จากที่เคยขาย แพ็กเกจสมาชิก Twitter Blue เพื่อให้ได้เครื่องหมาย ติ๊กถูกสีฟ้า หรือ Verified Badge หลังชื่อให้กับบัญชีคนดังหรือองค์กรเพื่อยืนยันว่าเป็นบัญชีตัวจริง ล่าสุด อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ก็ได้เล่าถึงแผนที่จะ เก็บค่าธรรมเนียมการสมัครสมาชิกรายเดือน จากผู้ใช้แพลตฟอร์มกว่า 550 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งมีการสร้างโพสต์รวมกันกว่า 100-200 ล้านโพสต์/วัน เพื่อแก้ปัญหา บัญชีบอท

“เรามีแผนที่จะเก็บค่าบริการเล็กน้อยสําหรับการใช้งานแพลตฟอร์ม X เพื่อต่อสู้กับกองทัพบอทอันมหาศาล” มัสก์ กล่าว

มัสก์ ย้ำว่า การเก็บค่าบริการจากสมาชิกทุกรายเป็น วิธีเดียว ที่จะสามารถต่อสู้กับกองทัพบอทได้ เนื่องจากปัจจุบัน เอไอที่บอทใช้นั้นมีความสามารถในการผ่านด่านทดสอบบอท หรือ CAPTCHA ได้ดีกว่าเดิม ซึ่งระบบการจ่ายค่าสมาชิกเพื่อยืนยันตัวตนจะ เพิ่มต้นทุนในการสร้างบอทถึงประมาณ 1 หมื่นเท่า

“เครือข่ายโซเชียลเดียวที่จะอยู่รอดได้คือเครือข่ายที่ต้องมีการยืนยันตัวตน”

อย่างไรก็ตาม มัสก์ไม่ได้ระบุว่า ค่าธรรมเนียมรายเดือนสำหรับผู้ใช้มีราคาประมาณเท่าไหร่ และจะมีเพิ่มคุณสมบัติอื่น ๆ เพิ่มให้ไหม รวมถึงไม่ได้เปิดเผยว่าผู้ใช้ในแต่ละเดือนมีกี่ราย และมีจำนวนบัญชีบอทมากน้อยแค่ไหน 

Source

Ark Invest ได้ลดการประเมินมูลค่าของ Twitter ลง 47% นับตั้งแต่ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) เข้าครอบครองบริษัท จากราคา 4.4 หมื่นล้านดอลลารสหรัฐ เหลือประมาณ 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม Cathie Wood ซีอีโอ ของ Ark Invest ยังเชื่อมั่นในตัว Twitter ในระยะยาว

“เราใช้การประเมินมูลค่าอย่างยุติธรรมอย่างจริงจังและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบอกว่า มูลค่าของ Twitter นั้น ลดลง อย่างไรก็ตาม การลดมูลค่าดังกล่าวไม่ได้สะท้อนถึงความเชื่อในผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาว”

ปัจจุบัน กองทุน Venture ของ Ark ถือใน Twitter ประมาณ 2.4% ของกองทุน โดยเขาพยายามจะซื้อหุ้นของ Twitter เพิ่มในช่วงที่ราคาตกลงมา แต่พบว่าไม่มีใครต้องการขาย ซึ่งเขามองว่า สัญญาณดังกล่าวของตลาดแสดงให้เห็นว่า Twitter ยังเป็นที่ต้องการ

การลดลงอย่างมากของการประเมินมูลค่าตามการประมาณการของ Ark Invest อาจถือว่าไม่น่าแปลกใจในตัวมูลค่า เพราะ มัสก์ พึ่งออกมาเปิดเผยว่า รายได้จากโฆษณาของ Twitter ลดลง 50% นับตั้งแต่เขาเข้ามาซื้อกิจการในช่วงเดือนตุลาคม ทำให้บริษัทมี กระแสเงินสดติดลบ

แย่ไปกว่านั้น Twitter ต้องต่อสู้กับการเปิดตัว Threads โดย Meta เจ้าพ่อโซเชียลมีเดีย ซึ่งถือเป็นแพลตฟอร์มที่มีการใช้งานใกล้เคียงกับ Twitter อย่างมาก และภายใน 1 สัปดาห์ก็มีผู้ใช้กว่า 100 ล้านบัญชี อย่างไรก็ตาม Cathie Wood ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับ Threads และมองว่าจะไม่ได้มีผลกระทบกับ Twitter ในระยะยาว

