ตะวันออกกลาง – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 18 Jan 2024 09:00:29 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 CEO ของ DHL กังวลสถานการณ์ในทะเลแดงส่อเค้ารุนแรงเพิ่ม อาจส่งผลต่อการขนส่งสินค้ามายังทวีปเอเชีย https://positioningmag.com/1459390 Thu, 18 Jan 2024 08:44:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1459390 Tobias Meyer ซึ่งเป็น CEO ของ DHL บริษัทขนส่งพัสดุรายใหญ่จากเยอรมนี ได้แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ในทะเลแดงส่อเค้ารุนแรงเพิ่ม อาจส่งผลต่อการขนส่งสินค้ามายังทวีปเอเชียภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งเกิดจากจากการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์

Tobias Meyer ซึ่งเป็น CEO ของ DHL บริษัทขนส่งพัสดุรายใหญ่จากเยอรมนี ได้ให้สัมภาษณ์กับ Fox Business ถึงความกังวลของเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ในทะเลแดงส่อเค้ารุนแรงเพิ่ม หลังจากที่สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ได้ประกาศโจมตีกลุ่มติดอาวุธฮูตี ซึ่งอาจกระทบต่อการขนส่งสินค้าได้

เขากล่าวว่า “จำนวนตู้คอนเทนเนอร์กำลังจะขาดแคลนในทวีปเอเชียในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า” และปัญหาดังกล่าวบริษัทกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด แม้ว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะไม่ร้ายแรงเท่าในช่วงการแพร่ระบาดของโควิดที่ทำให้การขนส่งทางเรือหยุดชะงัก

สถานการณ์ในทะเลแดงนั้นเริ่มย่ำแย่ลง เนื่องจากกลุ่มฮูตีโจมตีเรือสินค้า โดยต้องการตอบโต้ต่อกรณีที่อิสราเอลโจมตีฉนวนกาซา และทางกลุ่มยังออกมาเตือนว่าจะโจมตีเรือสินค้าทุกลำที่เดินทางผ่านเส้นทางทะเลแดงและต้องการเทียบท่าในประเทศอิสราเอล โดยไม่สนใจว่าเป็นเรือชาติใด

ผลดังกล่าวทำให้เรือขนส่งสินค้าหลายลำเลิกใช้เส้นทางทะเลแดง และรอดูท่าทีว่าสถานการณ์จะผ่อนคลายลงหรือไม่

ต่อมาได้มีการจัดตั้งปฏิบัติการ Prosperity Guardian นำโดยสหรัฐอเมริกา และพันธมิตร เช่น สหราชอาณาจักร บาห์เรน แคนาดา นอร์เวย์ อิตาลี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สเปน ฯลฯ จะวางกำลังคุ้มกันบริษัทเดินเรือที่ขนส่งสินค้าระหว่างทะเลแดงจนถึงคลองสุเอซเพื่อความปลอดภัย

อย่างไรก็ดีกลุ่มติดอาวุธฮูตีกลับยังมีการโจมตีเรือสินค้า และเพิ่มจำนวนมากขึ้น จนทำให้ท้ายที่สุด สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ได้ประกาศโจมตีกลุ่มดังกล่าว โดยให้เหตุผลเพื่อที่จะทำให้กลุ่มฮูตีไม่สามารถโจมตีเรือสินค้าได้อีก

CEO ของ DHL ยังได้กล่าวเสริมว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลทำให้เรือเดินทางกลับทวีปเอเชียไม่ตรงเวลา ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์สำหรับการขนส่งในอนาคต

โดยสถานการณ์ในทะเลแดงส่อเค้ารุนแรงนั้นส่งผลทำให้เรือขนสินค้า หรือตู้คอนเทนเนอร์ จะต้องเดินทางอ้อมทวีปแอฟริกาแทน ซึ่งใช้เวลาเพิ่มอีกราวๆ 2 สัปดาห์ ส่งผลทำให้ต้นทุนค่าขนส่งเพิ่มมากขึ้น และยังรวมถึงต้นทุนจากการทำประกันภัยทางเรือนั้นเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

