เงิน เงิน เงิน ในฮอลลีวู้ด

รายได้ของนักแสดงทั่วไปในอเมริกาอยู่ที่เฉลี่ยปีละ 30,000 ดอลลาร์ และรายได้เฉลี่ยของประชากร อยู่ที่ 10,000 ดอลลาร์ แต่ดาราฮอลลีวู้ดเหล่านี้มีรายได้ต่อ “เรื่อง” สูงกว่า 300-800 เท่าของนักแสดง และ 1,000-2500 เท่าของเงินต่อ “ปี” ที่คนทั่วไปหาได้ บางรายทำรายได้ต่อเรื่องสูงถึง 7000 เท่าของชาวบ้าน ยังไม่ต้องพูดถึงความแตกต่างของค่าเงินและมาตรฐานรายได้ ของนักแสดงและคนชาติอื่นๆ ที่น้อยลงไปอีกหลายสิบเท่า

ยิ่งกว่านั้นค่าตัวคนฮอลลีวู้ดกำลังเพิ่มมากขึ้นอีก เพราะตอนนี้พระเอกฮอลลีวู้ดพากันขอค่าตัวเป็นเปอร์เซ็นต์จากรายได้หนังด้วย และไม่ใช่แค่ 1 เปอร์เซ็นต์ แต่พระเอกต้องได้มากถึง 10 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย และทะลุไปได้ 20-30 เปอร์เซ็นต์ แถมคิดจาก Box Office Gross คือรายได้รวมในอเมริกา ไม่ได้คิดจากยอด Net หรือ Adjusted Gross คือรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว

บันทึกสถิติว่า ทอม ครู้ส เป็นดาราที่ทำรายได้ต่อเรื่องสูงสุดในโลก คือ 70 ล้านดอลลาร์ ซึ่งที่จริงเขาเป็นเพียงคนที่ทำรายได้ถึงยอดนี้เป็นคนแรก แต่ไม่ใช่คนที่ได้เงินต่อเรื่องสูงสุดในโลก

คนที่หนึ่งนั้นไม่น่าเชื่อ อันดับหนึ่งที่ทำรายได้ต่อเรื่องสูงสุด คือ บรู๊ซ วิลลิส มีรายได้จากหนังสยองขวัญเรื่อง The Sixth Sense (1999) รวมอย่างน้อย 100 ล้านดอลลาร์ จากส่วนแบ่งทั้งรายได้หนัง บวกเปอร์เซ็นต์ยอดขายและเช่าวิดีโอ ก่อนหน้านี้ บรู๊ซ วิลลิส เคยทำค่าตัวได้ 17.5 ล้านจาก Last Man Standing (1996) และตอนเล่น Armageddon (1998) เขาได้แค่ 5 ล้าน ตอนนี้ค่าตัวเขาอยู่ที่ 22.5 ล้าน จาก Hart’s War (2002)

อันดับสองจึงเป็น ทอม ครู้ส เขาได้รวม 70 ล้านจาก Mission : Impossible (1996) และได้รวม 75 ล้านจาก Mission : Impossible II (2000) ใน Jerry Maguire (1996) เขาได้ค่าตัว 20 ล้าน บวกเปอร์เซ็นต์ ใน Vanilla Sky (2001) เขาได้ 20 ล้าน บวก 30 เปอร์เซ็นต์ของกำไร ค่าตัวยังขึ้นเป็น 25 ล้าน และบวกเปอร์เซ็นต์บางส่วนของกำไร ใน Minority Report (2002) ฉะนั้น ถ้าดูรายได้รวมทั้งหมด ไม่ใช่แค่รายได้ต่อเรื่องแล้ว ทอม ครู้ส จึงเป็นผู้มีรายได้สูงสุด

อันดับสามคือ ทอม แฮงค์ เขาเคยได้ 70 ล้านจากค่าตัว, เปอร์เซ็นต์จากรายได้รวม และส่วนแบ่งกำไรใน ForrestGump (1994) ใน Saving Private Ryan (1998) เขาได้ 40 ล้าน ส่วนค่าตัวปัจจุบันคือ 20 ล้านตั้งแต่ You’ve Got Mail (1998) เป็นต้นมา

