38 แห่งความหวัง

38 อยู่ไหน เห็นเลข 38 แล้วคุณคิดถึงอะไร คุณมีเลข 38 อยู่หรือป่าว… นับอย่างคร่าวๆ น่าจะมากกว่า 20 ครั้งที่ตัวเลขนี้ถูกพูดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในงานฉลองครบรอบ 38 ปีของไดเนอร์สคลับ

เหตุผลไม่ใช่อันใดอื่น ยืนยง เคน ทรงศิริเดช ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไดเนอร์สคลับ (ประเทศไทย) กระซิบบอกว่า อยากให้ตัวเลข 38 เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการรีแบรนด์ใหม่ของไดเนอร์สคลับ ในสไตล์สดใส กระฉับกระเฉง เหมาะกับกลุ่มเจเนอเรชั่นใหม่

“คุณเห็นป้ายโฆษณาไดเนอร์สคลับนั่นไหม” ผู้บริหารหนุ่มชี้ไปพลาง อธิบายว่า เราเปลี่ยนแม้กระทั่งสี จากเฉกสีเทาๆ ทะมึนๆ ที่ดูแก่ เฉื่อย มาเป็นเฉกสีโทนน้ำเงิน ให้ดูเข้มแข็ง สดใส รวมทั้งพรีเซ็นเตอร์บัตร ซึ่งเป็นผู้ชายใส่สูท มาเป็นผู้ชายใส่ชุดลำลอง มีรูปหญิงสาวสดใส มาร่วมเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อบ่งบอกถึงจุดขายว่า บัตรนี้เหมาะกับคนรุ่นใหม่ ผู้บริหารหนุ่มสาวไฟแรง

ภาพลักษณ์ใหม่ ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ผู้บริหารไดเนอร์สคลับ ยอมรับว่า หลายเดือนที่ผ่านมาต้องนั่งประชุมแล้วประชุมเล่า เพื่อหาคอนเซ็ปต์และแผนงานทางการตลาดใหม่ๆ และโจทย์ตัวเลข 38 คือ ความหวังและความหมายของขวบปีนี้

ตัวเลข 38 นอกจากจะบ่งบอกถึงอายุของไดเนอร์คลับในตลาดเมืองไทยแล้ว ยังเป็นกลยุทธ์แคมเปญเลขนำโชคทางการตลาดในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ไม่ว่าใครที่สมัครสมาชิกบัตรแต่ละสัปดาห์ 38 คนแรก รับโชค 3 ชั้น หรือหากบนเซลส์สลิปลงท้ายด้วยเลข 38 รับโชคช้อปฟรีถึง 10,000 บาท

กลยุทธ์นี้เป็นความหวังลึกๆ ว่า จะขยายฐานสมาชิกได้มากขึ้นกว่าที่ผ่านมา เพราะยอดสมาชิกตัวเลขสมาชิกเพียงหลักแสนต้นๆ ทั้งยอดสมาชิกจากบัตรชาร์จการ์ด และบัตรเครดิตตัวใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ เปรียบเทียบกับอายุอานามของบัตรแบรนด์นี้ถึงเกือบสี่สิบปี ถือว่า “อ่อนด้อยยิ่งนัก” ในยุทธจักรการเงิน

นับจากนี้ แคมเปญใหม่ที่มีแผนจะยิงตลอดทุกเดือน แผนจัดกิจกรรมการตลาดนอกสถานที่ การออกบูธ ประชาสัมพันธ์ในนิตยสาร และหนังสือพิมพ์ เป็นการตลาดเชิงรุกที่ไดเนอร์สคลับ ยืนยันว่า ต้องเร่งทำ ต้องซีเรียสแล้วตั้งแต่วันนี้

Did you know?

ตำนานบัตรไดเนอร์สคลับ ถูกจุดประกายขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1949 จาก แฟรงค์ แมกนามาร่า นักธุรกิจที่ต้องพบกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดในภัตตาคารสุดหรูที่ชื่อว่า Major Cabin Grill ในเมืองชิคาโก หลังเรียกชำระค่าอาหารแล้วพบว่า ตนลืมกระเป๋าเงินไว้ในเสื้อสูทอีกตัว ทำให้แมกนามาร่ามีความคิดว่า “ทำไมคนเราจึงถูกจำกัดการใช้จ่ายอยู่ในจำนวนเงินสดในกระเป๋า” และในปีถัดมา แมกนามาร่าพร้อมหุ้นส่วน ราล์ฟ สไนเดอร์ กลับไปทานอาหารที่นั่นอีกครั้ง พร้อมบัตรที่ทำจากกระดาษแข็ง พร้อมเซ็นชื่อแทนการชำระเงิน บัตรใบนั้นก็คือ Charge Card ใบแรกของโลก