การออกแบบบ้าน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 20 Sep 2022 02:15:14 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Dulux ประกาศ “สีแห่งปี” 2023 ใกล้ชิดธรรมชาติกับสีทองอ่อน Wild Wonder https://positioningmag.com/1400813 Mon, 19 Sep 2022 14:05:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1400813 แบรนด์สีทาบ้าน Dulux ประกาศ “สีแห่งปี” 2023 คือสี ‘Wild Wonder’ สีที่ทางบริษัทอธิบายคุณลักษณะเป็น “สีทองอ่อนเหลือบเขียวเล็กน้อย” โดยได้รับเลือกในฐานะสีที่สะท้อนถึงการฟื้นตัวจากโรคระบาด ทำให้มนุษย์ต้องการจะกลับไปใกล้ชิดธรรมชาติอีกครั้ง

Dulux มองภาพโลกในยุคหลังโรคระบาดกำลังก้าวไปสู่ “ความยั่งยืน” มนุษย์กำลังกลับไปใช้ชีวิตกลางแจ้งกันอีกครั้ง รวมถึงต้องการจะอยู่ติดดินใกล้ชิดธรรมชาติ หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนกันมาแล้ว

“ความสัมพันธ์ของเรากับธรรมชาติกลายเป็นสิ่งที่รู้สึกว่ามีค่าและควรทะนุถนอมไว้มากกว่าที่เคย” Dulux UK แจ้งในแถลงการณ์เปิดตัวสีประจำปี

สำหรับสี Wild Wonder นั้นเป็นตัวแทนของความรู้สึกดังกล่าว เพราะเป็น “สีทองอ่อนเหลือบเขียวเล็กน้อย ได้แรงบันดาลใจมาจากเมล็ดพันธุ์สดใหม่กับธัญพืชที่เพิ่งถูกเก็บเกี่ยวมา”

Dulux สีแห่งปี 2023

สี Wild Wonder ยังสร้างความรู้สึกที่ดีต่อสุขภาพจิต ซึ่งเป็นสิ่งที่โลกนี้ต้องการมากยิ่งกว่าที่เคย ทั้งจากเหตุการณ์ล็อกดาวน์เพราะไวรัสโคโรนาและวิกฤตทางธรรมชาติที่เรากำลังเผชิญ

“เมื่อคนเราค้นหาแรงสนับสนุน ความเชื่อมโยง แรงบันดาลใจ และสมดุลในโลกวันนี้ พวกเขาจะดำดิ่งสู่โลกมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติเพื่อค้นหาสิ่งเหล่านั้นให้เจอ” แบรนด์ Dulux ระบุถึงที่มาของสี

Dulux สีแห่งปี 2023

สีนี้ถือว่าเป็นสีโทนกลางๆ ให้ความรู้สึกเชิงบวก ใกล้เคียงกับธรรมชาติ และจะทำให้รู้สึกดีเมื่อสีนี้มาอยู่ในบ้าน

แบรนด์ Dulux มองว่าสี Wild Wonder สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลาย เช่น ใช่ในห้องนั่งเล่นที่ต้องการโทนอบอุ่นและสว่าง ไปจนถึงการใช้งานในพื้นที่สาธารณะ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล

ภาพตัวอย่าง ใช้สี Wild Wonder แต่งแต้มบางส่วนในพื้นที่สาธารณะ

Dulux มีการเลือกสีประจำปีทุกๆ ปี และปีนี้เป็นปีที่ 20 แล้วที่มีการจัดทำ โดยจะมีการวิจัยสีของทางบริษัทเอง รวมถึงหารือและทำเวิร์กช็อปต่อเนื่อง 3 วันกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมสีทั่วโลก ก่อนจะตัดสินใจว่าสีไหนจะได้เป็นสีประจำปี

เมื่อปีที่แล้วคือสีประจำปี 2022 ทางแบรนด์ได้เลือกสีชื่อว่า Bright Skies โดยเป็นสีฟ้าสดใสของท้องฟ้า เพื่อสื่อให้เห็นถึง “การเริ่มต้นใหม่” ที่ทุกคนปรารถนาในห้วงเวลานั้น

Source

]]>
1400813
โครงการเมืองใหม่ใน “สิงคโปร์” สู้โลกร้อน ทำระบบหล่อเย็นทั้งอาคาร แก้ปัญหาค่าไฟแอร์พุ่ง https://positioningmag.com/1308626 Wed, 02 Dec 2020 09:03:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1308626 ทำความรู้จักโครงการเมืองใหม่ Tengah ในสิงคโปร์บนพื้นที่กว่า 4,300 ไร่ ออกแบบให้เป็น “เมืองในป่า” คอนเซ็ปต์ที่พักอาศัยลดโลกร้อน ซ่อนที่จอดรถ ถนน ทางรถไฟฟ้าไว้ใต้ดิน เพื่อให้ด้านบนเป็นทางคนเดินและที่ปลูกต้นไม้ทั้งหมด ตัวอาคารติดโซลาร์รูฟเพื่อจ่ายไฟให้ระบบหล่อเย็นในตึก ลดการใช้แอร์ ต้นเหตุค่าไฟพุ่งและทำลายสิ่งแวดล้อม

Tengah โครงการพัฒนาเมืองใหม่ในสิงคโปร์เริ่มขึ้นช่วงปลายปี 2018 โดยเป็นโครงการระยะยาว พัฒนาบนพื้นที่กว่า 4,300 ไร่ ทางตะวันตกของย่าน Bukit Batok จุดประสงค์ของโครงการนี้ต้องการให้เป็นย่านที่พักอาศัยจำนวน 42,000 ยูนิตที่จะทยอยสร้างขึ้นในระยะเวลา 20 ปี

