Dulux มองภาพโลกในยุคหลังโรคระบาดกำลังก้าวไปสู่ “ความยั่งยืน” มนุษย์กำลังกลับไปใช้ชีวิตกลางแจ้งกันอีกครั้ง รวมถึงต้องการจะอยู่ติดดินใกล้ชิดธรรมชาติ หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนกันมาแล้ว
“ความสัมพันธ์ของเรากับธรรมชาติกลายเป็นสิ่งที่รู้สึกว่ามีค่าและควรทะนุถนอมไว้มากกว่าที่เคย” Dulux UK แจ้งในแถลงการณ์เปิดตัวสีประจำปี
สำหรับสี Wild Wonder นั้นเป็นตัวแทนของความรู้สึกดังกล่าว เพราะเป็น “สีทองอ่อนเหลือบเขียวเล็กน้อย ได้แรงบันดาลใจมาจากเมล็ดพันธุ์สดใหม่กับธัญพืชที่เพิ่งถูกเก็บเกี่ยวมา”
สี Wild Wonder ยังสร้างความรู้สึกที่ดีต่อสุขภาพจิต ซึ่งเป็นสิ่งที่โลกนี้ต้องการมากยิ่งกว่าที่เคย ทั้งจากเหตุการณ์ล็อกดาวน์เพราะไวรัสโคโรนาและวิกฤตทางธรรมชาติที่เรากำลังเผชิญ
“เมื่อคนเราค้นหาแรงสนับสนุน ความเชื่อมโยง แรงบันดาลใจ และสมดุลในโลกวันนี้ พวกเขาจะดำดิ่งสู่โลกมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติเพื่อค้นหาสิ่งเหล่านั้นให้เจอ” แบรนด์ Dulux ระบุถึงที่มาของสี
สีนี้ถือว่าเป็นสีโทนกลางๆ ให้ความรู้สึกเชิงบวก ใกล้เคียงกับธรรมชาติ และจะทำให้รู้สึกดีเมื่อสีนี้มาอยู่ในบ้าน
แบรนด์ Dulux มองว่าสี Wild Wonder สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลาย เช่น ใช่ในห้องนั่งเล่นที่ต้องการโทนอบอุ่นและสว่าง ไปจนถึงการใช้งานในพื้นที่สาธารณะ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล
Dulux มีการเลือกสีประจำปีทุกๆ ปี และปีนี้เป็นปีที่ 20 แล้วที่มีการจัดทำ โดยจะมีการวิจัยสีของทางบริษัทเอง รวมถึงหารือและทำเวิร์กช็อปต่อเนื่อง 3 วันกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมสีทั่วโลก ก่อนจะตัดสินใจว่าสีไหนจะได้เป็นสีประจำปี
เมื่อปีที่แล้วคือสีประจำปี 2022 ทางแบรนด์ได้เลือกสีชื่อว่า Bright Skies โดยเป็นสีฟ้าสดใสของท้องฟ้า เพื่อสื่อให้เห็นถึง “การเริ่มต้นใหม่” ที่ทุกคนปรารถนาในห้วงเวลานั้น
]]>Tengah โครงการพัฒนาเมืองใหม่ในสิงคโปร์เริ่มขึ้นช่วงปลายปี 2018 โดยเป็นโครงการระยะยาว พัฒนาบนพื้นที่กว่า 4,300 ไร่ ทางตะวันตกของย่าน Bukit Batok จุดประสงค์ของโครงการนี้ต้องการให้เป็นย่านที่พักอาศัยจำนวน 42,000 ยูนิตที่จะทยอยสร้างขึ้นในระยะเวลา 20 ปี
แต่สิงคโปร์ไม่ได้จะสร้างแค่แฟลตที่พัก โครงการนี้ถูกออกแบบในลักษณะ “เมืองใหม่” ทั้งโครงการ เพราะต้องการให้เป็นเมืองที่ช่วยลดโลกร้อน ตอบโจทย์แนวโน้มอนาคตที่โลกของเราจะร้อนขึ้นเรื่อยๆ
