การได้พรีเซ็นเตอร์ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เหมือนอย่างที่หลายสินค้าที่ได้นักกอล์ฟระดับโลก อย่างไทเกอร์ วูดส์ มาร่วมในแผนการตลาด
เริ่มจากไนกี้ ที่เริ่มเซ็นสัญญากับ ไทเกอร์ วูดส์เมื่อปี 1996 ต่อมาในปี 1998 ไนกี้ก็ขยายธุรกิจด้วยการเปิด ”ไนกี้ กอล์ฟ” จนในปี 2006 “ไนกี้ กอล์ฟ” กลายเป็นร้านจำหน่ายอุปกรณ์กอล์ฟที่มีรายได้เป็นอันดับ 4 จากตลาดรวมที่ 5,800 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งไทเกอร์ วูดส์ คือผู้สร้างรายได้ให้ไนกี้ กอล์ฟ 650 ล้านเหรียญสหรัฐ
เพาเวอร์ของไทเกอร์ วูดส์ ยังช่วยสินค้าอีกหลายบริษัททั้งในแง่ของภาพลักษณ์ และสร้างยอดขาย อย่างค่ายรถเจเนอรัล มอเตอร์ ที่ไทเกอร์ วูดส์ ช่วยสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับ Buick จากรถสำหรับคนแก่ รายได้ปานกลาง ให้ดูดี และคนรุ่นใหม่อยากใช้มากขึ้น โดยเฉพาะในจีน และแคนาดา
ธุรกิจของ EA Sports ก็พึ่งไทเกอร์ วูดส์ในการทำวิดีโอเกม จนทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 3 เท่าจาก 500 ล้านเหรียญ ในปี 1999 เป็น 1,600 ล้านเหรียญในปีนี้ อิทธิพลของไทเกอร์ วูดส์ ยังส่งไปถึงคนทั่วไป ให้หันมาสนใจเล่นกอล์ฟมากขึ้น โดยจากผลวิจัยของมหาวิทยาลัยอินเดียนา พบว่าจำนวนคนเล่นกอล์ฟเพิ่มขึ้นปีละ 5% นับตั้งแต่ไทเกอร์ วูดส์ เทิร์นโปร
สำหรับรายได้ของไทเกอร์ วูดส์เองนั้น ฟอร์บส์ได้รายงานว่าเมื่อปีที่แล้วเขาทำรายได้ 87 ล้านเหรียญสหรัฐ จากสัญญาการเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้าต่างๆ ประกอบด้วยไนกี้,อเมริกัน เอ็กซ์เพรส, BUICK ค่ายจีเอ็ม, ACCENTURE , TAG HEUER และ EA Sports