เจ๊ จูดี้ ไม่เครียด…ไม่จน

“จูดี้-จุรีพร ไทยดำรงค์” บัณฑิตสาวจากรั้วจามจุรี เรียนจบจากคณะบัญชี แต่หันมาเอาดีกับอาชีพโฆษณา… จนวันนี้มีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะครีเอทีฟหญิงรุ่นใหม่ ที่ขึ้นเวทีกวาดรางวัลทั้งโลคอลและอินเตอร์มาแล้วจนนับไม่ถ้วน…

“จน…เครียด…กินเหล้า… ประโยคโฆษณาสั้นๆ ที่ฮิตติดหูไปทั่วเมือง ก็เป็นหนึ่งในหลายๆ ผลงานที่สร้างชื่อให้กับเธอ

สาวมั่นผู้มีเอกลักษณ์โดดเด่น เพราะพกพา ไอเดีย ลีลามุกตลก เรียกรอยยิ้ม เสียงหัวเราะจากคนรอบข้างอยู่เสมอๆ จนเพื่อนๆ เคยตั้งฉายา “จูดี้ มีสมมนต์”

อีกทั้งด้วยความช่างคิด ช่างพูด อันเป็นเสน่ห์ประจำตัวของเธอ บวกกับความมุ่งมั่น อดทน และมีใจรักในอาชีพ ทำให้นักสร้างสรรค์โฆษณาหญิงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถคนนี้ ประสบความความสำเร็จในอาชีพอย่างน่าสนใจ

จูดี้ มีพื้นเพเดิม เป็นคนแปดริ้ว เติบโตมากับครอบครัวค้าขาย และเป็นเจ้าของค่ายมวย เธอเป็นลูกสาวคนสุดท้อง ซึ่งมีพี่ชายคนโตเรียนหมอ คนรองเรียนวิศวะ ขณะที่เธอเรียนบัญชี ตอนเอนทรานซ์เข้าเรียนขั้นมหาวิทยาลัย เพราะชอบคณิตศาสตร์ ซึ่งทำให้ต้องเรียนวิชาสถิติ ซึ่งเปรียบเหมือน “ยาขม” สำหรับนิสิตสาวจูดี้

“ตอนเรียนบัญชี ปี 3 เลือกเอกสาขาสถิติ กลับรู้สึกไม่ชอบ เพราะไม่เคยทำงบบัญชี 2 ด้านไม่เท่ากัน และไม่ถนัดเรื่องทำบัญชี เลยไปเลือกเรียน Major การตลาดแทน ทำให้มีโอกาสได้เรียน Introduction Advertising ทำให้รู้สึกชอบ สนุก และมีความเป็นไปได้” จูดี้ บอกกับ POSITIONING

การค้นพบตัวเองครั้งนั้น ส่งผลให้จูดี้หันเห “ความสนใจ” มาเรียนวิชาเกี่ยวกับโฆษณาอย่างจริงจังและปูพื้นฐานอาชีพอย่างตั้งใจ โดยเฉพาะการหาประสบการณ์บนเวทีประกวดกับเพื่อนๆ ต่างคณะจนได้รางวัลเป็นค่าขนม ยิ่งเป็นแรงขับให้เธอมั่นใจมากขึ้น

“จริงๆ แล้วสนใจโฆษณามาตั้งแต่เด็กๆ ประมาณ 5-6 ขวบ สมัยอยู่ต่างจังหวัด ที่บ้านมีทีวีก็จะดูแต่โฆษณา ตอนนั้นมีโฆษณาหมู่บ้านเสนานิเวศน์ ชอบมากๆ ดูเรื่อยๆ มา อาจเป็นเพราะมันจบเร็วมั้ง (หัวเราะ) แค่ 30 วินาที และอาจเป็นเพราะเราเป็นคนมีสมาธิสั้น จากนั้นก็หายไปพักหนึ่งไม่ค่อยได้ดู

พอตอนเรียนมหาวิทยาลัยได้กลับมาเรียนโฆษณาก็ได้กลับมาดูโฆษณา ทำให้ความชอบกลับมาอีกครั้ง ดังนั้นในปี 3 ตัดสินใจเรียนและตั้งเป้าหมายทำงานด้านโฆษณาเลย แต่เพราะตัวเองไม่ได้เรียนนิเทศฯ มา เลยพยายามเรียนรู้วิชาเพิ่มเติมด้านนิเทศศาสตร์บ้าง และ Join คณะสถาปัตย์ ลงเรียนวิชาการเขียน Copy เบื้องต้น หรือ Art Appreciation และติดตามข้อมูลข่าวสารจากนิตยสารการตลาด