ปัจจุบันความร้อนในสิงคโปร์ก็มากอยู่แล้ว โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ย 27 องศาเซลเซียสตลอดปี ทำให้ชาวสิงคโปร์ใช้เครื่องปรับอากาศกันมาก และปล่อยคาร์บอนออกสู่ชั้นบรรยากาศมากยิ่งกว่าประเทศที่มีขนาดใหญ่กว่าสิงคโปร์ 50 เท่า มีงานวิจัยที่พบว่า การใช้พลังงานไฟฟ้าเพื่อสร้างความเย็นให้สิงคโปร์นั้นจะพุ่งขึ้นถึง 73% ภายในช่วงปี 2010-2030 หากไม่มีการจัดการใดๆ
ดังนั้น รัฐบาลสิงคโปร์จึงวางนโยบายลดการปล่อยคาร์บอนให้ได้ภายในปี 2030 และจะลดให้ถึงครึ่งหนึ่งของปัจจุบันภายในปี 2050 เมืองใหม่ Tengah จึงพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองจุดประสงค์นี้
โครงการนี้รับผิดชอบโดยการเคหะแห่งชาติสิงคโปร์ โดยวางคอนเซ็ปต์เป็น “เมืองในป่า” ใช้สโลแกนว่าผู้พักอาศัยที่นี่จะได้ “อยู่บ้านกับธรรมชาติ” และไม่ใช่แค่ปลูกต้นไม้ให้เยอะๆ แต่โครงสร้างพื้นฐานจะสนับสนุนให้ชาวสิงคโปร์ใกล้ชิดธรรมชาติอย่างยั่งยืน ดังนี้
1) เมืองแรกของประเทศที่จะเป็นเขต “ไร้รถยนต์” บนดิน เพราะถนนและทางรถไฟฟ้าส่วนใหญ่จะอยู่ใต้ดิน ทำให้พื้นที่บนดินเป็นทางเดิน ทางจักรยาน ปลูกต้นไม้ คนเดินถนนจะปลอดภัยจากการจราจร และมีพื้นที่ทำกิจกรรมกลางแจ้งมากขึ้น
2) จัดพื้นที่ให้มีฟาร์มชุมชนสำหรับคนพักอาศัยใช้ปลูกสวนครัว ซึ่งจะนำไปสู่การจัดตลาดเกษตรกรชุมชน และอาหารแบบ farm-to-table
3) ระบบหล่อเย็นส่วนกลาง (บางส่วนในโครงการ) ระบบนี้จะติดตั้งโซลาร์รูฟ เพื่อผลิตไฟฟ้าทำความเย็นให้น้ำในท่อประปาหล่อเย็นทั้งอาคาร ช่วยลดการใช้ไฟฟ้าของเครื่องปรับอากาศ
4) ระบบจัดการขยะแบบอัตโนมัติ ใช้ระบบท่อส่งขยะจากอาคารตรงไปรวมกันที่ศูนย์จัดการขยะส่วนกลาง ไม่ต้องใช้แรงคนในการเก็บขยะ ลดโอกาสหกเลอะและส่งกลิ่นเหม็น และจะนำขยะไปใช้เป็นเชื้อเพลิงพลังงานชีวมวล
5) พร้อมตอบรับรถยนต์ไฟฟ้า โดยจะมีแท่นชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ทุกแห่ง
6) ใช้ระบบ AI ในการตรวจสอบการใช้ไฟฟ้า เช่น ตรวจสอบปริมาณมนุษย์ในพื้นที่นั้นๆ เพื่อประเมินระดับการจ่ายไฟถนนที่เหมาะสม หรือภายในบ้านแต่ละหลังสามารถตรวจสอบปริมาณการใช้ไฟฟ้าของตัวเองได้เพื่อช่วยกันประหยัดไฟ
หนึ่งในเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในโครงการที่น่าสนใจ คือ ระบบหล่อเย็นอาคาร โครงการนี้ดำเนินการโดย SP Group โดยจะมีการติดตั้งโซลาร์รูฟไว้บนอาคารเพื่อผลิตพลังงานมาทำความเย็นในท่อหล่อเย็น บริษัทกล่าวว่า ระบบนี้จะลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้ถึง 30% เท่ากับการลดการปล่อยคาร์บอนเทียบกับเท่ากับรถยนต์ใช้น้ำมัน 4,500 คัน