“เราคิดว่าพวกเขาสามารถอยู่ร่วมกันได้ ฉันคิดว่า Threads ได้จุดไฟการแข่งขันหรือยกระดับขึ้นมา และมันจะดีสำหรับ Twitter นอกจากนี้ เรายังคิดว่าในระยะยาว อีลอน มัสก์ และทีมจริงจังมากที่พวกเขากำลังจะเปลี่ยนแรงผลักดันเหล่านี้ลงในแอป” 

ทั้งนี้ Ark Invest ไม่ใช่บริษัทการลงทุนแห่งเดียวที่ประเมินมูลค่าของ Twitter ต่ำลง อาทิ Fidelity ได้ลดการประเมินมูลค่าของบริษัทลงหลายครั้งนับตั้งแต่ที่มัสก์เข้าซื้อกิจการ โดยจากการประเมินล่าสุดเหลือเพียง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์

Source

สำนักข่าว Reuters ได้รายงานข่าวโดยรวบรวมความเห็นของนักการตลาด บริษัทวิจัย ซึ่งเกี่ยวข้องกับด้านออนไลน์ โดยมองว่า การที่ Elon Musk ได้ออกมาจำกัดการมองเห็นนั้นอาจกระทบกับ CEO คนใหม่ของ Twitter อย่าง Linda Yaccarino ที่ได้เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา

Mike Proulx ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ Forrester ได้ชี้ว่า นโยบายการจำกัดการมองเห็นที่ Elon Musk ได้ประกาศออกมาถือว่าเป็นความโกลาหลต่อทั้งผู้ใช้งานและลูกค้าของบริษัท นอกจากนี้ยังส่งผลต่อภาระหน้าที่ของ CEO คนใหม่ให้เพิ่มมากขึ้นไปด้วย

Lou Paskalis ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งของบริษัทที่ปรึกษาด้านโฆษณา AJL Advisory และอดีตหัวหน้าฝ่ายการตลาดของ Bank of America กล่าวว่า Linda ถือเป็นความหวังในการกอบกู้ศรัทธาของ Elon Musk ในการที่จะทำให้ลูกค้ากลับมาลงโฆษณาในแพลตฟอร์มของ Twitter อีกครั้ง อย่างไรก็ดีเขามองว่า การที่ Elon ได้ออกมาจำกัดการมองเห็นทวีตของผู้ใช้งาน เหมือนเป็นการส่งสัญญาณว่าการที่เขาเลือก Linda เข้ามาทำงาน และส่งเสริมเธอนั้นไม่ได้ช่วยอะไรด้วยซ้ำ นอกจากนี้แทนที่เธอจะได้ช่วยให้ตัวของ Elon รอดพ้นบ่วงกรรมความโกลาหลต่างๆ แต่ตัวเขาเองกลับทำให้มันแย่ลงด้วยซ้ำ

Jasmine Enberg นักวิเคราะห์จาก Insider Intelligence มองว่าการจำกัดการมองเห็นทวีตของผู้ใช้งานนั้นเปรียบได้กับหายนะของบริษัท

โดยเป้าหมาย CEO ของ Twitter คนใหม่รายดังกล่าวได้พยามยามฟื้นฟูความสัมพันธ์กับลูกค้าเดิมของบริษัทที่เคยได้ลงโฆษณา แต่ได้ชะลอการลงโฆษณาหรืองดลงจากการซื้อกิจการของบริษัทโดย Elon Musk ในช่วงปี 2022 ที่ผ่านมา เนื่องจากความไม่แน่นอนและโกลาหลจากนโยบายของตัวเขาเอง

ไม่เพียงเท่านี้ความโกลาหลที่เกิดขึ้นยังทำให้คู่แข่ง Social Network อย่าง Meta ได้เตรียมที่จะเปิดตัวแพลตฟอร์มที่ชื่อว่า Thread ซึ่งมีการทำงานคล้ายกับ Twitter เพื่อดึงดูดให้ผู้ใช้งานหันมาใช้แพลตฟอร์มดังกล่าวทดแทน