ตอนนั้นรู้จักแมกกาซีนคู่แข่ง ซึ่งช่วงนั้นหนังสือให้นักศึกษาทำแคมเปญโฆษณาประกวด เป็นโครงการเจ้าพระยากับตาวิเศษ รวมทีมกับเพื่อนปี 4 จากคณะนิเทศฯ เพื่อนคณะสถาปัตย์ทำแคมเปญส่งเข้าประกวดได้รางวัลที่ 2 เลยรู้ว่าโฆษณามันก็ไม่ได้ยากเกินไป เราทำได้แม้ไม่ได้เรียนมาก็ตาม”

ผลงานโฆษณาที่ได้รางวัลครั้งนั้น ยังได้ช่วยเติม “เชื้อไฟ” ของอาชีพนักโฆษณาให้อีกครั้ง ทำให้เธอตัดสินใจสมัครเข้าทำงาน กับ Inhouse Agency ขนาดเล็กของห้างเดอะมอลล์ ซึ่งสร้างประสบการณ์อันคุ้มค่าและแววรุ่งของนักโฆษณาแนว มันส์ …ฮา ก็ได้อุบัติขึ้นที่นั่น

“สมัยนั้นเดอะมอลล์ทำโฆษณาดีๆ หลายตัว ได้ทำงานเลย หลังจากสมัครงานทั้งที่ยังเรียนไม่จบ แต่เอาแฟ้มผลงานตราช้าง ซึ่งเป็นผลงานประกวดตอนเรียนมาให้เค้าดู เลยได้ทำงานอยู่แผนก ส่วนงานบริหารการตลาด มีลูกค้า คือ เดอะมอลล์ 1-2-3 และ Home Fresh Mart เวลามีแคมเปญอะไรก็มา Brief เพื่อให้ทำโปรโมชั่น โฆษณาและวินโดวส์ดิสเพลย์ และอีเวนต์ อีกทั้งคิดธีมงานโปรโมชั่น ทั้งลดกระหน่ำ ลดระห่ำ 3 วันซ้อน… หรือคิดธีมโฆษณาของ Home Fresh Mart Copy คำเก๋ๆ น้ำมา ปลาเลยลด… เจ สารพัดจาน (หัวเราะ) ทั้งลงไปทำงานผู้กำกับเวที (Stage Manager)

อีกทั้งยังได้ฝึกทำหนังโฆษณาง่ายๆ ต้นทุน 3.5 หมื่นบาท ต้องแก้ปัญหาด้วยเขียน Copy ให้สนุกๆ ตั้งชื่อผลงานให้มันส์ๆ ซึ่งทีมมาร์เก็ตติ้งก็ชอบนะ เพราะงานที่ลูกค้าดึงมาทำเองจากเอเยนซี่ส่วนมากจะห่วย (ความรู้สึกตอนนั้น) นับเป็นประสบการณ์ที่ดีและคุ้มค่ามากๆ เพราะทำให้เราทำงานเป็นทุกอย่าง”

แม้จะเรียนรู้ทำงานเป็นทุกอย่าง แต่ก็ “ไม่ใช่” นักโฆษณาอาชีพเต็มตัว อีกทั้งเพื่อนๆ ที่เคยทำงานด้วยกันลาออกไปทำเอเยนซี่ที่ใหญ่กว่า นั่นคือตัวเร่งที่ทำให้จูดี้ต้องตัดสินใจกับอนาคตใหม่อีกครั้ง และครั้งนั้นนับเป็น “จุดเปลี่ยน” ครั้งสำคัญยิ่ง

“ตอนนั้นสมัคร AE เพราะกลัวว่าไปสมัครเป็นครีเอทีฟแล้วไม่ได้ ซึ่งคิดว่าน่าจะง่ายกว่าๆ นะ ก็ถูกเรียกตัวไปคุยกับแผนก Client Service ทั้ง 3 แห่ง (Amex Grey, D&R และ JWT) เพราะ ชอบงานของทุกแห่ง และชอบมากที่สุด ของ Amex &Grey ชุดส้มตำ สีกัปตัน และรองเท้า Convert

ที่ Amex &Grey โชคดีได้คุยกับคุณกิตติ ซึ่งแกเห็นผลงานเราที่เคยทำงานหลายอย่าง เห็นหน่วยก้านดี เลยให้ไปอยู่แผนกครีเอทีฟดีกว่า… ดีใจมากแทบเป็นลม (จับเก้าอี้แน่น) จำได้ว่า บอกแกไปตรงๆ ว่า ตอนแรกอยากมาสมัครเป็นครีเอทีฟ ซึ่งหนูไม่ได้จบทางนั้นมา แต่ในใบสมัครเขียน AE /…(หัวเราะ) แกเห็นเราตลก เลยให้เป็น Junior Copywriter จากนั้นเราไม่เคยปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยไปเลย ”