โดยผู้พักอาศัยสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ระบบหล่อเย็นส่วนกลางนี้ หรือใช้เครื่องปรับอากาศแบบเดิม ดังนั้น ความท้าทายสูงสุดของระบบคือการเชิญชวนให้ผู้พักอาศัยหันมาเลือกใช้ระบบหล่อเย็นแทน และสิ่งที่จะชักจูงใจชาวสิงคโปร์ได้ คือต้องแนะนำให้เห็นว่าระบบจะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากขนาดไหน
ขณะนี้การเคหะฯ สิงคโปร์เสนอขายแฟลตในโครงการ Tengah ไปแล้ว 8,000 ยูนิต ในจำนวนนี้มีผู้ซื้อเกือบ 1,000 รายที่ยอมใช้ระบบหล่อเย็นส่วนกลาง และจะได้เข้าอยู่อาศัยจริงกันในช่วงปลายปี 2022 ถึงต้นปี 2023
ชอน ว่อง กับ เบฟเวอร์ลี่ ตัน คู่รักหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่ตัดสินใจซื้อบ้านในโครงการนี้และลงชื่อใช้ระบบหล่อเย็น เปิดเผยว่า ทั้งคู่ยอมใช้ระบบดังกล่าวแทนเพราะมีวิถีชีวิตรักษ์สิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้เสื้อผ้าและเครื่องอุปโภคบริโภครักษ์โลก และทุกวันนี้ก็ใช้พัดลมมากกว่าเครื่องปรับอากาศ
SP Group ยังเป็นผู้บริหารระบบจัดการขยะให้โครงการนี้ด้วย โดยโครงการจะเดินท่อจากในอาคารลงใต้ดิน และขยะจะถูกส่งไปตามท่อเหล่านี้สู่ศูนย์จัดการขยะส่วนกลาง ดังที่กล่าวไปว่า ประโยชน์ของวิธีนี้คือลดใช้แรงงานคน ลดโอกาสการหกเลอะ ส่งกลิ่นเหม็น และเป็นแหล่งดึงดูดแมลง แต่เหนือไปกว่านั้นคือขยะจะถูกนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงชีวมวลสำหรับผลิตไฟฟ้าด้วย
เห็นได้ว่าสิงคโปร์กำลังคิดการใหญ่กับการสร้างเมืองใหม่แห่งนี้ มีการยกระดับจากเดิมที่สิงคโปร์มีพื้นที่สีเขียวสูงมากอยู่แล้ว โดยมีพื้นที่สีเขียว 66 ตร.ม. ต่อประชากร 1 คน สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ไปสู่การลดการปล่อยคาร์บอน ผ่านการลดใช้ไฟฟ้าในอาคาร และลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว เพื่อให้การดูแลสิ่งแวดล้อมเป็นไปอย่างยั่งยืน
Source: Bloomberg, HDB Singapore
]]>แบรนด์บ้านภูริปุรีนั้นเกิดจากกลุ่มสถาปนิกที่รวมตัวกันออกแบบแก้โจทย์ที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะโจทย์ของ “ทาวน์เฮาส์” ตัวเลือกการอยู่ในเมืองในราคาที่ไม่แพงเกินไป แต่ภายในบ้านกลับยังไม่เหมาะกับการอยู่อาศัย เพราะแสงแดดจะเข้าได้เฉพาะด้านหน้ากับหลังบ้านเท่านั้น และจุดที่เห็นพื้นที่สีเขียวมีเพียงแค่สวนหลังบ้าน ซึ่งมักจะต้องนำไปทำเป็นลานซักล้าง หรือต้องปลูกไม้ประดับบนระเบียงบ้านแทน
สำหรับโครงการ “บ้านภูริปุรี คอร์ทยาร์ด – พัฒนาการ” เป็นโครงการที่ 5 ของแบรนด์ พัฒนาผ่านการร่วมทุนของ บริษัท ภูริปุรี จำกัด และ บมจ.แอสเซทไวส์ เอกลักษณ์ของโครงการนี้คือการแก้โจทย์ข้างต้น ด้วยการปรับให้ทาวน์เฮาส์มีคอร์ทยาร์ด หรือ “สวน” ไว้ตรงกลางบ้าน
