“สุวรรณา พุทธประสาท” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล จำกัด (LHMH) อัปเดตข้อมูลศูนย์การค้า “Terminal 21 พระราม 3” สาขาล่าสุดที่เปิดตัวเมื่อเดือนตุลาคม 2565 หลังเปิดให้บริการครบ 1 ปี ขณะนี้ทราฟฟิกลูกค้าเข้าห้างฯ ยังอยู่ที่เฉลี่ยเกือบ 20,000 คนต่อวัน ซึ่งยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
ทั้งนี้ ในช่วงเปิดบริการศูนย์การค้านี้เคยตั้งเป้าหมายทราฟฟิกไว้ที่ 50,000 คนต่อวัน หรือ 3.5 ล้านคนต่อปี ทำให้ยังห่างเป้าอยู่อีกมาก
สำหรับโจทย์หลักที่บริษัทมองว่าทำให้ทราฟฟิกไม่เข้าเป้า คือ ขนส่งสาธารณะไม่สะดวก ลูกค้าส่วนใหญ่จะมาด้วยรถยนต์ส่วนตัว
ทำให้บริษัทจะหาทางเพิ่มทราฟฟิก ด้วยการลงทุนเพิ่ม 30 ล้านบาทเพื่อปรับปรุงบริเวณท่าเรือของศูนย์ฯ ให้ใหญ่ขึ้น สามารถรองรับเรือท่องเที่ยวขนาดใหญ่ได้ เพื่อดึงให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเสริมในศูนย์ฯ อีกส่วนหนึ่ง คาดจะก่อสร้างเสร็จพร้อมเปิดบริการเดือนธันวาคม 2566
สุวรรณากล่าวต่อว่า ขณะนี้เจรจาดีลทัวร์ทางเรือแล้ว 2 บริษัทที่จะนำนักท่องเที่ยวมาแวะท่องเที่ยวที่ Terminal 21 พระราม 3 คาดว่าจะได้ทราฟฟิกเพิ่มอีกวันละ 1,000 คน และจะมีการเจรจาเพิ่มอีกหลังจากนี้ โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายจะเป็นกลุ่มเอเชีย เช่น เกาหลีใต้, ไต้หวัน, จีน, ฮ่องกง เป็นต้น
นอกจากนี้ จะมีการปรับเปลี่ยนร้านค้าภายในศูนย์ฯ ให้ตรงกับความต้องการผู้บริโภคในทำเลพระราม 3 ให้มากขึ้นด้วย เพื่อดึงให้ลูกค้าเลือกมาเดินในศูนย์ฯ
LHMH มีธุรกิจศูนย์การค้าภายใต้บริษัทคือ Terminal 21 ทั้งหมด 3 สาขา คือ สาขาอโศก, สาขาพระราม 3 และ สาขาพัทยา (*สาขาโคราช และแฟชั่นไอส์แลนด์ อยู่ภายใต้บริษัทย่อยอื่นในเครือแลนด์แอนด์เฮ้าส์) ซึ่งปีนี้ถือว่ายังเป็นปีที่ไม่ค่อยสดใสนักสำหรับศูนย์การค้าในเครือ LHMH
“ร้านค้าในห้างฯ เขาก็กระทบมาเยอะจากช่วงโควิด-19 ตอนนี้เราต้องดูแลให้เขาอยู่ได้ก่อนเราถึงจะไปปรับขึ้นค่าเช่าเขาได้ จากปกติเราขึ้นค่าเช่าได้ปีละ 5% แต่ปีนี้อาจจะยังขึ้นไม่ได้ หรือต้องปรับการคิดค่าเช่ามาเป็นการเก็บแบบ GP คิดตามที่ขายได้จริง” สุวรรณากล่าวถึงสถานการณ์ธุรกิจศูนย์การค้า
ส่วนการขยายสาขา Terminal 21 สาขาใหม่ๆ สุวรรณาเผยว่ายังมีแนวคิดที่จะขยายแต่จังหวะคงยังไม่ใช่ตอนนี้ เพราะต้องรอดูสภาวะเศรษฐกิจที่เหมาะสมก่อน
]]>“ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) เปิดเผยแผนการตลาดไตรมาสแรกปี 2564 เตรียมงบ 200 ล้านบาทเพื่อจัดเทศกาล “ตรุษจีน” พ่วงเทศกาลวาเลนไทน์ และเริ่มต้อนรับเทศกาลซัมเมอร์
แคมเปญช่วงตรุษจีนนี้จะปูพรมในศูนย์การค้าเซ็นทรัล 33 แห่งทั่วประเทศ เน้นการตกแต่งภายในศูนย์ฯ ให้เป็น “แลนด์มาร์ก” จุดถ่ายรูปเช็กอิน กระตุ้นผู้บริโภคเดินห้างฯ พร้อมโปรโมชันมากมาย ลดสูงสุด 70% และจับมือ “หมอช้าง-ทศพร ศรีตุลา” จัดทำสติกเกอร์นำโชค Sticker of Luck Limited Edition แจกฟรีสำหรับลูกค้าที่ช้อปครบ 1,500 บาทขึ้นไป และลูกค้า Top Spenders 5 ท่านแรกที่ช้อปสูงสุดตลอดแคมเปญวันที่ 29 ม.ค. – 21 ก.พ. 64 จะได้สิทธิ์ปรึกษาดวงชะตากับหมอช้างแบบเอ็กซ์คลูซีฟ
โดยดร.ณัฐกิตติ์ย้ำว่า แคมเปญตรุษจีนปีนี้ยังจัดขึ้นภายใต้กฎระเบียบของภาครัฐ ซึ่งยังไม่อนุญาตให้จัดอีเวนต์ขนาดใหญ่ ทำให้เน้นเป็นจุดถ่ายรูป ไม่จัดใหญ่ แต่ไม่หายไป เพื่อให้ลูกค้ายังมาศูนย์ฯ ได้ตามปกติ