แต่สิงคโปร์ไม่ได้จะสร้างแค่แฟลตที่พัก โครงการนี้ถูกออกแบบในลักษณะ “เมืองใหม่” ทั้งโครงการ เพราะต้องการให้เป็นเมืองที่ช่วยลดโลกร้อน ตอบโจทย์แนวโน้มอนาคตที่โลกของเราจะร้อนขึ้นเรื่อยๆ

ที่ตั้งของเมืองใหม่ Tengah ทางตะวันตกของสิงคโปร์ ติดกับย่าน Bukit Batok

ปัจจุบันความร้อนในสิงคโปร์ก็มากอยู่แล้ว โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ย 27 องศาเซลเซียสตลอดปี ทำให้ชาวสิงคโปร์ใช้เครื่องปรับอากาศกันมาก และปล่อยคาร์บอนออกสู่ชั้นบรรยากาศมากยิ่งกว่าประเทศที่มีขนาดใหญ่กว่าสิงคโปร์ 50 เท่า มีงานวิจัยที่พบว่า การใช้พลังงานไฟฟ้าเพื่อสร้างความเย็นให้สิงคโปร์นั้นจะพุ่งขึ้นถึง 73% ภายในช่วงปี 2010-2030 หากไม่มีการจัดการใดๆ

ดังนั้น รัฐบาลสิงคโปร์จึงวางนโยบายลดการปล่อยคาร์บอนให้ได้ภายในปี 2030 และจะลดให้ถึงครึ่งหนึ่งของปัจจุบันภายในปี 2050 เมืองใหม่ Tengah จึงพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองจุดประสงค์นี้

 

เมืองในป่า…ที่ไม่ใช่แค่ปลูกต้นไม้เท่านั้น

โครงการนี้รับผิดชอบโดยการเคหะแห่งชาติสิงคโปร์ โดยวางคอนเซ็ปต์เป็น “เมืองในป่า” ใช้สโลแกนว่าผู้พักอาศัยที่นี่จะได้ “อยู่บ้านกับธรรมชาติ” และไม่ใช่แค่ปลูกต้นไม้ให้เยอะๆ แต่โครงสร้างพื้นฐานจะสนับสนุนให้ชาวสิงคโปร์ใกล้ชิดธรรมชาติอย่างยั่งยืน ดังนี้

1) เมืองแรกของประเทศที่จะเป็นเขต “ไร้รถยนต์” บนดิน เพราะถนนและทางรถไฟฟ้าส่วนใหญ่จะอยู่ใต้ดิน ทำให้พื้นที่บนดินเป็นทางเดิน ทางจักรยาน ปลูกต้นไม้ คนเดินถนนจะปลอดภัยจากการจราจร และมีพื้นที่ทำกิจกรรมกลางแจ้งมากขึ้น

2) จัดพื้นที่ให้มีฟาร์มชุมชนสำหรับคนพักอาศัยใช้ปลูกสวนครัว ซึ่งจะนำไปสู่การจัดตลาดเกษตรกรชุมชน และอาหารแบบ farm-to-table

เมืองในป่า ส่งเสริมการเดินและขี่จักรยาน ถนนส่วนใหญ่จะอยู่ใต้ดิน

3) ระบบหล่อเย็นส่วนกลาง (บางส่วนในโครงการ) ระบบนี้จะติดตั้งโซลาร์รูฟ เพื่อผลิตไฟฟ้าทำความเย็นให้น้ำในท่อประปาหล่อเย็นทั้งอาคาร ช่วยลดการใช้ไฟฟ้าของเครื่องปรับอากาศ

4) ระบบจัดการขยะแบบอัตโนมัติ ใช้ระบบท่อส่งขยะจากอาคารตรงไปรวมกันที่ศูนย์จัดการขยะส่วนกลาง ไม่ต้องใช้แรงคนในการเก็บขยะ ลดโอกาสหกเลอะและส่งกลิ่นเหม็น และจะนำขยะไปใช้เป็นเชื้อเพลิงพลังงานชีวมวล

5) พร้อมตอบรับรถยนต์ไฟฟ้า โดยจะมีแท่นชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ทุกแห่ง

6) ใช้ระบบ AI ในการตรวจสอบการใช้ไฟฟ้า เช่น ตรวจสอบปริมาณมนุษย์ในพื้นที่นั้นๆ เพื่อประเมินระดับการจ่ายไฟถนนที่เหมาะสม หรือภายในบ้านแต่ละหลังสามารถตรวจสอบปริมาณการใช้ไฟฟ้าของตัวเองได้เพื่อช่วยกันประหยัดไฟ

 

ระบบหล่อเย็นอาคาร แนวคิดใหม่ที่ท้าทาย

หนึ่งในเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในโครงการที่น่าสนใจ คือ ระบบหล่อเย็นอาคาร โครงการนี้ดำเนินการโดย SP Group โดยจะมีการติดตั้งโซลาร์รูฟไว้บนอาคารเพื่อผลิตพลังงานมาทำความเย็นในท่อหล่อเย็น บริษัทกล่าวว่า ระบบนี้จะลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้ถึง 30% เท่ากับการลดการปล่อยคาร์บอนเทียบกับเท่ากับรถยนต์ใช้น้ำมัน 4,500 คัน