ดีไซน์ใหม่ของที่นี่ จะใช้ที่ดินต่อแปลง 32-48 ตร.ว. แบ่งแปลง หน้ากว้าง 5.35 เมตร และเป็นแนวยาวเข้าไป ลึก 18-22 เมตร ส่วนบ้านตัวอย่างหลังที่เราได้ชมจะเป็นไซส์ L คือลึก 20 เมตร ดังนั้น ถือว่าเป็นทาวน์เฮาส์ที่ค่อนข้างใหญ่กว่าปกติเป็นฐานในการดีไซน์
ด้านหน้าบ้านจะเป็นลานจอดรถตามปกติ สามารถจอดได้ 4 คัน (แบบซ้อนคัน) เมื่อเปิดประตูเข้าไปจะเป็นบันไดไปพบกับสวนกลางบ้านก่อน สวนนี้จะเล่นระดับอยู่ตรงกลางระหว่างพื้นที่ห้องทานอาหารชั้น 1 กับห้องนั่งเล่นบนชั้น 2 และพื้นที่สวนจะเปิดโล่งขึ้นไปจนถึงชั้น 3 ของบ้าน ต้นไม้สามารถรับแดดรับลมได้เต็มที่ แต่มีการติดตั้งหลังคาเลื่อนสั่งการด้วยรีโมต สามารถเลื่อนปิดได้เมื่อฝนตกหรือเวลาที่ต้องการ
เมื่อมีสวนอยู่กลางบ้าน ทำให้ความรู้สึกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เพราะการใช้พื้นที่ไม่เหมือนกับทาวน์เฮาส์ปกติ แต่ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านเดี่ยวขนาดเล็กที่มีสวนกลางบ้าน เป็นโอเอซิสพักสายตาและอารมณ์ให้กับผู้อยู่อาศัย
สำหรับการใช้พื้นที่ชั้น 1 ด้านหลังสวนจะเป็น “ห้องทานอาหาร” และ “ครัวแบบไอส์แลนด์” สามารถเปิดบานเลื่อนกระจกเชื่อมต่อกับสวนได้เป็นเนื้อเดียว ถัดจากห้องอาหารจะเป็นมุมห้องทำงาน และหลังบ้านยังเหลือที่เล็กๆ ไว้ปลูกต้นไม้เพิ่มเติมได้
ส่วนชั้น 2 ที่เชื่อมต่อกับหน้าสวน จะเป็น “ห้องนั่งเล่น” เพดานสูงดับเบิลวอลุ่ม ตรงจุดนี้ไม่เพียงแต่ได้สีเขียวจากสวนกลางบ้าน แต่ระเบียงด้านหน้ายังมีการปลูกต้นลีลาวดีและเหลืองชัชวาลซึ่งเป็นไม้เลื้อยให้ด้วย พร้อมฝังระบบรดน้ำอัตโนมัติ เจ้าของบ้านเพียงแต่เปิดวาล์วน้ำรดน้ำ ไม่ต้องยุ่งยากในการดูแลรักษา เมื่อเหลืองชัชวาลเลื้อยเต็มตะแกรงหน้า facade จะทำให้ทาวน์เฮาส์เขียวชอุ่มสวยงาม
จากสวนกลางบ้านมีบันไดเดินต่อไปที่ชั้น 2 ฝั่งหลังบ้าน ส่วนนี้จะเป็น “มาสเตอร์เบดรูม” ขนาดใหญ่ เชื่อมต่อกับ walk-in closet อ่างอาบน้ำ และห้องน้ำ จุดที่น่าสนใจคือบริเวณเตียงนอนจะรับแดดอ่อนๆ ได้จากสวนกลางบ้าน เปิดม่านนอนได้แบบไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว
ขึ้นบันไดต่อเนื่องถึงชั้น 3 ส่วนนี้จะเป็น “ห้องนอนเล็ก” วางเตียง 3.5 ฟุตได้สบายๆ และ “ห้องเล่นเด็ก” อีกห้องหนึ่ง ซึ่งจะปรับไปเป็นห้องอเนกประสงค์ใช้งานอื่นๆ ก็ได้ และมีอีกจุดไฮไลต์ที่น่าสนใจคือ “ห้องซักรีดและระเบียงตากผ้า” ที่นำมาไว้บนชั้น 3 แทน เพราะผู้ออกแบบมองว่าปกติเสื้อผ้าที่ซักรีดมักจะมาและไปจากห้องนอนของเรา ดังนั้นห้องซักรีดที่อยู่บนชั้น 3 น่าจะตอบโจทย์กว่าเพราะอยู่ใกล้ห้องนอนมากกว่า
