ท่ามกลางกระแสร้อนแรงทางการเมือง บวกกับชีวิตคนที่ใช้เวลาไปกับการออนไลน์มากขึ้น “เว็บไซต์” กลายเป็น “new media” ทำหน้าที่ “สื่อสารมวลชน” ที่ทรงพลัง ในการเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ วัยละอ่อน และกลุ่มคนชั้นกลาง คนทำงาน ซึ่งกำลังเป็นแนวร่วมสำคัญของการชุมนุมทางการเมืองในเวลานี้
ถ้าเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬในปี 2535 มีม็อบมือถือเป็นแรงขับเคลื่อนแล้ว การชุมนุมขับไล่นายกรัฐมนตรีครั้งล่าสุดนี้ มี “ม็อบดิจิตอล” ที่สามารถสร้างแนวร่วมทางการเมือง เมื่อเว็บไซต์ให้ทั้งข้อมูลข่าวสาร เป็นเวทีสาธารณะให้แลกเปลี่ยนข้อมูล แสดงความคิดเห็น เป็นรูปแบบของ “สื่อเสรี” ที่สื่อในโลกใบเก่าไม่สามารถทำได้
การปิดกั้นสื่ออินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ไม่เหมือนกับสื่อดั้งเดิม อย่าง โทรทัศน์ และวิทยุ ซึ่งเป็นระบบสัมปทาน การถูกควบคุมจึงทำได้ง่าย ในขณะที่อินเทอร์เน็ต เป็น “สัญลักษณ์” ของสื่อโลกในโลกเสรี การปิดเว็บไซต์จึงอ่อนไหวต่อความรู้สึกของคนทั่วไป ที่จะถูกต่อต้านจากกระแสสังคมทันทีที่มีการปิดเว็บไซต์
เว็บไซต์อันดับต้นๆ ที่มีบทบาทมากที่สุดในเวลานี้ ก็คือ เว็บ manager.co.th ทุกวันนี้เว็บไซต์ เมเนเจอร์ มียอดของผู้เข้าชมสูงสุดเป็นอันดับ 2 โดยมีผู้เข้าชม 1-1.5 แสนคน และมี 2 ล้านหน้าที่ถูกเปิดอ่านในแต่ละวัน แซงหน้าเว็บ portal และเว็บไซต์ วัยรุ่น ไปได้ขาดลอย
ด้วยความเป็นเว็บข่าวเรียลไทม์ แต่ละวัน นิรันดร์ เยาวภา ในฐานะเว็บมาสเตอร์ต้องไล่ตรวจตราความถูกต้องเหมาะสมของข่าวและความเห็นท้ายข่าวของผู้อ่านโดยรวม ด้วยความเป็นเว็บมัลติมีเดีย นิรันดร์ต้องประสานงานกับสถานีโทรทัศน์ ASTV นำคลิป VDO ภาพข่าวต่างๆ มาลง ทั้งหมดนี้พร้อมไปกับการดูข้อมูลสถิติภาพรวมการเข้าใช้งานเว็บ
ท่ามกลางกระแสข่าวการเมืองเชี่ยวกราก นิรันดร์ได้ถ่ายทอดให้นิตยสาร POSITIONING ได้เห็นถึง position ของเว็บผู้จัดการ โดยเฉพาะในฐานะ “สื่อทางเลือก” ในยุคนี้ที่ประชาชนผู้เสพข่าวสารกำลังต้องการทางเลือกเป็นอย่างยิ่ง
สื่อทางเลือก …
นิรันดร์ฟันธงอย่าง “ไม่เข้าข้างงานของตัวเอง” ว่าเว็บจะเป็นสื่อที่ดีที่สุดในอนาคต ส่วนปัจจุบันก็เป็นสื่อทางเลือกที่โดดเด่น ทั้งด้านความเป็นอิสระที่ทั่วโลกยอมรับยึดถือกันว่าเว็บเป็นสื่อที่เสรีที่สุดมาตั้งแต่เกิดขึ้น และเป็นสื่อความสามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ รวบรวมหลากสื่อไว้ด้วยกัน และการทำธุรกรรมซื้อขาย