สำหรับความไม่พอใจของ Elon Musk ที่ต้องออกมาจำกัดการมองเห็นทวีตของผู้ใช้งานหลักๆ มาจาก ChatGPT ของทาง OpenAI และยังรวมถึงจากบริษัทเทคโนโลยีต่างๆ ได้นำทวิตต่างๆ มาใช้ฝึกฝนกับ AI ของตัวเอง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของแชทบอท แต่ได้สร้างความหงุดหงิดกับผู้ใช้งานแทน

อีลอน มัสก์ (Elon Musk) เจ้าของ Twitter ได้อ้างว่า เป็นเพราะบริษัทต่าง ๆ ที่พยายามนำข้อมูลของทวิตเตอร์ไปใช้ฝึก เอไอ แชทบอท เช่น ChatGPT, Microsoft Bing และ Google Bard ทำให้ twitter ต้องเริ่มทำการ จำกัดการอ่านโพสต์ต่อวัน โดยปริมาณการมองเห็นโพสต์จะขึ้นอยู่กับบัญชีของผู้ใช้ โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่

• บัญชีที่ได้รับการยืนยันตัวตน (จ่ายเดือนละ 275 บาท) จะสามารถเห็นโพสต์ได้ 6,000 โพสต์ต่อวัน
• บัญชีเก่าที่ไม่ได้ยืนยันตัวตน สามารถเห็นได้ 600 โพสต์ต่อวัน
• บัญชีใหม่ที่ไม่ได้ยืนยันตัวตน จะสามารถมองเห็นได้เพียง 300 โพสต์ต่อวัน

อย่างไรก็ตาม มัสก์ ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า ข้อจำกัดดังกล่าวนั้นจะเป็นข้อจำกัด ชั่วคราว หรือ ถาวร นอกจากนี้ จำนวนโพสต์ที่ได้เห็นในแต่ละวันก็ยังไม่แน่นอน เพราะมีการทวีตถึงจำนวนโพสต์ที่จะเข้าถึง โดยเพิ่มเป็น 10,000/1,000/500 ตามลำดับ

แม้จะอ้างถึงการที่เอไอ แชทบอทดูดข้อมูลของ Twitter เพื่อไปฝึก แต่หลายคนมองว่าสาเหตุที่ Twitter ปรับการมองเห็นก็เพื่อพยายามสร้างรายได้จาก Twitter Blue หรือการยืนยันตัวตนที่ต้องจ่ายเดือนละ 275 บาท หลังจากที่รายได้จากโฆษณาของแพลตฟอร์มลดลง โดย Linda Yaccarino ซีอีโอคนใหม่ของ Twitter ก็เตรียมผลักดันโฆษณารูปแบบวิดีโอที่กำลังได้รับความนิยม เพื่อดึงดูดให้ลูกค้ากลับมาลงโฆษณาบนแพลตฟอร์มอีกครั้ง

Source

Financial Times ได้รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า Linda Yaccarino ซึ่งเป็น CEO คนใหม่ของ Twitter เตรียมใช้มาตรการต่างๆ เพื่อที่จะนำลูกค้าที่เคยลงโฆษณาบน Twitter กลับมาสู่แพลตฟอร์มดังกล่าวอีกครั้ง ขณะเดียวกันเธอเองยังได้เตรียมผลักดันโฆษณารูปแบบวิดีโอที่กำลังได้รับความนิยมในตอนนี้อีกด้วย

CEO คนใหม่นี้เตรียมผลักดันโฆษณาในรูปแบบวิดีโอมากขึ้น นอกจากนี้ยังเตรียมผลักดันโฆษณาวิดีโอแบบเต็มหน้าจอเวลาผู้ใช้งานรับชมวิดีโอสั้นในแอปพลิเคชัน Twitter โดยโฆษณารูปแบบดังกล่าวนี้ บริษัทกำลังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบอยู่ ซึ่งโฆษณาประเภทดังกล่าวนี้มีอยู่ในแพลตฟอร์มคู่แข่งทั้งนั้น