ทั้งนี้ CPN ตัดสินใจปรับเพิ่มงบการตลาดจาก 80 ล้านบาทเป็น 200 ล้านบาทหลังจากภาครัฐปลดล็อกเฟสแรก อนุญาตธุรกิจ 13 ประเภท เช่น ฟิตเนส สปา สถานเสริมความงาม กลับมาให้บริการได้ ซึ่งทำให้ลูกค้าอุ่นใจและมีกิจกรรมภายในศูนย์ฯ ได้มากขึ้น
ดังนั้น การกระตุ้นตลาดในช่วงเทศกาลตรุษจีน เชื่อว่าลูกค้าจะให้การตอบรับ เพราะเป็นเทศกาลที่คนไทยเชื้อสายจีนจะจับจ่ายซื้อของสดไหว้เจ้า ซื้อเสื้อผ้าใหม่ตามธรรมเนียม และพาครอบครัวรับประทานอาหารเพื่อฉลองปีใหม่จีน คาดว่าทราฟฟิกจะเพิ่มขึ้นอีก 15-20% ในช่วงเทศกาลนี้
สำหรับศูนย์การค้าของ CPN ทั่วประเทศ ดร.ณัฐกิตติ์กล่าวว่า แต่ละศูนย์ฯ มีทราฟฟิกเพิ่มขึ้นทันที 10-15% หลังจากคลายล็อกเฟสแรก ทำให้ปัจจุบันสาขาส่วนใหญ่มีทราฟฟิกกลับมา 60-75% ของช่วงก่อนเกิดการระบาดของ COVID-19 แล้ว และมี 5 สาขาที่มีทราฟฟิกมากกว่า 75% ได้แก่ สาขาศาลายา หาดใหญ่ นครศรีธรรมราช อุบลราชธานี และเชียงราย
ส่วนสาขาที่อยู่ในแหล่งท่องเที่ยว เช่น เกาะสมุย พัทยา เชียงใหม่ เซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลวิลเลจ ทราฟฟิกยังอยู่ต่ำกว่า 50% แต่ยืนยันไม่ได้มีแผนปิดชั่วคราวสาขาใดๆ นอกจากที่ปิดอยู่แล้วเนื่องจากการระบาดของ COVID-19 คือ สาขามหาชัยและระยอง (*เซ็นทรัล ป่าตอง ซึ่งมีข่าวปิดชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.นี้ เป็นห้างสรรพสินค้าในส่วนของเซ็นทรัล รีเทล หรือ CRC)
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ก่อนเกิดการระบาด COVID-19 รอบใหม่ ศูนย์การค้า CPN ส่วนใหญ่เคยมีทราฟฟิกเฉลี่ย 80% ของทราฟฟิกเมื่อปี 2562 แล้ว โดยเฉพาะช่วงเดือนธันวาคม 2563 ที่คึกคักมากจากการประดับไฟเทศกาลคริสต์มาส-ปีใหม่ ยกตัวอย่าง เซ็นทรัลเวิลด์ เคยมีทราฟฟิกกลับขึ้นไปแตะ 1 แสนคนต่อวันในช่วงคริสต์มาส เกือบจะเท่ากับช่วงปกติในปี 2562 แต่ปัจจุบันกลับลงมาเหลือ 4-5 หมื่นคนต่อวันอีกครั้ง เนื่องจากการระบาดทำให้จัดอีเวนต์เพื่อดึงดูดลูกค้าไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ดร.ณัฐกิตติ์มองว่าการระบาดรอบใหม่ยังมีผลกระทบน้อยกว่ารอบแรก เพราะอย่างน้อยยังไม่มีคำสั่งปิดศูนย์ฯ ทั้งหมด และคนไทยเริ่มเคยชินมากขึ้น แต่หากจะให้กลับมาที่ตัวเลขเฉลี่ย 80% ต้องรอการปลดล็อกขั้นต่อไป คือ โรงเรียนเปิดเรียนตามปกติ (ทำให้ผู้ปกครองแวะศูนย์การค้าเมื่อออกจากบ้าน) ขยายเวลาปิดร้านอาหาร และสามารถจัดอีเวนต์สาธารณะได้
ด้านมุมมองต่อตลาดค้าปลีกตลอดปี 2564 ดร.ณัฐกิตติ์กล่าวว่า “ต้องดูกันเดือนต่อเดือน” เพราะมีความไม่แน่นอนสูงมากจากสถานการณ์การระบาด ไม่สามารถคาดเดาได้เลย แต่มีความหวังว่าจะดีกว่าปี 2563 เพราะมีวัคซีน COVID-19 ที่จะเริ่มฉีดในประเทศไทยลอตใหญ่ช่วงกลางปีนี้
ปีนี้จึงเป็นปีที่ฝากความหวังไว้กับ “วัคซีน” ถ้าหากมีประสิทธิภาพดี ได้ผลจริง จะทำให้ภาครัฐผ่อนคลายการท่องเที่ยวได้ โดยเฉพาะการทำ Travel Bubble กับบางประเทศ การดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาจะเป็นส่วนสำคัญในการฟื้นเศรษฐกิจไทย และจะทำให้ผู้บริโภคไทยมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยสูงขึ้น เพราะเห็นสัญญาณแสงสว่างปลายอุโมงค์แล้ว
