ช่องทางการตลาด – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 05 Jul 2024 06:18:26 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 คนไทย “ช้อปปิ้ง” ช่องทางไหน? https://positioningmag.com/1481480 Fri, 05 Jul 2024 06:18:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1481480 KPMG สำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิก 14 ประเทศ จำนวน 7,000 คน (ครึ่งหนึ่งของผู้ถูกสำรวจเป็น Gen Z วัย 18-24 ปี)

โดย “คนไทย” เป็นหนึ่งในนักช้อปที่ถูกสำรวจ มีข้อมูลที่น่าสนใจของนักช้อปไทย จากการสำรวจนี้พบว่า คนไทยเปลี่ยนมาช้อปแบบ Omnichannel เป็นหลัก และช่องทางออนไลน์ที่นิยมที่สุดยังเป็นกลุ่ม “มาร์เก็ตเพลส” อย่าง Shopee , Lazada

นอกจากนี้ ยังพบว่า คนไทยชอบ “โซเชียลคอมเมิร์ซ” มากขึ้น 24% ของคนไทยชอบดู “ไลฟ์ขายของ” ทำให้ช่องทางโซเชียลที่ขายของได้ เช่น Facebook, Instagram, TikTok มาแรงมากในยุคนี้

]]>
1481480
ปีหน้าเจอกัน! LINE จะมีช่องทาง “ไลฟ์ขายของ” และระบบ “รับค่าคอมฯ” จากการบอกต่อสินค้า https://positioningmag.com/1407461 Wed, 09 Nov 2022 12:31:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1407461 อัปเดตฟีเจอร์จาก LINE for Business ปี 2566 เตรียมพบกับระบบ “ไลฟ์ขายของ” ตอบโจทย์คนไทย และฟีเจอร์ “Share & Earn” บอกต่อสินค้าเพื่อ “รับค่าคอมฯ” ทำการตลาดแบบบอกปากต่อปากให้เกิดขึ้นจริง LINE ยังชี้จุดเด่นของ “Chat Commerce” ด้วยว่า เข้ากับนิสัยคนไทย การพูดคุยช่วยสร้างความเชื่อถือและผูกพันได้มากกว่า

อีคอมเมิร์ซไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดดเพราะวิกฤตโควิด-19 กลายเป็นโอกาสของโลกออนไลน์ โดยข้อมูลจาก LINE พบว่า จากช่วงก่อนโควิด-19 การค้าอีคอมเมิร์ซไทยเติบโต 9% มาถึงช่วงระหว่างเกิดโควิด-19 จนถึงปัจจุบันโตพุ่ง 63% และยังคาดการณ์ว่าอนาคตจะโต 86% เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนถาวร

ในภูมิทัศน์การแข่งขันของอีคอมเมิร์ซ LINE จะแข่งกับช่องทางการขายอื่นๆ อย่างไร? “เลอทัด ศุภดิลก” ผู้อำนวยการ ฝ่ายธุรกิจอีคอมเมิร์ซ LINE ประเทศไทย มองภาพตลาดอีคอมเมิร์ซของเราเกิดได้จากโซเชียลมีเดีย ก่อนจะมาถึงยุคแห่งอีมาร์เก็ตเพลส กลายเป็นสมรภูมิแข่งขันของรายใหญ่ ที่ทำให้ตลาดเติบโตเร็ว

แต่วันข้างหน้า เลอทัดมองว่าการมีแต่รายใหญ่ที่แข่งขันได้จะทำให้ตลาดโตช้าลง และปิดโอกาสรายย่อยออกจากอีคอมเมิร์ซ LINE จึงต้องการจะเป็นผู้เล่นหรือช่องทางขายที่ ‘empower’ เน้นการเติบโตของ SMEs เป็นหลัก