ขณะเดียวกันเธอเองยังเตรียมที่จะให้สื่อสารมวลชนมีส่วนร่วมในแพลตฟอร์มนี้มากขึ้น และจะมีการพูดถึงแนวทางของบริษัทหลังจากนี้ในช่วงเดือนสิงหาคม

นอกจากนี้เธอยังพูดคุยกับ Google ในการขอเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโฆษณา หรือแม้แต่การให้ Google เข้าถึงข้อมูลบางส่วนของบริษัท นอกจากนี้ทาง Twitter ยังพูดคุยกับบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Amazon และ IBM รวมถึง Salesforce ด้วย

ก่อนหน้านี้ Twitter ประสบปัญหาลูกค้าไม่กลับมาลงโฆษณา หลังจากการเข้าซื้อกิจการของ Elon Musk มูลค่ามากถึง 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยในเดือนเมษายนจนถึงพฤษภาคม บริษัทมีรายได้จากโฆษณาเพียงแค่ 88 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 59% จากช่วงเดียวกันของปี 2022 ที่ผ่านมา ไม่เพียงเท่านี้บริษัทยังทำรายได้ค่าโฆษณาไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้รายสัปดาห์อยู่เป็นประจำ

ปัญหารายได้จากโฆษณาที่ลดลง ส่งผลทำให้ Elon Musk ต้องปลดพนักงาน และใช้มาตรการรัดเข็มขัด เพื่อที่จะควบคุมค่าใช้จ่ายของบริษัท ก่อนที่จะได้ CEO คนใหม่อย่างเธอมารับตำแหน่งแทน โดยเธอต้องการที่จะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกับลูกค้าที่ลงโฆษณาของบริษัทให้กลับมาอีกครั้ง

หัวเรือใหญ่ของ Twitter รายนี้มีฉายาในอุตสาหกรรมโฆษณาของสหรัฐอเมริกาว่า “ค้อนกำมะหยี่” จากความดื้อรั้นในการเจรจาต่อรองของเธอ และเธอยังได้เจรจากับ Elon Musk เพื่อที่จะเพิ่มทีมขายโฆษณา ซึ่งเป็นข้อต่อรองในการเข้ารับทำงานที่บริษัทด้วย

สำนักข่าว Reuters ได้รายงานข่าวโดยอ้างอิงจากเอกสารนำเสนอที่นักลงทุนของ Twitter ว่าบริษัทปรับกลยุทธ์หลังจากการเข้ามาของ CEO คนใหม่แทนที่ Elon Musk นั้นเตรียมที่จะหารายได้จากวิดีโอ รวมถึงรายได้จากการโอนเงินมากขึ้น

Linda Yaccarino ซึ่งเป็น CEO คนใหม่ของ Twitter ได้กล่าวกับนักลงทุนว่าบริษัทกำลังติดต่อกับบุคคลสำคัญทางการเมืองสหรัฐฯ คนดังต่างๆ สำนักข่าว หรือแม้แต่บริษัทบันเทิง ให้มาเป็นพันธมิตรกับทางบริษัท ซึ่งคาดว่าจะมีการหารายได้ใหม่ๆ จากช่องทางดังกล่าวมากขึ้น

โดยก่อนหน้านี้ Linda เคยดำรงตำแหน่งประธานฝ่ายโฆษณาของ NBCUniversal มาแล้ว และมีสัมพันธ์ที่ดีกับบริษัทต่างๆ ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทใหญ่หลายแห่งได้กลับมาลงโฆษณาอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น Warner Bros และ Mondelez หรือแม้แต่ Walmart

ปัจจุบันรายได้ของ Twitter มาจากโฆษณาเป็นหลัก ซึ่งรายได้ดังกล่าวลดลงอย่างเห็นได้ชัด หลังจากการซื้อกิจการของ Elon Musk มูลค่า 44,000 ล้านเหรียญในช่วงปี 2022 ที่ผ่านมา

ในเอกสารนำเสนอนักลงทุนของ Twitter ยังชี้ว่าบริษัทให้ความสำคัญเนื้อหาประเภทวิดีโอ หลังจากมีการเติบโตของวิดีโอที่เป็นแนวตั้งมากกว่า 10% นอกจากนี้บริษัทยังยื่นขอใบอนุญาตผู้ส่งเงิน (Money Transmitter Licenses) ใน 50 รัฐของสหรัฐฯ อีกด้วย