ทั้งนี้ ผู้บริโภคกลุ่มหนึ่งที่ยังไม่หยุดช้อปคือ Top Spenders ของ CPN 20 อันดับแรก ซึ่งดร.ณัฐกิตติ์ระบุว่า ใช้จ่ายมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว เพราะไม่ได้ไปใช้จ่ายในต่างประเทศ รวมถึงลูกค้าระดับบนส่วนใหญ่ก็เช่นเดียวกัน สังเกตได้จากศูนย์ฯ ระดับลักชัวรีจะมีลูกค้าต่อคิวรอหน้าร้านสินค้าแบรนด์เนมเป็นประจำ
ช่วงเวลาระหว่างนี้ที่วัคซีน COVID-19 ยังไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือก้อย ดูเหมือน CPN จะต้องจับตลาดระดับบนไว้ให้มั่นก่อน!
]]>เกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ Chief Financial Officer บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL เเจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ผลประกอบการงวดไตรมาส 3/63 มีกำไร 3,997.70 ล้านบาท หรือ 0.42 บาท/หุ้น ลดลง 28.8% จากงวดเดียวกันปีของ 2562 ที่มีกำไร 5,611.83 ล้านบาท หรือ 0.60 บาท/หุ้น
โดยในไตรมาส 3 ของปี 2563 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 135,500 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน คิดเป็น 3.8%
สาเหตุหลักๆ มาจากการปรับตัวลดลงของรายได้จากการขายและบริการของธุรกิจร้านสะดวกซื้อ จากผลกระทบต่อเนื่องจาก COVID-19 ส่งผลให้กำไรขั้นต้นจากการขายและบริการเท่ากับ 28,568 ล้านบาท ลดลง 7.9% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศที่ยังมีอยู่ ทำให้ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้ามา
บริษัทชี้แจงอีกว่า “ผู้บริโภคมีความระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ส่วนหนึ่งจำกัดอยู่ในกลุ่มสินค้าจำเป็นเท่านั้น”
นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบเชิงลบจากพายุฝนที่เกิดขึ้นทั่วประเทศในระหว่างไตรมาส ส่งผลให้จำนวนลูกค้าเข้าร้านลดลง ขณะที่รายได้จากการขายและบริการของธุรกิจค้าส่งแบบชำระเงินสดและบริการตนเองในประเทศ สามารถกลับมาเติบโตได้ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงรายได้จากการขายของธุรกิจในต่างประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น
ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2563 บริษัทและบริษัทย่อย มีรายได้รวมจำนวน 409,381 ล้านบาท ลดลง 3.2% จากช่วงเดียวกันของปืก่อน ขณะที่กำไรสุทธิมีจำนวน 12,529.84 ล้านบาท หรือ 1.31 บาท/หุ้น ลดลง 22.5% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไร 16,175.63 ล้านบาท หรือ 1.72 บาท/หุ้น
สำหรับเป้าหมายการขยายสาขา บริษัทได้กำหนด “เป้าหมายใหม่” ที่จะขยายสาขาให้ครบ 13,000 สาขา ภายในปี 2564
ช่วงไตรมาส 3 ปี 2563 ธุรกิจร้านสะดวกซื้อเปิดร้านสาขาใหม่รวมทั้งสิ้น 136 สาขาในทุกประเภท ทั้งร้านสาขาบริษัท ร้าน tore business partner (SBP) และร้านค้าที่ได้รับสิทธิช่วงอาณาเขต ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย มีอัตราเฉลี่ยคนเข้าต่อสาขาอยู่ที่ 917 คน โดยมียอดซื้อต่อบิล ประมาณ 75 บาท
ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2563 บริษัทมีจำนวนร้านสาขาทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 12,225 สาขา เเบ่งเป็น
โดยร้านสาขาส่วนใหญ่ ยังเป็นร้านที่ตั้งเป็นเอกเทศ ซึ่งคิดเป็น 85% ของสาขาทั้งหมด และส่วนที่เหลือเป็นร้านในสถานีบริการน้ำมัน ปตท.