“เลอทัด ศุภดิลก” ผู้อำนวยการ ฝ่ายธุรกิจอีคอมเมิร์ซ LINE ประเทศไทย

เลอทัดกล่าวถึงจุดแข็งของ LINE for Business ที่โดดเด่นกว่าช่องทางขายออนไลน์อื่น เช่น อีมาร์เก็ตเพลส โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ คือการเป็นช่องทาง “แชท” ที่เป็น Own Brand Channel และ Own Fanbase หมายถึงการเป็นเสมือน CRM ที่แข็งแรง ลูกค้าที่เพิ่มเพื่อนกับ LINE OA ของแบรนด์แล้ว หากแบรนด์สื่อสารดี ไม่ถูกบล็อก ก็จะสามารถสร้างแฟนคลับของตัวเอง สื่อสารกับลูกค้าได้โดยตรงผ่านช่องทางส่วนตัวของแบรนด์ และสะสมฐานไปได้เรื่อยๆ

 

เจอกับ “ไลฟ์ขายของ” บนช่องทาง LINE!

ขั้นต่อไปของ LINE for Business ที่จะช่วยให้ลูกค้า SMEs ใช้ประโยชน์จากฐานแฟนได้ดีขึ้น เลอทัดกล่าวถึงการสร้าง Multiplication of Sales ทำอย่างไรให้ลูกค้าขายได้มากขึ้น

มี 3 ฟีเจอร์หลักๆ ที่จะได้พบกันบน LINE ปี 2566

LINE ไลฟ์ขายของ

ฟีเจอร์แรกคือ “Live Commerce” อาจจะดูไม่ว้าวมากเพราะแพลตฟอร์มอื่นทำกันไปนานแล้ว แต่นี่จะเป็นครั้งแรกที่ LINE มีระบบนี้ โดยบริษัทลองตลาดไปแล้วเมื่อไตรมาส 2 ที่ผ่านมา พบว่ามียอดวิวมากกว่า 330,000 ครั้งจากผู้ติดตาม 7 ล้านคน ณ ขณะนั้น

รวมถึง LINE มีระบบการกดซื้อสินค้าได้โดยตรงจากการไลฟ์ เพราะมีระบบสั่งซื้อและชำระเงินจาก LINE Shopping รออยู่แล้ว

  • “คนไทย” ชื่นชอบการช้อปออนไลน์ผ่าน “Live ขายสินค้า”

 

ส่งสินค้าเป็น “ของขวัญ” ต่อยอดจากสติ๊กเกอร์

หลายคนน่าจะเคยส่งหรือเคยรับสติ๊กเกอร์ LINE เป็นของขวัญ ฟีเจอร์นี้มีมานานบนแพลตฟอร์ม และทำให้ผู้ใช้ได้ส่งของตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ กันง่ายขึ้นบนโลกออนไลน์

ไอเดียนี้ทำให้ LINE นำมาผสมกับการขายสินค้า ด้วยฟีเจอร์ “Gifting” ให้ของขวัญออนไลน์กับเพื่อนด้วยสินค้าที่มีขายบน LINE Shopping โดยผู้ใช้สามารถชำระเงินแล้วให้ร้านค้าส่งสินค้าตรงไปที่คนรับเลย ผู้ให้จึงไม่ต้องรู้ที่อยู่ของผู้รับ เป็นส่วนตัวมากกว่า ในฝั่งของผู้ขายก็จะได้โอกาสการขายมากขึ้นจากฟีเจอร์นี้

  • LINE MAN Wongnai เดินหน้าล่า “เทคทาเลนต์ต่างชาติ” อัพทีมเทคโนโลยีชนคู่แข่งระดับโลก

 

บอกต่อสินค้า “รับค่าคอมฯ”

มาถึงฟีเจอร์เด็ดปีหน้าที่จะมีคือ “Share & Earn” ให้ผู้ใช้จริงแชร์ลิงก์สินค้าบน LINE Shopping ไปให้เพื่อน ถ้าเพื่อนซื้อตามก็จะได้รับค่าคอมมิชชั่น เป็นการกระตุ้นระบบบอกปากต่อปากที่จะทำให้ร้านค้ามีโอกาสทำยอดขายมากขึ้น ทั้งนี้ เลอทัดกล่าวว่า LINE จะพยายามทำระบบเพื่อให้ไม่ให้เกิดการแชร์ลิงก์แบบกลาดเกลื่อน (เหมือนที่เกิดกับ ‘aff link’ จากอีมาร์เก็ตเพลซทุกวันนี้ – ผู้เขียน) เพราะต้องการให้การบอกต่อเป็นกิจกรรมคุณภาพต่อไป

