทั่วโลกเป็นเครื่องยืนยันหนึ่งของคำว่า “ประสบความสำเร็จ”

แต่ศักยภาพของ Matching Studio ในวันนี้ ไม่ได้กำจัดตัวอยู่ที่งานด้านโฆษณา งานความคิดสร้างสรรค์ยังก่อให้เกิด ไม่เพียงแค่สามารถผลิตภาพยนตร์โฆษณาดีๆ การวางตัวเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ “ตาดูหูฟัง” ทำให้เกิดไลน์บริษัทลูกต่อไปอีกหลายบริษัท ไม่ว่าจะเป็นแม็ทชิ่งเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ หรือการรุกเข้าไปในสื่ออื่นอย่าง โทรทัศน์และสิ่งพิมพ์ที่ก่อให้เกิดความสามารถในการแข่งขันระยะยาวในอนาคต ก่อนเพิ่งยอมเปิดทางให้ “บีบีทีวี โปรดักชั่นส์” (บริษัทย่อยช่อง 7) เข้ามาครองสัดส่วนหุ้นเป็นจำนวนถึง 27.8%

เหมือนเป็นการ ”ยอมหนึ่งก้าว” แต่ก็เพื่อที่จะก้าวหน้าเดินต่อรุกเข้าไปในธุรกิจทีวีอย่างครบวงจรความบันเทิง นี่เป็นแค่ในประเทศ แต่ยังมีโครงการอื่นๆ ที่เตรียมเข้าไปในต่างประเทศเรียบร้อยสำหรับชายคนนี้

Self Position

…ภาพการโรยตัวลงมาจากอาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ของ “ตี๋ แม็ทชิ่ง” กลายเป็นภาพที่หลายคนเหลือนิยามอัตลักษณ์ของเขาว่าแปลก มีความกล้า หรือบ้าบิ่น ซึ่งความจริงเขาบอกว่าเป็นแค่เสี้ยวเดียว

ภาพการทำงานของเขาที่เป็นคนทำงานหนัก รักสนุก ดีลงานแบบคลุกคลีทำตัวสนิทสนม แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเก่ง หรือเป็นคนใจถึงเน้นคุณภาพมาก่อนกำไร เป็นคำที่อธิบายภาพของเขาเมื่อได้สัมผัส หรือสะท้อนจากเพื่อนร่วมงาน บางครั้งเขาค่อนข้างโดนโจมตีจากสื่อว่าอ่อนเชิง หรือไร้เหลี่ยมบริหาร แต่กลับไม่มีข้อกังหากับคำว่า “นักสู้ในสายเลือด” ของคนคนนี้ นอกจากนั้นคุณภาพความคิดที่ได้รับการยกย่อง หรือการริเริ่มสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวผู้ชายคนนี้แบบไม่มีสิ้นสุด เขาบอกว่าหนึ่งในเคล็ดลับความสำเร็จ ก็คือ “ไม่หยุดคิด” แม้ว่าชีวิตที่ยากจนและเริ่มจากศูนย์ แบบแทบไม่มีข้าวจะกิน ปัจจุบันของเขาก็ยังเป็นคนรู้จักใช้ของ รู้คุณค่า ไม่กินทิ้งกินขว้างแบบหมดทุกเม็ด และคอยนำความคิดนี้ไปสู่คนที่อยู่ใกล้ๆ เสมอ

Managerial Shortcut สรุปบทเรียนบริหาร จากบทสนทนา

1. ขยัน ตั้งใจ ประหยัด และอดทน : “ตอนนั้นถ้าแต่ละวิชาให้หยุดได้แค่ไหนเราก็หยุดทั้งหมดเลย”

“ตอนมาต่อปวส. ด้านโฆษณา ก็ได้มาฝึกงานที่เอวี เป็นอะไรที่เราชอบ เออก็สนุกดี เท่ดีได้อยู่กองถ่ายหนึ่ง พอไปหลังๆ เนี่ย บ้านประสบกับปัญหา แต่ตัวเราเองก็ยังไปฝึกงานอยู่เรื่อยๆ พยายามที่จะดิ้นรนให้เขารู้อยู่เรื่อยๆ ว่าเราอยากทำงาน เราไม่มีตังค์ เขาก็ถามแล้วทำไง เราก็บอกไม่ทำไง แค่อยากเรียนรู้ เขาก็เลยย้อนเงินเดือนให้ บอกว่าช่วงปิดเทอมก็มาทำงานเขาก็ให้ 2 พัน ถ้าไม่ปิดเทอมครึ่งวันก็ให้เดือนละพัน จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาทำ”