โดยผู้พักอาศัยสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ระบบหล่อเย็นส่วนกลางนี้ หรือใช้เครื่องปรับอากาศแบบเดิม ดังนั้น ความท้าทายสูงสุดของระบบคือการเชิญชวนให้ผู้พักอาศัยหันมาเลือกใช้ระบบหล่อเย็นแทน และสิ่งที่จะชักจูงใจชาวสิงคโปร์ได้ คือต้องแนะนำให้เห็นว่าระบบจะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากขนาดไหน

ใช้ระบบโซลาร์รูฟผลิตไฟฟ้าเพื่อหล่อเย็นในอาคาร (Photo : Lauryn Ishak/Bloomberg)

ขณะนี้การเคหะฯ สิงคโปร์เสนอขายแฟลตในโครงการ Tengah ไปแล้ว 8,000 ยูนิต ในจำนวนนี้มีผู้ซื้อเกือบ 1,000 รายที่ยอมใช้ระบบหล่อเย็นส่วนกลาง และจะได้เข้าอยู่อาศัยจริงกันในช่วงปลายปี 2022 ถึงต้นปี 2023

ชอน ว่อง กับ เบฟเวอร์ลี่ ตัน คู่รักหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่ตัดสินใจซื้อบ้านในโครงการนี้และลงชื่อใช้ระบบหล่อเย็น เปิดเผยว่า ทั้งคู่ยอมใช้ระบบดังกล่าวแทนเพราะมีวิถีชีวิตรักษ์สิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้เสื้อผ้าและเครื่องอุปโภคบริโภครักษ์โลก และทุกวันนี้ก็ใช้พัดลมมากกว่าเครื่องปรับอากาศ

ระบบท่อส่งขยะใต้ดินของ Tengah

SP Group ยังเป็นผู้บริหารระบบจัดการขยะให้โครงการนี้ด้วย โดยโครงการจะเดินท่อจากในอาคารลงใต้ดิน และขยะจะถูกส่งไปตามท่อเหล่านี้สู่ศูนย์จัดการขยะส่วนกลาง ดังที่กล่าวไปว่า ประโยชน์ของวิธีนี้คือลดใช้แรงงานคน ลดโอกาสการหกเลอะ ส่งกลิ่นเหม็น และเป็นแหล่งดึงดูดแมลง แต่เหนือไปกว่านั้นคือขยะจะถูกนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงชีวมวลสำหรับผลิตไฟฟ้าด้วย

เห็นได้ว่าสิงคโปร์กำลังคิดการใหญ่กับการสร้างเมืองใหม่แห่งนี้ มีการยกระดับจากเดิมที่สิงคโปร์มีพื้นที่สีเขียวสูงมากอยู่แล้ว โดยมีพื้นที่สีเขียว 66 ตร.ม. ต่อประชากร 1 คน สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ไปสู่การลดการปล่อยคาร์บอน ผ่านการลดใช้ไฟฟ้าในอาคาร และลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว เพื่อให้การดูแลสิ่งแวดล้อมเป็นไปอย่างยั่งยืน

Source: Bloomberg, HDB Singapore

]]>
1308626
รีวิวโครงการ : “บ้านภูริปุรี คอร์ทยาร์ด – พัฒนาการ” ทาวน์เฮาส์ที่มี “สวน” ไว้กลางบ้าน https://positioningmag.com/1303557 Thu, 29 Oct 2020 09:51:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1303557 ปกติทาวน์เฮาส์ที่เราคุ้นเคยมักจะมีเลย์เอาต์ที่ใกล้เคียงกัน คือเป็นกล่องสี่เหลี่ยมแนวยาวซอยเป็นห้องต่างๆ มักจะรับแดดได้ไม่มากและมีพื้นที่สวนเฉพาะด้านหลัง ทำให้สถาปนิกโครงการ “บ้านภูริปุรี คอร์ทยาร์ด – พัฒนาการ” ต้องการแก้โจทย์นี้ ด้วยการออกแบบทาวน์เฮาส์เล่นระดับที่มี “สวน” อยู่กลางบ้าน ทำให้แดดและพื้นที่สีเขียวถูกเข้าถึงได้จากทุกห้อง

แบรนด์บ้านภูริปุรีนั้นเกิดจากกลุ่มสถาปนิกที่รวมตัวกันออกแบบแก้โจทย์ที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะโจทย์ของ “ทาวน์เฮาส์” ตัวเลือกการอยู่ในเมืองในราคาที่ไม่แพงเกินไป แต่ภายในบ้านกลับยังไม่เหมาะกับการอยู่อาศัย เพราะแสงแดดจะเข้าได้เฉพาะด้านหน้ากับหลังบ้านเท่านั้น และจุดที่เห็นพื้นที่สีเขียวมีเพียงแค่สวนหลังบ้าน ซึ่งมักจะต้องนำไปทำเป็นลานซักล้าง หรือต้องปลูกไม้ประดับบนระเบียงบ้านแทน

สำหรับโครงการ “บ้านภูริปุรี คอร์ทยาร์ด – พัฒนาการ” เป็นโครงการที่ 5 ของแบรนด์ พัฒนาผ่านการร่วมทุนของ บริษัท ภูริปุรี จำกัด และ บมจ.แอสเซทไวส์ เอกลักษณ์ของโครงการนี้คือการแก้โจทย์ข้างต้น ด้วยการปรับให้ทาวน์เฮาส์มีคอร์ทยาร์ด หรือ “สวน” ไว้ตรงกลางบ้าน

