นวัตกรรม – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 13 Dec 2022 07:40:27 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ผู้บริหารสยามพิวรรธน์ คว้ารางวัลสุดยอด ผู้บริหารเทคโนโลยี (CIO) จาก CIO100 Awards 2022 https://positioningmag.com/1412156 Wed, 14 Dec 2022 04:00:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1412156

บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และ ค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหารโครงการที่มีชื่อเสียงระดับโลก อาทิ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของ ไอคอนสยามและสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ ตอกย้ำความสำเร็จขององค์กรที่มีวิสัยทัศน์ของผู้นำความคิดสร้างสรรค์ โดยนายอักเซล วินเทอร์ ประธานบริหารสายงานดิจิทัล บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด คว้ารางวัล CIO100 Awards สุดยอดผู้บริหารด้านเทคโนโลยี หนึ่งเดียวในกลุ่มธุรกิจรีเทลขององค์กรไทยที่มีผลงานโดดเด่นในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ Digital Transformation การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล สร้างปรากฎการณ์โดดเด่นให้กับสยามพิวรรรธน์ ที่มุ่งพัฒนา Digital Platform เชื่อมโยงทุกภาคส่วน ตั้งแต่พันธมิตธุรกิจ คู่ค้า ลูกค้า เดินหน้าสู่โลกใหม่ของธุรกิจที่สามารถขยายไปได้อย่างไร้ขีดจำกัด และสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน

นายอักเซล วินเทอร์ ประธานบริหารสายงานดิจิทัล บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า “รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้บริหารด้านเทคโนโลยีที่ติดอันดับ Top CIO100 จากสถาบันระหว่างประเทศที่ได้รับการยอมรับในเวทีโลก รางวัลนี้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งในศักยภาพของสยามพิวรรธน์ และเป็นองค์กรด้านธุรกิจค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์หนึ่งเดียวของไทยที่ได้รับเลือกในปีนี้ เหล่านี้เป็นผลจากการที่สยามพิวรรธน์สามารถปรับกลยุทธ์และพัฒนา ONESAIM SuperApp ซึ่งเราได้ใช้ระยะเวลาเพียง 7 เดือน ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นจากพลังของผู้บริหารและพนักงานของสยามพิวรรธน์ รวมทั้งการผสานความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่งร่วมส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลผ่าน ONESIAM SuperApp แพลตฟอร์มอัจฉริยะที่รวมประสบการณ์เหนือความคาดหมาย และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ไว้ในที่เดียว อีกทั้งเชื่อมโยงประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบไร้รอยต่อจากออนไลน์สู่ออฟไลน์ (O2O)”

รางวัล CIO100 เป็นการวัดผลงานความสำเร็จของผู้บริหารระดับสูงในสายงานเทคโนโลยีจากองค์กรต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และฮ่องกง จัดโดย Foundry หรือก่อนหน้านี้รู้จักในนาม International Data Group (IDG) บริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก เพื่อยกย่องผู้บริหาร ด้านเทคโนโลยี 100 อันดับแรกที่ขับเคลื่อนองค์กรด้วยนวัตกรรมและมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยี โดยได้ประกาศรายชื่อผู้ชนะในพิธีมอบรางวัลที่ มารีนา เบย์ แซนด์ ประเทศสิงคโปร์ เมื่อเร็วๆ นี้ ในปี 2565 มีจำนวนผู้เสนอชื่อชิงรางวัลสูงสุดมากกว่า 280 คน จากกว่า 20 กลุ่มอุตสาหกรรมใน 8 ตลาด รวมทั้ง สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม เมียนมาร์ และ ฮ่องกง สำหรับหลักเกณฑ์การตัดสินได้พิจารณาจากเสาหลักสำคัญในด้านนวัตกรรมและความเป็นผู้นำ เพื่อยกย่อง CIO ที่เป็นผู้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง การสร้างแรงบันดาลใจ และมีความมุ่งมั่นทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค

ทั้งนี้ นายวินเทอร์ มีประสบการณ์โดดเด่นในด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น และมีชื่อเสียงในด้านการจัดกระบวนทัศน์อุตสาหกรรมที่มีความท้าทาย และมุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ในองค์กรอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกและการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง โดยนายวินเทอร์ มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนกลยุทธ์ด้านดิจิทัลของสยามพิวรรธน์ สร้างทีมงานคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ ร่วมพัฒนา Co-creative platform บุกเบิกสร้างสรรค์และผลักดันศักยภาพสู่ความเป็นไปได้ที่ไร้ข้อจำกัดและเดินหน้าสู่การสร้างประสบการณ์ดิจิทัลผ่านระบบนิเวศธุรกิจระดับโลกของ ONESIAM SuperApp มอบประสบการณ์เชื่อมโลกคู่ขนานทั้งในออฟไลน์และออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันได้เชื่อมต่อกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งมากกว่า 50 บริษัท ในหลากหลายธุรกิจจาก 13 อุตสาหกรรม และนายวินเทอร์ยังมีบทบาทสำคัญในการบุกเบิกโมเดลธุรกิจใหม่ ขยายระบบนิเวศดิจิทัล เข้าถึงลูกค้าใหม่ที่มีความหลากหลาย เพื่อการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและครองความเป็นหนึ่งในใจลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติ

]]>
1412156
“เกาหลีใต้” เตรียมสร้าง “เมืองลอยน้ำ” แห่งแรกของโลก รับมือโลกร้อน ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น https://positioningmag.com/1383794 Tue, 03 May 2022 11:27:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1383794 นวัตกรรมอนาคต! “เกาหลีใต้” เปิดโครงการ “เมืองลอยน้ำ” แห่งแรกของโลก ทดลองสร้างเมืองขนาด 39 ไร่ จุประชากรได้ 12,000 คน รับมือปัญหาโลกร้อน ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ประชากรไร้ที่อยู่หากไม่เร่งแก้ปัญหา

หากไม่มีการลดระดับการปล่อยมลพิษ C40 เครือข่ายรณรงค์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประเมินว่าระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้น และภายในปี 2050 ประชากรมากกว่า 800 ล้านคนทั่วโลกที่อาศัยอยู่ในเมือง 570 แห่ง จะมีความเสี่ยงด้านที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ ปัญหาน้ำท่วมจะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ส่งผลต่อการอาศัยบนแผ่นดินที่ยังเหลืออยู่ด้วย

ด้วยเหตุนี้ “เมืองลอยน้ำ” รูปแบบโปรโตไทป์แห่งแรกที่จะสร้างใน “เกาหลีใต้” จึงเป็นความหวังในการแก้ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยและน้ำท่วมในเขตชายฝั่ง หากโลกเราไม่สามารถลดการปล่อยมลพิษได้ทันเวลา

โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง UN-Habitat, OCEANIX บริษัทเทคโนโลยีจากนิวยอร์ก และ นครปูซาน เมืองใหญ่อันดับ 2 ของเกาหลีใต้และเป็นเมืองริมทะเล

การออกแบบของเมืองลอยน้ำจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนที่เชื่อมต่อกันด้วยทางเดิน รวมแล้วจะมีพื้นที่ราว 39 ไร่ เฟสแรกสามารถรับประชากรได้ 12,000 คน แต่ต่อเติมเพื่อรองรับได้สูงสุด 100,000 คน โครงการนี้จะเริ่มสร้างในปี 2023

แต่ละส่วนที่แยกจากกันจะใช้ประโยชน์คนละแบบ ได้แก่ พื้นที่พักผ่อน พื้นที่ใช้ชีวิต และพื้นที่วิจัย เมืองลอยน้ำนี้จะมีสะพานสองแห่งเชื่อมเข้ากับแผ่นดินหลัก ทำให้พื้นที่น้ำตรงกลางเป็นเหมือนลากูนที่สามารถใช้ทำกิจกรรมสันทนาการทางน้ำได้

เมืองลอยน้ำ เกาหลีใต้
ภาพจำลองบรรยากาศเมืองลอยน้ำ

 

เมืองที่พึ่งพิงตนเอง หมุนเวียนสาธารณูปโภคได้

แน่นอนว่าเมื่อจะเป็นเมืองเพื่อรับมือปัญหาสิ่งแวดล้อม เมืองนี้ก็ต้องสร้างให้เกิดความยั่งยืน OCEANIX Busan จะมีระบบเพื่อรองรับกิจกรรม 6 ด้าน คือ พลังงาน อาหาร น้ำ ขยะ การคมนาคม และที่พักอาศัยชายฝั่ง เป้าหมายคือ เมืองลอยน้ำต้องนำหลายอย่างกลับมาใช้ใหม่ (reuse) ให้ได้ และทิ้งขยะให้น้อยที่สุด

ดังนั้น เมืองจะต้องติดโซลาร์รูฟและมีแผงโซลาร์ลอยน้ำ ที่สร้างพลังงานไฟฟ้าได้ครบ 100% ของความต้องการในเมือง ขณะที่การผลิตน้ำจะต้องมีการบำบัดน้ำได้เอง รวมถึงมีการทำ ‘ฟาร์มในเมือง’ เพื่อผลิตอาหาร

เมืองลอยน้ำ จะสร้างในปูซาน ปี 2023

ที่แรก แต่ไม่ใช่ที่เดียว

แม้ว่าปูซานจะเป็นเมืองแรกที่เริ่มสร้าง แต่ก่อนหน้านี้มีโปรโตไทป์ของสิ่งที่คล้ายกันมาแล้ว เมื่อเดือนกันยายน 2021 เนเธอร์แลนด์เพิ่งจะเปิดใช้งาน “ออฟฟิศลอยน้ำ” ในท่าเรือแห่งเมืองรอตเทอร์ดาม ซึ่งออฟฟิศนี้จะเคลื่อนที่ไปมาได้ หากว่าระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น