“ตอนนั้นอยากเรียนรู้ คิดอย่างเดียวว่าถ้าจบปั๊บแล้วเขาเห็นความตั้งใจเรา เขาก็คงให้เราทำงาน พอเราจบเราก็ได้ทำงานที่นั้น เงินเดือนแค่ 2,300 บาท ส่งน้องเรียน 4 คน ตอนนั้นผอมมาก ผมยาว ไม่ใช่ว่าเท่นะ เพราะว่าไม่มีเงินตัดผม ซอยเอง ตอนนั้นเรียกได้ว่าจน จนมากๆ ถึงขนาดว่าเราขึ้นรถเมล์ที่เรากำไว้หนึ่งบาทในมือเนี่ย ไม่อยากให้เลยนะ คือถ้าเขาเดินมา กระเป๋าอยู่หน้าเราขึ้นหลัง ถ้ากระเป๋าเดินมาเราก็ลงอ้อมขึ้นหน้าแล้วไปขึ้นใหม่ บางทีเจ็ดวันเนี่ย เราได้กินข้าวแค่ 3 มื้อ คือถ้าเรากินน้องเราก็ไม่ได้กิน ตอนนั้นพูดง่ายๆ ลำบากมาก แค่มีข้าวต้มกับไข่เค็มก็ถือว่าสุดยอดแล้ว”

“มีช่วงหนึ่งของชีวิตที่เข้าโรงพยาบาลอาการหนักมาก วันนั้นพี่ตื่นขึ้นมาขยับตัวไม่ได้ ก็เลยโทรไปบอกออฟฟิศ เขาก็ตกใจเพราะว่าตี๋ทำงานไม่เคยหยุด ไม่มีพักร้อน ไม่เคยหยุดเสาร์อาทิตย์ วันนี้ไม่สบายลุกไม่ขึ้น พอเย็นก็ยังลุกไม่ขึ้นก็เลยส่งโรงพยาบาลเลย หมอบอกว่าไม่เคยเจอโรคแบบนี้หมอบอกร่างกายมีน้ำ 3 ใน 4 ส่วน แต่หมอบอกไม่มี แห้งอยู่แต่ซาก ก็เลยอยู่โรงพยาบาลเดือนกว่า และพักอยู่ที่บ้านอีกกว่า 2 เดือน แล้วถึงจะมาทำงานได้”

2. เสริมบุคลิกภาพ สร้างทักษะที่เยี่ยมยอด และเปิดโอกาสให้กับตัวเอง : “ใช้คำว่ามวยวัด ทำไม่เป็นหมดทุกอย่าง แต่รู้ว่าจะทำยังไงให้ชนะ”

“จากนั้นก็ได้มาทำที่ฟาร์อีสแล้วก็ออก ตอนที่ออกรู้แต่ว่ามีฝีมือ มีมั่นใจสูงมาก แต่ไม่ได้คิดว่าออกมาจะทำอะไร ส่งน้องเรียนจบหมดแล้วแค่ต้องการอิสระ แค่อยากพิสูจน์ตัวเองเฉยๆ แล้วก็มีคนรู้จักเยอะ เพราะว่าเราไปไหนเราชอบยกมือไหว้คน มีบุคลิก ที่เข้าหาใครก็ได้ เจอใครไหว้หมด รุ่นน้องก็สวัสดี “คุณไม่รู้จักผม ผมก็ไม่รู้จักคุณ” หวัดดีหมด เขาก็งงๆ พี่มีจุดขายของพี่เองว่า แค่ครั้งเดียวที่เรายกมือไหว้เขา เขาก็จำเราได้หนึ่งครั้งแล้ว นอกจากนั้นเจอใครคุยหมด สนุกสนานเฮฮาพูดจา คนก็เริ่มรู้จักมากขึ้น เจรจาเก่ง แก้ปัญหาได้ดี คนในฟาร์อีสก็รัก อยากให้พี่ตี๋เป็นโปรดิวเซอร์ให้”

