Blog + Online diary ! สื่อนอกกระแส-มาร์เก็ตติ้งสไตล์ใหม่

“บล็อก” หรือไดอารี่ออนไลน์ สื่อนอกกระแสใหม่สไตล์ไซเบอร์กำลังระบาดไปทั่วเว็บทั้งเมืองไทย-นอก น่าจับตาอย่างยิ่งทั้งในแง่ของสื่อมวลชนนอกระบบและหาเทรนด์ใหม่ ๆ ออนไลน์ เรื่อยไปจนถึงการตลาดรูปแบบใหม่ที่เจาะใจผู้บริโภคได้มากกว่าสื่อแบบเก่า

*Blog มาแรงทั้งไทยและอเมริกา

ข่าวล่าสุดที่สร้างความฮือฮาเมืองนอกในต้นปีนี้คือ Technorati (technorati.com) ซึ่งเป็นบริษัทค้นหาและรวบรวมข้อมูลบล็อกไซต์ในอเมริกา เผยรายงานใหม่ในชื่อ “State of the Blogosphere” ว่า ขณะนี้ทั่วโลกมีบล็อกอยู่ไม่ต่ำกว่า 27 ล้านไซต์ มากกว่าจำนวนบล็อกเมื่อสามปีก่อนถึง 60 เท่า และจากสถิติที่ผ่านมา จำนวนบล็อกที่มีออนไลน์ในโลกนี้จะเพิ่มด้วยอัตราที่รวดเร็วเป็นสองเท่าในทุก ๆ 5 เดือนครึ่ง

ในนี้ มีอย่างน้อยสิบเปอร์เซ็นต์หรือ 2.7 ล้านไซต์ ที่อัพเดตสม่ำเสมอกันทุกสัปดาห์ ในขณะที่ยอดรวมแล้วมีคนอัพเดตบล็อกตัวเองราว 1.2 ล้านหน้าต่อวัน และทุกวินาทีจะมีบล็อกใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ

ในขณะที่โครงการศึกษา Pew Internet and American Life Project ที่เปิดเผยเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาชี้ว่า 1 ใน 4 ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งหมดเคยอ่านบล็อก และมีคนอเมริกัน 53 ล้านรายใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อลงความเห็นส่วนตัว รูปภาพ หรือไฟล์ลงเว็บ

*สถานการณ์ บล็อก/ไดอารี่ไทย

ฟังสถิติฝรั่งแล้วดูน่าประทับใจ บางคนอาจบอกปัดว่า นั่นเป็นเรื่องของเมืองนอกเขา แต่ข้อเท็จจริงก็คือในไทยจำนวนผู้ใช้บล็อก/ไดอารี่ออนไลน์ก็ได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอัตราก้าวกระโดดเช่นกัน

ถึงแม้จะมีผลกระทบที่เว็บ diaryhub.com ซึ่งเป็นผู้ให้บริการไดอารี่ออนไลน์รายใหญ่ที่สุดของไทย ต้องมีเหตุปิดตัวลงชั่วคราวในกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมาจากผลของความขัดแย้งภายในระหว่างทีมงานส่งผลทำให้ยูสเซอร์หายไปจำนวนหนึ่ง แต่ในช่วงสองปีหลังมานี้ หากดูในแง่ของจำนวนผู้ให้บริการ กลับมีผู้เปิดบริการบล็อกเน็ตเวิร์ก หรือให้บริการบล็อกเปิดตัวไม่ต่ำกว่า 10 ราย และกำลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต

ในแง่จำนวนผู้ใช้และผู้อ่านนั้น หากดูตามสถิติทรูฮิตของสำนักบริการเทคโนโลยีภาครัฐแล้ว บวกจำนวนไอพีที่ไม่ซ้ำกันของบล็อก/ไดอารี่เน็ตเวิร์กต่างๆ แล้วพบว่ามีผู้เข้าไม่ต่ำกว่า 8 หมื่นรายต่อวัน และหากเมื่อคิดประเมินรวมเอาบางบล็อกไซต์ที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนสถิติทรูฮิตอย่าง diaryis.com หรือ blogdd.com หรือบล็อกบริการเสริมตามเว็บพอร์ทัลหรือเว็บข่าวต่างๆ ตลอดจนผู้ที่ใช้บริการ space ของ MSN แล้ว น่าจะมียอดผู้ใช้บริการไม่ต่ำกว่า 1 แสนรายต่อวัน และหากเว็บ diaryhub.com กลับมาให้บริการอีกครั้งในราวสิ้นเดือนมีนาคม ตามที่ทางไซต์ระบุก็น่าจะมียอดผู้ใช้โดยรวมสูงขึ้นไปกว่านี้อีก