นอกจากนี้การเข้ามาใช้แพลตฟอร์ม Twitter ของอดีตผู้ประกาศข่าว Fox News อย่าง Tucker Carlson นั้นทำให้บริษัทคาดว่าจะหารายได้จากโฆษณา และถ้าหากคนดังเข้ามาใช้แพลตฟอร์มมากขึ้นก็จะเป็นแหล่งช่องทางรายได้เพิ่มเติมอีกทาง

Twitter ได้ปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทครั้งใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา โดยเน้นรายได้อื่นเพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็นจากค่าสมัครสมาชิก หรือการหารายได้อื่นหลังจากนี้ แตกต่างจากในอดีตที่เน้นรายได้ของโฆษณามากกว่า อย่างไรก็ดี Linda ได้กล่าวว่ารายได้โฆษณาของบริษัทกลับมามีหลายหมวดหมู่อีกครั้ง เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมาถึง 40%

นอกจากนี้แหล่งข่าวของ Reuters ยังได้กล่าวว่าความสัมพันธ์ระหว่าง Elon Musk กับ Linda Yaccarino หลังจากการเข้าเริ่มงานของเธอเป็นไปได้ด้วยดี และหลายไอเดียที่เธอได้นำเสนอนั้นได้รับการสนับสนุนจากเจ้าของบริษัทอย่างดี

Twitter ได้กลายเป็น แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียหลักเพียงแห่งเดียวที่ไม่จ่ายลิขสิทธิ์เพลง ให้กับผู้ถือลิขสิทธิ์ในการทำงาน ขณะที่ YouTube, Facebook, Snap Chat และ TikTok ล้วนมีข้อตกลงที่ร่วมกันจ่ายให้กับอุตสาหกรรมเพลงหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี

ส่งผลให้ สมาคมผู้เผยแพร่เพลงแห่งชาติ หรือ NMPA ที่เป็นตัวแทนบริษัทเพลงที่ใหญ่ที่สุด 17 ราย อาทิ Sony Music และ Universal Music Publishing Group กำลังยื่นคำร้องต่อศาลว่า Twitter จงใจละเมิดผลงานเพลงประมาณ 1,700 เพลง โดยทางสมาคมได้เรียกร้องค่าเสียหายมูลค่ารวมมากกว่า 250 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 8,700 ล้านบาท

“แพลตฟอร์ม Twitter ซึ่ง Elon Musk ซื้อในปี 2022 ด้วยมูลค่า 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น เต็มไปด้วยการละเมิดลิขสิทธิ์”

ที่ผ่านมา บรรดาค่ายเพลงต่างออกมาบ่นว่า แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียรวยขึ้นจากการทำงานของพวกเขา โดยดนตรีเป็นประเภทวิดีโอที่ได้รับความนิยมสูงสุดบน YouTube และเป็นรากฐานของการเติบโตของ TikTok ทำให้ค่ายเพลงต่าง ๆ ต้องต่อสู้กับแพลตฟอร์มโซเชียลฯ เกี่ยวกับการใช้งานที่เหมาะสมของผลงานเพลงของพวกเขา

จากการต่อสู้ดังกล่าว ส่งผลให้ Alphabet เจ้าของแพลตฟอร์ม YouTube ได้จ่ายเงิน 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ Meta เจ้าของ Facebook จ่ายเงิน หลายร้อยล้านดอลลาร์ต่อปี สำหรับสิทธิ์ที่อนุญาตให้ลูกค้าใช้เพลงในวิดีโอของพวกเขา

ทั้งนี้ Twitter ได้พูดคุยกับบริษัทเพลงเกี่ยวกับการลงนามในข้อตกลงลิขสิทธิ์ก่อนที่ อีลอน มัสก์ จะเข้ามาซื้อกิจการ ซึ่งปัจจุบันแพลตฟอร์มนั้นมีเรื่องแทบไม่เว้นแต่ละวัน ไม่ว่าจะการเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก, การหดหายของลูกค้าโฆษณา และล่าสุด แพลตฟอร์มก็เพิ่งจ้าง Linda Yaccarino มานั่งเป็น CEO คนใหม่ และพยายามสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า