บริษัทวางแผนที่จะลงทุนเปิดร้านสาขาใหม่อีกประมาณ 700 สาขาในปี 2563 ส่วนงบลงทุนประมาณ 11,500 – 12,000 ล้านบาท จะเป็นการเปิดร้านสาขาใหม่ 3,800 – 4,000 ล้านบาท การปรับปรุงร้านเดิม 2,400 – 2,500 ล้านบาท ส่วนโครงการใหม่, บริษัทย่อย และศูนย์กระจายสินค้าจะอยู่ที่ 4,000 – 4,100 ล้านบาท ด้านสินทรัพย์ถาวร และระบบสารสนเทศ 1,300 – 1,400 ล้านบาท
ด้านผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ในไตรมาส 3 ปี 2563 มีกำไรก่อนต้นทุนทางการเงินและค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้เท่ากับ 5,668 ล้านบาท ลดลง 26.2% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 3,842 ล้านบาท ลดลง 31.6% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ส่วนงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 ในกลุ่มธุรกิจร้านสะดวกซื้อ มีรายได้รวมจำนวน 249,641 ล้านบาท ลดลง 7.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิมีจำนวน 13,172 ล้านบาท ลดลง 22.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับเข้าถึงผู้บริโภค จะเน้นใช้กลยุทธ์ O2O (Online to Offline) ผสมผสานธุรกิจจากออนไลน์เเละออฟไลน์ ตามพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไปในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค โดยจะส่งเสริมบริการเดลิเวอรี่เเละการช้อปปิ้งได้ 24 ชั่วโมง
ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
]]>นี่ถือเป็นการแปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จนนำมาสู่การแถลงข่าวในวันนี้ (31 กรกฎาคม) “ทศ จิราธิวัฒน์” ประธานกรรมการบริหาร เซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า เครือเซ็นทรัลอยู่ในธุรกิจค้าปลีกมา 72 ปีแล้ว จากจุดเริ่มต้นห้องแถวที่ถนนเจริญกรุง
ก่อนจะขยับขยายและแตกแขนง จนวันนี้มีห้างสรรพสินค้าและร้านค้าภายใต้แบรนด์ค้าปลีก รวม 1,979 แห่ง ครอบคลุม 51 จังหวัดทั่วประเทศไทย และขยายทั้งในประเทศอิตาลีและเวียดนาม รวม 134 แห่ง (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2019)
เครือเซ็นทรัลเชื่อว่าการนำ Central Retail เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสามารถพุ่งทะยานเหมือนหุ้นรุ่นพี่ที่เข้าไปก่อนหน้านี้ถึง 2 ตัว ทั้ง “บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน)” เข้าตลาดเมื่อ 29 ปีก่อน Market Cap หรือ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ได้เพิ่ม 29.1 เท่า จาก 1,600 ล้านบาท เป็น 26,575 ล้านบาท
และ “บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)” ที่เข้าต่อจากธุรกิจโรงแรม 5 ปี โดย Market Cap เพิ่มขึ้น 37.3 เท่า จาก 8,900 ล้านบาท เป็น 332,112 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขที่เกิดขึ้นเป็นการยืนยันถึงประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เป็นอย่างดี
นอกเหนือจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ความมั่นใจของเครือเซ็นทรัลมาจากตัวเลขต่างๆ ที่มีผลต่อธุรกิจค้าปลีกเป็นอย่างมาก ทั้งอัตรารายได้ของประชากรต่อคนที่คาดว่าจะเพิ่มจาก 505 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 15,500 บาท เป็น 685 ดอลลาร์สหรัฐ ราว 21,000 บาทภายในปี 2023
การขยายตัวของเมืองจากสัดส่วน 49.9% ในปี 2018 เป็น 53.6% ภายในปี 2023 ประชากรกว่า 40% อยู่ในวัยที่มีกำลังซื้อ ที่สำคัญจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นอีกกลุ่มที่ใช้จ่ายสูงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก 37 ล้านคนเป็น 52 ล้านคนในปี 2023 นอกจากนั้น กรุงเทพฯ ภูเก็ต และพัทยา ติดอันดับ 20 เมืองท่องเที่ยวของโลกด้วย
ญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็นทรัลรีเทล กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ของเครือเซ็นทรัลเป็นความต้องการของบริษัทเองไม่ได้ถูกบังคับให้เปลี่ยนแรงกดดันจาก “ดิจิทัล ดิสรัปชั่น” ซึ่งแท้จริง “พฤติกรรมของผู้บริโภค” ต่างหากที่เข้ามาดิสรัปต์ธุรกิจค้าปลีกตัวจริง
ตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมาเครือเซ็นทรัลมีการเตรียมตัวนำ “ธุรกิจค้าปลีก” เข้า IPO ในตลาดหลักทรัพย์ฯ มาโดยตลอด ทั้งการเพิ่มผู้บริหารระดับสูงที่เป็นชาวต่างชาติ หรือแยกธุรกิจออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
ขณะเดียวกันก็ได้รุกเข้าหาพฤติกรรมผู้บริโภค โดยเปลี่ยนจากหน้าร้านที่เป็นออฟไลน์เข้าสู่โลกออนไลน์ เพื่อเติมเต็มการเป็น Omnichannel โดยใช้ศักยภาพในการนำเสนอสินค้าและบริการสำหรับเฉพาะบุคคลแบบ Personalization
โดยได้จากการวิเคราะห์ฐานข้อมูลลูกค้าที่มีกว่า 27 ล้านรายทั่วโลก ร่วมกับการใช้เทคโนโลยี Machine Learning การพัฒนาบริการใหม่ๆ รวมทั้งระบบการจ่ายเงินออนไลน์ในทุกรูปแบบ
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดนอกเหนือจากนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะขณะนี้อยู่ในระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ประเภทหุ้น (แบบ Filing) ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยจะดำเนินให้แล้วเสร็จภายในปีนี้
ทั้งนี้การยื่น Filing ไม่มีผลต่อการทำธุรกิจปัจจุบันซึ่งแต่ละปีมีการลงทุนปีละ 4 – 5 หมื่นล้านอยู่แล้ว ซึ่งตลอด 3 ปีมานี้รายได้เติบโต 8%
สำหรับในปี 2018 มีรายได้ 240,297 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มอาหาร 43% กลุ่มแฟชั่น 35% ที่เหลือ 22% กลุ่มฮาร์ดไลน์ เมื่อแยกแต่ละประเทศรายได้จากเวียดนามมีสัดส่วน 14% ส่วนอิตาลี 8.5%
]]>อีกวิธีหนึ่งคือการปรับเปลี่ยนฟอร์แมตสาขา เติมเทคโนโลยีเข้าไปให้ไฮเทคมากขึ้นซึ่งวิธีนี้ “แม็คโคร” ห้างค้าปลีกค้าส่งอายุ 30 ปี และมีฐานลูกค้ากว่า 3 ล้านคน กำลังจะหยิบเอามาใช้ โดยเตรียมเปิด “แม็คโคร ดิจิทัล สโตร์” แห่งแรกที่ลาดกระบัง เห็นแน่ๆ ไตรมาส 3 นี้ สาขานี้จะเป็น “ฟู้ดเซอร์วิส” ฟอร์แมตที่เน้นขายสินค้าให้กับกลุ่มโฮเรก้าและร้านอาหาร สาขานี้มีพื้นที่ราว 2,500 ตารางเมตร ใช้งบลงทุนราว 250 ล้านบาท มากกว่าการลงทุนปรกติ 30 ล้านบาท
สิ่งที่จะได้เห็นจาก “ดิจิทัล สโตร์” เริ่มต้นตั้งแต่ทางเข้า จะมีจอทัชสกรีนให้ลูกค้าได้ค้นหาโปรโมชั่น ต่อไปแม็คโครบอกว่าอาจจะไม่ต้องพิมพ์โปรชัวร์แจกตามบ้าน ลดต้นทุนได้มากกว่า รวมไปถึงอนาคตจะสามารถออกโปรโมชั่นเฉพาะบุคคลได้ด้วย นอกจากนั้นยังมีป้ายราคาที่ปรับเป็นจอ LCE ไม่ต้องปรินต์ไปเปลี่ยนเหมือนเดิม
แต่ไฮไลต์อยู่ที่การคิดราคาถึงรถเข็น โดยแม็คโครบอกว่าลูกค้าที่มาฟู้ดเซอร์วิส มักจะซื้อของเยอะราว 2 รถเข็น การไปต่อคิวคิดเงินที่แคชเชียร์ทีเดียวอาจจะนานเกินไป วิธีใหม่นี้เมื่อมาแคชเชียร์ก็จ่ายเงินเลย และยังเตรียมเพิ่มช่องทางจ่ายเงินอื่นๆ อีกเช่น E-Wallet และ QR Code อีกหนึ่งวิธีที่อาจจะเห็นในสาขาใหม่ คือสินค้าไม่เยอะอาจจะสามารถคิดเงินเองได้เลย แต่วิธีนี้ต้องรอดูความพร้อมก่อน
สำหรับภาพรวมงบลงทุนของแม็คโครในปี 2019 วางงบไว้ทั้งหมด 5,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3,300 ล้านบาท หลักๆ 3,100 ล้านจะถูกใช้สำหรับลงทุนในประเทศไทย ทั้งรีโนเวตสาขาเดิม และเปิดสาขาใหม่ 7-8 สาขาหลักๆ จะเปิดฟู้ดเซอร์วิส อีกส่วนหนึ่งจะยกเครื่องระบบหลังบ้าน เพื่อเตรียมรับความพร้อมในอนาคค