บ้านภูริปุรี คอร์ทยาร์ด – พัฒนาการ

ดีไซน์ใหม่ของที่นี่ จะใช้ที่ดินต่อแปลง 32-48 ตร.ว. แบ่งแปลง หน้ากว้าง 5.35 เมตร และเป็นแนวยาวเข้าไป ลึก 18-22 เมตร ส่วนบ้านตัวอย่างหลังที่เราได้ชมจะเป็นไซส์ L คือลึก 20 เมตร ดังนั้น ถือว่าเป็นทาวน์เฮาส์ที่ค่อนข้างใหญ่กว่าปกติเป็นฐานในการดีไซน์

ด้านหน้าบ้านจะเป็นลานจอดรถตามปกติ สามารถจอดได้ 4 คัน (แบบซ้อนคัน) เมื่อเปิดประตูเข้าไปจะเป็นบันไดไปพบกับสวนกลางบ้านก่อน สวนนี้จะเล่นระดับอยู่ตรงกลางระหว่างพื้นที่ห้องทานอาหารชั้น 1 กับห้องนั่งเล่นบนชั้น 2 และพื้นที่สวนจะเปิดโล่งขึ้นไปจนถึงชั้น 3 ของบ้าน ต้นไม้สามารถรับแดดรับลมได้เต็มที่ แต่มีการติดตั้งหลังคาเลื่อนสั่งการด้วยรีโมต สามารถเลื่อนปิดได้เมื่อฝนตกหรือเวลาที่ต้องการ

เมื่อเข้าประตูบ้านทางขวา เดินขึ้นบันไดมาจะเจอกับสวนกลางบ้านเป็นอย่างแรก

เมื่อมีสวนอยู่กลางบ้าน ทำให้ความรู้สึกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เพราะการใช้พื้นที่ไม่เหมือนกับทาวน์เฮาส์ปกติ แต่ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านเดี่ยวขนาดเล็กที่มีสวนกลางบ้าน เป็นโอเอซิสพักสายตาและอารมณ์ให้กับผู้อยู่อาศัย

สำหรับการใช้พื้นที่ชั้น 1 ด้านหลังสวนจะเป็น “ห้องทานอาหาร” และ “ครัวแบบไอส์แลนด์” สามารถเปิดบานเลื่อนกระจกเชื่อมต่อกับสวนได้เป็นเนื้อเดียว ถัดจากห้องอาหารจะเป็นมุมห้องทำงาน และหลังบ้านยังเหลือที่เล็กๆ ไว้ปลูกต้นไม้เพิ่มเติมได้

ห้องทานอาหารและครัวแบบไอส์แลนด์ เชื่อมต่อกับสวนผ่านประตูกระจกบานเลื่อน

ส่วนชั้น 2 ที่เชื่อมต่อกับหน้าสวน จะเป็น “ห้องนั่งเล่น” เพดานสูงดับเบิลวอลุ่ม ตรงจุดนี้ไม่เพียงแต่ได้สีเขียวจากสวนกลางบ้าน แต่ระเบียงด้านหน้ายังมีการปลูกต้นลีลาวดีและเหลืองชัชวาลซึ่งเป็นไม้เลื้อยให้ด้วย พร้อมฝังระบบรดน้ำอัตโนมัติ เจ้าของบ้านเพียงแต่เปิดวาล์วน้ำรดน้ำ ไม่ต้องยุ่งยากในการดูแลรักษา เมื่อเหลืองชัชวาลเลื้อยเต็มตะแกรงหน้า facade จะทำให้ทาวน์เฮาส์เขียวชอุ่มสวยงาม

ห้องนั่งเล่นเพดานสูง มองไปทางหน้าบ้านจะเป็นระเบียงปลูกต้นลีลาวดี

จากสวนกลางบ้านมีบันไดเดินต่อไปที่ชั้น 2 ฝั่งหลังบ้าน ส่วนนี้จะเป็น “มาสเตอร์เบดรูม” ขนาดใหญ่ เชื่อมต่อกับ walk-in closet อ่างอาบน้ำ และห้องน้ำ จุดที่น่าสนใจคือบริเวณเตียงนอนจะรับแดดอ่อนๆ ได้จากสวนกลางบ้าน เปิดม่านนอนได้แบบไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว

ห้องนอนมาสเตอร์ วิวสวนส่วนตัว

ขึ้นบันไดต่อเนื่องถึงชั้น 3 ส่วนนี้จะเป็น “ห้องนอนเล็ก” วางเตียง 3.5 ฟุตได้สบายๆ และ “ห้องเล่นเด็ก” อีกห้องหนึ่ง ซึ่งจะปรับไปเป็นห้องอเนกประสงค์ใช้งานอื่นๆ ก็ได้ และมีอีกจุดไฮไลต์ที่น่าสนใจคือ “ห้องซักรีดและระเบียงตากผ้า” ที่นำมาไว้บนชั้น 3 แทน เพราะผู้ออกแบบมองว่าปกติเสื้อผ้าที่ซักรีดมักจะมาและไปจากห้องนอนของเรา ดังนั้นห้องซักรีดที่อยู่บนชั้น 3 น่าจะตอบโจทย์กว่าเพราะอยู่ใกล้ห้องนอนมากกว่า

 

สวนที่เป็นหัวใจของบ้าน

กลับมาที่การใช้งานสวนกลางบ้าน จุดที่น่าสนใจคือการมีหลังคาเปิดปิดได้ โดยเป็นหลังคาแบบโปร่งแสง จึงไม่ต้องกลัวว่าเมื่อปิดลงแล้วจะทึบทึมไปหมด

และเมื่อปิดหลังคาสวนแล้ว สามารถเปิดหน้าต่าง ประตูเลื่อน และเปิดแอร์ทั้งบ้านเพื่อให้ความเย็นมาถึงสวนได้ ในกรณีที่เจ้าของบ้านจะจัดปาร์ตี้รับแขก แต่ไม่ต้องการความร้อน