ปัจจุบัน มี 3 เว็บบล็อก/ไดอารี่ ที่เป็นรายใหญ่ที่สุดในเมืองไทยตามการจัดลำดับของทรูฮิตก็คือ Storythai.com Bloggang.com และ Exteen.com ตามลำดับ แต่ทั้งสามไซต์มีขนาดไล่เลี่ยกันโดยมีจำนวนผู้ใช้เฉลี่ยต่อวันราว 2 หมื่นกว่ารายเช่นกัน รวมแล้วประมาณ60- 70 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้บล็อกและไดอารี่ทั้งหมดในไทยจะใช้บริการของทั้งสามไซต์นี้เป็นส่วนใหญ่

รายแรกที่ครองอันดับนำในเวลานี้คือ Storythai.com มีจุดเด่นตรงที่เปิดบริการมานาน และเปิดให้ใช้ฟีเจอร์และลูกเล่นต่างๆ ในการทำเว็บได้เต็มที่ ไดอารี่ออนไลน์ของที่นี่โดยรวมแล้วจะสวยกว่า และมีลูกเล่นมากกว่าที่อื่นๆ เป็นกลุ่มหนุ่มสาวที่ชอบอะไรหวือหวามากกว่าที่อื่น

ส่วน Bloggang.com นั้นเป็นเว็บไซต์ในเครือของพันทิพดอตคอม เว็บบอร์ดเก่าแก่ของเมืองไทย กลุ่มผู้ใช้โดยมากมีลักษณะเฉพาะของตัวคือเป็นยูสเซอร์เดิมในเว็บบอร์ดที่หาทางขยับขยายออกมาหาพื้นที่ออนไลน์ที่เป็นที่ทางของตัวเองเสียเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ Exteen.com จะมีตั้งแต่กลุ่มนักศึกษาไปจนถึงวัยทำงาน เน้นในการเป็นบล็อก นำเสนอเรื่องจริงจัง เป็นงานเขียนเป็นเรื่องเป็นราวสไตล์นิวมีเดีย มากกว่าที่จะเป็นไดอารี่ที่บันทึกเรื่องส่วนตัวประจำวันเหมือนที่อื่น

สำหรับกลุ่มเน็ตเวิร์กบล็อก/ไดอารี่ที่เหลือก็มีหลายไซต์ที่น่าสนใจเช่น monkeystory.com ที่ประกาศตัวเป็นแหล่งรวมตัวออนไลน์ของคนรักของสะสม diaryis.com ที่แยกตัวออกมาจากเว็บ diaryhub.com พร้อมด้วยผู้ใช้บางส่วนจากไซต์เดิมและเน้นแนวไดอารี่เหมือนเดิม diaryclub.com ที่แยกตัวออกมาจากสตอรี่ไทยในอดีต และ ไซต์บริการไดอารี่เจ้าใหม่ diarycafe.com ที่ชื่อยังเน้นไดอารี่เหมาะกับคนไทยที่ยังผูกพันกับความเป็นไดอารี่มากกว่าบล็อก

ส่วนสายรักหวานแหววเหมาะสไตล์วัยรุ่น ก็มีพื้นที่ไดอารี่ของตัวเอง ที่เน้นหนักความหวานกันตั้งแต่ชื่อ เช่น มนต์รักดอตเน็ต (monrak.net) whenifallinlove.net และ diarylove.com ที่มีผู้ใช้อยู่จำนวนหนึ่งเช่นกัน

