เมื่อดีกรีนักเรียนนอกด้านการละคร รวมถึงปริญญาโทด้านบรอดแคสต์จากบอสตันยู ยื่นจดหมายลงกองสมัครงานของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว ในตำแหน่งโปรดิวเซอร์ ยงยุทธ มุกดาสนิท อดีตผู้บริหารที่ดูแลธุรกิจภาพยนตร์ของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ หยิบจดหมายของเขาขึ้นมาจากกอง ก่อนที่จะโยนงานกำกับการแสดงให้ หลังจากนั้นไม่นานเขามีผลงานละครเรื่องแรกชื่อ “นางฟ้าสีรุ้ง” แม้ไม่ได้ทำให้เขาเป็นที่รู้จักมากนัก เมื่อเทียบกับละคร “สามหนุ่มสามมุม” แต่ผลงานนี้ก็มีได้รางวัลก็เป็นเครื่องมือพิสูจน์คุณภาพของเขามากกว่าจะมีชื่อเป็นลูกของนักการเมืองชื่อดังในขณะนั้น
ปัจจุบันถกลเกียรติกลายเป็นลูกจ้างเบอร์หนึ่งของสายงานด้านโทรทัศน์และละครเวที ควบตำแหน่งในบริษัทกรรมการผู้จัดการ 3 บริษัท โดยมีเหล่าดาราที่เกิดใหม่และดับไปผ่านสายตาของเขานับร้อยนับพันคน ประวัติศาสตร์ 10 ปีเอง ก็ไม่สามารถบันทึกเรื่องราวการทำงานของเขาลงเนื้อที่ในกระดาษ 4 หน้าได้หมด
ในขณะที่ชื่อของเขาก็โด่งดังและเป็นที่รู้จักราวกับดาราคนหนึ่ง การทำงานกับแวดวงแสงสีแห่งมายาที่เกิดดับและเปลี่ยนผ่านไป ในรอบ 10 ปีไม่ใช่เรื่องง่ายในเรียนรู้และอยู่กับมันในฐานะผู้บริหาร…
POSITIONING : จุดเปลี่ยนที่มาเป็นผู้บริหารเต็มตัวอยู่ตอนไหน
ก่อนหน้านี้ก็บริหารมาตลอด คือแต่ว่าก่อนหน้านี้ก็บริหารและกำกับไปด้วย แต่ที่นี้ช่วงที่เรากำกับไปด้วยเหมือนค่อนข้างจะ…อย่างอาทิตย์หนึ่งไปกองถ่าย 4 วันมันก็แทบจะมีเวลาที่จะบริหาร หรือดูอะไรอย่างอื่นได้น้อยลง เมื่อไหร่ถ้าบริหาร แล้วกำกับละครหรือทีวีหนึ่งเรื่องเลย มันก็หายไปจากออฟฟิศ มันก็เลยจะทำให้ดูอะไรบางอย่าง หรือหลายๆ อย่างไม่ทั่วถึง พอมาตอนนี้ก็คือเหมือนกับว่าลดการกำกับน้อยลง แต่ถ้าจะลงสนามจริงๆ ก็คือไปดูพวกกำกับรายการอะไรมากกว่า เพราะฉะนั้นก็เหมือนดูคนที่เขากำกับต่ออีกทีหนึ่ง
POSITIONING : ถือว่าเป็นส่วนผสมที่ลงตัวทั้งบริหารและกำกับ หรือเปล่า
เปล่า… ผมถึงต้องลดกำกับลงอยู่แล้วหละ แต่ละครเวทีหน่ะได้ เพราะว่าละครเวทีที่เราทำอยู่กันจะซ้อมกันช่วงเย็นเลย
POSITIONING : ชอบอย่างไหนมากกว่ากัน
ผมว่าอย่างนี้ผมก็โอเคนะมีความสุขดี แต่ถ้าถามผม ผมก็จะเป็นผู้บริหารที่… ถ้าพูดไปแล้ว ผมเป็นผู้บริหารที่รู้หัวอกของคนทำงานมากกว่า คือ ผมนึกถึงความดีของผลงานมากกว่าจะนึกถึงผลกำไรด้วยซ้ำ บางครั้งเน้นรายละเอียดมากมาย ยอมให้กำไรน้อยลงก็ได้ แต่ผมต้องการให้งานมันดี