จาก “Junior Copywriter เล็กๆ ” จนกลายเป็น “ครีเอทีฟใหญ่ ” ระดับชั้นแนวหน้า มีผลงานพิสูจน์กึ๋น จากเวทีประกวดทั้งในประเทศและต่างประเทศ จุรีพรบอกว่าต้องทำงานหนัก ทุ่มเท และอดทน กว่าจะมาถึงจุดนี้ ที่สำคัญ “ต้องขยัน” มากกว่าคนอื่นๆ หลายเท่า เธอเล่าประสบการณ์เรียนรู้แบบ “ครูพัก ลักจำ” ให้ฟังอย่างน่าสนใจว่า

“ตอนนั้นทำงานที่ Amex&Grey ทีมงานส่วนใหญ่งานยุ่ง เราไม่อยากไปรบกวนพี่ๆ เลยใช้วิธีการแอบดู (หัวเราะ) หลังจากพี่กลับบ้านกันหมดแล้ว ตั้งแต่ 6 โมงเย็นขึ้นไป เดินเข้าไปที่คอกทำงาน อ่านงานของพี่ๆ แล้วหัดจับประเด็นงาน ชอบงานอันไหนก็จำๆ เก็บเอามาวิเคราะห์ ทำไมงานชิ้นนี้ถึงดี ทำไมถึงชอบ และหาสูตรให้ตัวเอง

บางครั้งเวลามีการ Pitching งานเราก็อาสาสมัครเป็น Proofreader ทำให้ได้เรียนรู้อะไรมาก รู้ว่าการคิดแคมเปญมาจากไหน โจทย์ ปัญหา วัตถุประสงค์ที่ต้องการ และตีโจทย์ออกมา เพื่อ Communication อย่างไร วิเคราะห์สถานการณ์ทางการตลาด คู่แข่งเป็นอย่างไร

ส่วนงานวิจัย ทำเพื่ออะไร ต้องมีข้อมูลสินค้า คู่แข่ง และคอนซูเมอร์ รวมทั้งการคิดเชิงกลยุทธ์ต้องทำอย่างไร ควรใช้เทคนิคไหนในการคิด หรือการทำให้ลูกค้ารู้สึกเป็นเหตุเป็นผลในสิ่งที่เราพูด ประสบการณ์อันนี้…สุดยอดเลย เพราะตอบโจทย์งานโฆษณา”

จากฐานะ “นักแก้โจทย์” หรือ “ครีเอทีฟโฆษณา” ซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาว จากอเยนซี่ชั้นนำหลายแห่ง อาทิ ดีวายอาร์, ลีโอ เบอร์เน็ต, ซาทชิ แอนด์ ซาทชิ กระทั่ง รีซัลท์ เอเยนซี่ในเครือโอกิลวี่ เนิ่นนานนับ 10 ปี ทำให้เธอค้นพบ “สัจธรรม” เส้นทางนี้ พร้อมกับไอเดียบรรเจิด “เถ้าแก่เนี้ยว” ที่ Jeh United บริษัทเอเยนซี่น้องใหม่ที่ขอแจ้งเกิดในวงการอีกราย

“มองเห็นช่องทาง โอกาส เพราะเคยทำงานในเอเยนซี่ใหญ่มาหลายแห่ง พบว่า “กลยุทธ์และงานครีเอทีฟ” เป็นสิ่งสำคัญในการตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละราย อีกทั้งเอเยนซี่ใหญ่เสียเวลากับค่าใช้จ่ายต่างๆ มาก เรื่องไม่เป็นเรื่อง (การเอาใจเจ้านายฝรั่ง จัดเลี้ยงปาร์ตี้ใหญ่โต หรูหรา, การตกแต่งออฟฟิศใหญ่โต หรูหรา) เงินเหล่านี้มาจากลูกค้า ดูแล้วไม่แฟร์ รู้สึกเบื่อ และน่าเสียดาย ทำไมไม่ได้มาพัฒนา 2 อย่างนี้ (การคิดเชิงกลยุทธ์และงานครีเอทีฟ) เลยตัดสินใจมาเปิดเอเยนซี่เอง เน้นให้ผลงานเป็นตัวบอกระดับเอเยนซี่ และอยากทำงานเป็นมืออาชีพ และอยากสร้างมืออาชีพที่ทำงานอยู่กับเรารุ่นต่อๆ ไป