“ตอนที่ออกเลย ตกงานอยู่ 6 เดือน ไปหาใครก็ไม่มีใครช่วย ทุกวันนี้บอกกับลูกน้องหรือบอกกับตัวเองว่าอย่าไปคิดพึงจมูกคนอื่น เราเคยคิดว่าคนนี้เพื่อนเรา เพื่อนเก่าๆ เขาก็พูดแต่ว่ามึงทำได้หรือว่ะ เพราะเขาก็ต้องปกป้องตัวเอง ถ้าเกิดเราทำไม่ดี งานเขาเจ๊งแล้วตกงานขึ้นมา เขาก็เสี่ยง”

3. ไม่อ่อนข้อต่องานไม่มีคุณภาพ : “ขนาดเป็นหุ้นส่วนด้วยกัน เคยเอาสินค้าเขวี้ยงใส่หน้ามาแล้ว”

“สิ่งที่ทำให้เราต่างก็คือ เรามีมาตรฐานสูง ทั้งๆ ที่ทีมงานเล็กนิดเดียว พี่ดอมเขามาจากโปรดักชั่นใหญ่ เขาจะไม่ได้เลย เราทะเลาะกันเรื่องงาน แล้วต้องให้งานได้ดีที่สุด “คุณไม่ต้องมาทำงานกับผมเลย ถ้าคุณทำควอตี้ห่วยแตก ยกเลิกไปเลยไม่ต้องมาหุ้นกัน”

“เนื้องานเป็นตัวทำให้ลูกค้ายอมรับขึ้นมาเรื่อยๆ เวลาพี่ไปพูดแล้วเขารู้ว่าพี่พูดจริง คือเขารู้ว่าพี่ตั้งใจแล้วเราทำได้อย่างที่เราพูด นี่คือสิ่งที่เรายึดถือ เราตั้งใจเขาก็เห็น เขาให้โอกาส เรื่อยๆ จนในที่สุดเราก็สร้างผลงานดีๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วทำเรื่องหนึ่งเสร็จแล้วไม่แล้วกัน ต้องมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกับเขา เช่น ถ้าเขามาแล้วแบบไม่มีตังค์เราก็ต้องทำ ก็ต้องช่วยกันไม่ใช่ว่าคุณจะเอาอย่างเดียว แล้วก็รักษาความสัมพันธ์ เหมือนทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราเป็นเพื่อนคู่คิดกับเขาได้”

4. กล้าคิด กล้าทำ โตแล้วต้องต่อ : “จุดหนึ่งพี่ว่ามันต้องสร้างสถาบัน”

“ประมาณปีที่ 7-8 (5 ปีที่แล้วจากปัจจุบัน) พี่เริ่มคิดแล้วไง ตอนนั้นงานมันนิ่งดีเลย ตี๋แม็ทชิ่งเป็นที่รู้จัก พี่ก็เลยคิดทำเซี่ยงไฮ้โชว์ เอากายกรรมเข้ามา “อึ้งทึ่งเสียว” ก็มาจากพี่ บอกพี่ดอมเดี๋ยวผมไปเซี่ยงไฮ้เอาโชว์เข้ามา ผมอยากทำแม็ทชิ่งเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ตอนนั้นเขาคิดว่าเราเพี้ยนไปแล้วนะ พอมาตอนนี้เขาเลยบอกว่า กูเชื่อมึง พูดกันตรงๆ ไม่ใช่ว่าพี่เก่งนะแต่เพราะรู้ว่าโตแล้วต้องโตต่อ”

“เมื่อธุรกิจต้องโตมาถึงจุดๆ หนึ่ง คุณจะทำอย่างไร ต้องให้มันมาถึงจุดคงที่ในฐานกำลังการผลิตของคุณที่สูงที่สุด แต่ไม่ใช่แค่นั้น มันต้องโตต่อซึ่งก็สามารถโตได้หลายๆ รูปแบบ ธุรกิจสมัยนี้คุณจะมาบอกว่าอิงที่ธุรกิจเดียวไม่ได้ เพราะถ้ามันล้มมันก็ล้มทันที มันต้องเริ่มจากเซ็นเตอร์แล้วขยาย นอกเข้าในแล้วไม่มีทาง รอบนอกมันต้องลิงค์มาตรงกลางทั้งหมด เชื่อมกับตรงกลางได้ แล้วในที่สุดถ้าตรงกลางขาดไปแล้ว อันอื่นมันลิงค์กันไม่ได้ก็เสร็จ”