POSITIONING : เห็นด้วยว่า งานจะดีด้วยตัวของมันเอง ไม่ใช่การตลาด
โน (ไม่)… การตลาดก็ต้องมีด้วย แต่ว่าคือจริงๆ ผมคิดอีกแบบ แบบลองเทอมมากกว่า อย่าง “บางรักซอยเก้า” เนี่ยเป็นซิทคอมที่ดีเลยหละ มาถึงก็ประสบความสำเร็จดังเลย ออกอากาศวันเสาร์ 5 โมงเย็น ไปเจอผู้บริหารบางท่านว่าทำไมไม่ทำสองวันเสาร์อาทิตย์ เราก็บอกว่าทำไม่ได้ เพราะด้วยระบบการทำงานมันทำไม่ได้ คิดดูซิว่าถ้าผู้บริหารคนอื่นถ้าเขาจะเอา ทำไมจะทำไม่ได้ แต่ผมคิดว่า “ทำได้” แต่อยู่ได้แป๊บเดียวนะ ถ้าคุณทำอาทิตย์ละสองวัน ตาย มุขหมด แล้วก็ความสด นักแสดงก็จะเหนื่อยจะล้า ทุกอย่าง จบเร็วเลยนะ คุณเอาไง ถามผม ถ้ามุมตรงนี้มาถือว่าเป็นผู้บริหารในแบบลองเทอมมากว่าที่จะดูแบบว่า เอาเลย เอาตังค์มาก่อน ผมเป็นคนไม่ทำอย่างนั้น ผมให้คุณค่ากับผลงานที่ออกไปสู่สายตาผู้ชม ผมให้มันคุณค่ากับมัน ไม่ดูถูกมัน ดูว่าเฮ้ยอันนี้ขาย …ก็รีบๆ ผมไม่ทำอย่างนั้น บางอาจจะทำอย่างนั้นก็ได้ แต่อายุมันสั้น
POSITIONING : ทราบว่าคุณบอยใส่ใจรายละเอียดมาก แม้แต่คำคำเดียว
คือ อย่างบทมันก็โครงสร้างของทุกอย่าง เป็นรายละเอียดทุกอย่างที่มาที่ไป อย่าง “เป็นต่อ” ที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้มันก็มีช่วงที่เป็นแบบว่า คือโอเคมันสนุกนะ แต่ว่ามันยัดเยียด ผมอยากให้คุณเพิ่มเหตุผล อย่างนี้ไม่เอา อยู่ดีๆ จะให้คนนี้มันทำอย่างนี้ได้ไง แม้แต่ประโยคเดียว อาจจะคำเดียวมันก็ผิดความหมาย อย่างนี้ผมก็จะซีเรียสอยู่เหมือนกัน บางทีผมก็ให้ถ่ายใหม่ จะเสียคอสท์ก็เสีย แต่ผมเห็นว่าเหตุและผลมันสำคัญ
ถ้าถามผมว่าทัศนคติในการทำงานของผมคิดอะไร เหนือสิ่งอื่นใด ผมถือว่าผมเป็นคนทำสื่อ ผมต้องรับผิดชอบ
POSITIONING : บางคนก็ไม่ได้ขนาดนี้
ก็เขาคิดน้อย คิดตื้นไง แต่สำหรับผม ผมบอกว่าไม่ได้ ผมถือว่านี่คือผิดครั้งสำคัญ คุณทำอะไรออกไป อย่างบางทีบางเรื่อง “มึงก็มีลูกนี่หว่า ถ้าลูกมึงดูมันจะยังไงเนี่ย” บางทีผมก็จะดุ โมโหอยู่เหมือนกันว่าคุณปล่อยอันนี้ออกไปได้ยังไง ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยมีว่าอะไรเท่าไหร่ แต่ผมไม่ใช่ Old fashioned นะ ไม่ใช่ Conservative อันไหนที่ผมเชื่อว่าอันนี้ได้… เอาไปเถอะ บางทีก็มีกระแสว่านู้นว่านี้ แต่ผมบอกว่าไม่เป็นไร
POSITIONING : ดูถึงเนื้อถึงตัว
นี่ขนาดใกล้ขนาดนี้ บางคนยังบอกไม่ค่อยถึง… (หัวเราะ)
POSITIONING : งานครีเอทีฟเป็นงานหนัก