กลับมาที่การใช้งานสวนกลางบ้าน จุดที่น่าสนใจคือการมีหลังคาเปิดปิดได้ โดยเป็นหลังคาแบบโปร่งแสง จึงไม่ต้องกลัวว่าเมื่อปิดลงแล้วจะทึบทึมไปหมด
และเมื่อปิดหลังคาสวนแล้ว สามารถเปิดหน้าต่าง ประตูเลื่อน และเปิดแอร์ทั้งบ้านเพื่อให้ความเย็นมาถึงสวนได้ ในกรณีที่เจ้าของบ้านจะจัดปาร์ตี้รับแขก แต่ไม่ต้องการความร้อน
ส่วนตัวสวนนั้นออกแบบไม่ให้เป็นสวนลงดิน แต่เป็นกระบะขนาดใหญ่รองรับการปลูกต้นไม้ ซึ่งสถาปนิกได้คำนวณขนาดกระบะแล้วว่าเมื่อลงดินปริมาณเท่ากับกระบะ จะทำให้ต้นไม้ไม่สามารถเติบโตเกิน 3 ชั้นและทะลุหลังคาออกไป ส่วนพื้นที่ที่เหลือสามารถจัดสวนลงไม้กระถางต่างๆ ตามรสนิยมของเจ้าของบ้านได้เลย
ว่ากันที่ทำเลโครงการบ้าง “บ้านภูริปุรี คอร์ทยาร์ด – พัฒนาการ” อยู่ในซอยพัฒนาการ 32 ถือว่าเป็นย่านที่ยังค่อนข้างใกล้เมืองอยู่ และเป็นย่านที่มีทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ จนถึงคอนโดมิเนียมอยู่ในละแวกเดียวกัน
ตัวโครงการนี้เป็นโครงการเล็กๆ ตั้งอยู่บนที่ดิน 5 ไร่ แบ่งแปลง 37 ยูนิต เนื้อที่ดินแปลงละ 32-48 ตร.ว. เป็นทาวน์เฮาส์ 3 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 241-298 ตร.ม. ฟังก์ชัน 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ ราคาขายเริ่มต้น 14.2 ล้านบาท สูงสุด 22 ล้านบาท
เมื่อเทียบกับโครงการใกล้เคียงกัน จะมีโครงการ Shizen พัฒนาการ 32 ซึ่งเป็นทาวน์เฮาส์ 3 ชั้นครึ่ง พื้นที่ใช้สอย 210 ตร.ม. เปิดขายราคา 7.7 ล้านบาทในขณะนี้
เห็นได้ว่าถ้าเทียบกับโปรดักต์เดียวกันในทำเล ถ้าคิดเป็นราคาต่อยูนิตบ้านภูริปุรีจะราคาสูงกว่าเกือบเท่าตัว หรือถ้าเทียบเป็นราคาต่อตร.ม. ราคาสูงกว่าประมาณ 60%
อย่างไรก็ตาม มีลูกค้าจองซื้อไปแล้วถึง 14 ยูนิต แม้ว่าจะแพงกว่ามาก ด้วยดีไซน์ที่แตกต่างไม่เหมือนใคร ทำให้ลูกค้าที่มีงบในระดับ 15-20 ล้านบาท มีสิทธิ์เปลี่ยนใจจากบ้านเดี่ยวในโซนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า-กรุงเทพกรีฑา มาเป็นโครงการนี้แทนเพื่อให้ใกล้เมืองขึ้น โดยยังได้ที่อยู่อาศัยในอารมณ์บ้านเดี่ยวและมีพื้นที่ใช้สอยใกล้เคียงกันนั่นเอง
ผู้พัฒนา: บริษัท ภูริปุรี จำกัด ร่วมกับ บมจ.แอสเซทไวส์
มูลค่าโครงการ: 530 ล้านบาท
ที่ดิน: 5 ไร่
ทำเล: ซอยพัฒนาการ 32
จำนวนแปลง: 37 ยูนิต
แบบบ้าน: ทาวน์โฮม 3 ชั้น 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ
– เนื้อที่ดิน 32-48 ตร.ว.
– พื้นที่ใช้สอย 241-298 ตร.ม.