อันดับสี่ คือ แจ็ก นิโคลสัน ดาราในยุคแรกๆ ที่คิดค่าตัวจากเปอร์เซ็นต์รายได้รวมหนัง และเปอร์เซ็นต์ของ “สินค้าของที่ระลึก” จากหนัง เขาเคยได้จาก Batman (1989) รวม 60 ล้าน และยังได้มากพอดูเมื่อคำนวณ เงินเฟ้อ คือ 12.5 ล้าน จาก The Missouri Breaks (1976) โดยยอดนี้เป็นค่าตัวแค่ 125,000 ดอลลาร์ กับอีก10 เปอร์เซ็นต์รายได้รวม ส่วนค่าตัวล้วนๆ จากหนังยุคหลังได้ประมาณ 10 ล้าน เช่นจาก About Schmidt (2002)

อันดับห้าน่าจะเป็น พระเอก เคียนู รีฟส์ เล่นหนังได้ 15 ล้าน บวก 15 เปอร์เซ็นต์ของรายได้รวมในอเมริกา 281 ล้านดอลลาร์ จาก The Matrix Reloaded (2003) ส่วนแบ่งตามนั้นก็ราว 42 ล้าน และได้สิบห้าบวกสิบห้าใน The Matrix Revolutions (2003) หนังได้ ในอเมริกา 139 ล้าน ส่วนภาคแรก The Matrix (1999) เขาได้สิบล้าน บวกสิบเปอร์เซ็นต์

อันดับหก และคิดเฉพาะค่าตัวที่สูงสุดตอนนี้คือ วิล สมิธ ค่าตัว 28 ล้านดอลลาร์ จาก I, Robot (2004) ก่อนหน้านี้เขาได้ 20 ล้าน บวก 20 เปอร์เซ็นต์ของรายได้อเมริกา 138 ล้านจาก Bad Boys II (2003) รวมแล้วก็ราว 47 ล้าน และยังได้ 20 ล้าน บวก 10 เปอร์เซ็นต์ จากรายได้อเมริกา 190 ล้าน Men in Black II (2002) ก่อนหน้านี้ได้14 ล้านจาก Enemy of the State (1998)

อันดับต่อมาคือ เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ย์ ได้ 20 ล้าน และ 20 เปอร์เซ็นต์(24 ล้าน) จาก Nutty Professor II : The Klumps (2000)

ต่อมาคือ แฮริสัน ฟอร์ด เชื้อสายไอริช-รัสเชียน ค่าตัวล่าสุดคือ 25 ล้าน บวก 20 เปอร์เซ็นต์ของรายได้อเมริกา จาก K-19 : The Widowmaker (2002) มีรายได้รวม 35 ล้าน จากที่เริ่มเล่นหนังด้วยค่าตัวอาทิตย์ละ 150 เหรียญในปี 1967 เขารับ 20 ล้านตั้งแต่ The Devil’s Own (1997)

อาร์โนลด ชวาร์ซเนกเกอร์ จากออสเตรีย เคยได้เฉพาะค่าตัว 30 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นคนแรก จาก Terminator 3 : Rise of the Machines เขาเริ่มได้ 25 ล้านมาตั้งแต่ Batman & Robin (1997)

พระเอก แบรด พิทท์ เป็นคนที่ค่าตัวกำลังขึ้นบิลท็อปอีกคน อย่างในเรื่อง Ocean’s Eleven (2001) ซึ่งประกบกับดาราชายอีกตั้งหลายคน เขาได้ค่าตัว 10 ล้าน บวกเปอร์เซ็นต์จากรายได้รวมในอเมริกา 183 ล้าน รวมแล้วเกือบ 30 ล้านดอลลาร์ และต่อมามีรายได้ระดับเดียวกันจากภาคสองด้วย ส่วน Mr. and Mrs. Smith เขาจะได้อย่างน้อย 20 ล้าน

ก่อนหน้านั้น เฉพาะค่าตัวของแบรด พิทท์ อยู่ที่ 17.5 ล้าน จาก Troy (2004), Spy Game (2001), Fight Club (1999), Meet Joe Black (1998) และก่อนหน้านั้นเคยได้ 10 ล้าน อาทิ Seven Years in Tibet (1997) ตอนเล่น Se7en (1995) เขาได้แค่ 4 ล้าน และตอนเป็นตัวประกอบ Thelma&Louise(1991) เขาได้ค่าตัว 6,000 ดอลลาร์

ภรรยาเก่าของเขา เจนนิเฟอร์ อนิสตัน เคยทำสถิติเล็กๆ เหมือนกัน คือตอนเล่นซีรี่ส์เรื่อง Friend (1994-2002) ปีหรือซีซันหลังๆ เธอได้ค่าตัว episode หรือตอนละหนึ่งล้านดอลลาร์ ซีซันหนึ่งมีราว 6-12 ตอน แต่ถ้าเล่นหนัง เธอได้แค่ 5 ล้านดอลลาร์จาก Along Came Polly (2004) แต่ค่าตัวเรื่องหน้าจะขึ้นถึง 15 ล้าน