มันก็ไม่ถึงกับ 24 ชั่วโมง จริงๆ ตัวงานมันเยอะ อัดๆ กันไปก็ไม่ healthy กับตัวเอง บางทีเราก็บอกว่า เอ้า… หยุด …ไปเที่ยว แล้วเดี๋ยวค่อยกลับมา คือการที่คุณนั่งคิด… คิดทั้งวันก็คิดไม่ออก แต่ถ้าบางทีคุณออกไปเที่ยวซัก 4-5 ชั่วโมง กลับมาคุณคิดออกเลยก็ได้ เนื้องานครีเอทีฟเป็นอย่างนั้น
POSITIONING : คุณบอยก็ดูไม่ค่อยได้พัก
พัก (เน้นเสียง)… ผมก็ไปเที่ยวไปอะไร เวลาผมไปเที่ยวผมก็ไปเห็นอะไรสวยๆ งามๆ เห็นวิว อย่างเมืองมายาเนี้ย ผมก็คิดได้ตอนผมนั่งรถไฟ ประมาณว่าจากอิตาลีไปสวิตเซอร์แลนด์ นั่งรถไฟข้ามประเทศไป 3-4 ชั่วโมง คิดไปคิดมา เมืองมายามาไม่รู้มันมาได้ไง (หัวเราะ)
POSITIONING : อย่างคุณบอยจะไปนิวยอร์กทุกปี
ไป… ไปดูละครเวที ปีนึงก็ไปแค่อาทิตย์สองอาทิตย์ไม่นานมาก
POSITIONING : ชอบ on หรือ off บรอดเวย์
On ผมถือว่าเราไปสนุก เราไปอะไรยังไง หลายครั้ง คือน้อยครั้งที่เราไปดูละครเล็กแล้วเราได้ แล้วเรารู้สึก ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกนะ แต่น้อยครั้ง ถามอย่างนี้แสดงว่ารู้เรื่องละครเวทีพอสมควร อย่างผมไปดู M. Butterfly ที่เป็น Original cast ตอนผมเรียนอยู่เมื่อปี 88 ผมออกมาแล้วผมแบบว่า… ผมเหมือนอยู่ไหนก็ไม่รู้ ลอยไปครึ่งชั่วโมง อะไรวะ…(บอกกับตัวเอง) มีอยู่ 3 เรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกอย่างนี้ มี Les Miserable, M. Butterfly และ Death of Salesman ที่ตอนนั้นดัสติน ฮอฟแมน เล่นผมไปดูตอนปี 84 นั้นมันทำให้ผมขนลุก แต่ “ละครพูด” น้อยเรื่องที่จะทำให้ผมรู้สึกอย่างนั้น ผมหวังจะเห็น another M. Butterfly หวัง another Death of Salesman …ผมก็ว่าทำไมไม่รู้สึกวะ หลังๆ มาผมก็หลับ โอ้ยไม่รู้เรื่องเลยก็หลับ ผมก็เป็นคนดูคนหนึ่ง
POSITIONING : High standard หรือเปล่า
ไม่ใช่… ผมขี้เบื่อ (หัวเราะ) ผมก็เป็นคนดูปกติที่อยากดูอะไรง่ายๆ ที่ไม่ต้องคิดลึก ไม่ต้องมันไอ้นู้นไอ้นี่อะไรนักหนา ผมเป็นคนอย่างนี้ แต่ถ้าลึกแต่ส่งดี ทำให้ผมรู้สึกลึกไปด้วย โอเค ผมชอบ แต่ว่าให้มานั่ง… ไม่รู้ละครเซอร์ๆ แล้วไง พูดไรกันวะไม่เห็นรู้เรื่องเลย point มันคืออะไร บางทีมันก็ยากเสียจนแบบ เออมันก็ยากของมึงไป กูอยู่ง่ายๆ ของกูดีกว่า บางเรื่องผมเดินออกครึ่งเลย คือไม่ไหวแล้วเหนื่อย เบื่อด้วย ไม่เอาแล้วขี้เกียจก็เดินออก
POSITIONING : เป็น Combination ที่ Touch กับ Mass ด้วย เป็นอะไรที่สอดคล้องกับทำงานตรงนี้หรือเปล่า