LINE ยังศึกษาข้อมูลมารองรับด้วยว่าการตลาดบอกต่อเป็นเรื่องที่ได้ผลมากกับแพลตฟอร์ม “แชท” เพราะถ้าเพื่อนส่งลิงก์อะไรบางอย่างมาให้ ผู้รับข้อความมีโอกาสคลิกตามไปดูจริงๆ ถึง 57% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมากเมื่อเทียบในวงการการตลาด

นอกจากนี้ เมื่อผู้รับข้อความคลิกตามไปแล้ว โอกาสจะซื้อจริงก็มากกว่าวิธีการโฆษณาออนไลน์อื่นถึง 3 เท่า เพราะว่าการแชร์ลิงก์มาให้ของเพื่อนก็มักจะมาพร้อมบทสนทนาว่า ‘เราซื้อแล้ว ของดีมากเลย’ เป็นคำแนะนำควบคู่ที่ทำให้เกิดการซื้อ

 

Chat Commerce ระบบที่เข้ากับนิสัยคนไทย

เลอทัดยังสรุปถึงความแข็งแรงของ Chat Commerce แบบ LINE ที่เข้ากับบริบทนิสัยคนไทยมากกว่าด้วย ดังนี้

1.คนไทยชอบอะไรที่ “ง่าย” ไม่ต้องมี interface เยอะแยะ – คนไทยก้าวข้ามยุคการทำเว็บไซต์แบรนด์ที่ตะวันตกทำกัน และเข้าสู่การแชทเลย ทำให้คนไทยไม่ชินกับการมีระบบคลิก interface แต่ชอบการแชทคุยที่ง่าย สะดวก เร็ว แค่พิมพ์แจ้งว่าจะซื้ออะไรก็มีคนรับออร์เดอร์แล้ว

2.การคุยกันคือการสร้างความเชื่อใจ – ตรงข้ามกับตะวันตก คนไทยไม่มั่นใจในแบรนด์ใหม่ๆ แม้มีเว็บไซต์ให้ชม แต่ต้องการคุยกับ ‘มนุษย์’ ตัวจริงเพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือ ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้แบรนด์เข้าหาลูกค้าใหม่ง่ายกว่า เพราะไม่ต้องทำโปรโมชันซื้อความเชื่อใจให้ลองสั่งผ่านเว็บไซต์ แต่ใช้การแชทคุยเพื่อยืนยันตัวตน

3.แชทคือระบบ hyper personalization ที่ง่ายที่สุด – เพราะการแชทคือการได้คุยกับลูกค้าแบบตัวต่อตัว เหมือนยกโลกออฟไลน์ดั้งเดิมมาอยู่ในออนไลน์ แอดมินที่ได้คุยกับลูกค้าบางรายบ่อยๆ จะจำลูกค้าได้ ทำให้เข้าใจความต้องการเป็นรายบุคคลและเสนอสินค้าได้ตรงใจ เช่น กลุ่มแม่และเด็กที่ขายบน LINE จะใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้ดีมาก เพราะจำได้ว่าผู้ซื้อรายนี้มีลูกเพศอะไร อายุเท่าไหร่ ตอนนี้น่าจะต้องการเสื้อผ้าของเด็กวัยไหนและสไตล์ไหน เป็นต้น

(Tips จาก LINE: ลูกค้าเก่าซื้อซ้ำนั้นอาจจะมีเพียง 10% ของจำนวนลูกค้าที่ซื้อทั้งหมด แต่จริงๆ แล้วกลุ่มนี้สามารถทำยอดขายได้ถึง 50% ของยอดขายรวมในร้าน แนะนำว่าการทำโปรโมชันควรเน้นที่กลุ่มนี้มากกว่าหาลูกค้าใหม่ไปเรื่อยๆ)