“สื่อโทรทัศน์และวิทยุไทยตลอดมา เป็นระบบสัญญาสัมปทานที่ผูกโยงกับอำนาจรัฐและกลุ่มทุนใหญ่ เป็นระบบพึ่งพา รายการส่วนใหญ่จึงต้องเร่งทำรายได้ทันที มากๆ ให้เร็วที่สุด เป็นสูตรสำเร็จอย่างเกมโชว์ ละครรักๆ ใคร่ๆ ส่วนช่วงข่าวก็เน้นพูดถึงผลงานของรัฐบาล ข่าวสารทางราชการ เพราะคลื่นต่างๆ ก็ยังเป็นของรัฐอยู่แทบทั้งหมด”
“ธรรมชาติของเว็บมีความอิสระอยู่ เป็นสื่อที่ไม่ต้องขอสัมปทานหรือพึ่งพาอำนาจอิทธิพลอะไร ต่างจากสื่อทีวี วิทยุ โดยเฉพาะในประเทศไทย จะเห็นชัด เสรีภาพของสื่อรัฐธรรมนูญคุ้มครองอยู่ การจะใช้อำนาจรัฐหรือกฎหมายมาปิดเป็นเรื่องยาก ต้องอาศัยการยกเลิกสัญญาสัมปทานต่างๆ ซึ่งทำได้ง่ายกับสื่อทีวีวิทยุ แต่ยากจะทำกับเว็บ”
“เว็บยังเป็นชุมชนขนาดใหญ่ได้ ตัวอย่างเว็บผู้จัดการที่ถูกใช้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันอย่างกว้างขวาง และเป็นเสมือนม็อบดิจิตอลที่ใช้ตกลงนัดหมายกันไปชุมนุมหลายครั้งที่ผ่านมาทั้งที่สวนลุมพินีและลานพระบรมรูปทรงม้าอีกด้วย”
ส่วนในเชิงธุรกิจ นิรันดร์มองว่าเว็บมีจุดเด่นที่สื่ออื่นไม่มี คือ การโต้ตอบ (interactive) การรับข้อมูลตอบกลับจากผู้ชม ถ้าเป็นโฆษณาก็สามารถเก็บข้อมูลกลุ่มเป้าหมายตอบกลับมาไว้ได้ และอาจพาผู้ชมไปคลิกสั่งซื้อสั่งจองชำระเงินกันผ่านเว็บเลยก็ได้
เทียบฟอร์มวิทยุโทรทัศน์และสิ่งพิมพ์…
ในฐานะอดีตนักข่าวหนังสือพิมพ์ และผู้เสพข่าวจากทีวีอย่างคร่ำเคร่งคนหนึ่ง นิรันดร์ให้มุมมองเปรียบเทียบสื่อเว็บกับสื่อเดิมๆ …
“สื่อหนังสือพิมพ์อาจจะวิเคราะห์และนำเสนอเนื้อหาได้ละเอียดลุ่มลึก ขณะที่เว็บข่าวจะต้องนำข่าวขึ้นเร็วที่สุดตามเวลาจริงทำให้ขาดความรอบคอบไปบ้าง แต่เว็บก็สามารถเพิ่มเนื้อหาจากหนังสือพิมพ์ลงไปได้”
“ส่วนสื่อทีวีและวิทยุอาจจะเข้าถึงง่าย ดูง่าย และสด แต่เว็บยุคนี้ก็ฝังเนื้อหามัลติมีเดียเข้าไปได้ความสด น่าสนใจ ดูง่ายเช่นกัน มีความ Interactive ที่ทีวียังไม่มี ผู้ใช้สามารถโต้ตอบเลือกสรรข้อมูลได้ตามต้องการ”
ยกหลากสื่อมาลงเว็บ…
จุดเด่นของเว็บผู้จัดการในสายตานิรันดร์ คือ ได้ใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตให้มากที่สุด คือความสด และปฏิสัมพันธ์ (interactive) กับผู้ใช้ และที่เน้นเป็นพิเศษคือความเป็นมัลติมีเดีย นอกจากเนื้อข่าว ภาพนิ่ง และความเห็นผู้อ่านแล้ว ก็มีคลิปวิดิโอภาพ คลิปเสียง สไลด์ภาพชุด และถ่ายทอดสดข่าวและรายการทีวีจากช่อง ASTV 1 และวิทยุผู้จัดการ FM 97.75 มาขึ้นเว็บ
กลุ่มเป้าหมาย …