ใช่… เพราะอย่างตอนผมเรียน ผมเรียนปริญญาตรีทางด้านเธียเตอร์เนี่ย มีโปรเจกต์สุดท้ายที่ให้ทำเป็นละครเวทีเป็นธีสีส ผมก็เลือกเรื่องหนึ่ง เป็นแบบ Murder Mystery แบบฆาตกรรมตลกๆ มันเล่นที่นิวยอร์กคือประมาณ 3 วันแล้วถือปิด ผมว่าอันเนี้ย ฮา… สนุก… ผมก็เลยเลือกอันนี้มาทำ โปรเฟสเซอร์ เพื่อนนักเรียนรุมด่าว่าทำไม ทำเรื่องนี้ทำไม ผมก็เลยบอกว่าคุณจะให้ผมทำเช็คสเปียร์เหรอ ผมจะกลับมาทำงานประเทศไทย (เคาะโต๊ะ) ถ้าคุณจะให้ผมทำเช็คสเปียร์ คุณคิดเหรอว่าคนไทยจะรับได้เหรอ ในขณะที่ประเทศไทยก็ดูละครน้ำเน่า สแตนดาร์ดของคนดูประเทศไทยกับฝรั่งมันก็ต่างกัน อันนั้นมันเน่าสนิทมันเน่าแบบบ้า แต่สำหรับเมืองไทยผมว่ากำลังพอดีนะ ผมพูดเลยผมก็จะเลยลองทำดูว่า ผมอยากทำอะไรที่คนดูคนไทยจะชอบ ปรากฏว่าใครๆ ก็ชอบ ลบข้อครหาผม กูเชื่อมึงแล้ว… เอ๊ะทำไมดูแล้วบทเรื่องนี้ดูทำออกมาจะไม่ได้เรื่อง แต่เอ๊ะยูทำไมทำแล้วมันออกมาถึงดูสนุกอ่ะ นั้นคือจุดเริ่มต้นที่ผมเอาเอนเตอร์เทนก่อน แล้วผมก็จะมาเอนเตอร์เทนด้วยสาระ หรือจะด้วยอะไรก็แล้วแต่
แต่คุณเชื่อไหม หลายครั้งที่เราเอนเตอร์เทนด้วยเมสเซสคนดูก็ไม่เก็ท หลายครั้งในละครที่เราทำ ไอ้นู้นไอ้นี่แปลว่าอย่างนี้อย่างนั้น คนก็ไม่พูดถึง พูดถึงแต่ความตลก สนุก โปกฮา
POSITIONING : มันเป็นธรรมชาติของคนไทย
แต่ทั้งหมดทั้งนี้ทั้งนั้น ผมไม่มีการดูถูกคนดูเลย ผมก็อยากยกระดับคนดู อย่าง “รักแปดพันเก้า” คนรุ่นใหม่ดู พูดแบบว่ากันเยอะมาก แต่…ชาวบ้านเขาไม่ดูนะ มันละเอียดอ่อน บางทีเราเห็นตรงนี้แล้ว “ปึ๊ง” ขึ้นมา โอ้ยเรานั่งร้องไห้ แล้วขนลุก คือคนที่ดูแล้วชอบแบบนั้นเขาก็จะติด แต่ชาวบ้านเขาดูไม่รู้เรื่อง ผมเอาตอนแรกไปเปิดให้พี่สาวผมนั่งดู พ่อผมเดินผ่าน แล้วหยุดดูสักพักหนึ่ง แล้วหันมาถามว่าชาวบ้านจะดูรู้เรื่องเหรอ… เราก็เลยบอกว่ารู้ไม่รู้ ก็ไม่รู้หละ แต่อยากทำแบบเนี้ย ถึงเวลาแล้วที่จะทำอย่างนี้บ้างแล้ว และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ (หัวเราะ) รักแปดพันเก้านี่เรตติ้งต่ำนะ ต่ำเลย แต่ว่าได้กระแสคนเมือง กระแสคนรุ่นใหม่
POSITIONING : อย่างที่บอกว่าตั้งใจตั้งแต่เรียนสหรัฐอเมริกาแล้วว่าจะกลับมาเมืองไทย อะไรทำให้มุ่งมั่นขนาดนั้น
พอจบ ป.6 ก็ไปอยู่อเมริกา ไปอยู่ที่นั่นตั้งแต่อายุ 12 ไปดูละครเวทีมาตั้งเยอะ คือคุณพ่อก็พาไปดูก่อน แล้วก็ชอบ แต่ตอนแรกก็อยากเรียนตามคุณพ่อ เศรษฐศาสตร์ แต่เรียนไปไม่รอด ก็เลยเปลี่ยนมาเรียนทางนี้
