King Kong 2005 เมื่อแมลงสาบโบยบิน

King Kong เวอร์ชั่นแรกเมื่อปี 1933 ตอนนั้นฉันยังไม่เกิด และด้วยเหตุว่าไม่ใช่นักดูหนังตัวยงนักจึงยังไม่เคยดู เมื่อมาพบกับคิงคองของพี่ปีเตอร์ แจ๊กสัน (Peter Jackson) ฉบับปี 2005 จึงไร้ความคาดหวัง คาดหมาย และไม่คิดอะไรอื่นๆ ทั้งสิ้นกับหนังเรื่องนี้ นอกจากว่า “คงจะสนุก!”

อดตาหลับขับตานอน ทำงานๆ บอกกับตัวเองว่า …น่า เดี๋ยวจะได้ดูหนังมันส์ๆ มีลิงยักษ์ตัวเบ้อเริ่มให้ลุ้น ไหนจะโฉมงามและพระเอกสุดหล่อ (ถึงกล้องแกล้งไปหน่อยเหอะ) แล้วยังมีไดโนฯ อีก งานนี้ตีตั๋วให้รางวัลตัวเองล่วงหน้า

แต่ขอสารภาพว่า เมื่อดูหนังคิงคองของพี่ปีเตอร์จบ มึนตึ้บ! แม้โทนเรื่องของหนังจะออกไปทางนัวๆ (ที่เป็นภาษาอีสาน แปลว่า กลมกล่อม) ทั้งเสื้อผ้า ฉาก ไดอะล็อก ฯลฯ ยิ่งงาน CG อย่าไปพูดถึงเลย อลังการอยู่แล้ว

เพราะว่า…พี่ปีเตอร์เขาปั้นตัวละครขึ้นมาตัวนึง ที่ทำให้แม้จะไม่ชอบหนังเรื่องนี้มาก แต่คงต้องจดจำไปตลอดกาล ไม่ใช่พระเอก ไม่ใช่พระรอง หรือแม้แต่น้องหนูผมบลอนด์ แอนน์ แดร์โรว์ (Naomi Watts) แต่เป็นเขาคนนั้น เจ้าของคำพูดเปิดตัวแสนโอ่อ่า

“…ชีวิตมีการพลิกผัน ผมได้ลายแทงมาฉบับนึง หลักฐานเดียวที่จะนำไปสู่เกาะร้างลับแล ที่ซึ่งเชื่อกันแต่ว่า มีแค่ในตำนานเท่านั้น… ผมกำลังพูดถึงโลกโบราณ ที่ไม่เคยมีผู้ใดได้เห็น ซากของมหาอารยะจักรโบราณ งามอลังการที่สุดที่มนุษย์เคยพบ นี่แหละที่ผมจะใช้เป็นฉาก”

จะเป็นใครไปได้ นอกจากผู้กำกับ คาร์ล เดนแฮม (Jack Black) ชายตัวตัน ไม่สูง แต่ความฝันเทียมขอบฟ้า เขาเชื่อของเขาว่า ชีวิตไม่มีทางจนมุม แม้จะถูกตีตราจากนายทุนว่าเป็นคนไม่เอาไหน กำกับหนังก็ไม่เป็น ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ดูเอาเถิด แววตาไม่เคยยอมแพ้ ทำให้ชักเชื่อไปด้วยรำไรว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามก็อยู่ที่นั่น

ไม่ใช่! ความพยายามอยู่ที่ไหน ความ (น่าจะ) สำเร็จก็คงอยู่ที่นั่น!

“ไม่ต้องห่วง… ฉันเจอยังงี้มาเยอะแล้ว… “

เป็นตายร้ายดีอย่างไร ไม่มีวันยอมละทิ้งความฝัน จะทำหนังให้โลกตื่นตะลึง แล้วคุณเดนแฮมก็หลอกทุกๆ คนลงเรือไปด้วยกัน

“บอกทีมงานลงเรือภายใน 1 ชม. บอกว่าโรงถ่ายสั่งให้ร่นขึ้นมาก่อนกำหนด…ฉันไม่ยอมให้หนังพังหรอก!… บอกหรือเปล่าว่าเราไปถ่ายที่สิงคโปร์”

[แต่เราไม่ได้ไปสิงคโปร์ – ผู้ช่วยเถียง]

“โธ่เอ๊ย โกหกน่ะจ้องตาไว้ อย่าให้เขาจับได้!”