สรุปจากเลอทัดแห่ง LINE บอกกับผู้ขายบนแพลตฟอร์มนี้ว่า “ขอแค่คุณดูแลลูกค้าคุณให้ดี แล้วเราจะดูแลคุณให้เติบโต” ถ้าคุณยิ่งแชทสร้างสัมพันธ์กับลูกค้าได้ดี ลูกค้าไม่บล็อกคุณ บริษัทจะดูแลสร้างการเติบโตให้เองผ่านฟีเจอร์ใหม่ๆ เหล่านี้

]]>
1407461
เตรียมตัวให้พร้อม! ค่าโฆษณา Facebook แพงขึ้นแน่ๆ อาจสูงถึง 79% ใน 1 ปี สวนทางการใช้งานสั้นลง ? https://positioningmag.com/1154665 Sun, 28 Jan 2018 23:15:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1154665 นักวิเคราะห์ฟันธง ราคาโฆษณา Facebook จะแพงขึ้นเพราะจำนวนชั่วโมงการใช้งาน Facebook ของสาวกที่สั้นลงถือเป็นหนึ่งในผลกระทบใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นช่วงปีนี้

โดยจุดที่น่ากังวลคือ การประเมินเบื้องต้นพบราคาโฆษณา Facebook อาจสูงขึ้น 25% ภายใน 3 เดือนนี้ และจะหนักข้อขึ้นเป็น 48% ภายใน 6 เดือน และ 79% ภายใน 1 ปี

ต้นเหตุของการวิเคราะห์ครั้งนี้มาจากเจ้าพ่อ Mark Zuckerberg ที่ประกาศว่า Facebook กำลังปรับปรุงเนื้อหาในฟีดข่าว เพื่อจัดลำดับความสำคัญให้เนื้อหาจากเพื่อน ถูกแสดงมากกว่าเนื้อหาของแบรนด์ ธุรกิจ และผู้เผยแพร่เนื้อหาต่างๆ ผลจากการประกาศนี้ทำให้ราคาหุ้นของ Facebook ปรับตัวลดลง 5% ทันที

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะ Adam Mosseri รองประธานฝ่ายดูแลฟีดข่าวของ Facebook ยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือ “การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุด” เมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านมา ซึ่งในความเห็นของนักวิเคราะห์ หลายคนเห็นด้วยเพราะผลกระทบจากพันธกิจใหม่จะเกิดเป็นห่วงโซ่ ส่งถึงรายได้รวมของ Facebook ในที่สุด 

เรื่องนี้ Kunal Gupta ผู้ก่อตั้งและ CEO บริษัทวิจัย Polar รายงานผ่านสำนักข่าว Adweek ว่าหากต้องการเข้าใจถึงผลกระทบทางธุรกิจที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงนี้ เราทุกคนต้องเข้าใจโมเดลธุรกิจของ Facebook ก่อน เนื่องจากแม้รายได้หลัก Facebook จะมาจากการโฆษณา แต่ก็มีปัจจัยอื่นที่ส่งผลถึงเม็ดเงินโฆษณาที่ได้รับด้วย

ปัจจัยที่ว่านี้ประกอบด้วย 4 ส่วน นั่นคือ

  • Active users : ผู้ใช้งานประจำ ซึ่งเป็นจำนวนผู้เข้าชมที่ไม่ซ้ำกันต่อเดือน 
  • Time spent : ระยะเวลาที่ผู้ใช้แต่ละคนเปิดชมเนื้อหาบน Facebook 
  • Ad density : ความหนาแน่นของโฆษณา ซึ่งหมายถึงจำนวนเฉลี่ยของโฆษณาที่แสดงต่อผู้ใช้แต่ละราย
  • Ad price : อัตราค่าโฆษณาที่นักโฆษณาต้องเสียเมื่อลงโฆษณากับ Facebook

สถิติล่าสุดชี้ว่า วันนี้มีธุรกิจมากกว่า 6 ล้านรายที่ลงโฆษณาบน Facebook ดอกแรกที่ทุกคนรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจเมื่อ Facebook ปรับฟีดข่าว คือทุกคนรู้ว่า “organic post” หรือโพสต์ที่ไม่ได้เสียค่าโฆษณาจะถูกเห็นน้อยลงแน่นอน