“โปรดักซ์เฮาส์ที่ใหญ่ที่สุดเมื่อตอนนั้นโตมาเลยก่อนพี่ 7-8 ปี มันเป็นจุดพีคของเขา ถ้าพี่เป็นเขาในตอนนั้นพี่ขยาย ต้องทำอะไรที่ต่อเนื่อง ขยายออกเมืองนอกก็ได้ เพราะถ้าตอนนั้นเขาทำ ตอนนี้ไม่มีใครล้มเขาได้หรอก ถ้าเขาเดินเข้าไปในตลาดตอนนั้น ตอนนี้ใครๆ เขาไม่เลือกพี่หรอก มันเป็นรอบของวงการโฆษณาที่จะโตที่สุดเมื่อประมาณ 10 ปี ตอนนี้มันเหมือนแม็ทชิ่งพีคขึ้นมาสุดกู่ตอน 10 ปีถัดมา พี่ก็ต้องรีบทำ น้ำขึ้นต้องรีบตัก แต่ตักที่จะต้องต่อเนื่อง ที่จะเก็บไว้กินตลอด”

5. ยอมรับว่าผู้บริหารไม่จำเป็นต้องเก่งทุกอย่าง : “เขาจะต้องมาใช้ความครีเอทีฟของพี่ในการพัฒนาบริษัท”

“ตอนนี้เราก็เริ่มเอาโปรเฟสชั่นนัลที่เป็นมืออาชีพจริงๆ มาเติมเต็มในส่วนที่พี่ขาดหาย ทุกวันนี้ทีมบริหารที่เข้ามาอยู่ซึ่งเขาก็สนุก เพราะว่ามุมมองความคิดของพี่มันแปลก คุณต้องไปทำต่อนะให้ได้ที่ผมพูด มาเป็นมันสมองกลาง วางกำลังของทุกบริษัท และกลยุทธ์แปลกๆ มีทีมรีเสิร์ชที่หาข้อมูล เทรนด์ไปทางไหน คู่ต่อสู้เป็นอย่างไร ต้องชัดเจน ทำให้มันเป็นแมนยูอยู่ได้เป็นร้อยปี แต่คนก็ยังเชื่อในฝีมือ มีแฟนเหนียวแน่น อีกหน่อยก็ไม่มีพี่ตี๋ ไม่มีหม่ำก็ยังมีคนดีๆ และงานดีๆ ได้เพราะเขาเชื่อในองค์กร”

“ไม่มีทางที่ผู้บริหารก่อตั้งจะเก่งไปหมดทุกอย่าง ซีอีโอที่เก่งคือคนที่สามารถเอาคนดีๆ มาช่วยงานทุกอย่างได้ ไม่ใช่แค่วางแผนเก่งอย่างเดียว ถ้าคุณเป็นแม่ทัพที่เก่งแต่ไม่มีทีม ไม่มีนายกอง แม่ทัพรบคนเดียวก็ตาย ต้องยอมรับว่าบางอย่างพี่ก็ไม่เก่ง บางครั้งหลายคนก็อย่าคิดมากไปจนตัดสินใจไม่ออก ข้อมูลมากไป ขาดความมั่นใจ ผู้นำจึงต้องมีการวินิจฉัยที่เด็ดขาด บางครั้งเราก็ต้องรู้จักข้อผิดพลาด พี่จะบอกตัวเองเสมอว่าชีวิตไม่เต็มร้อย คนที่เต็มร้อยก็หมดโอกาสที่จะโต”

6. มีวิสัยทัศน์ : “ผมอยากเป็นบิล เกตส์ คือผมกล้าพูดได้ผมกล้าฝันทำไมอ่ะ ผมอยากทำงานกับสปีลเบิร์กหรือทอมครุย ผมกล้าฝันและสานฝันของผม”

“5 ปีข้างหน้า ผมต้องการจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับตาดูหูฟังที่ใครพูดถึง ก็จะมีแต่ แม็ทชิ่ง เป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์ที่ได้มาตรฐาน และแปลก คิดอะไรแปลกๆ ทุกวันนี้มันจำเจ”

24 ชั่วโมงกับ “ตี๋ แม็ทชิ่ง”

สมชาย ชีวสุธานนท์ อาจจะไม่คุ้นหู แต่เราจะคุ้นหน้าคุ้นตากับชื่อ “ตี๋ แม็ทชิ่ง”