]]>
1459390
ดูไบกำลังกลายเป็นฮับของมหาเศรษฐีจีนอีกแห่ง ธุรกิจบริหารความมั่งคั่งเริ่มเปิดสำนักงานเพิ่มมากขึ้น https://positioningmag.com/1458120 Tue, 09 Jan 2024 07:55:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458120 ฮับของมหาเศรษฐีจีนอาจไม่ใช่แค่ฮ่องกง สิงคโปร์ เท่านั้น แต่ดูไบกำลังจะกลายเป็นฮับอีกแห่งที่สำคัญในอนาคต เนื่องจากธุรกิจบริหารความมั่งคั่งเริ่มเปิดสำนักงานเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันดูไบเองยังเอื้อแก่การเปิดธุรกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างตะวันกลางกับจีนที่ดี รวมถึงอัตราภาษีที่ต่ำ

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวว่า ดูไบกำลังกลายเป็นฮับของมหาเศรษฐีชาวเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวจีน และจะมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น หลังจากสถาบันการเงินหลายแห่งได้ทยอยไปเปิดสำนักงานที่ดูไบเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการลูกค้าความมั่งคั่งสูง หรือแม้แต่ให้บริการด้านการเงินทั่วไปกับลูกค้า

จุดเด่นของดูไบที่ทำให้มหาเศรษฐีจากจีนเริ่มสนใจเข้าไปทำธุรกิจในตะวันออกกลางคือ การเริ่มต้นทำธุรกิจนั้นง่ายเมื่อเทียบกับหลายประเทศ อัตราภาษีที่ต่ำ โซนเวลาไม่แตกต่างกับเอเชียมากจนเกินไป นอกจากนี้ยังมีเหล่ามหาเศรษฐีเริ่มเข้าไปอยู่อาศัยในตะวันออกกลางมากขึ้น ยิ่งทำให้เสน่ห์เมืองใหญ่สุดของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างตะวันออกกลางกับจีนนั้นมีความแน่นแฟ้นเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทั้งความร่วมมือในด้านเทคโนโลยี หรือแม้แต่การลงทุนระหว่างกัน ขณะเดียวกันนักธุรกิจจีนเองต้องการที่จะกระจายความเสี่ยงในเรื่องธุรกิจ ทำให้ดูไบถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจของชาวจีน

ในช่วงที่ผ่านมาตะวันออกกลางหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้พยายามวางตัวเป็นกลางท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน หรือแม้แต่กรณีล่าสุดอย่างการบุกยูเครนของรัสเซีย ตะวันออกกลางนั้นถือเป็นกลุ่มประเทศที่ไม่ต้องการคว่ำบาตรรัสเซีย

นอกจากนี้การโยกย้ายเม็ดเงินจากฮับการเงินเดิมอย่าง ฮ่องกง หรือ สิงคโปร์ ออกมาดูไบ ยังเป็นการกระจายความเสี่ยงของเหล่ามหาเศรษฐีจีนอีกทาง

ธุรกิจบริหารความมั่งคั่งชาวจีนอย่าง Noah Holdings ได้ประกาศการเปิดสำนักงานในดูไบ โดย Qing Pan ซึ่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ได้กล่าวกับ Reuters ว่า กลยุทธ์ของบริษัทคือติดตามการเติบโตของความมั่งคั่งของลูกค้าชาวจีน นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องอยู่ที่นี่ เขายังกล่าวเสริมว่าบริษัทวางแผนที่จะส่งพนักงานบางส่วนจากประเทศจีนก่อน แล้วรับสมัครงานในท้องถิ่นในภายหลัง

ขณะที่ Lombard Odier ซึ่งเป็นธุรกิจบริหารความมั่งคั่งรายใหญ่จากสวิตเซอร์แลนด์ก็ดูลู่ทางในการเปิดสำนักงานที่ดูไบเช่นกัน

ไม่เว้นแม้แต่ Tsang Group และ Landmark Family Office รวมถึง Farro Capital ซึ่งเป็นธุรกิจสำนักงานครอบครัว (Family Office) เพื่อบริหารทรัพย์สินของเหล่ามหาเศรษฐี และดูทำหน้าที่ดูแลในด้านต่างๆ เช่น กฎหมาย ฯลฯได้มีการเปิดสำนักงานที่ดูไบ

อย่างไรก็ดีถ้าหากมองย้อนกลับมา เศรษฐีชาวจีนได้ทยอยนำเงินออกมาไว้นอกจีนเป็นจำนวนมากขึ้นหลังปี 2020 ทั้งในฮ่องกง สิงคโปร์ หรือล่าสุดที่ดูไบ เนื่องจากความไม่แน่นอนในการใช้ชีวิตหลังการแพร่ระบาดของโควิด หรือแม้แต่ความต้องการย้ายถิ่นฐานออกจากประเทศจีน