แฟนใหม่เขาคือนางเอกดังแห่งยุค แองเจลิน่า โจลี่ ได้ค่าตัวจาก Lara Croft Tomb Raider : The Cradle of Life (2003) 12 ล้านดอลลาร์ จาก Lara Croft : Tomb Raider (2001) 7 ล้านดอลลาร์ เรื่องหลังๆ ค่าตัวเธอ 15 ล้านดอลลาร์

อาชีพอื่นอาจไม่มีความเหลื่อมล้ำทางเพศมาก แต่ในฮอลลีวู้ด พวกนางเอกมีรายได้ที่น้อยกว่าผู้ชาย เป็นปกติ และมีนางเอกเพียงแค่ 2 คนเท่านั้นที่เคยมีค่าตัวสูงถึง 20 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป คนหนึ่งคือ จูเลีย โรเบิร์ต และอีกคนคือ คาเมรอน ดิแอซ

จูเลีย โรเบิร์ต ทำสถิตินางเอก 25 ล้านดอลลาร์เป็นคนแรก จาก Mona Lisa Smile (2003) เธอเคยได้ 20 ล้านเป็นนางเอกคนแรกเช่นกัน จาก Erin Brockovich (2000) และ The Mexican (2001) แต่เธอมีชื่อเสียงเรื่องชอบลดค่าตัว ถ้าถูกใจบท

คาเมรอน ดิแอซ นางเอกเชื้อสายคิวบันผสมเยอรมัน ปัจจุบันอายุ 33 ปี ได้ 20 ล้านดอลล์ จากหนังภาค 2 Charlie’s Angles : Full Trottle ( 2003) ขณะที่นางฟ้าอีกสองคน คือ ดรูว์ แบร์รี่มอร์ ได้ 14 ล้าน และ ลูซี่ หลิว อเมริกันเชื้อสายจีนได้น้อยมาก แค่ 4 ล้านดอลลาร์

ก่อนหน้านี้ ใน “นางฟ้าชาลี” ภาคแรกคาเมรอนได้ 12 ล้านดอลลาร์ ดรูว์ ได้ 9 ล้าน ลูซี่ได้ล้านเดียว และคาเมรอนได้ 10 ล้าน ใน (2001) จากนั้นค่าตัวไปสูงถึง 17.5 ล้านใน Gangs of New York (2002) เธออาจสร้างปรากฏการณ์เหลือเชื่อ กลายเป็นดาราหญิงคนแรกที่ได้เฉพาะค่าตัว 30 ล้านดอลลาร์ในเรื่องหน้า Fun With Dick and Jane

เด็กยิ่งได้น้อยกว่าผู้หญิง เช่น แดเนี่ยล เรดคลิฟฟ์ จากอังกฤษ ดารานำเรื่อง Harry Potter ที่ดังมากๆ ภาคสองได้ 3 ล้านดอลลาร์ และภาคแรกได้แค่หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นดอลลาร์ แมคคอเล่ย์ คัลกิ้น ได้แสนเดียว จาก Home Alone (1990), ได้ 4.5 ล้าน Home Alone 2 : Lost in New York (1992)

ดาราท็อปทางรายได้ยังมี

จิม แครี่ย์ จาก How the Grinch Stole Christmas (2000) เขาได้ 20 ล้านดอลลาร์ + ของที่ระลึก เขายังเป็นดาราหนึ่งในไม่กี่คนแรกที่เริ่มได้ค่าตัวยี่สิบล้านตั้งแต่หนัง The Cable Guy (1996) ในปีเดียวกับทอม ครุ้ยส์ ก่อนหน้านั้น Dumb & Dumber (1994) จิม แครี่ย์ ได้ 7 ล้าน ปัจจุบันปรับค่าตัวเป็น 25 ล้านตั้งแต่ Bruce Almighty (2003) แต่ไม่แน่ว่าเรื่องหน้า Fun with Dick and Jane เขาอาจได้ 30 ล้าน คู่กับคาเมรอน ดิแอซ

คริส ทักเกอร์ เคยได้ 25 ล้านดอลลาร์จาก Rush Hour 2″ และจะเป็นอีกคนที่ได้ 30 ล้านดอลลาร์ ถ้ามีการสร้าง Money Talks 2