Source

อีลอน มัสก์ กล่าวว่า เขาอาจจะแต่งตั้ง ผู้สืบทอดตำแหน่งซีอีโอของทวิตเตอร์ (Twitter) ให้ได้ภายในสิ้นปี 2566 แต่ก่อนอื่นเขาจำเป็นต้องทำให้ บริษัทโซเชียลมีเดียของเขามีความเสถียรก่อน

“ผมคิดว่า ผมจำเป็นต้องทำให้องค์กรมีเสถียรภาพ ต้องทำให้แน่ใจว่าองค์กรมีสถานะทางการเงินที่ดี และแผนงานด้านผลิตภัณฑ์นั้นถูกวางไว้อย่างชัดเจน ผมเดาว่าช่วงสิ้นปีนี้น่าจะเป็นจังหวะที่ดีในการหาคนอื่นมาบริหารบริษัท เพราะผมคิดว่าบริษัทน่าจะอยู่ในสถานะที่มั่นคงประมาณสิ้นปีนี้” มัสก์ กล่าว

หลังจากที่มัสก์เข้าซื้อกิจการของ Twitter ในมูลค่า 44,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเดือนตุลาคม 2565 ภารกิจแรกที่เขาทำก็คือ ไล่ทีมบริหารเก่าออก และขึ้นนั่งตำแหน่งซีอีโอ แม้ว่าในตอนที่เขาเคยกลายเป็นผู้ถือหุ่นใหญ่สุด เขาเคยบอกว่า “ไม่ต้องการจะเป็นซีอีโอ” อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาขึ้นเป็นซีอีโอ เขาก็ระบุว่า “แค่ชั่วคราวเท่านั้น และเขาจะมอบตำแหน่งนี้ให้คนอื่น”

ซึ่งหลังจากที่มัสก์เป็นซีอีโอ สถานการณ์ของ Twitter นั้นก็ไม่สู้ดีนัก เพราะบริษัทได้ปรับลดพนักงานจำนวนมาก ขณะที่แบรนด์ที่เคยลงโฆษณาก็เลือกที่จะเลิกหรือลดการลงโฆษณาบนแพลตฟอร์ม โดยอ้างอิงจากผลสำรวจของบริษัท Pathmatics ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยพบว่า แบรนด์ที่ลงโฆษณารายใหญ่ 30 รายของ Twitter ได้ลดการลงโฆษณาในแพลตฟอร์มลง ทำให้รายได้จากโฆษณาในช่วง 2 เดือนแรกหลังจากมัสก์ขึ้นเป็นเจ้าของ ลดลงมากถึง 42%

ไม่ใช่แค่ Twitter ที่กำลังอยู่ในอาการร่อแร่หลังจากที่เขาเข้าเป็นเจ้าของ แต่บริษัทเดิมอย่าง Tesla ก็ถูกเหล่านักลงทุนกดดัน เนื่องจากมีความกังวลว่าเขาอาจเสียสมาธิกับ Twitter ในเวลาที่บริษัทรถยนต์ของเขากำลังเผชิญกับความท้าทายด้านอุปสงค์และการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น

และในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา มัสก์ ได้ทำโพลสอบถามชาวทวิตเตอร์ว่า “เขาควรลาออกจากตำแหน่งซีอีโอทวิตเตอร์หรือไม่” ซึ่งมีกว่า 17.5 ล้านแอคเคาท์ ตอบว่า ใช่

“ผมจะลาออกจากตำแหน่งซีอีโอทันทีที่เจอคนโง่พอที่จะยอมเข้าทำงาน! หลังจากนั้นผมจะย้ายดูแลทีมซอฟต์แวร์และเซิร์ฟเวอร์” มัสก์ ทวีตตอบกลับผลสำรวจ

Source

โดย Alon Gal ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของบริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ Hudson Rock ได้เปิดเผยเรื่องที่ Twitter ถูกแฮกใน LinkedIn ว่า แฮกเกอร์ได้ขโมยที่อยู่อีเมลของผู้ใช้ของ Twitter กว่า 235 ล้านบัญชี

