เครื่องประดับครองโลก

ถ้าพูดถึงนักวิจารณ์แฟชั่นฝีปากกล้าชั่วโมงนี้ ชื่อของ “กฤษณราช จินดาวงศ์” แห่งรายการ “แฟชั่นโฟกัส” อดีตบรรณาธิการ 2 นิตยสารแฟชั่นดัง ต้องมาเป็นอันดับต้นๆ เทรนด์แฟชั่นในปี 1997 จะเป็นอย่างไร เขามีคำตอบ

ปีแห่งเครื่องประดับ

กฤษณราช ฟันธงว่า เทรนด์ของแฟชั่นในปี 2007 จะมุ่งไปที่ “เครื่องประดับ” ที่กำลังมาแรงแซงโค้งแฟชั่นอื่นๆ เขาประเมินจาก ดีไซเนอร์ของทั่วโลกเวลานี้ต่างมุ่งไปที่ เครื่องประดับกันทั้งนั้น

“แม้แต่ดีไซเนอร์ของโลกที่ไม่เคยใช้เครื่องประดับเลย ก็ยังหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ซึ่งเครื่องประดับนี้จะใส่ทั้งผู้หญิงผู้ชาย”

เครื่องประดับที่มาแรงสุดๆ ก็คือ การออกแบบเครื่องประดับ “ของจริง” แล้วให้ดูเหมือนของ “เก๊” ใส่ทั้งของจริงของเก๊

เขายกตัวอย่าง พลอยสี ซึ่งเป็นเครื่องประดับประจำ “สปริง/ซัมเมอร์” ปีนี้การออกแบบพลอยสี จะไปในรูปแบบของออกแบบของแพง ให้ดูไม่แพง ดูเป็นของเล่น ไม่ว่าจะเป็นสายสร้อย กำไล ตุ้มหู ทุกอย่างทำให้ดูเป็นของปลอม

“ถ้าเป็นมรกต ก็ทำให้ดูเป็นของปลอม คือจะเน้นเรื่องความสนุก อย่างจิวเวลรี่ของฝรั่งก็ออกแบบออกมาให้ดูบ้าบอคอแตก ออกแบบเป็น นกฮัมมิงเบิร์ด ใช้เพชรประดับทั้งตัว คือทำให้จิวเวลรี่ที่เป็นของสนุกๆ และก็ประโคมใส่กันเต็มที่”

แต่ข้อที่ต้องระวัง คือ ถ้าใส่เครื่องประดับมากๆ แล้ว แบบเสื้อต้องน้อย

หัวกะโหลกมาแรง

เทรนด์แฟชั่นที่มา พร้อมๆ กับแฟชั่นเครื่องประดับ ก็คือ ลาย “หัวกะโหลก” ที่เริ่มมาตั้งแต่ปีที่แล้วแต่ยังไม่แรงมาก จะมาแรงมากขึ้นในปี 2007 ซึ่งแฟชั่นหัวกะโหลกนั้นจะมีตั้งแต่ลายหัวกะโหลกไปจนถึงเครื่องประดับ

“ที่มากับกะโหลก คือความเป็นร็อก ซึ่งร็อกนั้นจะเต็มไปด้วยเครื่องประดับ ที่สามารถใส่ไปเลยตั้งแต่เส้นละ 100 บาท ยันเส้นละ 1 แสน”

ความนิยม แฟชั่น หัวกะโหลก จะใช้ได้หมด ถ้าเป็นวัยรุ่น จะเป็นเสื้อลายหัวกะโหลก ส่วนคนอายุมากขึ้น อาจเป็นเรื่องของกระเป๋าลายหัวกะโหลก หรือเครื่องประดับ

อันที่จริงแล้วหัวกะโหลกไม่ใช่ของใหม่ แต่นิยมมาตั้งแต่สมัยร็อกแรงๆ มีหลายแบรนด์เอากะโหลกมาใช้ ลูกเล่นจะเยอะขึ้น มีคริสตัล แล้วแต่ใครจะไปหยิบอะไรมาใช้

แฟชั่นใหม่หายาก

ในมุมมองของกฤษณราช เขาเชื่อว่าแฟชั่นเวลานี้ไปถึงจุดที่ “ไม่มีอะไรใหม่” เกือบจะหยุดนิ่งแล้ว เพราะแฟชั่นทุกอย่างเกิดขึ้นมาหมดแล้ว ไม่ว่ากระโปรงสั้นมาก หรือกางเกงสั้นมากๆ กระโปรงบาน กระโปรงสั้น กระโปรงสอบ เกิดมาหมดแล้ว จนแทบจะไม่มีอะไรใหม่แล้ว

“ผู้หญิงเอเชีย จะมีกระเป๋ารองเท้าเยอะมาก มีทุกแบบ ทุกสี รองเท้าเป็นอีกอย่างเหมือนกัน ที่ไม่มีของใหม่เกิดขึ้นอีกเช่นกัน มันจบไปแล้วสำหรับแฟชั่น ไม่มีใครคิดของใหม่ให้เกิดขึ้นได้อีก เวลานี้ ทุกคนคิดหมดแล้ว ไม่มีเรื่องใหม่”