]]>
1458120
“กาตาร์ แอร์เวย์” ทยอยปลดนักบิน ปรับลดเงินเดือนพนักงานลงราว 15-25% https://positioningmag.com/1283740 Tue, 16 Jun 2020 08:08:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1283740 สายการบินใหญ่เเห่งตะวันออกกลางกาตาร์ แอร์เวย์” (Qatar Airways) ประกาศเเผนเลิกจ้างนักบินบางส่วน พร้อมปรับลดเงินเดือนพนักงานลงราว 15-25% เพื่อลดค่าใช้จ่าย โดยเป็นหนึ่งในการแก้ไขปัญหาจากผลกระทบ COVID-19 ที่สะเทือนสายการบินเเละธุรกิจท่องเที่ยวทั่วโลก

สำนักข่าว Bloomberg รายงานโดยอ้างจดหมายเวียนภายในถึงพนักงานของกาตาร์ แอร์เวย์ว่า บริษัทจะเลิกจ้างนักบินบางส่วน และพนักงานที่เหลือในส่วนอื่น ๆ ทั่วโลก จะถูกปรับลดเงินเดือนราว 15 – 25% อย่างไรก็ตาม พนักงานที่เป็นชาวกาตาร์ จะถูกยกเว้นจากการถูกตัดเงินเดือนในครั้งนี้ ด้านโฆษกของสายการบิน ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นต่อกรณีนี้

ก่อนหน้านี้ กาตาร์ แอร์เวย์ ได้เลื่อนเวลาจ่ายเงินเดือนให้พนักงาน โดยมีพนักงานบางคนได้รับเงินเดือนครึ่งเดียว ระหว่างเดือน เม.. ถึง มิ.. ซึ่งส่วนที่เหลือบริษัทยืนยันว่าจะจ่ายให้ครบในภายหลัง

กาตาร์ แอร์เวย์ เป็นสายการบินเเห่งชาติที่มีรัฐบาลถือหุ้นใหญ่ ถือครองทรัพย์สินอื่น ๆ เกี่ยวกับธุรกิจการบินในกรุงโดฮา อย่างเช่น ท่าอากาศยานนานาชาติ Hamad โดยเคยเปิดเผยว่าอาจจะปลดพนักงานเกือบ 20% จากทั้งหมดที่มีอยู่กว่า 46,000 คนทั่วโลก เเต่ในเวลาต่อมา บริษัทระบุว่าจำนวนพนักงานที่จะปลดอาจจะน้อยกว่าที่เคยประกาศไว้

(Photo by Jordan Pix/Getty Images)

ขณะเดียวกัน อีก 2 สายการบินขนาดใหญ่ในตะวันออกกลางอย่าง สายการบินเอมิเรตส์และเอธิฮัด ก็แก้ไขปัญหาจากผลกระทบการระบาดของ COVID-19 ด้วยการวิธีปลดพนักงานบางส่วนและลดเงินเดือนพนักงานเช่นกัน

แม้ว่าสายการบินเอมิเรตส์ จะไม่เปิดเผยจำนวนพนักงานที่ถูกเลิกจ้าง แต่แหล่งข่าวบอกกับ Reuters ว่าบริษัทจะมีการทยอยเลิกจ้างนักบินและพนักงานต้อนรับรวมกันหลายพันตำแหน่งเพื่อลดความซ้ำซ้อนภายในองค์กร

โดยก่อนหน้านี้ เริ่มมีกระเเสข่าวว่าเอมิเรตส์เตรียมเลิกจ้างพนักงานมาตั้งแต่เดือนที่เเล้ว และอาจมากถึง 30,000 คน หรือราว 30% ของบุคลากรทั่วโลก อย่างไรก็ตาม สายการบินขอไม่เปิดเผยจำนวนพนักงานที่ถูกปลดก่อนกำหนด ภายใต้นโยบายปรับโครงสร้างองค์กรครั้งนี้

ปัจจุบัน สายการบินทั่วโลกล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบสาหัสจาก COVID-19 แม้จะเป็นสายการบินที่ทำกำไรมาต่อเนื่องหลายปีอย่างเอมิเรตส์เเละกาตาร์ แอร์เวย์ ก็ตาม โดยส่วนใหญ่จำเป็นต้องปรับลดจำนวนพนักงานบุคลากร รวมถึงใช้วิธีปรับลดชั่วโมงการทำงาน ให้ลาหยุดโดยไม่รับเงินเดือน สมัครใจลาออกหรือปลดเกษียณก่อนกำหนด เพื่อให้ธุรกิจสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้