นอกจากนั้น ยังมีบริการเสริมตามเว็บพอร์ทัลใหญ่ๆ ที่ไม่ได้บริการ blog เป็นหลัก อย่างเช่น บล็อกของเว็บเครือหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ (http://weblog.manager.co.th) ที่หลายคนมาจากกลุ่มผู้อ่านหนังสือพิมพ์ หรือที่เปิดตามพอร์ทัลไซต์ใหญ่ๆ ของเมืองไทย เช่นของกระปุกด็อตคอม (http://my.kapook.com) และสนุกดอตคอม ( http://blog.sanook.com) ซึ่งรายหลังนี้ได้ขยับแถลงข่าวเปิดตัวบริการใหม่นี้ไปเมื่อเดือนมกราคมต้นปีที่ผ่านมา โดยแยกส่วนออกมาจากบริการไดอารีเดิมที่มีผู้ใช้อยู่จำนวนหนึ่ง

สำหรับไซต์บล็อกใหญ่ๆ ของเมืองนอกอย่าง blogger.com หรือ blogspot.com นั้นยังไม่ได้รับความนิยมในหมู่นักเล่นชาวไทยเพราะลูกเล่นน้อย และถึงแม้จะใช้ภาษาไทยได้แล้ว แต่คำอธิบายการใช้ยังเป็นภาษาอังกฤษ และใช้บริการบล็อกจากไซต์ในไทยมีบริการที่รวดเร็วกว่า ส่วนที่มีใช้กันบ้างคือบริการ space ของ MSN ซึ่งเป็นลูกเล่นเสริมโปรแกรมเมสเซ็นเจอร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเมืองไทย แต่ยังน้อยมากเมื่อเทียบกับบล็อกหรือไดอารี่ไซต์รายอื่น ๆ

*เมืองไทยยังติดรูปแบบไดอารี่

ชื่อ Blog มาจากคำภาษาอังกฤษว่า “web log” หรือ “weblog” แต่ถูกเรียกสั้นๆ ในเมืองนอก ว่า “blog-บล็อก” จนติดปากไปแล้ว โดยใครก็ได้ที่เข้าเน็ตสามารถเปิดไซต์หน้าเดียวหรือหลายหน้าเป็นของตัวเอง จะเขียนเรื่องราวอะไรก็ได้ตามความสนใจ

ส่วนในเมืองไทยเรามีกระแสนี้ของเราขึ้นมาเองที่เรียกว่า web diary หรือ online diary จนเรียกได้ทั้งสองแบบแต่ความหมายใกล้เคียงกันมาก คำถามที่พบบ่อยของคนที่ไม่เคยสัมผัสแวดวงนี้ก็คือ สองอย่างนี้ต่างกันอย่างไร หรือไม่ต่างกัน?

“ไดอารี่ดูเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่า” ชนกสุ กาญจนพรพงศ์ หนึ่งในผู้บุกเบิกวงการไดอารี่เมืองไทย และก่อตั้งหลายเว็บไดอารี่ขึ้นมา รวมทั้ง diaryhub.com ออกความเห็นพร้อมชี้ว่า ในเมืองไทยคนติดรูปแบบของไดอารี่มากกว่า และไดอารี่ออนไลน์ได้กลายเป็นวัฒนธรรมเฉพาะตัวของโลกอินเทอร์เน็ตเมืองไทย

“บล็อกหรือไดอารี่เป็นเหมือนทูลในการที่ทำให้คนธรรมดาๆ คนนึงกลายเป็นคนที่ได้รับความสนใจจากคนจำนวนมากได้ เป็นที่สนใจได้ง่ายขึ้น” ชนกสุอธิบายพร้อมชี้ว่า การเขียนไดอารี่หรือบล็อกนั้นกำลังแพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะนี้ สำหรับบล็อกเมืองนอก หรือที่มาเสริมใน MSN อย่าง Space นั้น เป็นเพียงของเล่นเสริมของพอร์ทัลที่ทำทุกอย่างแล้วก็มีบล็อกผนวกเข้าไป จะทำให้ป๊อปปูลาร์ได้ต้องใช้เวลา นอกจากนี้รูปแบบการใช้งานยังไม่ง่าย และชื่อยาวมาก คนที่ไม่เล่น MSN จะจำได้ยาก

“เฉพาะในเมืองไทย คนเขียนน่าจะเป็นหลักแสน ถ้ารวมคนอ่านด้วยน่าจะเป็นหลักล้าน เพราะบางคนอาจจะไม่เขียนแต่ชอบอ่านอย่างเดียว” เขากล่าว