วิวสวนมองจากห้องนอนมาสเตอร์ จะเห็นว่าด้านบนเป็นหลังคาเลื่อนแบบโปร่งแสง สั่งการได้ด้วยรีโมต และฝั่งตรงข้ามคือห้องนั่งเล่นของบ้าน

ส่วนตัวสวนนั้นออกแบบไม่ให้เป็นสวนลงดิน แต่เป็นกระบะขนาดใหญ่รองรับการปลูกต้นไม้ ซึ่งสถาปนิกได้คำนวณขนาดกระบะแล้วว่าเมื่อลงดินปริมาณเท่ากับกระบะ จะทำให้ต้นไม้ไม่สามารถเติบโตเกิน 3 ชั้นและทะลุหลังคาออกไป ส่วนพื้นที่ที่เหลือสามารถจัดสวนลงไม้กระถางต่างๆ ตามรสนิยมของเจ้าของบ้านได้เลย

 

จ่ายสูงกว่าเพื่อดีไซน์

ว่ากันที่ทำเลโครงการบ้าง “บ้านภูริปุรี คอร์ทยาร์ด – พัฒนาการ” อยู่ในซอยพัฒนาการ 32 ถือว่าเป็นย่านที่ยังค่อนข้างใกล้เมืองอยู่ และเป็นย่านที่มีทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ จนถึงคอนโดมิเนียมอยู่ในละแวกเดียวกัน

ตัวโครงการนี้เป็นโครงการเล็กๆ ตั้งอยู่บนที่ดิน 5 ไร่ แบ่งแปลง 37 ยูนิต เนื้อที่ดินแปลงละ 32-48 ตร.ว. เป็นทาวน์เฮาส์ 3 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 241-298 ตร.ม. ฟังก์ชัน 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ ราคาขายเริ่มต้น 14.2 ล้านบาท สูงสุด 22 ล้านบาท

walk-in closet และอ่างอาบน้ำ

เมื่อเทียบกับโครงการใกล้เคียงกัน จะมีโครงการ Shizen พัฒนาการ 32 ซึ่งเป็นทาวน์เฮาส์ 3 ชั้นครึ่ง พื้นที่ใช้สอย 210 ตร.ม. เปิดขายราคา 7.7 ล้านบาทในขณะนี้

เห็นได้ว่าถ้าเทียบกับโปรดักต์เดียวกันในทำเล ถ้าคิดเป็นราคาต่อยูนิตบ้านภูริปุรีจะราคาสูงกว่าเกือบเท่าตัว หรือถ้าเทียบเป็นราคาต่อตร.ม. ราคาสูงกว่าประมาณ 60%

อย่างไรก็ตาม มีลูกค้าจองซื้อไปแล้วถึง 14 ยูนิต แม้ว่าจะแพงกว่ามาก ด้วยดีไซน์ที่แตกต่างไม่เหมือนใคร ทำให้ลูกค้าที่มีงบในระดับ 15-20 ล้านบาท มีสิทธิ์เปลี่ยนใจจากบ้านเดี่ยวในโซนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า-กรุงเทพกรีฑา มาเป็นโครงการนี้แทนเพื่อให้ใกล้เมืองขึ้น โดยยังได้ที่อยู่อาศัยในอารมณ์บ้านเดี่ยวและมีพื้นที่ใช้สอยใกล้เคียงกันนั่นเอง

 

Facts โครงการ บ้านภูริปุรี คอร์ทยาร์ด – พัฒนาการ

ผู้พัฒนา: บริษัท ภูริปุรี จำกัด ร่วมกับ บมจ.แอสเซทไวส์
มูลค่าโครงการ: 530 ล้านบาท
ที่ดิน: 5 ไร่
ทำเล: ซอยพัฒนาการ 32
จำนวนแปลง: 37 ยูนิต
แบบบ้าน: ทาวน์โฮม 3 ชั้น 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ
– เนื้อที่ดิน 32-48 ตร.ว.
– พื้นที่ใช้สอย 241-298 ตร.ม.
ราคาเริ่มต้น: 14.2 ล้านบาท
ก่อสร้างเสร็จ: ส่งมอบยูนิตแรก ไตรมาส 4/63

]]>
1303557
บอกลาห้องชุดจิ๋ว 21 ตร.ม. เทรนด์ “คอนโดฯ” ยุคใหม่กลับมาใหญ่ขึ้น – มีห้องทำงาน https://positioningmag.com/1303448 Wed, 28 Oct 2020 10:37:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1303448 สถานการณ์ COVID-19 เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอยู่อาศัยของคน ต้องการพื้นที่ในห้องมากขึ้นโดยเฉพาะ “ครัว” และ “ห้องทำงาน” ทำให้ห้องชุดต้องมีพื้นที่เริ่มต้น 27-28 ตร.ม. จึงจะเพียงพอ พร้อมปรับพื้นที่ส่วนกลางให้เป็นส่วนตัวขึ้น มีจุดรับเดลิเวอรี่-พัสดุเพื่อป้องกันด้านสุขอนามัย

“ไพทยา บัญชากิติคุณ” ผู้ก่อตั้ง ATOM Design บริษัทสถาปนิกที่เชี่ยวชาญด้านการออกแบบที่อยู่อาศัย เปิดเผยถึงเทรนด์สำคัญที่เกิดขึ้นหลังประเทศไทยผ่านสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 พบว่าความต้องการของผู้อยู่อาศัยเปลี่ยนไป ต้องการห้องชุดคอนโดมิเนียมที่ใหญ่ขึ้น มีฟังก์ชันครบ