 

ที่มา : Bloomberg , Reuters

]]> 1283740 เปิด 6 ข้อวิเคราะห์ทิศทางตลาดเงิน-ตลาดทุน หลังเหตุสหรัฐฯ ลอบสังหารนายพลอิหร่าน https://positioningmag.com/1259367 Sat, 04 Jan 2020 12:22:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1259367 หลังสหรัฐอเมริกาเข้าโจมตีทางอากาศสังหาร “นายพลคาสเซม โซเลมานี” แห่งอิหร่านเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม 2020 สร้างแรงกระเพื่อมในตลาดเงินตลาดทุน โดยตลาดหุ้นโลกราคาตกฮวบ ขณะที่ราคาทองคำพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 6 ปี รวมถึงราคาน้ำมันและพันธบัตรรัฐบาลที่ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนเลือกหนีตลาดสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง และเกรงว่าเหตุการณ์นี้จะส่งผลต่อซัพพลายน้ำมันระดับโลก

การโจมตีอิหร่านครั้งนี้เกิดขึ้นจากคำสั่งโดยตรงของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ โดยกล่าวว่าเป็นภารกิจเพื่อขัดขวางแผนการโจมตีในอนาคตของอิหร่าน ขณะที่ฝั่งอิหร่านตอบโต้กลับด้วยคำแถลงของ อายะตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำระดับสูงของอิหร่านว่า “การแก้แค้นอย่างรุนแรงกำลังรอสหรัฐฯ อยู่”

สำหรับตลาดเงินตลาดทุนจะเป็นอย่างไรหลังความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง ติดตามได้จากบทวิเคราะห์จาก 6 แหล่งนี้

1.ทองคำจะเป็นที่ต้องการ

Oanda มองว่า ความเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งสูงขึ้นน่าจะทำให้ราคาหุ้นตกลงอีกในเดือนนี้ และส่งให้เงินลงทุนไหลสู่ตลาดสินทรัพย์ปลอดภัยจนกว่าความกลัวจะลดลง

Oanda กล่าวว่า การโจมตีทางอากาศครั้งนี้ทำให้ภูมิภาคสั่นสะเทือน และการตายของโซเลมานีนั้นอาจจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น “ภูมิภาคนี้ทั้งหมดกำลังอยู่ในช่วงอ่อนไหว และตลาดหุ้นอาจจะร่วงลงได้อีก” เอ็ดเวิร์ด โมยา นักวิเคราะห์อาวุโสกล่าว “ทองคำจะยังเป็นตลาดสินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนชื่นชอบ”

นอกจากนี้ ตลาดสินทรัพย์ปลอดภัยอื่นๆ เช่น สกุลเงินดอลลาร์ และ สกุลเงินเยน น่าจะเป็นจุดพักเงินลงทุนสูงขึ้น “แต่ทองคำจะยังเป็นราชาของกลุ่มนี้” โมยากล่าวเสริม และเชื่อว่าราคาทองคำจะพุ่งขึ้นจากปี 2019 ไปแตะ 1,600 เหรียญต่อออนซ์ภายในสิ้นเดือนมกราคมนี้

2.ใช้โอกาสตลาดขาลงเร่งช้อนซื้อหุ้นกลุ่มเทคฯ

Wedbush มองว่า ราคาหุ้นสหรัฐฯ ที่ทรุดลงเป็น “โอกาสทองในการช้อนซื้อ” สำหรับนักลงทุนที่ต้องการจะซื้อ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เพราะราคาถูกลงแล้วในขณะนี้ หลังจากปี 2019 ราคาหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบทศวรรษ

ที่แนะนำหุ้นกลุ่มเทคฯ เพราะ Wedbush มองว่าหุ้นกลุ่มนี้จะเติบโตได้อีกในปี 2020 แม้ว่าจะสะดุดไปบ้างจากเหตุการณ์โจมตีอิหร่าน ดังนั้น นี่จึงเป็นโอกาสช้อนซื้อหุ้นเทคฯ เด่นๆ เช่น Microsoft, Apple, Nuance, CyberArk, Fortinet, Varonis, SailPoint, Zscaler 