ไมค์ ไมเออร์ส จากแคนาดา ค่าตัวตอนนี้คือ 25 ล้าน จาก Austin Powers in Goldmember (2002) นอกจากนั้นเขายังเคยได้รับค่าจ้างเฉพาะการพากย์เสียงอย่างเดียว 10 ล้านดอลลาร์ ใน Shrek 2

เมล กิ๊บสัน คิดค่าตัว 25 ล้านบวกเปอร์เซ็นต์หรือพ้อยต์ เขาเริ่มได้อัตรานี้มาตั้งแต่ The Patriot (2000)

อดัม แซนด์เลอร์ ค่าตัว 25 ล้าน จาก Anger Management (2003)

ทอมมี่ ลี โจนส์ พระเอกวัยหนุ่มใหญ่ ได้ 20 ล้าน บวกเปอร์เซ็นต์ของรายได้รวมบางส่วน จาก Men in Black II (2002) เขาได้ 10 ล้านจาก U.S. Marshals (1998)

จอหน์ ทราโวลตร้า กลับมาสู่วงการด้วย Pulp Fiction ค่าตัวแค่หนึ่งแสนสี่หมื่นเท่านั้น เรื่องต่อมา Get Shorty (1995) เขาได้ 3.5 ล้านบาท แต่ตอนนี้จอห์น ทราโวลตร้า ค่าตัว 20 ล้านมาทุกเรื่อง ตั้งแต่ Mad City (1997)

ลีโอนาโด ดิคาร์ปิโอ ลูกครึ่งอเมริกัน-เยอรมัน ได้ 20 ล้านจาก Catch Me If You Can (2002) ส่วนใน Gangs of New York (2002) เขาได้ 10 ล้าน บอก Gross Points หรือสัดส่วนจากรายได้รวม และใน The Beach (2000) เขาเริ่มเรียก 20 ล้าน ขณะที่ตอนถ่าย Titanic (1997) ค่าตัวเขา 2.5 ล้านดอลลาร์ และนางเอกของเรื่อง เคท วินสเล็ต ได้ 2 ล้าน

นิโคลัส เคจ ได้ 20 ล้าน จาก Gone in Sixty Seconds (2000) จอร์จ คลูนี่ย์ ได้ 20 ล้านจาก Ocea’s Eleven (2001) รัสเซล โครว์ จากนิวซีแลนด์ ได้ 20 ล้านจาก Master and Commander : The Far Side of the World (2003) แดนเซล วอชิงตัน จะได้ 20 ล้าน จาก American Gangster(2005)

วิน ดีเซล เคยปฏิเสธ 20 ล้านจาก The Fast And The Furious 2 (2003) เพื่อไปรับ 10 ล้านจาก
น XXX แทนเพราะเขาไม่ชอบเรื่องแรก 2 fast ภาคสองได้ 127 ล้าน xxx ทำได้ 141 ล้านและ xxxตอนต่อไปเขาจะได้ 20 ล้านแล้ว

อายุมากและส่วนใหญ่ต้องเล่นเป็นตัวประกอบ แต่ แอนโทนี่ ฮอพกินส์ ก็ทำรายได้สมศักดิ์ศรี ใน
Red Dragon (2002) เขารับ 20 ล้านดอลลาร์ใน Hannibal (2001) เขาได้ 15 ล้านดอลลาร์ และใน Mission : Impossible II (2000) เขาได้ 5 ล้านดอลลาร์

จอหน์นี่ เด็ปป์ จะได้ค่าตัวเกือบ 20 ล้านดอลลาร์ จาก Pirates of the Caribbean 2

นิโคล คิดแมน เชื้อสายออสเตรเลีย อัพค่าตัวจาก 7.5 ล้านใน The Hours (2002) สองเท่าเป็น 15 ล้านใน Cold Mountain (2003) และล่าสุด 17.5 ล้านใน The Interpreter (2005)

เบน เอฟเฟล็ค ตอนนี้ขึ้นค่าตัวเป็น 17.5 ล้าน เขาเคยได้ค่าตัว 10 ล้านดอลลาร์จาก Jersey Girl (2004) แต่ก่อนหน้านี้ Paycheck (2003) ได้ 15 ล้าน เขาเริ่มได้ค่าตัวเกินสิบล้าน จากเรื่อง Bounce (2000) ที่ได้12.5