แม้ว่ารูปทรงแฟชั่นไม่เปลี่ยน แต่ในแง่ของวัสดุ และรูปทรง ไม่มีเปลี่ยนแปลง ส้นรองเท้าของผู้หญิงแทบไม่เปลี่ยน มันจะมีส้นเข็ม ส้น
กฤษณราชบอกว่า คนส่วนใหญ่ยังสับสน ระหว่างแฟชั่น กับ “Trend” Trend เป็นแค่กระแส จะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ อย่างสปา ถือว่าเป็น Trend ไม่ใช่แฟชั่น ถ้าเป็นเรื่องของแฟชั่นจะมีการเปลี่ยนแปลงปีละ 2 ครั้ง เป็นอย่างน้อย คือ วินเทอร์ และสปริง / ซัมเมอร์

สำหรับแฟชั่นฤดูหนาว หรือวินเทอร์ จะนิยมลาย “ทหาร” ซึ่งดีไซเนอร์ทุกคนพยายามหาความแตกต่าง โดยมีตั้งแต่ทหารปัจจุบัน ทหารเวียดนาม และย้อนไปดึงเอาทหารในยุคนโปเลียนมาใช้กัน

สปริง / ซัมเมอร์ กฤษณราช เชื่อว่า ไม่มีอะไรมากไปกว่าการ “สีสัน” และเนื้อผ้าบางเบาลง

แฟชั่น Out

ส่วนแฟชั่นที่กำลัง หลุดออกไปจากความนิยม คือกระโปรงบอลลูน เป็น พัมพ์กิ้น เข้ามาในช่วง Winter สาเหตุที่ไปไวเพราะ “เกินจริง” ไปหน่อย เนื่องจากอากาศเย็น แฟชั่นเขาจึงดูใหญ่ๆ

เศรษฐกิจกำหนดแฟชั่น

กฤษณราช มองว่า ภาวะเศรษฐกิจตกไม่มีผลกระทบต่อแฟชั่น ถ้าเป็นแฟชั่นราคาแพง ลูกค้าที่ซื้อสินค้าระดับนี้ก็มีเงินจ่ายอยู่แล้ว ส่วนคนชั้นกลางก็อาจหาซื้อของที่ราคาถูกลงมา ประเภท Second Brand

ถ้าพลิกประวัติศาสตร์แฟชั่นกันแล้ว เขากลับมองว่า “เศรษฐกิจ” เป็นตัวกำหนดแฟชั่น ยิ่งเศรษฐกิจเลวร้ายเท่าไหร่ คนจะถูกกด และไปหันหาทางทางออก ด้วยการแต่งตัว

“ถ้าเศรษฐกิจดี เฟื่องฟู คนจะแต่งตัวกันในแนวคลาสสิก เพราะไม่มีแรงกดดัน แต่ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี ทางออกของคนคือ แต่งตัว แต่จะเป็นทางออกของรูปแบบแตกต่างกันไป เช่นแฟชั่น ฮิปปี้ ที่เกิดขึ้นในยุคแสวงหา”

ข้อแนะนำ

แฟชั่นของคนทำงาน เวลานี้สถานที่ทำงานหลายแห่งให้พนักงานแต่งตัวสบายๆ สวมเสื้อยืด กางเกงยีนส์ แต่ในมุมมองของกฤษณราชแล้ว คนทำงานควรแต่งตัวด้วยชุดทำงาน เพื่อสร้างบรรยากาศให้กับการทำงาน

“อย่างวันศุกร์ ที่ทำงานหลายแห่งให้พนักงานใส่ชุดไปเที่ยว เสื้อยืดกางเกงยีนส์ ปรากฏว่า พนักงานทำงานแค่ครึ่งวัน อีกครึ่งก็เลยหายไปเที่ยวกันเลย”

เขาเปรียบเทียบคนทำงานในต่างประเทศ กับคนไทย จะแตกต่างกันค่อนข้างมาก สาวออฟฟิศในต่างประเทศ จะใส่รองเท้าผ้าใบ วิ่งขึ้นรถเมล์ เมื่อถึงออฟฟิศจะหยิงเอา รองเท้าแบรนด์เนมมาใส่ Prada มาใส่ แต่ในบ้านเรากลับกัน เดินทางไปทำงานใส่ส้นสูง มียี่ห้อ แต่พอถึงที่ทำงานเปลี่ยนไปใส่รองเท้าแตะ

“คนเอเชีย ส่วนใหญ่ ชอบโชว์ออฟ เสื้อผ้าแสนแพง ฝรั่งไม่กล้าซื้อ แต่สาวจีนคว้าไปเรียบแล้ว เราจะเป็น Extrovert มากกว่า Introvert ทำให้เรารับแฟชั่นเร็วมาก เร็วกว่าฝรั่งด้วยซ้ำ”