ราคาเริ่มต้น: 14.2 ล้านบาท
ก่อสร้างเสร็จ: ส่งมอบยูนิตแรก ไตรมาส 4/63
“ไพทยา บัญชากิติคุณ” ผู้ก่อตั้ง ATOM Design บริษัทสถาปนิกที่เชี่ยวชาญด้านการออกแบบที่อยู่อาศัย เปิดเผยถึงเทรนด์สำคัญที่เกิดขึ้นหลังประเทศไทยผ่านสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 พบว่าความต้องการของผู้อยู่อาศัยเปลี่ยนไป ต้องการห้องชุดคอนโดมิเนียมที่ใหญ่ขึ้น มีฟังก์ชันครบ
โดยเฉพาะจุดที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดคือ “ครัว” และ “ห้องทำงาน” เพราะช่วงล็อกดาวน์อยู่กับบ้านทำให้ผู้อยู่อาศัยหันมาทำอาหารทานเอง และเมื่อมีการ Work from Home การใช้โต๊ะกินข้าวหรือโต๊ะกาแฟหน้าโซฟาทำงานจึงไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป ควรจะมีมุมทำงานหรือห้องทำงานเป็นสัดส่วน
ย้อนกลับไปในอดีต ห้องชุดในคอนโดฯ มีแนวโน้มจะเล็กลงเรื่อยๆ ตามราคาที่ดินกรุงเทพฯ ที่พุ่งสูงขึ้น โดยกฎหมาย กำหนดไว้ว่าห้องชุดต้องมีพื้นที่ใช้สอยไม่ต่ำกว่า 21 ตร.ม. โดยสถาปนิกพบว่าห้องชุดขนาดที่นิยมจะมีพื้นที่ใช้สอยไม่ต่ำกว่า 24 ตร.ม. และเทรนด์การออกแบบห้องเล็กขนาดนี้จะพยายามตัดส่วนที่ไม่จำเป็นออก เช่น ครัวที่เล็กลงเรื่อยๆ
แต่เมื่อเกิดจุดเปลี่ยน COVID-19 ในปีนี้ดังที่กล่าวข้างต้น การออกแบบปัจจุบันทำให้ห้องมีพื้นที่ใช้สอยไม่ต่ำกว่า 27-28 ตร.ม. เพื่อให้ครัวกลับมาใช้ทำอาหารได้ ไม่ใช่เป็นครัวอุ่นอาหารเท่านั้น และห้องแบบ 1 ห้องนอนพลัส คือมีห้องย่อยไว้เป็นห้องทำงาน เริ่มเป็นที่นิยมสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อห้องปรับใหญ่ขึ้นจาก 24 ตร.ม. เป็น 28 ตร.ม. โดยปกติราคาต้องเพิ่มขึ้นตามประมาณ 20% หากคิดราคาต่อตร.ม.เท่าเดิม แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ผู้ซื้อไม่สามารถจ่ายแพงขึ้นอีก 20% ได้ กลายเป็นโจทย์ของนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จะกดราคาลงมาให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสมกับตลาด ทำให้ผู้ซื้อจ่ายเท่าเดิมแต่ได้ห้องใหญ่ขึ้นให้ได้
ไพทยาให้ความเห็นว่า ต้นทุนที่ผู้ประกอบการสามารถต่อรองได้ในสภาวะนี้คือ “ที่ดิน” ซึ่งบางแปลงปัจจุบันสามารถต่อราคาลงได้ 20-30% เพราะเจ้าของที่ดินอาจมีความจำเป็นต้องเร่งขายเพื่อนำเงินสดไปหมุนธุรกิจ
อีกส่วนหนึ่งคือ “ค่ารับเหมาก่อสร้าง” เนื่องจากสภาวะนี้ทำให้ผู้รับเหมาแข่งขันกันลดราคาสูงมาก จนล่าสุดมีโครงการที่มีผู้รับเหมาประมูลงานได้ในราคาที่ถูกที่สุดในรอบ 5 ปี
สำหรับผู้ประกอบการที่ดัมพ์ราคาเปิดขายให้ต่ำกว่าตลาด 20% ขึ้นไปเริ่มมีให้เห็นแล้วในปีนี้ และราคาที่ถูกลงส่งผลให้ยอดขายดี ยกตัวอย่างโครงการที่ขายดีจน Sold Out ปิดการขายทั้งโครงการได้ท่ามกลางเศรษฐกิจฝืด เช่น ศุภาลัย พรีเมียร์ สี่พระยา-สามย่าน, ดิ ออริจิ้น อ่อนนุช, โมดิซ ลอนช์ ทียู รังสิต เป็นต้น