ความเห็นนี้ตรงกับ ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการบริษัทตลาดดอตคอม (www.tarad.com) ที่บอกเช่นเดียวกันว่า

“บล็อกเป็นช่องทางให้คนธรรมดาสามารถใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อในการเสนอความคิดตัวเองได้ดีมาก จะไปลงเว็บบอร์ดก็ไม่ใช่สื่อของตัวเอง” เขากล่าวพร้อมกับเสริมแนวคิดเรื่องแหล่งความรู้ออนไลน์ว่า ต่อไปสื่อนี้จะเป็นแหล่งความรู้ใหม่ที่จากเดิมคนเก็บเรื่องที่ตนรู้อยู่กับตัว แต่ต่อไป เว็บบล็อกจะเป็นที่ที่ถ่ายทอดออกไปสู่วงกว้าง อย่างที่เจอมามีนักวิชาการมีโปรแกรมเมอร์เก่งๆ บางรายเขียนบล็อกได้น่าประทับใจมาก

*บล็อก = มาร์เก็ตติ้งทูลใหม่

มากกว่า 1 แสนรายเป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลยในสายตานักการตลาด นอกจากจะสะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว เช่น กิจกรรมการเขียนไดอารี่เคยเป็นเรื่องส่วนตัวได้กลายเป็นกิจกรรมสาธารณะที่ใครก็ได้ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเพื่อนหรือคนรู้จักก็สามารถเข้ามาอ่านได้

แต่ก้าวต่อไปที่น่าจับตาก็คือ จะใช้ประโยชน์จากช่องทางใหม่ สื่อใหม่นี้ได้เช่นไร โดยเฉพาะในเรื่องของธุรกิจที่หลายคนเริ่มมองเป็นเครื่องมือทางการตลาดตัวใหม่ที่ทรงพลังไม่แพ้สื่อแบบเก่า

ในสหรัฐฯ ผู้เขียนบล็อกยอดนิยมหลายรายได้รับการมองไม่ต่างจากคอลัมนิสต์ดังๆ หรือนักข่าวที่สังกัดสื่อมวลชนแบบเดิมเช่น แมกกาซีน หนังสือพิมพ์ วิทยุ หรือทีวี

ตัวอย่างเช่น บล็อกเกอร์ที่เขียนวิจารณ์หนังสือเป็นประจำจะได้รับหนังสือจากสำนักพิมพ์ต่างๆ ส่งให้รีวิว หรือเชิญมางานเปิดตัวหนังสือ บางรายที่เขียนแนะนำหนังก็ถูกค่ายหนังฮอลลีวู้ดเชิญมาร่วมงานรอบปฐมทัศน์ตามเมืองใหญ่ต่างๆ ด้วยซ้ำไป ซึ่งในวงการมาร์เก็ตติ้งอเมริกันกำลังสนใจประเด็นนี้มาก และเป็นการแนะนำสินค้าตรงลงไปยังกลุ่มเป้าหมายที่สนใจ หรือผู้มีอิทธิพลต่อความเห็นของสาธารณชนอย่างแท้จริง

ในเมืองไทย ถึงแม้ส่วนใหญ่จะเป็นเว็บไดอารี่ที่เขียนเล่าเรื่องราวส่วนตัว แต่อิทธิพลที่ส่งผลถึงธุรกิจก็เริ่มเห็นได้ชัด เพราะความเห็นส่วนตัวที่เคยบอกเล่าคุยกันเฉพาะเพื่อนฝูงใกล้ชิด ได้กลายมาเป็นความเห็นสาธารณะที่คนทั้งโลกที่ใช้ภาษาไทยเปิดดูได้ไม่ยาก เช่น หนังเรื่องใหม่ที่เพิ่งเข้าโรงชอบไม่ชอบเพราะอะไร ทำไมไม่ชอบเพลงเบิร์ดชุดใหม่ หรือแม้กระทั่ง ไม่ชอบชาเขียวรสใหม่ คิดยังไงกับแชมพูที่ทำให้ผมร่วง ยี่ห้ออะไร ทำไมหนังสือพิมพ์ไม่ยอมบอกยี่ห้อ โปรโมชั่นมือถือใหม่ทำไมมันห่วยแบบนี้