ไอ้แมงมุม โทบีย์ แมกไกร์ จะได้ 17 ล้านจาก Spider-Man 2 จากภาคแรกได้ 4 ล้านดอลลาร์

พระเอกเจมส์ บอนด์ เชื้อสายไอริช เพี้ยซ บรอสแน่น เริ่มต้นที่ GoldenEye (1995) ได้ 4 ล้าน Tomorrow Never Dies (1997) ได้ 8.2 ล้าน The World Is Not Enough (1999) ได้ 12.4 ล้าน Die Another Day (2002) ได้ 16.5 ล้าน

นางเอก “สปีด” แซนดร้า บุลล็อค ได้ค่าตัวแค่ห้าแสนใน Speed (1994) ค่าตัวมาเป็น 15 ล้าน ตั้งแต่ Murder by Numbers (2002) โดยเริ่มเป็น 10.5 ล้านใน In Love and War (1996) และ Speed 2 : Cruise Control (1997) ได้ 12.5 ล้าน

เจนนิเฟอร์ โลเปซ ละติน-อเมริกัน เชื้อสายเปอร์โตริกัน ได้แค่ 4.5 ล้านดอลลาร์จากเรื่อง Jersey Girl (2004) แต่ก่อนหน้านั้นเธอได้ 10 ล้านแล้วจาก Enough (2002) และ 12 ล้าน จากเรื่อง Maid in Manhattan (2002), Gigli (2003) เรื่องล่าสุด Monster-in-Law (2005) เธอได้ 15 ล้าน

รีท วิทเธอร์สปูน ได้ 15 ล้านจาก Legally Blonde : Red, White & Blonde (2003) เป็นต้นมา

ฮัลเล เบอร์รี่ ได้ 14 ล้านจาก Catwoman (2004) ซึ่งกลายเป็นหนังยอดแย่ทั้งคุณภาพและรายได้
เรเน เซลเวเกอร์ สาวอวบและดังมากจาก Bridget Jones ได้ค่าตัวจากภาคแรกแค่ 3.75 ล้านดอลลาร์ มาเป็น 10 ล้านใน Chicago (2002) ซึ่ง แคทธาลีน ซีต้า โจนส์ ได้แค่ 8 ล้าน เรเนมาเพิ่มค่าตัวเป็น 15 ล้านใน Cold Mountain (2003) แต่ Bridget Jones : The Edge of Reason (2004) เธอได้ 11 ล้าน

เดมี่ มัวร์ เคยได้ 12.5 ล้านใน Striptease (1996) และ 11 ล้าน ใน G.I. Jane (1997)
และรับเพียง 2 ล้านใน Charlie’s Angels : Full Throttle (2003)
โรเบิร์ต เร็ดฟอร์ด พระเอกเก่าอีกคน เล่นหนังมาตั้งแต่ค่าตัวพระเอกดังแค่หลักแสน ตอนนี้ได้ค่าตัว 11 ล้าน The Last Castle (2001)

แมท เดมอน ได้ 10 ล้านจาก The Bourne Identity (2002) ใน Ocea’s Eleven (2001) ที่ประกบกับแบรด พิทท์ เขาได้ 5 ล้าน

โคลิน ฟาร์เรล ดาราเชื้อสายไอริช เพิ่งได้ 10 ล้านจาก Alexander (2004) ก่อนหน้านั้นได้ 8 ล้านจาก S.W.A.T. (2003)
ที่จริงแล้ว ดาราฮอลลีวู้ดไม่ได้เก็บเงินกลับบ้านมากขนาดนั้น มีเปอร์เซ็นต์ของผู้จัดการและเอเย่นต์ที่สูงอย่างน้อย 15 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่านั้น และภาษีจำนวนมาก เฉลี่ยแล้วทุก 10 ล้านพวกเขาได้เงินเข้าบัญชีส่วนตัวแค่ 3-4 ล้าน แต่ก็ยังถือว่าเป็นรายได้ที่มากอยู่

เมื่อเทียบกับการทำมาหากินอื่นๆ ในทุกที่ของโลก และเมื่อคิดเป็นเงินบาท เงินมากขนาดนี้ น่าเสียดายว่าคนไทยไม่ค่อยมีส่วนแบ่งจากกองเงินฮอลลีวู้ดเท่าไร ใช่ว่าเราแค่อยากมีมากอย่างเขา แต่เป็นการเฉลี่ยรายได้ประชากรโลกมาให้ทั่วๆ กัน เพื่อใครได้มาจะทำอะไรให้สังคมไทยกันเพิ่ม