กลุ่มเป้าหมายของเว็บผู้จัดการ คือ ชนชั้นกลาง อายุตั้งแต่ระดับนักศึกษามหาวิทยาลัย คนวัยทำงานใหม่ๆ ไปจนถึงวัยกลางคน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจากที่เคยสำรวจ พบว่าส่วนใหญ่จะเป็นอายุราวๆ 25-35 ปี “ผู้อ่านของเราส่วนใหญ่กำลังสร้างฐานะ เริ่มหาบ้านของตัวเอง หรือรถคันแรก ซึ่งก็จะเห็นได้ว่าโฆษณาส่วนใหญ่ในเว็บผู้จัดการจะเป็นโครงการบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม และรถยนต์ใหม่ๆ”
จุดยืน…
“จุดยืนทางเนื้อหาของเว็บผู้จัดการ คือ นำเสนอความจริงทั้งสองด้าน ในสถานการณ์ขณะนี้ เราเป็นทั้งตัวละครในเหตุการณ์และเป็นสื่อไปพร้อมๆ กัน คือในขณะที่เราเป็นหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล เราก็ถ่ายทอดทุกคำที่นายกรัฐมนตรีหรือฝ่ายรัฐบาลพูดโจมตีเราด้วย”
ยังต้องเดินหน้าต่อไป…
แม้เว็บผู้จัดการจะมีเนื้อหามัลติมีเดียเพิ่มขึ้นมากในรอบปีที่ผ่านมา แต่สัดส่วนการใช้งาน 80% ก็ยังเป็นส่วนข้อความ มีเพียง 20% ที่เป็นการใช้งานมัลติมีเดีย ซึ่งสัดส่วนจะเปลี่ยนได้ก็ขึ้นกับยอดผู้ใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และความเคยชินยอมรับสิ่งใหม่ๆ ของผู้ใช้
นิรันดร์มองการโฆษณาบนเว็บไทยโดยภาพรวมปัจจุบันว่าป้าย Banner โฆษณาต่างๆ บนเว็บไทยหลายๆ แห่งดูจะยังไม่ได้ใช้ประโยชน์จากความสามารถเฉพาะตัวของสื่อเว็บ 3 ข้อ อย่างการโต้ตอบ เก็บข้อมูลผู้ใช้ และการทำธุรกรรมซื้อขาย เท่าใดนัก เอเยนซี่โฆษณาไทยทั้งหลายก็ยังจัดเว็บไปเป็นทางเลือกอันดับหลังๆ ต่อจากสิ่งพิมพ์ ทีวี วิทยุ อาจเพราะด้วยความขาดคนที่สามารถสร้างงานโฆษณาที่ใช้ศักยภาพเว็บได้เต็มที่ และยังขาดเครื่องไม้เครื่องมือความรู้อยู่
เว็บทางเลือก
www.prachathai.com หรือประชาไท อีก 1 เว็บไซต์ ที่เป็นทางเลือกในการบริโภคข่าวสาร ด้วยข้อมูลเจาะลึก และแม้กระทั่งบริการเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์พันธมิตรจำนวนมาก และหน้าแรกของเว็บยังปรากฏแบนเนอร์เชิญชวนร่วมถอดถอนนายกรัฐมนตรี
“ประชาไท” เป็นเว็บไซต์ที่ก่อตั้งโดยอาจารย์จอน อึ้งภากรณ์ ผู้ได้รับรางวัลแมกไซไซ สาขา บริการภาครัฐ เมื่อปี 2548 การดำเนินงานได้รับทุนดำเนินการในปีแรกจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) รวมแล้ว 4.875 ล้านบาท และได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานภูมิภาคของมูลนิธิ Rockefeller ด้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์มูลค่า 2 แสนบาท