พูดง่ายๆ ก็คือ ผลกระทบที่ธุรกิจไทยจะต้องเจอในอนาคตอันใกล้นี้ก็คือ ความเห็นจากคนธรรมดาทั่วไปที่เขียนบล็อกได้เริ่มกลายมาเป็น “ความเห็นชี้นำ” ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ไม่ต่างอะไรจากสื่อมวลชน หรืออาจจะแรงกว่าเสียด้วยซ้ำ

เท่าที่ผ่านมาวงการหนังที่จัดว่าไวต่อสื่อใหม่ๆ อย่างอินเทอร์เน็ตนี้ มากกว่าวงการอื่น ได้เริ่มเข้าไปโฆษณาและมีกิจกรรมมาร์เก็ตติ้งกับผู้ให้บริการบล็อกบางรายในบ้านเรากันบ้างแล้ว

ดูเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ Blog หรือ ไดอารี่ออนไลน์ ทำให้รอยแบ่งระหว่าง “สื่อ” กับ “ผู้อ่าน” เริ่มเลือนรางลง ในยุคของบล็อกครองเน็ตแบบนี้ ดูจะแยกยากเหลือเกินว่าอะไรคือ “คอลัมนิสต์” ในหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสาร และอะไรคือ บล็อก

ในทางกลับกัน เว็บบล็อกและไดอารี่ก็อาจเป็นแหล่งข้อมูลการตลาดชั้นดีสำหรับวงการมาร์เก็ตติ้งที่อยากจะรู้ข้อมูลคร่าวๆ หรือหัวข้อแปลกๆ ที่งานวิจัยตลาดทั่วไปไม่มีให้ หรือเสียค่าใช้จ่ายสูงเกินไป เช่น เด็กสาวม.ปลายต่างจังหวัดชอบใช้ปากกายี่ห้อไหน แนะนำขนมอะไรให้เพื่อน ซื้อช็อกโกแลตอะไรเป็นของขวัญให้เพื่อน สาวออฟฟิศเมาท์ให้เพื่อนฟังว่าไปเอ็มเคแล้วกินอะไร ไม่กินอะไร หนุ่มวัยทำงานกินเหล้ากับเพื่อนที่ผับวันก่อนสั่งเหล้ายี่ห้ออะไร หรือดื่มเบียร์อะไร ฯลฯ

แน่นอนว่า ข้อมูลพวกนี้ไม่ใช่งานวิจัยตลาดที่มีคุณภาพ หรือถูกหลักวิชาการ แต่ในแง่ความไวในการมองมาร์เก็ตเทรนด์แล้ว คงบอกได้ว่า ถ้าใครเจอเทรนด์ใหม่ๆ จากการอ่านเว็บบล็อกแล้วละก็ ขอโดนๆ สักรายก็น่าจะคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เพราะหาไม่ง่ายที่ใครจะเล่าความเห็นในชีวิตตัวเองได้มากมายเหมือนกับในเว็บบล็อกหรือไดอารี่ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของสื่อใหม่จริงๆ

“กระแสบล็อกจะเริ่มมีใช้ในทางธุรกิจมากขึ้น ใช้เป็นมาร์เก็ตติ้งทูลในการทำตลาดผลิตภัณฑ์ และเป็นสื่อที่ใช้ในการมาร์เก็ตติ้ง” กติกา สายเสนีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายไอทีของบริษัทโฮสทิฟาย (www.hostify.com) นอกจากนี้ ยังที่รู้จักในวงการอินเทอร์เน็ตและไดอารี่ออนไลน์ในไทยยุคแรกๆ ว่า “เก่ง” (www.keng.com) กล่าวออกความเห็นถึงอนาคตของบล็อกในไทยและต่างแดน ที่ปัจจุบันพลิกโฉมออกสู่วงกว้างมากกว่าในยุคแรกมาก