Positioning บริษัท วางเป็น Creative Power House หรือ Creative Boutique เน้นงานด้านไอเดีย คุณภาพงานครีเอทีฟ ในแง่ความแตกต่างจากเอเยนซี่ เนื้องานที่ทำอาจไม่แตกต่างมาก แต่คุณภาพของงานแต่ละงานมากกว่าที่แตกต่าง”

นอกจากการทำงานเป็นเจ้าของบริษัทเอง แล้ว เจ๊จูดี้ ล่าสุด เธอยังมี่ตำแหน่งเป็น “อาจารย์ใหม่” ของสถาบัน เทรนดิ้ง ด้านครีเอทีฟ จากออสเตรเลีย เพราะความตั้งใจที่อยากแบ่งปันประสบการณ์ เพื่อสร้างเด็กรุ่นใหม่ประดับวงการโฆษณา

“ส่วนตัวตั้งใจที่จะสอนและเปิดเป็น Academy เพื่อสอนครีเอทีฟรุ่นใหม่ ที่ทำงานโฆษณา เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาเห็นว่าต้องอาศัยการ Train ล่าสุดเมื่อ Award School ชื่อดังจากออสเตรเลีย ซึ่งมีโปรแกรมการเทรนครีเอทีฟอันโด่งดัง และมีครีเอทีฟระดับโลกมากมาย ติดต่อเราให้ไปเป็นอาจารย์ใหญ่ เลยตกลง เพราะจะได้รู้วิธีการสอน และ Trainning เผื่อไปเสนอแนะสมาคมโฆษณา เพราะขณะนี้สมาคมมีโครงการทำ Post Graduate อยู่แล้ว”

คงไม่แปลกนัก หากชื่อ “จุรีพร ไทยดำรง” จะปรากฏในทำเนียบนายกสมาคมโฆษณา อีกคนหนึ่งในอนาคต เพราะอานิสงส์ที่มีต่อคนรุ่นหลังในวงการนี่เอง !!!

เหนื่อยนัก… พักตรงนี้

บ้านตึก 2 ชั้นหลังใหญ่ ราคา 11 ล้าน สไตล์บาหลี ห้อมล้อมด้วยรั้วละต้นไม้เขียวขจี ย่านวัชรพล ในโครงการ Noble Wana บ้านยอดนิยมของคนแวดวงโฆษณา คือแหล่งพักกาย หย่อนใจ ที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของครีเอทีฟสาวมือเก๋า…เจ้าของเอเยนซี่ชื่อเก๋ Jeh United หรือ เจ๊จูดี้ ซึ่งอาศัยอยู่กับคุณแม่วัย 70 ปี และพี่ชายคนรอง มาได้ไม่นาน ราว 2 ปีกว่า

ชีวิตประจำวันในบ้านหลังนี้ของเวิร์คกิ้ง วูแมน เต็มไปด้วยกิจวัตรที่ต้องทำเป็นประจำทุกวัน หลังจากตื่นนอนยามเช้าประมาณ 7.30-8.00 น. ชาร์จแบตเตอรี่สมองด้วยการเริ่มคิด วางแผนงานแต่ละวัน เพื่อสะสางงาน ปัญหาที่คั่งค้าง และงานที่ต้องทำให้เสร็จ

จากนั้นติดต่อลูกค้า และโทรสั่งงานลูกน้องที่บริษัท ในช่วงเช้า ตามด้วยดื่มกาแฟหนึ่งถ้วย และอาบน้ำและเตรียมตัวเดินทางไปทำงานออฟฟิศ ด้วยรถยนต์คู่กาย Honda สีดำ เพื่อไปตรวจงาน โดยเฉพาะงานครีเอทีฟ และหากมีประชุมข้างนอก มีโปรดักชั่นสำคัญก็ไปเลย ไม่เข้าออฟฟิศ และกลับบ้านอีกครั้งหลังเวลาล่วงไป ราว 3-4 ทุ่ม เป็นอย่างน้อย

ที่บริเวณบ้านและที่ทำงาน เธอเลี้ยงสุนัขที่ทำงานและจรจัด ซึ่งเป็นกิจกรรมหลักที่เธอเต็มใจ สมัครใจทำ และทำอย่างมีความสุข คือการเลี้ยงสุนัขทั้งหมด 100 ตัว และหากมีเวลาว่างเมื่อใดเธอจะลงมือคลุกอาหารเลี้ยงบรรดาน้องหมาเหล่านั้นด้วยตัวเอง

นอกจากกิจกรรมโปรดสัตว์แล้ว เธอยังชอบการหนังสือ แม้ระยะหลังจะไม่ค่อยมีเวลาอ่านหนังสือมากนักก็ตาม แต่หนังสือที่อ่านประจำ ขาดไม่ได้ คือนิตยสาร Creativity เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของครีเอทีฟทั่วโลก