ปัจจุบันแม็คโครมีสาขาในเมืองไทยทั้งหมด 129 สาขา ใน 6 ฟอร์แมต แบ่งเป็นสาขาในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 33 สาขา และสาขาในต่างจังหวัด จำนวน 96 สาขา โดยมีพื้นที่การขายรวมประมาณ 747,802 ตารางเมตร ได้แก่
1. ศูนย์จำหน่ายสินค้าแม็คโคร จำนวน 79 สาขา แต่ละสาขามีพื้นที่ขายโดยเฉลี่ยประมาณ 5,500 – 12,000 ตารางเมตร จับกลุ่มกลุ่มผู้ประกอบการร้านโชห่วยและร้านค้าปลีกรายย่อย
2. แม็คโครฟู้ดเซอร์วิส จำนวน 25 สาขา มีพื้นที่ขายโดยเฉลี่ยตั้งแต่ 1,000 – 5,000 ตารางเมตร จับกลุ่มกลุ่มโฮเรก้าโดยเฉพาะ เช่น อาหารสด และอาหารแช่แข็ง อาหารแห้ง เครื่องครัว อุปกรณ์ในการเตรียมอาหาร และของใช้ที่จำเป็นสำหรับธุรกิจร้านอาหารและโรงแรม
3. อีโค พลัส จำนวน 13 สาขา พื้นที่เฉลี่ย 7,000 ตารางเมตร กลุ่มลูกค้ามีทั้งโฮเรก้า และผู้ค้าปลีกรายย่อย โดยรูปแบบสาขานี้จะมีพื้นที่อาหารสดให้กับกลุ่มโฮเรก้าเพิ่มขึ้น เน้นเปิดในทำเลพื้นที่ที่มีธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารและจัดเลี้ยงจำนวนมาก และมีศักยภาพในการเติบโต เช่น สาขาพัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่ (หางดง) เป็นต้น
4. แม็คโครฟู้ดช้อป 5 สาขา มีพื้นที่ขายโดยเฉลี่ย600 – 800 ตารางเมตร จับกลุ่มโฮเรก้าในพื้นที่สามารถซื้อสินค้าได้สะดวกขึ้นโดยไม่ต้องเดินทางไกล เพราะเป็นศูนย์จำหน่ายสินค้าอาหารสด อาหารแช่แข็งขนาดเล็กแต่ครบวงจร
5. ร้านสยามโฟรเซ่น จำนวน 7 สาขา ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็งและอาหารแห้งที่เกี่ยวเนื่องกับการประกอบธุรกิจบริการด้านอาหารให้แก่กลุ่มโฮเรก้าเป็นหลัก มีพื้นที่การขายเฉลี่ย 80-260 ตารางเมตร
สุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร – กลุ่มธุรกิจสยามแม็คโคร กล่าวว่า
“ปี 2018 แม็คโครเติบโต 3.3% มีรายได้รวม 1.9 แสนล้าน รายได้เฉพาะการขาย 1.88 แสนล้าน สำหรับปี 2019 ตั้งเป้าเติบโตตาม GDP ของประเทศ ส่วนความท้าทายก็คงเจอการแข่งขันตามปรกติ ซึ่งแม็คโครผ่านวิกฤตต้มยํากุ้งมาได้ ก็ไม่มีอะไรหนักหนาสาหัสแล้ว”
อีกหนึ่งเป้าหมายที่แม่ทัพแม็คโครวางไว้ คือ การขยับรายได้จากต่างประเทศซึ่งวันนี้ขยายไป 9 ประเทศ ผ่าน 2 รูปแบบ ได้แก่ การเปิดสโตร์กับกลุ่มธุรกิจฟู้ดเซอร์วิส ซึ่งเป็นการขายสินค้าให้กับผู้ประกอบการโดยตรง ปัจุบันมีสัดส่วนราว 4% ต้องการเพิ่มเป็น 20%
เป้าหมายดังกล่าวสะท้อนจากเม็ดเงินลงทุนที่วางไว้สำหรับต่างประเทศ 2,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ใช้ราว 750 ล้านบาทเท่านั้น หลักๆ จะขยายสาขาไปอีก 2 ประเทศ ได้แก่ จีน ลงทุนเอง 100% เบื้องต้นจับเฉพาะมณฑลกวางโจวก่อน ด้วยมีประชากรหลัก 100 ล้านคน จึงมีร้านอาหารเยอะเหมาะกับฟอร์แมตฟู้ดเซอร์วิส คาดเปิด 2 สาขา อีกประเทศคือ เมียนมา ลงทุนเอง 100% เช่นเดียวกัน ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดจะได้เห็น 1 สาขา
ก่อนหน้านี้แม็คโครได้ลุยเปิดสาขาในต่างประเทศตั้งแต่ปี 2017 โดยเริ่มที่อินเดียปัจจุบันมี 3 สาขาอยู่ในกรุงนิวเดลีทั้งหมด อีกประเทศคือกัมพูชา 3 สาขาในกรุงพนมเปญและเสียมเรียบ
โดยการไปแต่ละประเทศต้องศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคให้ดี อย่างอินเดีย แม้จะเป็นประเทศขนาดใหญ่มีประชากร 1,300 ล้านคน แต่ไม่เหมาะกับการเปิดฟอร์แมตขนาดใหญ่ เพราะคนอินเดียไม่ชอบเดินทางไกล จึงต้องเปิดสาขาขนาด 2,000 ตารางเมตรแทน อีกอย่างแม้อยู้ในเมืองหลวงเหมือนกัน แต่รูปแบบร้านก็ทำเหมือนกันไม่ได้ เพราะแต่ละพื้นที่มีความต้องการไม่เหมือนกัน
สำหรับกลยุทธ์การขยายสาขานั้น “สุชาดา” บอกว่า ปีแรกควรจะเปิดสัก 2 สาขา เพื่อศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภค และปรับเปลี่ยนไปตามนั้น ปีที่ 2 ยังไม่ควรขยาย ค่อยมาเพิ่มสาขาในปีที่ 3 จะเพิ่ม 3-4 สาขาก็ว่าไป โดยแต่ละสาขาตั้งเป้าคืนทุน 3 ปี