ด้าน “พื้นที่ส่วนกลาง” ที่เป็นอีกข้อกังวลของคนอยู่คอนโดฯ ในช่วง COVID-19 ไพทยามองว่าโครงการไม่สามารถเพิ่มพื้นที่ให้ใหญ่ขึ้นเพื่อเว้นระยะห่างจากกันได้ เพราะจะมีผลกับราคาขาย แต่ในพื้นที่ส่วนกลางขนาดเท่าเดิม ต้องมีการจัดแบ่งใหม่ให้เหมาะกับวิถีชีวิต New Normal
ยกตัวอย่างเช่น คอนโดฯ บางแห่งที่จะจัดให้มี Co-working Space ในโครงการ จากเดิมอาจจะวางโต๊ะยาวนั่งรวมกัน ก็ต้องพิจารณาปรับมาเลือกเป็นโต๊ะเก้าอี้แบบ Private Booth มีที่กั้นเป็นสัดส่วนมากขึ้น เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกสบายใจ
นอกจากนี้ ยังต้องจัด ส่วนรับสินค้าเดลิเวอรี่และพัสดุ ต่างหาก เพื่อป้องกันไม่ให้คนนอกเข้ามาในพื้นที่ส่วนกลางมากเกินไป และเฝ้าระวังทำความสะอาดได้ง่าย จุดนี้ถือเป็นส่วนสำคัญมากสำหรับโลกยุคใหม่ เพราะจากการเก็บสถิติพบว่า โครงการที่มีจำนวนห้องชุด 300 ห้อง จะมีการรับพัสดุและเดลิเวอรี่เฉลี่ยวันละถึง 100 ชิ้น
สำหรับเทรนด์การออกแบบเหล่านี้และการออกแบบในประเด็นอื่นๆ สามารถติดตามเพิ่มเติมได้จากงานสัมมนาและเอ็กซ์โป ACT Forum’20 Design + Built ระหว่างวันที่ 18-22 พ.ย. 63 ที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีหัวข้อสัมมนาที่น่าสนใจ เช่น การออกแบบโรงแรมและคอนโดฯ ในยุค COVID-19, การปลูกป่ากลางเมืองเรื่องที่ทำได้จริง, คุณภาพชีวิตใหม่ในบ้านพักคนงาน, Circular Economy in Architecture เป็นต้น
]]>“สุพิชา ณัฐสุวรรณพล” ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารธุรกิจ กลุ่มบริษัทเอ็นริช เปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวแห่งใหม่ The MARQ Exquisite ราชพฤกษ์ – จรัญสนิทวงศ์ มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท เป็นโครงการบ้านเดี่ยว 3 ชั้นบนที่ดิน 23 ไร่ จำนวน 65 หลัง ราคาเริ่มต้นหลังละ 29 ล้านบาท เปิดพรีเซลวันที่ 6-7 มิ.ย. 63
เอ็นริช เป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์มานานกว่า 15 ปี ที่ผ่านมาเน้นพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับกลางถึงบนเป็นหลัก ภายใต้แบรนด์ เช่น เอ็นริช พาร์ค, The MARQ และ AI (อัยย์) และมักจะพัฒนาในพื้นที่กรุงเทพฯ โซนตะวันตกซึ่งเป็นย่านถนัด
สำหรับ The MARQ Exquisite ราชพฤกษ์ – จรัญสนิทวงศ์ เป็นโครงการล่าสุด และมีการร่วมทุนกับ บริษัท ไซบุแก๊ส จำกัด จากญี่ปุ่นในอัตราส่วนถือหุ้น 51:49 โดยไซบุแก๊สเป็นบริษัทเก่าแก่จากฟุกุโอกะอายุ 90 ปี เริ่มต้นจากธุรกิจแก๊สหุงต้ม ก่อนจะขยายมาทำธุรกิจอสังหาฯ อาหาร และนันทนาการ ทำให้มีประสบการณ์ช่วยในการพัฒนาโครงการนี้
บ้านเดี่ยวในโครงการ The MARQ Exquisite ราชพฤกษ์ – จรัญสนิทวงศ์ ได้รับการออกแบบโดย บริษัท สถาปนิกไอดิน จำกัด แต่ละแปลงมีเนื้อที่ 100 ตร.ว. ขึ้นไป มีพื้นที่ใช้สอยรวม 600 ตร.ม. ฟังก์ชัน 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ ที่จอดรถซูเปอร์คาร์ 4 คัน พร้อมลิฟต์ในตัว