24 ชั่วโมงนับเป็นช่วงเวลาที่เราได้สัมผัสเขา แม้โดยตำแหน่งประธานกรรมการบริหารบริษัทมหาชน ก็ดูเหมือนไม่ได้ทำให้ระยะห่างระหว่างเรากับเขามีมากขึ้น เพื่อที่จะสะท้อนบุคลิกภาพในความเป็นตัวตนของเขาได้มากเท่าที่เราต้องการ… “มากที่สุด” กว่าครั้งไหน เขาบอกกับเรา

วันแรกที่เรานัดพบกับ “ตี๋ แม็ทชิ่ง” เขานัดเราไปที่ออฟฟิศของแม็ทชิ่ง สตูดิโอในซอยสุโขทัย 6 ต่อจากนี้อีกหลายวันข้างหน้า (กว่า 24 ชั่วโมงที่เราได้อยู่กับเขาในช่วง 5 วัน) เราตามติดก็เพื่อที่จะถ่ายทอดแง่มุมหนึ่งในชีวิตของเขา ผ่านมุมมองของเรา

สมชายทำงานในบ้านเดียวกับห้องทำงานของเหล่าผู้กำกับ ออฟฟิศของแม็ทชิ่งเป็นบ้านในแนวราบหลายๆ หลังและมีบ่อน้ำอันร่มรื่นตรงกลาง บ้านหลังนี้เป็นสถานที่เริ่มต้นของประวัติศาสตร์แม็ทชิ่ง เป็นบ้านหลังแรกในพื้นที่ที่เขาเช่ามาทำออฟฟิศ ก่อนที่จะได้บ้านในบริเวณทุกหลังเป็นพื้นที่สำหรับคนทำงานโปรดักชั่นหลายรางวัลระดับโลก ผมนึกในใจถึงคนที่ทำงานครีเอทีฟที่ได้ทำงานในที่สบายๆ ทั้งตัวและใจอย่างนี้คงจะมีความสุข

เมื่อนั่งรอสักพัก เสริมคุณ คุณาวงศ์ แห่ง CM Organizer ก็เข้ามาที่นี่เพื่อประชุมงานกับเขา โดยที่เราไม่ทราบ…

หลักการทำธุรกิจของสมชาย เขาเปรียบเทียบให้ฟังว่า “ถ้าคุณมีเพื่อนเยอะๆ คุณจะเอาไหม” การทำธุรกิจของเขายินดีที่จะทำร่วมกับทุกคน หากมองในแง่ที่ทั้งคู่ต่างก็เป็นทำ “Event Management” ในตลาดหลักทรัพย์ฯเหมือนกัน ก็ภาพการจับมือเมื่อพบกันของทั้งคู่ มองให้เห็นภาพได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต เราได้รับเกรียติได้เข้านั่งฟังในห้องประชุมระหว่างบทสนทนาของทั้งคู่

จากนั้นจนถึงเวลานอกการทำงานของเขา เราพูดคุยกันนานหลายชั่วโมง เกี่ยวกับชีวิตและวิธีการทำงาน ในขณะที่มีมือถือโทรเข้ากว่า 24 สายที่ไม่ได้รับ เมื่อได้เวลาพอสมควร วันนั้นเขามีคิวงานที่ต้องไปภายนอกต่อ โดยต้องไปดูงานเปิดตัววันแรกของงาน “โดเรมอนโชว์” เราจึงเขาตามไปเพื่อเก็บภาพการทำงาน

วันที่สองที่ผมเจอเขา ก็ตอนที่เขามีคิวพูดบนเวที เมื่อเขาอยู่บนเวที เขาทำให้ทุกอย่างดูสนุกสนานเป็นกันเองมากขึ้นทีเดียว ผมเดาว่าต้องมีคำถามแนวว่า “คุณเอาแรงบันดาลใจมากจากไหน” หรือ “เริ่มต้นมาจากศูนย์จะประสบความสำเร็จได้อย่างไร” ในรอบสองสามปีที่ผ่านมาเกือบร้อยรอบ แต่ในขณะที่เราถาม เขาก็ยินดีที่จะเล่าเรื่องเดิมให้ฟังใหม่อีกทุกครั้ง

นี่อาจจะเป็นตัวอย่างหนึ่งในจำนวนไม่มากของคนที่เริ่มต้นจากศูนย์ จนมีธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเท่านี้ และมีเรื่องราวชีวิตมากมาย