“วิธีการขยายสาขาแบบนี้แม็คโครเรียนรู้จากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม อย่างแต่ก่อนเมื่อ 30 ปีที่แล้วมีการมองว่าเมืองไทยเหมาะที่จะเปิดแค่ 9 แห่งเท่านั้น แต่ดูวันนี้มี 100 กว่าสาขาเข้าไปแล้ว ที่เป็นอย่างนั้นเพราะช่วงแรกต้องทำให้คนรู้จักก่อน เมื่อคนติดการขยายสาขาจะไม่เป็นปัญหาเลย”
]]>การขยายตัวของภาคค้าปลีกค้าส่ง จึงมีความสำคัญต่อการจ้างงานที่คิดเป็น 16% ของการจ้างงานทั้งประเทศ ช่วง 20 ปีที่ผ่านมาภาคค้าปลีกลงทุนต่อเนื่อง พบว่า ปี 2559-2561 กลุ่มโมเดิร์น เชน สโตร์ ลงทุนรวม 130,200 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 43,400 ล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงานกว่า 210,000 คนต่อปี และการจ้างงานทางอ้อมอีกกว่า 150,000 คน
วรวุฒิ อุ่นใจ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า แนวโน้มค้าปลีกไทยเติบโตต่ำมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 2557 และมีทิศทาง “ทรงตัว” ในปีนี้ หากเป็นเช่นสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้ค้าปลีกไม่สามารถรักษาระดับการลงทุนเหมือนที่ผ่านมา
โดยเป็นผลมาจากตัวแปรเศรษฐกิจปี 2562 ที่พบว่าตัวเลขจีพีพี ปี 2562 ทุกสถาบันต่างเห็นตรงกันว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในแบบชะลอจากปีก่อน นอกจากนี้ยังมีความไม่ชัดเจนของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นรายได้หลักของกลุ่มคนฐานรากกลุ่มใหญ่ของประเทศ จากการคาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรโภคภัณฑ์อาจไม่เพิ่มขึ้นตามทิศทางตลาดโลก แต่อาจมีเพียงข้าวที่ทำรายได้ได้ดีในระดับหนึ่ง
อีกปัจจัยสำคัญ คือ เสถียรภาพทางการเมืองหลังเลือกตั้ง ธุรกิจค้าปลีกคงต้องเฝ้าติดตาม บรรยากาศโดยภาพรวม ซึ่งจะส่งผลเกี่ยวข้องโดยตรงกับการตัดสินใจเดินหน้าการค้าและการลงทุนในปีต่อๆ ไป
โดยรวมแล้วอุตสาหกรรมค้าปลีกไทยปี 2562 ต้องเผชิญกับกลุ่มฐานผู้บริโภคกลางลงล่าง “ซึม” กลุ่มฐานผู้บริโภคกลางขึ้นบน “ทรง” และทั้งภาคค้าปลีกยังคงต้อง “เสี่ยง” กับความไม่ชัดเจนและความไม่แน่นอน
อุตสาหกรรมภาคค้าปลีกคงหวังไม่ได้กับ “มาตรการ อั่งเปาช่วยชาติ” ที่จะช่วยกระตุ้นการบริโภคซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะมีการจับจ่ายกว่าแสนล้าน โดยมีผู้บริโภคเข้าร่วมโครงการกว่า 6 ล้านคน แต่ข้อมูลล่าสุดมีผู้เข้าร่วมลงทะเบียนเพียงหลักหมื่นคน ทำให้การจับจ่ายเหลือเพียงประมาณหมื่นล้านบาท เมื่อรวมถึงการเลือกตั้งที่จะมีเงินสะพัดราว 50,000 ล้านบาท ทำให้ครึ่งปีแรกจะมีเงินสะพัดเพียงประมาณ 60,000 ล้านบาท ถือว่าอยู่ค่อนข้างน้อย ดังนั้นภาพรวมค้าปลีกครึ่งปีแรก คงจะไม่เห็นการเติบโตภาคค้าปลีกเพิ่มขึ้นแต่อย่างไร
สำหรับสถานการณ์ครึ่งปีหลัง หากภาครัฐเร่งให้มีการประมูลโครงสร้างพื้นฐานให้ได้ภายในไตรมาสแรก ผลจากการลงทุนนี้จะส่งผลต่อการเติบโตแก่ภาคค้าปลีกในปลายไตรมาส 3 ต่อต้นไตรมาส 4 แต่หากไม่เป็นตามระยะเวลาดังกล่าว ครึ่งปีหลังก็คงจะ “ซึม ถึง ทรุด” ในบางกลุ่มประเภทธุรกิจเซ็กเมนต์
โดยรวมดัชนีค้าปลีกปี 2562 อาจจะทรงตัวหรืออาจจะต่ำกว่าเดิมเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 2561 คาดว่า การเติบโตน่าจะอยู่ราว 3.0-3.1% แต่ซึ่งก็ยังต่ำกว่าจีดีพีประเทศ ที่คาดการณ์ว่าน่าจะเติบโตราว 3.5-4.0%
ทั้งนี้ สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เสนอ 8 มาตรการ ต่อภาครัฐบาลเพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมค้าปลีกไทยให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง ดังนี้