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารหัสผ่านของบัญชีจะไม่รั่วไหล แต่แฮกเกอร์สามารถใช้ที่อยู่อีเมลเพื่อพยายามรีเซ็ตรหัสผ่านของผู้อื่น หรือคาดเดารหัสผ่านหากใช้เป็นประจำหรือใช้ซ้ำกับบัญชีอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงหากบัญชีไม่ได้รับการป้องกันโดยการตรวจสอบสิทธิ์แบบ 2 ชั้น

“นี่เป็นหนึ่งในการรั่วไหลของข้อมูลครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยเจอ และอาจนำไปสู่การคุกคามความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ที่จะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า”

ทั้งนี้ มีการสันนิษฐานว่าการแฮกในครั้งนี้ เกิดขึ้นก่อนที่ Elon Musk จะเข้ามาครอบครอง Twitter โดยเป็นไปได้ว่าเกิดตั้งแต่ปี 2021 แต่แน่นอนว่าข่าวการถูกแฮกข้อมูลอีเมลที่รั่วไหลออกมา จะยิ่งสร้างความยุ่งเหยิงให้กับมัสก์และตัวแพลตฟอร์ม ซึ่งในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาก็มีข่าวไม่ดีออกมาอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นการที่พนักงานลาออก, การเลิกจ้างพนักงานทำความสะอาดเพื่อลดต้นทุน และปัญหารายได้จากค่าโฆษณา

ย้อนไปช่วงที่กำลังจะปิดดีลทวิตเตอร์ อีลอน มัสก์ ซีอีโอ เทสลา ได้เริ่มขายหุ้นเทสลาจำนวน 94 ล้านหุ้น มูลค่า 22,930 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 7.96 แสนล้านบาท เพื่อใช้เป็นทุนในการเข้าซื้อกิจการทวิตเตอร์มูลค่า 44,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ เขาก็ได้ขายหุ้นเทสลาอีก 22 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่ากว่า 2,580 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.24 แสนล้านบาท

ล่าสุด เขาได้ให้สัญญากับเหล่านักลงทุนว่า จะไม่ขายหุ้นเทสลาอีกต่อไปเป็นเวลา 18 เดือนหรือมากกว่านั้น หลังจากที่บริษัทสูญเสียมูลค่าเกือบครึ่งหนึ่งนับตั้งแต่ที่เขาซื้อทวิตเตอร์ไปเมื่อเดือนตุลาคม

“ผมจะไม่ได้ขายหุ้นใด ๆ เป็นเวลา 18-24 เดือน”

นับตั้งแต่มัสก์มารับตำแหน่งเป็นผู้นำของทวิตเตอร์ บริษัทก็มีแต่ความวุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นมาตรการเลิกจ้างงานถึง 50% ส่วนลูกค้าที่ลงโฆษณาก็หนีออกจากแพลตฟอร์ม เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับกลยุทธ์ควบคุมเนื้อหาของเขา อาทิ การบังคับใช้กฎการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ COVID-19 และยุบคณะที่ปรึกษาด้านความไว้วางใจและความปลอดภัย ล่าสุดที่เขาทำโพลว่าตัวเองควรลาออกจากตำแหน่งซีอีโอหรือไม่ ผลปรากฏว่าเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยที่เขาจะลาออก

ขณะที่เหล่านักลงทุนของเทสลาเองก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับความวุ่นวายของทวิตเตอร์ที่แทบจะมีไม่ซ้ำเรื่อง ซึ่งพวกเขามองว่า ความวุ่นวายดังกล่าวทำให้มัสก์เอาเวลาไปทุ่มให้กับทวิตเตอร์มากกว่า แทนที่จะมาสนใจในเทสลาซึ่งเป็นธุรกิจหลักของเขา

ที่ผ่านมา มูลค่าตลาดของเทสลาสูงกว่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ซึ่งเป็นวันทำการสุดท้ายก่อนที่มัสก์จะเปิดเผยว่าเขาซื้อหุ้นทวิตเตอร์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บริษัทได้สูญเสียมูลค่าไปเกือบ 2 ใน 3 ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์คู่แข่งกำลังชิงส่วนแบ่งการขายรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทไปเรื่อย ๆ