POSITIONING : แสดงว่าความหลงใหลที่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนนี่มาจากละครเวที
ใช่… ละครเวที แล้วก็มีทีวี …หนังเนี่ยก็หน่อยแต่ว่าไม่เยอะเท่าไหร่ ความฝันของคนหลายคนที่อยากทำทีวีนี่คืออยากทำหนัง แต่ไม่มีโอกาสได้ทำ ก็เลยมาทำทีวีแทน สำหรับผมเนี่ย ผมว่าทีวีเนี่ย สำหรับผมก็โอเคนะ แต่ละครเวทีถือว่าคือที่สุด เพราะมันส่งที่สุด สิ่งหนึ่งที่รองมาจากละครเวทีคือทีวี มันได้ความสด แต่ว่าหนังมันจะอีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ไม่ชอบ
POSITIONING : ก็เคยทำหนังมาแล้ว
ไม่ประสบความสำเร็จครับ (หัวเราะ)
POSITIONING : แล้วมันแตกต่างกันไหมครับ
ถือว่าตอนนั้นผมยังไม่รู้จักภาษาหนัง ได้ทำก็เป็นประสบการณ์ คิดว่าสักวันก็คงได้ทำอีก ใครถามก็พูดอย่างนี้ พูดมาสองปีแล้ว (หัวเราะ)
POSITIONING : คุณมีนิยาม “ละครน้ำเน่า” ของตัวเองหรือเปล่า
เอ้ย… คำว่า “น้ำเน่า”ของผมเนี่ยเป็นคำดีนะ น้ำเน่าคือมันเป็นประเภทหนึ่งของละครนะครับ ใครอย่าตีความผมผิด มันเป็นประเภทของละครที่เขาเรียกกัน น้ำเน่า สำหรับผมถือว่ามีคุณค่า มีเรื่องหนึ่งที่ถ่ายทำกันอยู่ ผมก็นั่งยิ้ม “เน่าดีจัง เน่าได้ถึงใจมาก” โอ้ย… แล้วก็หันมา ผู้กำกับเขาก็งงว่าว่าเขาหรือเปล่า ผมก็บอกว่าอันนี้ดังแน่ๆ เข้าใจว่าสัจธรรมของคนดู สัจธรรมของประชาชนว่า คนไทยเริ่มมาจากลิเก… คุณเป็นใครที่จะบอกว่าอันนี้ห่วย มันไม่ดี ก็เขาชอบของเขาอย่างนี้ ก็ต้องทำให้เขาดู
เพียงแต่เราต้องไม่ลืมว่าเป้าหมายสุดท้ายของเราคืออะไร ซึ่งบางทีมันอาจจะสำเร็จไม่ได้ในชั่วชีวิตของเรา อาจจะตายก่อนก็ได้ แต่ผมก็ไม่รู้ซิ ผมทำดีที่สุดในช่วงที่ผมมีชีวิตอยู่ งานทุกอย่างของผมต้องอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง ไม่ใช่อยู่ที่ตัวของคนทำ
POSITIONING : นิยาม Positioning ตัวเองเป็นคนยังไง
หลายคนก็พูดว่าเป็นคนบ้างานคับ เอ่อ… ภรรยาผมจะพูดได้ดีที่สุดว่าผมเป็นคนยังไง ผมว่าผมเป็นคนจริงจังและจริงใจกับงานมากกว่า กับตัวงานและขั้นตอนการทำงาน ผมเชื่อในความซื่อสัตย์ของตัวงาน คือผมว่าเราต้องไม่หลอกตัวเอง รู้ว่าตัวเองกำลังทำไร
บางทีก็มีคนด่าเราก็รู้สะท้านเหมือนกันนะ ด่าเพราะความคึกคะนองสาดเสียเทเสีย เราก็มานั่งนึกว่าเราเนี่ยเป็นถึงขนาดนั้นเลยหรือวะ เราก็ต้องหันมามองตัวเอง บางทีมันก็ทำให้ตัวเองเขวเหมือนกัน บางทีเราก็ต้องมากรอง คือบางทีถ้าไม่กรองมันก็รู้สึกเสียสติเหมือนกัน
POSITIONING : รู้สึก?