สิ่งที่เราสัมผัสแม้แต่ในเวลาอันสั้นของเขา ไม่ว่าจะเป็นลักษณะนิสัยสนุกสนานร่าเริง มีมุขเฉพาะตัว เข้ากับคนได้ง่าย เขาเป็นคนทำงานหนักมาตลอดชีวิตด้วยความที่ครอบครัวไม่มีฐานะ เขาเป็นคนง่ายๆ สบายๆ ที่แสดงออกผ่านการอยู่กิน เขาเรียกทุกคนที่พบว่า “พี่” ในขณะที่เขาก็ยอกให้เราเรียกว่า “พี่ตี๋” เหมือนคนที่คุ้นเคย เขาเป็นคนง่ายๆ รักธรรมชาติ ที่มีลูกชายชื่อว่า “ต้นไม้” บ้านและที่ทำงานของเขามีต้นไม้ปลูกกันอย่างรกครึ้ม ความคิดในมุมสงบบางครั้งก็มาจากใต้ร่มไม้บางต้น เขาเป็นคนมีรสนิยมเฉพาะตัวที่สัมผัสกับศิลปะจากของที่ใช้ และความสร้างสรรค์ในงานที่ทำ เขาพยายามบอกว่าทุกอย่างในชีวิตของเขาเริ่มมาจากความคิดหมด และแม้แต่ความคิดสำหรับเขามันคือศิลปะ

“ถ้าเราไม่เชื่อในตัวเอง ไปทำสิ่งอื่นๆ ไป มันก็ไม่มีความหมาย” เป็นหลักการง่ายๆ ในการทำงาน “เอาความรู้สึกของเราใส่ลงไปในงานให้ได้ แล้วขยายมันออกไป” เขาบอกกับเรา

พอวันที่สามผมตามทีมไปถ่ายทำวีซีดีที่ประกอบอยู่ในเล่มนี้ เพื่อเล่าถึงผลงานและความคิดของเขาให้เป็นรูปธรรมขึ้น งานรัดตัวแต่ก็เจียดเวลาให้เราเกือบ 2 ชั่วโมงก่อนที่จะมีงานอีกเย็นถึงดึก

เราได้ตามไปในวันพักผ่อนสำหรับเขาในวันที่สี่ เรามีแผนที่จะนั่งเรือไปที่อยุธยา โดยที่เขาจะขี่สกูตเตอร์ไปข้างๆกัน แต่สุดท้ายแผนของเราก็หยุดลง ทานข้าวกันที่เกาะเกร็ด ก่อนที่จะกลับมานั่งคุยเรื่องราวต่างๆ เรื่อยเปื่อย แต่มีแง่คิดอย่างสนุกสนาน

เมื่อเข้าสู่วันสุดท้าย เราตามไปที่บ้านของเขา ได้เจอลูกชาย ภรรยา ก่อนจะออกไปทานข้าวหน้าเป็ดที่เขาทานประจำ ขณะที่เราทานอยู่ก็มีแฟนๆ ที่เป็นเด็กเสิร์ฟในร้านจดจำเขาได้เป็นอย่างดี เข้ามาทักทายพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ก่อนที่จะจบลงที่วัดสุทัศน์ ในช่วงเย็นเราจากมาแบบที่ไม่ได้บอกลา เราทิ้งให้เขานั่งสมาธิภายในวัด เพราะเหมือนรู้กันว่าเวลาแบบนี้ เป็นส่วนตัวเกินกว่าที่แม้แต่การบอกลาก็เป็นเรื่องเสียมารยาทไปได้…

Profile

Name : สมชาย ชีวสุทธานนท์
Born : 28 ม.ค. 2507
Education :
2510 – 2518 ประถมศึกษา โรงเรียนพรประสาทวิทยา
2518 – 2521 มัธยมศึกษา โรงเรียนอัสสัมชัญ
2521 – 2526 อาชีวศึกษา วิทยาเขตพาณิชยการพระนคร
Career Highlights:
2525 – 2529 ผู้จัดการแผนกตัดต่อ บริษัท เอวี คราฟท์ จำกัด
2530 – 2532 ฟิล์มโปรดิวเซอร์ บริษัท ฟาร์อีสต์ แอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด
2535 – ปัจจุบัน กรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท แม็ทชิ่ง สตูดิโอ จำกัด (มหาชน)
Family :
สมรสแล้วมีลูกชาย 1 คน