โดยเฉพาะจุดที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดคือ “ครัว” และ “ห้องทำงาน” เพราะช่วงล็อกดาวน์อยู่กับบ้านทำให้ผู้อยู่อาศัยหันมาทำอาหารทานเอง และเมื่อมีการ Work from Home การใช้โต๊ะกินข้าวหรือโต๊ะกาแฟหน้าโซฟาทำงานจึงไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป ควรจะมีมุมทำงานหรือห้องทำงานเป็นสัดส่วน

ห้องครัวในคอนโดฯ เทรนด์ใหม่จะกลับมาสู่ชุดครัวที่ทำอาหารได้จริง (ภาพจากโครงการศุภาลัย พรีเมียร์ สี่พระยา-สามย่าน)

ย้อนกลับไปในอดีต ห้องชุดในคอนโดฯ มีแนวโน้มจะเล็กลงเรื่อยๆ ตามราคาที่ดินกรุงเทพฯ ที่พุ่งสูงขึ้น โดยกฎหมาย กำหนดไว้ว่าห้องชุดต้องมีพื้นที่ใช้สอยไม่ต่ำกว่า 21 ตร.ม. โดยสถาปนิกพบว่าห้องชุดขนาดที่นิยมจะมีพื้นที่ใช้สอยไม่ต่ำกว่า 24 ตร.ม. และเทรนด์การออกแบบห้องเล็กขนาดนี้จะพยายามตัดส่วนที่ไม่จำเป็นออก เช่น ครัวที่เล็กลงเรื่อยๆ

แต่เมื่อเกิดจุดเปลี่ยน COVID-19 ในปีนี้ดังที่กล่าวข้างต้น การออกแบบปัจจุบันทำให้ห้องมีพื้นที่ใช้สอยไม่ต่ำกว่า 27-28 ตร.ม. เพื่อให้ครัวกลับมาใช้ทำอาหารได้ ไม่ใช่เป็นครัวอุ่นอาหารเท่านั้น และห้องแบบ 1 ห้องนอนพลัส คือมีห้องย่อยไว้เป็นห้องทำงาน เริ่มเป็นที่นิยมสูงขึ้น

 

ห้องใหญ่ขึ้นแต่ราคาต้องเท่าเดิม

อย่างไรก็ตาม เมื่อห้องปรับใหญ่ขึ้นจาก 24 ตร.ม. เป็น 28 ตร.ม. โดยปกติราคาต้องเพิ่มขึ้นตามประมาณ 20% หากคิดราคาต่อตร.ม.เท่าเดิม แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ผู้ซื้อไม่สามารถจ่ายแพงขึ้นอีก 20% ได้ กลายเป็นโจทย์ของนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จะกดราคาลงมาให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสมกับตลาด ทำให้ผู้ซื้อจ่ายเท่าเดิมแต่ได้ห้องใหญ่ขึ้นให้ได้

ไพทยาให้ความเห็นว่า ต้นทุนที่ผู้ประกอบการสามารถต่อรองได้ในสภาวะนี้คือ “ที่ดิน” ซึ่งบางแปลงปัจจุบันสามารถต่อราคาลงได้ 20-30% เพราะเจ้าของที่ดินอาจมีความจำเป็นต้องเร่งขายเพื่อนำเงินสดไปหมุนธุรกิจ

ยุคเศรษฐกิจฝืด ที่ดินบางแปลงยอมลดราคา 20-30% ขึ้นอยู่กับการเจรจา และความจำเป็นขายของเจ้าของที่ดิน

อีกส่วนหนึ่งคือ “ค่ารับเหมาก่อสร้าง” เนื่องจากสภาวะนี้ทำให้ผู้รับเหมาแข่งขันกันลดราคาสูงมาก จนล่าสุดมีโครงการที่มีผู้รับเหมาประมูลงานได้ในราคาที่ถูกที่สุดในรอบ 5 ปี

สำหรับผู้ประกอบการที่ดัมพ์ราคาเปิดขายให้ต่ำกว่าตลาด 20% ขึ้นไปเริ่มมีให้เห็นแล้วในปีนี้ และราคาที่ถูกลงส่งผลให้ยอดขายดี ยกตัวอย่างโครงการที่ขายดีจน Sold Out ปิดการขายทั้งโครงการได้ท่ามกลางเศรษฐกิจฝืด เช่น ศุภาลัย พรีเมียร์ สี่พระยา-สามย่าน, ดิ ออริจิ้น อ่อนนุช, โมดิซ ลอนช์ ทียู รังสิต เป็นต้น

 

พื้นที่ส่วนกลางไม่เพิ่ม แต่ต้องเป็นส่วนตัว

ด้าน “พื้นที่ส่วนกลาง” ที่เป็นอีกข้อกังวลของคนอยู่คอนโดฯ ในช่วง COVID-19 ไพทยามองว่าโครงการไม่สามารถเพิ่มพื้นที่ให้ใหญ่ขึ้นเพื่อเว้นระยะห่างจากกันได้ เพราะจะมีผลกับราคาขาย แต่ในพื้นที่ส่วนกลางขนาดเท่าเดิม ต้องมีการจัดแบ่งใหม่ให้เหมาะกับวิถีชีวิต New Normal

วิถีชีวิตใหม่ต้องการที่ทำงานในบ้าน อย่างน้อยควรมีมุมตั้งโต๊ะทำงานแยกจากโต๊ะทานอาหาร (ภาพจากโครงการ โมดิซ ไรห์ม รามคำแหง)