ก๊าก…กก…แนะนำได้ยอดเยี่ยมจริงๆ ตั้งแต่บัดนั้น ฉันก็ชักสนุกกับการดูหนังนอกระบบ คือแทนที่จะจดจ่อไปกับพระเอก นางเอก หรือดูว่าเมื่อไหร่คิงคองจะโผล่ อย่ากระนั้นเลย ตามดูพฤติกรรมของคุณเดนแฮมกันดีกว่า ซึ่งไม่ว่าเหตุการณ์จะชุลมุนวุ่นวาย มีคนตายไปกี่คน He ก็มีคำพูดสวยหรูเหมือนเดิม

“ไมค์ตายเพราะทุ่มเทให้สิ่งที่เขาเชื่อ เขาไม่ได้ตายเปล่า มาจะบอกอะไรให้ ฉันจะทำหนังให้เสร็จเพื่อไมค์! จะทำให้เสร็จ แล้วก็อุทิศเงินกำไรให้กับลูกกับเมียเขา เพราะไมค์ก็เหมือนฮีโร่ สมควรได้รับเกียรติอย่างยิ่ง”

ในตอนที่ดูคิงคองนั้น เป็นช่วงที่สถานการณ์บ้านเมืองไม่ค่อยปกติเท่าใดนัก กลเกมทางการเมืองน่าปริวิตกไม่น้อย ใครจะอยู่ ใครจะไป คนที่อยากให้ไปไม่รู้จะมีน้ำอดน้ำทนไปถึงไหน! ดูพฤติกรรมของคุณเดนแฮม ก็ให้คุ้นๆ เหมือนกัน!

ตายไปคนแล้วคนเล่า ทิศทางของการผจญภัยเริ่มไปสู่หายนะ แต่ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเลวร้ายเพียงใด คุณเดนแฮมยังคงความเป็นผู้นำที่เอาแต่ใจตัวเอง โกหกปลิ้นปล้อน ชักแม่น้ำทั้งห้า ปลุกใจคนอื่นเอาประโยชน์เข้าตัวเห็นๆ

[เป็นศพไป 4 ศพแล้วนะ – กัปตันเรือบอก]

มาทันที…วาทะ

“จะบอกอะไรให้นะ เฮอร์เบิร์ตน่ะไม่ได้ตายเปล่า เขาตายเพื่อสิ่งที่เขาเชื่อ สมควรได้รับเกียรติ เขาตายเพราะเชื่อมั่นว่ายังมีสิ่งลี้ลับเหลืออยู่ในโลก…ให้ตายเถอะ เราต้องทำหนังให้เสร็จเพื่อเฮิร์บ เราต้องทำให้เสร็จ และก็อุทิศเงินกำไรที่ได้ให้กับลูกกับเมียเขา”

ฮา ให้ได้หยั่งงี้สิ แล้วคุณผู้กำกับก็พาคณะไปต่อ รายละเอียดของหนังมากกว่านี้คงไม่ต้องเล่า เพราะเดาว่าน่าจะรู้ดีกันหมดแล้ว หรือถ้ายังไม่ได้ดู ขอบอกแค่ว่า คิงคอง 2005 ไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่

แต่…สิ่งที่หลอกหลอนย้อนใจฉันเมื่อดูหนังเรื่องนี้จบ มิใช่เพียงชะตากรรมของคิงคอง ความรักความผูกพันของพระเอกนางเอก หรือการผจญภัยมโหระทึก แต่เป็น…ความมืดดำในจิตใจคน การมุ่งหน้าตามหาความฝันของตัวเอง ที่ยังมีหน้าบอกว่า

“ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ผมมีเรื่องประหลาดสุดอัศจรรย์มาเล่าให้ฟัง เรื่องผจญภัยของเรา ที่ทำให้ 17 ชีวิตในคณะต้องตายอย่างอเนจอนาถ ชีวิตต้องดับสูญ เพื่อจะได้มาซึ่งอสูรกายตัวนี้ วิถีผ่าเหล่าครั้งใหญ่ของธรรมชาติ แต่ต่อให้โหดแค่ไหนก็สยบได้…
“ผมจะให้ท่านพบกับ สุดยอดความยิ่งใหญ่ที่ท่านเคยประจักษ์ มันคือราชาในโลกที่มันอยู่ แต่สำหรับพวกเรา มันก็แค่เชลย”

เจ็บมั้ยล่ะ? มึนมั้ยล่ะ?! ที่น่าเศร้ากว่านั้นคือ เมื่อมองดูรอบตัว โลกของเรา ประเทศของเรา เมืองไทยของเรา แม้แต่ในสังคมเล็กๆ ที่เราอยู่ มีคำพูดชนิดเดียวกันนี้ซุกซ่อนอยู่เต็มไปหมด ประโยคไม่ใช่ แต่ใจความเดียวกัน

มีหลายคนบอกตรงกันว่า ดูหนังเรื่องนี้จบ – สงสารคิงคอง แต่สำหรับฉันแล้ว ที่นำคิงคอง 2005 มาเขียนถึงอีกครั้ง ไม่ใช่ชะตากรรมของสัตว์ แต่เป็นชะตากรรมของคน ในโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ มนุษย์ช่างเป็นพันธุ์ที่สามารถอย่างที่สุด มีทั้งพรนรก พรสวรรค์ สร้างสรรค์และทำลายสิ่งต่างๆ อย่างที่สปีชี่ส์อื่นๆ ตามไม่ทัน!

ณ วันที่เขียนอยู่นี้ สถานการณ์ทางการเมืองก็ยังไม่ปกติดีนัก แต่โลกยังหมุนไป ฉันจึงอยากชวนคุณๆ มาลองดูคิงคองกันอีกรอบ ดูทีว่า ระหว่างคนที่ จุด จุด จุด คนที่คุณก็รู้ว่าใคร (เหลียวซ้ายแลขวาดูสิ อาจเจอเพิ่มนะ) กับนาย Carl Denham ใครน่ารังเกียจกว่ากัน

อย่างที่มีคนประชดว่า

“แมลงสาบก็ยังงี้แหละ ไม่ว่าจะจับกดลงชักโครกไปสักกี่ครั้ง มันก็จะไต่กลับขึ้นมาได้”

ซึ่งคุณเดนแฮมก็มั่นใจมากที่จะตอบว่า

“นี่ไงล่ะ! กลับขึ้นมาแล้ว ไต่อยู่บนขอบคอห่าน และก็พร้อมจะสยายปีก (โบยบิน)”

Cool มั้ยล่ะ… สุดยอดแห่งการเอาตัวรอดจริงๆ!

แถมท้าย

1.คิงคองเวอร์ชั่นแรก ออกฉายครั้งแรกเมื่อ 10 เมษายน ค.ศ. 1933
2.มีหนังสือ 1 เล่มที่ลูกเรือคนหนึ่งอ่านในเรื่อง นั่นคือ Heart of Darkness ของ โจเซฟ คอนราด ซึ่งเคยถูกดัดแปลงเป็นหนังสงคราม Apocalypse Now โดย ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา
3.คิงคอง สวมบทบาทโดย แอนดี้ เซอร์คิส (Andy Serkis) ผู้แสดงเป็นกอลลั่ม ใน The Lord of the Rings (และในคิงคอง ยังแสดงเป็นพ่อครัวประจำเรือด้วย)
4.หนังยาว 3 ชั่วโมง
5.ดูรายละเอียดของ King Kong 2005 ได้อีกที่ www.kongisking.net