แต่เรื่องไม่จบเท่านั้น เพราะดูเหมือนว่า Facebook หวังจะลด time spent ของผู้ใช้ลง

เรื่องนี้เรื่องจริง เพราะ Zuckerberg ยืนยันชัดเจน ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงนี้ ตัวเขาคาดหวังให้ผู้คนใช้เวลาบน Facebook น้อยลง และตัวเลข engagement บางอย่างจะลดลงด้วย

แปลว่า Facebook ต้องการทำให้ผลิตภัณฑ์ของตัวเองไม่ดึงให้ผู้ใช้เสพติดมากนัก ดังนั้น ผลกระทบจากเรื่องนี้จะเกิดขึ้นต่อเนื่อง เพราะการที่ผู้ใช้ลดเวลาเพลิดเพลินกับ Facebook น้อยลง โอกาสที่แบรนด์ ธุรกิจ และผู้เผยแพร่เนื้อหาจะมีโอกาสเข้าถึงผู้อ่านทั้งแบบไม่เสียเงินและแบบเสียเงิน ก็จะยิ่งน้อยลงไปด้วย

เมื่ออุปทานที่มีอยู่ลดลง ทางที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ ราคาในการโฆษณาบน Facebook ก็จะเพิ่มสูงตามไปด้วย

ประเด็นนี้ นักวิเคราะห์ทดลองคำนวณข้อมูลล่าสุดของ Facebook (ข้อมูลไตรมาส 3 ปี 2017) พบว่าหากประเมินว่ารายได้รวม Facebook เพิ่มขึ้น 15% ในช่วง 1 ไตรมาส แล้วตัวเลข Active User ผู้ใช้ประจำเพิ่มขึ้น 2% ตามค่าเฉลี่ย ขณะที่ Time Spend หรือเวลาที่ใช้บนแพลตฟอร์มลดลง 10% จากตัวเลขที่ Comscore ประเมินไว้ (สถิติล่าสุดคือ 35 นาทีต่อวัน คำนวณได้เป็น 53 ชั่วโมงต่อไตรมาสต่อผู้ใช้) เหลือ 48 ชั่วโมง โดย Ad Density หรือจำนวนโฆษณาต่อชั่วโมงคงที่ที่ราว 450 ตามตัวเลขปัจจุบัน จะพบว่าราคาโฆษณาหรือ Ad Price จะเพิ่มขึ้น 25% เป็น 0.26 เหรียญจาก 0.21 เหรียญ

แม้ทั้งหมดนี้จะเป็นการคาดเดา ที่อิงจากการสมมติว่าความหนาแน่นของโฆษณาจะยังคงที่ เนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่า Facebook จะไม่โหมกระหน้ำแสดงโฆษณาที่มากขึ้นต่อชั่วโมง แต่ความเป็นไปได้เรื่องราคาโฆษณาที่จะเพิ่มขึ้นนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเมื่อทดลองคำนวณในระยะยาว 2 ไตรมาส และ 4 ไตรมาส (1 ปี) เห็นชัดเจนมากว่าราคาโฆษณาบน Facebook จะสูงขึ้นมากกว่า 48% ในเวลาเพียง 2 ไตรมาส และ 79% ในเวลา 1 ปี

หากการคำนวณนี้ถูกต้อง นี่จะเป็นเรื่องใหญ่และมีผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรม เพราะวันนี้หลายอุตสาหกรรมโลกหันมาพึ่งพา Facebook เป็นช่องทางการตลาด ซึ่งได้รับการันตีถึงความมีประสิทธิภาพในการเข้าถึง และการ engage ลูกค้า 

ดังนั้นขอให้ทุกคนจงเตรียมตัวให้พร้อม และหาทางหนีทีไล่ให้ดีในวันที่ราคาโฆษณา Facebook เปลี่ยนแปลงไป.

ที่มา :  adweek.com/digital/why-you-should-be-prepared-for-facebook-ad-prices-to-rise/

]]>
1154665