1. รัฐบาลควรให้ความสำคัญต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมค้าปลีกค้าส่งอย่างจริงจัง เนื่องจากภาคค้าปลีกเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีการจ้างงานอันดับ 1 ของการจ้างงานนอกภาคเกษตร ขณะเดียวกันภาคการบริโภคค้าปลีกค้าส่ง มีสัดส่วนกว่า 55% ของมูลค่าการบริโภคภาคเอกชน
2. เพื่อแก้ไขปัญหาโครงสร้างภาษีที่ถูกบิดเบือน รัฐบาลควรศึกษาและพิจารณาเรื่องการลดภาษีนำเข้าสินค้าแบรนด์หรูอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในกลุ่มแฟชั่น เครื่องสำอาง เครื่องหนัง และนาฬิกาชั้นนำ (Luxury Brand) เพื่อกระตุ้นยอดจับจ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติในเมืองให้เพิ่มขึ้น
3. สร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภคภายในประเทศและผู้บริโภคที่เป็นนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประกาศจัดงาน “Thailand Brand Sale” ระยะเวลา 3 เดือน ช่วงโลว์ซีซันของการท่องเที่ยว หรือช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม ลดภาษีนำเข้าสินค้าแบรนด์หรูในกลุ่มแฟชั่น เครื่องสำอาง เครื่องหนัง และนาฬิกา ชั้นนำ (Luxury Brand) เพื่อกระตุ้นยอดจับจ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เพิ่มขึ้น และกระตุ้นการจับจ่ายผู้บริโภคที่ยังมีกำลังซื้ออยู่ให้กลับคืนมา
4. ภาครัฐต้องไม่ปิดกั้นผู้ประกอบการรายอื่นๆ ให้เข้ามาดำเนินธุรกิจร้านค้าปลอดภาษีในสนามบิน และพื้นที่ค้าปลีกนอกสนามบิน เพื่อเปิดแข่งขันเสรีในทุกภาคส่วนในประเทศไทย เพื่อรัฐจะสามารถสร้างรายได้มากขึ้น
5. ปัจจุบันกลุ่มค้าปลีกมีความต้องการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพนักงานรายชั่วโมงที่ไม่สามารถจ้างงานได้เพียงพอ ขณะเดียวกันยังมีกลุ่มที่ขาดรายได้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มบุคคลหลังเกษียณ ที่ไม่มีรายได้ ซึ่งคนกลุ่มนี้ไม่สามารถทำงานได้เต็มเวลา 8 ชั่วโมง จึงเหมาะสมที่จะจ้างกลุ่มดังกล่าวนี้เป็นรายชั่วโมง ภาครัฐจะต้องกำหนดเป็นนโยบายเร่งด่วนผลักดันให้มีการออกกฎระเบียบประกาศค่าจ้างขั้นต่ำเป็นรายชั่วโมง เพื่อให้สามารถจ้างงานบุคคลกลุ่มดังกล่าวได้
6. นโยบายการจ้างงานผู้สูงอายุ ขอให้พิจารณาปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างผู้สูงอายุที่สามารถใช้ลดหย่อนภาษี ปัจจุบันกำหนดไว้ที่ 15,000 บาท เสนอให้พิจารณากรณีค่าจ้างสูงกว่า 15,000 บาท ให้สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุดที่ 15,000 บาท เพราะปัจจุบันหากค่าจ้างสูงกว่า 15,000 บาท จะไม่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้เลย และสามารถจ้างงานเป็นรายชั่วโมงตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายชั่วโมง ตามข้อ 5
7. ภาครัฐต้องสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนในอุตสาหกรรมค้าปลีกค้าส่ง ตลอดจนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและธุรกิจบริการให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาระบบทวิภาคี โดยชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ที่ผู้ประกอบการจะได้รับจากการเข้าร่วมโครงการ และอาจให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น การลดหย่อนภาษีหรือสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกทั้งภาครัฐจะต้องมีมาตรการสนับสนุนการนำคุณวุฒิวิชาชีพมาเป็นมาตรฐานการจ้างงานโดยเริ่มที่การจ้างงานภาครัฐก่อน
8. รัฐต้องมีมาตรการส่งเสริมการค้าชายแดนอย่างชัดเจน โดยพิจารณาผ่อนผันการเปิดด่านต่างๆ การเพิ่มจำนวนด่าน และอำนวยความสะดวก รวมทั้งพิจารณาให้มี VAT Refund for Tourist ในกรณีนักท่องเที่ยวเพื่อนบ้านเดินทางเข้ามาในประเทศไทยโดยใช้เส้นทางบก
]]>