3.การโจมตีครั้งนี้จะเพิ่มโอกาสเกิดสงคราม

ด้าน Capital Economics กล่าวว่า การลอบสังหารโซเลมานีจะเพิ่มโอกาสเสี่ยงเกิดความขัดแย้งโดยสมบูรณ์ระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน และหากเกิดสงครามขึ้นจริงจะกระทบกับจีดีพีโลกโดยตรงประมาณ 0.3% เนื่องจากเศรษฐกิจอิหร่านจะพังทลาย นอกจากนี้ยังต้องจับตามองว่าสงครามที่อาจเกิดขึ้นจะกระทบกับประเทศในเขตตะวันออกกลางและแอฟริกาตอนเหนือมากน้อยแค่ไหน

Capital Economics ยังกล่าวด้วยว่า อิหร่านอาจโต้กลับด้วยการปิดช่องแคบฮอร์มุซเพื่อส่งให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นทั่วโลก ประเทศพัฒนาแล้วน่าจะผ่านสถานการณ์นี้ไปอย่างยากลำบาก ส่วนประเทศกำลังพัฒนาอาจเพิ่มอัตราดอกเบี้ย

4.นักลงทุนไม่ควรตื่นตระหนกเกินไป

บริษัทบริหารจัดการการลงทุนส่วนบุคคล CIBC มองว่า อิหร่านมักจะตอบโต้กลับ แต่บริษัทยังคงความเห็นเหมือนเดิมว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปีนี้จะเป็นตลาดกระทิง (ตลาดขาขึ้น) แม้ว่าจะต้องระมัดระวังคอยจับตาดูสถานการณ์ในอิหร่าน แต่นักลงทุนไม่ควรตื่นตระหนกจนเกินไป

CIBC ยังชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อและรายได้ขององค์กรขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ยังอยู่ในเกณฑ์เศรษฐกิจสุขภาพดี และดีลการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่กำลังจะเซ็นสัญญากันนั้นจะยิ่งส่งเสริมให้ตลาดหุ้นเติบโต

5.แนะนำให้ “มองผลกำไรระยะยาว”

ธนาคาร UBS เชื่อว่า ความขัดแย้งทางการเมืองอาจทำให้ตลาดเหวี่ยงลงอย่างกะทันหันแต่น่าจะเป็นไปในระยะสั้นเท่านั้น นักลงทุนควรจะ “นิ่งไว้ก่อน” และยังไม่ควรปรับกลยุทธ์การลงทุนใหม่ตามสถานการณ์โจมตีอิหร่าน

“ความเสี่ยงเรื่องความขัดแย้งระหว่างประเทศยังไม่มีแนวโน้มจะทำให้เกิดตลาดขาลง นักลงทุนควรจะมองผลตอบแทนในระยะยาวต่อไป” Mark Haefele ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการลงทุนระดับโลกของ UBS กล่าว เขายังแนะนำลูกค้าด้วยว่า “ไม่ควรคาดหวังการแข่งขันด้านราคาน้ำมัน” และ “ทองคำจะเป็นแหล่งพักเงินที่ดีระหว่างที่การเมืองยังไม่นิ่ง”

6.อิหร่านอาจตอบโต้ด้วยปฏิบัติการขนาดเล็กมากกว่าสงคราม

ปิดท้ายที่ Pantheon วิเคราะห์ว่า อิหร่านจะตอบโต้กลับการโจมตีของสหรัฐฯ แต่ไม่น่าจะเกิดสงครามเต็มรูปแบบขึ้น (แต่ยังคงไม่ตัดความเป็นไปได้ทิ้ง) เนื่องจากการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ มีผลกระทบหนักกับประเทศอยู่แล้ว อิหร่านจึงไม่น่าจะต้องการก่อให้เกิดสงครามเต็มรูปแบบขึ้น

อิหร่านจึงน่าจะหันไปใช้โครงสร้างพื้นฐานคือ “น้ำมัน” ในการตอบโต้ ส่วนในทางการศึก อิหร่านอาจจะใช้ปฏิบัติการขนาดเล็ก เช่น การลักพาตัว ลอบสังหาร เพื่อเพิ่มความตึงเครียด เพราะความกลัวว่าจะเกิดสงครามนี้เองที่จะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างน้อยใน 2-3 เดือนข้างหน้า

Source

]]>
1259367