ความพิเศษคือตัวบ้านออกแบบแปลนรูปตัว C ให้ตัวบ้านโอบล้อมคอร์ทยาร์ดตรงกลาง แต่ตัวสวนหลักจะขึ้นไปอยู่บนระเบียงชั้น 2 แทน ขณะที่ชั้นล่างจะทำเป็นสวน หรือปรับเป็นพื้นที่ใช้สอยอื่นๆ ได้ตามใจ เช่น สระว่ายน้ำ โรงจอดบิ๊กไบก์ พื้นที่ทำงานอดิเรกต่างๆ
เหตุที่สถาปนิกยกสวนไปไว้ชั้น 2 เพราะมองว่าพฤติกรรมการอยู่อาศัยของคนยุคนี้เปลี่ยนแปลงไป พบว่าชีวิตส่วนตัวในครอบครัวมักจะอยู่บนชั้น 2-3 เป็นหลัก แต่ชั้นล่างสุดจะมีไว้เป็นส่วนที่จอดรถและรับแขกมากกว่า ดังนั้น สวนของครอบครัวรวมถึงครัวไทยจึงถูกยกไปไว้ชั้น 2 เพื่อความสะดวกในการใช้ชีวิต
ทำให้ออกมาเป็นแบบบ้านสไตล์ใหม่ที่ชั้น 2 ยังคงรู้สึกเหมือนกับอยู่ชั้นล่างของบ้าน และสวนสีเขียวสามารถมองเห็นได้เต็มตาแม้จะอยู่บนชั้น 3 จากปกติชั้น 3 ของบ้านมักจะได้เห็นเพียงยอดไม้
นอกจากนี้ โครงการยังร่วมกับตัวแทนที่ปรึกษาการจัดบ้านแบบ “คอนมาริ” ระดับมาสเตอร์จากสหรัฐฯ เพื่อลงรายละเอียดการออกแบบพื้นที่จัดเก็บภายในบ้านตามจุดต่างๆ เช่น ตู้เก็บของ ตู้รองเท้า ตู้เสื้อผ้า ครัวไทย ครัวฝรั่ง ถอดจากแนวคิดของ มาริเอะ คอนโดะ นักจัดบ้านชาวญี่ปุ่นชื่อดัง ทำให้มีกิมมิกเพิ่มคุณค่าในโครงการมากขึ้น
ด้านสถานการณ์ตลาดบ้านเดี่ยวหรูกับวิกฤต COVID-19 “อลิวัสสา พัฒนถาบุตร” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ช่วงเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ตลาดบ้านเดี่ยวเริ่มกลับมาฟื้นตัว โดยเฉพาะกลุ่มบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ ราคามากกว่า 15 ล้านบาท เนื่องจากเป็นตลาดผู้ซื้ออยู่จริงและยังคงมีกำลังซื้อในสภาวะเช่นนี้ แต่ช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนตลาดอาจจะสะดุดไปบ้าง เพราะผู้ซื้อต้องการรอดูสถานการณ์ก่อน และไม่สะดวกเข้าเยี่ยมชมโครงการ
หากเจาะลึกเฉพาะตลาดบ้านเดี่ยวหรูโซนกรุงเทพฯ ตะวันตก พบว่ามีซัพพลายบ้านเดี่ยวกลุ่มไฮเอนด์ราคา 15-30 ล้านบาท จำนวน 991 ยูนิต และบ้านเดี่ยวกลุ่มลักชัวรีราคา 30-70 ล้านบาท จำนวน 118 ยูนิต ซึ่งภาพรวมมีอัตราดูดซับแล้ว 70% มองว่าอัตราการดูดซับค่อนข้างสมดุล
ถ้าเทียบกับกลุ่มสินค้าอื่นๆ ในตลาดอสังหาฯ อลิวัสสาประเมินว่าตลาดบ้านเดี่ยวคือกลุ่มที่มีศักยภาพที่สุดในขณะนี้ เพราะคอนโดฯ อยู่ในภาวะซัพพลายค่อนข้างสูงอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนเกิดโรคระบาด COVID-19 และโรคระบาดยิ่งทำให้กลุ่มนักลงทุนหายไปจากตลาด แม้แต่การซื้อขายที่ดิน หรืออสังหาฯ เพื่อเช่า เช่น ออฟฟิศบิลดิ้ง ก็อยู่ในช่วงที่ผู้ซื้อหรือเช่าชะลอการตัดสินใจ
สำหรับกลุ่มบริษัทเอ็นริช สุพิชากล่าวว่า ยังมีโครงการระหว่างขายอยู่อีก 2 แห่ง คือ AI ราชพฤกษ์ – จรัญฯ ทาวน์โฮม 3 ชั้นราคาเริ่มต้น 5.4 ล้านบาท และ dusitD2 Residences หัวหิน คอนโดฯ ตากอากาศ ราคาเริ่ม 1.89 ล้านบาท
ส่วนในครึ่งปีหลัง 2563 เอ็นริชยังมีแผนงานอีก 2 โครงการ เป็นโครงการแนวราบในโซนตะวันตกของกรุงเทพฯ ระดับกลางถึงบนและอีกโครงการเป็นโรงแรมในหัวหิน
]]>