“ตัวบล็อกจะมีความเฟรนด์ลี่มากกว่าทั้งผู้เขียนและผู้อ่าน ซึ่งเมืองไทยส่วนใหญ่ยังไม่เห็นตรงจุดนี้ มีใช้ในเชิงส่วนตัวเหมือนไดอารี่มากกว่า” กติกากล่าว พร้อมชี้ประเด็นสำคัญต่อว่า ในเมืองนอกมีการใช้เพื่อธุรกิจมากกว่าในไทย จนภาคธุรกิจทางโน้นเริ่มสนใจกันอย่างจริงจัง

“แบรนด์ดังๆ อย่างเช่น Vespa มีการจ้างพนักงานฟูลไทม์ 2 คนมาคอยอัพเดตข้อมูลต่างๆ ลงเว็บ (www.vespaway.com) สำหรับกลุ่มคนที่สนใจ เหมือนเป็นการสร้าง brand awareness ขึ้นตลอดเวลา”

นอกจากนี้ กติกายังได้ยกตัวอย่างที่สร้างความฮือฮาจนเว็บไซต์มาร์เก็ตติ้งใหญ่ๆ ในอเมริกาได้พูดถึงเคสนี้กันอย่างมากมาย เช่น กรณีของรถเช่า Budget ในอเมริกาที่ออกแคมเปญไล่ล่าหาขุมทรัพย์ทั่วประเทศ

แทนที่จะเล่นผ่านสื่อทั่วไป ทางรถเช่าบัดเจ็ตกลับใช้วิธีเล่นเกมและประชาสัมพันธ์ผ่านบล็อกไซต์ www.upyourbudget.com แล้วนำสติกเกอร์ไปแปะซ่อนไว้ตามเมืองต่างๆ 16 เมืองทั่วสหรัฐฯ โดยจัดสัปดาห์ละ 1 เมือง จากนั้นก็ลงคำใบ้เป็นคลิปวิดีโอ ถ่ายตามสถานที่ต่างๆ ของเมืองพอเป็นแนวทางหาสติกเกอร์ให้เจอ ใครที่พบจะได้รางวัลใหญ่โดยแจกสัปดาห์ละ 1 หมื่นเหรียญ โดยผู้ชนะจะต้องเขียนบทความอธิบายมาลงบล็อกนี้ด้วยว่า หาเจอได้ยังไง ตีความคำใบ้ออกอย่างไร

กติกาได้แนะต่อว่า การใช้บล็อกเพื่องานพีอาร์เชิงธุรกิจยังมีประโยชน์มากกว่านั้น เพราะจากที่เคยอ่านผลการศึกษาในสหรัฐฯ มาพบว่า มีผู้อ่านเชื่อถือในข่าวสารที่เสนอโดยบรรดาบล็อกเกอร์ทั้งหลาย มากกว่าข่าวที่เสนอจากสื่อมวลชนทั่วไปเสียอีก

ความเห็นนี้สอดคล้องกับ ทีปกร วุฒิพิทยามงคล เว็บมาสเตอร์ บล็อกไซต์ Exteen.com ที่มองว่า ในกรณีของบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เช่น ไมโครซอฟท์ หรือกูเกิ้ล ก็มีการใช้ blog เป็นเครื่องมือในการกระจายข่าวประชาสัมพันธ์ กันแล้ว และสร้างความเชื่อใจให้กับยูสเซอร์ทั่วไปได้มากกว่า โดยมีรูปแบบที่เข้าใจง่ายและ feedback กลับได้ทันที

คงต้องติดตามต่อไปว่า นิวมีเดียล่าสุดอย่างเว็บบล็อกนี้จะส่งผลสะเทือนต่อวงการโฆษณาและมาร์เก็ตติ้งเมืองไทยมากแค่ไหน และใครจะไวในเรื่องมาร์เก็ตเทร็นด์กว่ากัน

Websites:

www.diarycafe.com
www.diaryclub.com
www.storythai.com
www.bloggang.com
www.whenifallinlove.net
www.blogdd.com
www.diaryhub.com
www.monrak.net
www.monkeystory.com
www.diaryis.com
www.diarylove.com
www.updiary.com/main.php
www.keng.com
www.glomblog.com
www.mumuu.com
www.welovesyenta4.com

เซิร์ชเอ็นจินของบล็อกเมืองนอก:

www.technorati.com
www.blogsearchengine.com
http://blogsearch.google.com