โห… คนนะ ไม่ใช่… อิฐ มันก็รู้สึกแต่เหมือนกันว่าเราสงสัยว่าเขาอย่างได้อะไรเหรอ บางทีก็บอกว่าช่างมันเหอะและกลับมาดูงานตัวเองว่าจะทำให้ดีฉิบหายเลย ไม่เป็นไร
ผมเป็นคนคิดว่าถ้าเพื่องานบันเทิงแต่ละงานมันดีขึ้น ใครทำดี บริษัทอื่นๆ ทำดี มันทำให้วงการพัฒนา ในวงการบันเทิงผมว่าคุณยังต้องสร้างฐานคนดู ให้คนดูทีวีเพิ่มนะ ตอนนี้คนดูส่วนใหญ่อยู่ระดับล่าง ในขณะที่ระดับบนยังได้ไม่เท่าไหร่เลยนะ เพราะว่าเขาดูถูกงานเราอยู่ ไม่ดูหรอกของคนไทยดูฝรั่งดีกว่า ผมมองว่าทีวีตอนนี้ไม่ใช่เรื่องของการแข่งขัน แข่งกันมันก็แย่งแต่ฐานเดิม แล้วคุณจะไปแข่งกันทำไม คนมีอยู่แค่นี้ทำไมไม่เพิ่มฐานตรงนี้ต่างหาก ที่ผมถึงบอกว่าใครทำอะไรดี แล้วเราชื่นชมว่ามันดีจริง
นี่คือวิธีคิด วิธีการทำงาน วิธีการใช้ชีวิตของผม ผมบอกลูกน้องเสมอว่า ตอนที่เขาท้อแท้ ผมก็บอกให้เขาทำดีที่สุดในส่วนของเขา แล้วผมจะทำดีที่สุดในส่วนของผม เราเข้าใจเขา เขาเข้าใจเรา แล้วเข้าใจทุกคนๆ แล้วชีวิตจะมีความสุข ทำให้ดีหมดทุกๆ คน ถามว่าเรายังท้อเลย แล้วลูกน้องจะไม่ท้อเหรอ ให้เข้าใจสัจธรรม เพราะมีอะไรที่ต้องทำอีกเยอะ
Profile
Name : ถกลเกียรติ วีรวรรณ
Born : 20 เมษายน 2509
Education :
ประถมศึกษา โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มัธยมศึกษา Woodside Prioly School ประเทศสหรัฐอเมริกา
Boston College (B.A.) ประเทศสหรัฐอเมริกา
Boston University (M.S.) ประเทศสหรัฐอเมริกา
Career Highlights:
2533 เริ่มงานในตำแหน่งโปรดิวเซอร์ละครโทรทัศน์ กับแกรมมี่เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ ก่อนที่มีผลงานกำกับละครเรื่องแรก “นางฟ้าสีรุ้ง”
2534 ก่อตั้งบริษัท เอ็กแซ็กท์ จำกัด และกำกับละครเรื่อง “สามหนุ่มสามมุม”ซิทคอมเรื่องแรกที่ออกฉายยาวนานถึง 8 ปี
2540 ริเริ่มละครเพลงเวทีเรื่องใหญ่ที่สร้างกระแสตื่นตัวในสังคม เรื่อง “วิมานเมือง” ตามด้วย “บัลลังก์เมฆ เดอะมิวสิเคิล” ในปี 2544 และ 2545 และ “บางกอก 2485” ในปี 2547
2546 ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีนทอล์ค จำกัด เพื่อรองรับงานด้านรายการโทรทัศน์
2547 เปิดบริษัทใหม่ในนาม “ซีเนริโอ”
ปัจจุบัน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กแซ็กท์ จำกัด
กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีนทอล์ค จำกัด
กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเนริโอ จำกัด
เป็นตัวแทนภาควิทยุ-โทรทัศน์ให้เป็น 1 ใน 17 คนของคณะกรรมการสรรหา กสช.
Family :
สมรสกับ “ปริม” กณิการ์ มีบุตรสาว 1 คน