ยกตัวอย่างเช่น คอนโดฯ บางแห่งที่จะจัดให้มี Co-working Space ในโครงการ จากเดิมอาจจะวางโต๊ะยาวนั่งรวมกัน ก็ต้องพิจารณาปรับมาเลือกเป็นโต๊ะเก้าอี้แบบ Private Booth มีที่กั้นเป็นสัดส่วนมากขึ้น เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกสบายใจ

นอกจากนี้ ยังต้องจัด ส่วนรับสินค้าเดลิเวอรี่และพัสดุ ต่างหาก เพื่อป้องกันไม่ให้คนนอกเข้ามาในพื้นที่ส่วนกลางมากเกินไป และเฝ้าระวังทำความสะอาดได้ง่าย จุดนี้ถือเป็นส่วนสำคัญมากสำหรับโลกยุคใหม่ เพราะจากการเก็บสถิติพบว่า โครงการที่มีจำนวนห้องชุด 300 ห้อง จะมีการรับพัสดุและเดลิเวอรี่เฉลี่ยวันละถึง 100 ชิ้น

สำหรับเทรนด์การออกแบบเหล่านี้และการออกแบบในประเด็นอื่นๆ สามารถติดตามเพิ่มเติมได้จากงานสัมมนาและเอ็กซ์โป ACT Forum’20 Design + Built ระหว่างวันที่ 18-22 พ.ย. 63 ที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีหัวข้อสัมมนาที่น่าสนใจ เช่น การออกแบบโรงแรมและคอนโดฯ ในยุค COVID-19, การปลูกป่ากลางเมืองเรื่องที่ทำได้จริง, คุณภาพชีวิตใหม่ในบ้านพักคนงาน, Circular Economy in Architecture เป็นต้น

]]>
1303448
“เอ็นริช” เปิดบ้านหรูแนวใหม่รับกำลังซื้อฟื้น ยกพื้นที่สวนไว้ชั้น 2 – สไตล์จัดบ้านแบบ “คอนมาริ” https://positioningmag.com/1281590 Mon, 01 Jun 2020 16:08:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1281590
  • กลุ่มบริษัท “เอ็นริช” เปิดตัวโครงการใหม่ The MARQ Exquisite ราชพฤกษ์ – จรัญสนิทวงศ์ บ้านเดี่ยว 3 ชั้นสไตล์โมเดิร์น ราคาเริ่มต้น 29 ล้านบาท
  • ดีไซน์บ้านโดยสถาปนิกไอดิน ยกพื้นที่สวนไว้ชั้น 2 ตอบโจทย์การอยู่อาศัยแบบใหม่ และร่วมกับที่ปรึกษา “คอนมาริ” ลงรายละเอียดฟังก์ชันการจัดบ้านแบบมาริเอะ คอนโดะ
  • CBRE มองสถานการณ์ตลาดบ้านเดี่ยวหรูราคามากกว่า 15 ล้านบาทฟื้นตัวแล้ว หลังหยุดชะงักไปในช่วง COVID-19 ระบาดหนัก
  • “สุพิชา ณัฐสุวรรณพล” ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารธุรกิจ กลุ่มบริษัทเอ็นริช เปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวแห่งใหม่ The MARQ Exquisite ราชพฤกษ์ – จรัญสนิทวงศ์ มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท เป็นโครงการบ้านเดี่ยว 3 ชั้นบนที่ดิน 23 ไร่ จำนวน 65 หลัง ราคาเริ่มต้นหลังละ 29 ล้านบาท เปิดพรีเซลวันที่ 6-7 มิ.ย. 63

    เอ็นริช เป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์มานานกว่า 15 ปี ที่ผ่านมาเน้นพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับกลางถึงบนเป็นหลัก ภายใต้แบรนด์ เช่น เอ็นริช พาร์ค, The MARQ และ AI (อัยย์) และมักจะพัฒนาในพื้นที่กรุงเทพฯ โซนตะวันตกซึ่งเป็นย่านถนัด

    “สุพิชา ณัฐสุวรรณพล” ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารธุรกิจ กลุ่มบริษัทเอ็นริช

    สำหรับ The MARQ Exquisite ราชพฤกษ์ – จรัญสนิทวงศ์ เป็นโครงการล่าสุด และมีการร่วมทุนกับ บริษัท ไซบุแก๊ส จำกัด จากญี่ปุ่นในอัตราส่วนถือหุ้น 51:49 โดยไซบุแก๊สเป็นบริษัทเก่าแก่จากฟุกุโอกะอายุ 90 ปี เริ่มต้นจากธุรกิจแก๊สหุงต้ม ก่อนจะขยายมาทำธุรกิจอสังหาฯ อาหาร และนันทนาการ ทำให้มีประสบการณ์ช่วยในการพัฒนาโครงการนี้

     

    ดีไซน์บ้านแบบใหม่ ผสานสไตล์ “คอนมาริ”

    บ้านเดี่ยวในโครงการ The MARQ Exquisite ราชพฤกษ์ – จรัญสนิทวงศ์ ได้รับการออกแบบโดย บริษัท สถาปนิกไอดิน จำกัด แต่ละแปลงมีเนื้อที่ 100 ตร.ว. ขึ้นไป มีพื้นที่ใช้สอยรวม 600 ตร.ม. ฟังก์ชัน 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ ที่จอดรถซูเปอร์คาร์ 4 คัน พร้อมลิฟต์ในตัว

    ความพิเศษคือตัวบ้านออกแบบแปลนรูปตัว C ให้ตัวบ้านโอบล้อมคอร์ทยาร์ดตรงกลาง แต่ตัวสวนหลักจะขึ้นไปอยู่บนระเบียงชั้น 2 แทน ขณะที่ชั้นล่างจะทำเป็นสวน หรือปรับเป็นพื้นที่ใช้สอยอื่นๆ ได้ตามใจ เช่น สระว่ายน้ำ โรงจอดบิ๊กไบก์ พื้นที่ทำงานอดิเรกต่างๆ

    ชั้น 1 และชั้น 2 ของบ้านเดี่ยวโครงการ The MARQ Exquisite ราชพฤกษ์ – จรัญสนิทวงศ์

    เหตุที่สถาปนิกยกสวนไปไว้ชั้น 2 เพราะมองว่าพฤติกรรมการอยู่อาศัยของคนยุคนี้เปลี่ยนแปลงไป พบว่าชีวิตส่วนตัวในครอบครัวมักจะอยู่บนชั้น 2-3 เป็นหลัก แต่ชั้นล่างสุดจะมีไว้เป็นส่วนที่จอดรถและรับแขกมากกว่า ดังนั้น สวนของครอบครัวรวมถึงครัวไทยจึงถูกยกไปไว้ชั้น 2 เพื่อความสะดวกในการใช้ชีวิต

    ทำให้ออกมาเป็นแบบบ้านสไตล์ใหม่ที่ชั้น 2 ยังคงรู้สึกเหมือนกับอยู่ชั้นล่างของบ้าน และสวนสีเขียวสามารถมองเห็นได้เต็มตาแม้จะอยู่บนชั้น 3 จากปกติชั้น 3 ของบ้านมักจะได้เห็นเพียงยอดไม้

    ห้องน้ำบนชั้น 3 เห็นวิวสวน และ walk-in closet กับตู้เสื้อผ้าจัดระเบียบแบบคอนมาริ

    นอกจากนี้ โครงการยังร่วมกับตัวแทนที่ปรึกษาการจัดบ้านแบบ “คอนมาริ” ระดับมาสเตอร์จากสหรัฐฯ เพื่อลงรายละเอียดการออกแบบพื้นที่จัดเก็บภายในบ้านตามจุดต่างๆ เช่น ตู้เก็บของ ตู้รองเท้า ตู้เสื้อผ้า ครัวไทย ครัวฝรั่ง ถอดจากแนวคิดของ มาริเอะ คอนโดะ นักจัดบ้านชาวญี่ปุ่นชื่อดัง ทำให้มีกิมมิกเพิ่มคุณค่าในโครงการมากขึ้น

     

    กำลังซื้อกลุ่มบ้านเดี่ยวฟื้นตัว

    ด้านสถานการณ์ตลาดบ้านเดี่ยวหรูกับวิกฤต COVID-19 “อลิวัสสา พัฒนถาบุตร” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ช่วงเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ตลาดบ้านเดี่ยวเริ่มกลับมาฟื้นตัว โดยเฉพาะกลุ่มบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ ราคามากกว่า 15 ล้านบาท เนื่องจากเป็นตลาดผู้ซื้ออยู่จริงและยังคงมีกำลังซื้อในสภาวะเช่นนี้ แต่ช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนตลาดอาจจะสะดุดไปบ้าง เพราะผู้ซื้อต้องการรอดูสถานการณ์ก่อน และไม่สะดวกเข้าเยี่ยมชมโครงการ

    หากเจาะลึกเฉพาะตลาดบ้านเดี่ยวหรูโซนกรุงเทพฯ ตะวันตก พบว่ามีซัพพลายบ้านเดี่ยวกลุ่มไฮเอนด์ราคา 15-30 ล้านบาท จำนวน 991 ยูนิต และบ้านเดี่ยวกลุ่มลักชัวรีราคา 30-70 ล้านบาท จำนวน 118 ยูนิต ซึ่งภาพรวมมีอัตราดูดซับแล้ว 70% มองว่าอัตราการดูดซับค่อนข้างสมดุล

    ถ้าเทียบกับกลุ่มสินค้าอื่นๆ ในตลาดอสังหาฯ อลิวัสสาประเมินว่าตลาดบ้านเดี่ยวคือกลุ่มที่มีศักยภาพที่สุดในขณะนี้ เพราะคอนโดฯ อยู่ในภาวะซัพพลายค่อนข้างสูงอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนเกิดโรคระบาด COVID-19 และโรคระบาดยิ่งทำให้กลุ่มนักลงทุนหายไปจากตลาด แม้แต่การซื้อขายที่ดิน หรืออสังหาฯ เพื่อเช่า เช่น ออฟฟิศบิลดิ้ง ก็อยู่ในช่วงที่ผู้ซื้อหรือเช่าชะลอการตัดสินใจ

    “อลิวัสสา พัฒนถาบุตร” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด

    สำหรับกลุ่มบริษัทเอ็นริช สุพิชากล่าวว่า ยังมีโครงการระหว่างขายอยู่อีก 2 แห่ง คือ AI ราชพฤกษ์ – จรัญฯ ทาวน์โฮม 3 ชั้นราคาเริ่มต้น 5.4 ล้านบาท และ dusitD2 Residences หัวหิน คอนโดฯ ตากอากาศ ราคาเริ่ม 1.89 ล้านบาท

    ส่วนในครึ่งปีหลัง 2563 เอ็นริชยังมีแผนงานอีก 2 โครงการ เป็นโครงการแนวราบในโซนตะวันตกของกรุงเทพฯ ระดับกลางถึงบนและอีกโครงการเป็นโรงแรมในหัวหิน

    ]]>
    1281590