“มัลดีฟส์” ก็เป็นอีกประเทศที่มีโปรเจ็กต์สร้างเมืองลอยน้ำแล้ว เพราะ 80% ของเกาะในมัลดีฟส์อยู่ในระดับสูงกว่าน้ำทะเลไม่ถึง 1 เมตร ทำให้ประเทศนี้ถือว่ามีความเสี่ยงอย่างรุนแรงต่อปัญหาสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง

“เราไม่สามารถแก้ปัญหาของวันนี้ได้ด้วยเครื่องมือของวันวาน เราจำเป็นต้องสร้างนวัตกรรมโซลูชันใหม่มาเผชิญความท้าทายของโลก แต่ในการขับเคลื่อนไปสู่นวัตกรรม ต้องรวมทุกคนเข้ามาอย่างยุติธรรม และทำให้แน่ใจว่าไม่มีใครหรือแห่งไหนบนโลกที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” Maimunah Mohd Sharif ผู้อำนวยการบริหาร UN-Habitat กล่าว

การสร้างเมืองลอยน้ำ แน่นอนว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่ใช่ว่าโลกเราควรทิ้งการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุไปเลย โลกควรร่วมกันแก้ปัญหาการปล่อยมลพิษต่อไป และบำรุงรักษาป่าชายเลนเพื่อป้องกันชายฝั่ง

Source

]]>
1383794
Atlas Copco ผู้บุกเบิกนวัตกรรมประหยัดพลังงานกับโครงการ Water for All น้ำสะอาดเพื่อทุกคน https://positioningmag.com/1378499 Thu, 24 Mar 2022 04:00:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1378499

Atlas Copco กับเป้าหมายด้านความยั่งยืนเนรมิตโครงการ Water for All หรือน้ำสะอาดเพื่อทุกคนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงน้ำสะอาดเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับทุกคน บริษัทยังคงดำเนินโครงการเพื่อสังคมพร้อมกับนวัตกรรมใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า


รู้จัก Atlas Copco

ถ้าในมุมผู้บริโภคทั่วไปอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับชื่อ Atlas Copco (แอตลาส คอปโก้) มากนักแต่ถ้าใครที่อยู่ในธุรกิจอุตสาหกรรมรับรองว่าต้องรู้จักเป็นอย่างดีเพราะ Atlas Copco ผู้นำเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านงานอุตสาหกรรมสัญชาติสวีเดนที่สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าโดยแนวคิดมุ่งเน้นไปที่การลดต้นทุนตลอดอายุการใช้งานของเครื่องจักรซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการลงทุนของการทำธุรกิจ

Atlas Copco ก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2416 หรือมีอายุ 149 ปีแล้วเริ่มต้นจากเทคโนโลยีอากาศอัดแบบ Oil-free air และเครื่องยนต์ระบบไอน้ำที่มีประสิทธิภาพตลอดจนการพัฒนาเครื่องมือลม (Pneumatic tools) และเครื่องมือสำคัญในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ

ปัจจุบันเราได้พัฒนาเทคโนโลยีให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นโดยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดร์ออกไซต์ผ่านนวัตกรรมที่ต่างๆ ที่ช่วยประหยัดพลังงานไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือไฟฟ้าปั๊มสุญญากาศระบบจัดเก็บพลังงานรวมไปถึงเครื่องอัดอากาศหรือปั๊มลมแบบ VSD ซึ่งทางบริษัทมีความมุ่งมั่นเพื่อที่จะสร้างอนาคตที่ดีกว่าด้วยการเป็นผู้นำในด้านระบบอัดอากาศเครื่องมือลมเครื่องจักรก่อสร้างรวมไปถึงระบบสูญญากาศและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่ได้มีการแพร่ระบาดมากกว่า 2 ปีแล้วทาง Atlas Copco ยังคงพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องและได้นำเสนอเทคโนโลยีในการควบคุมการทำงานของเครื่องจักรในด้านการประหยัดพลังงาน และการตรวจสอบระยะไกลของเครื่องจักรแก่ลูกค้าซึ่งช่วยให้เรา และลูกค้าสามารถดูการทำงานหลักของเครื่องได้จากระยะไกลเพื่อให้มั่นใจถึงประสิทธิภาพสูงสุดซึ่งเทคโนโลยีนี้มีความสำคัญมากขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดเนื่องจากบางครั้งการเข้าทำงานในโรงงานลูกค้าอาจจะติดขัดและมีผลกระทบต่อการผลิตได้เนื่องจากการแพร่ระบาดยังคงมีอยู่

สิ่งที่ Atlas Copco มุ่งมั่นเป็นพิเศษก็คือการเป็นส่วนหนึ่งในการรณรงค์รักษาโลกสีเขียว เพราะเราทุกคนทราบดีกว่าทรัพยากรบางอย่างบนโลกใช้แล้วหมดไป ดังนั้นการนำพลังงานหมุนเวียนมามีส่วนร่วมในการผลิตจึงเป็นส่วนสำคัญของการสร้างโลกสีเขียวอย่างยั่งยืน ซึ่งผลิตภัณฑ์ของบริษัทไม่ว่าจะเป็นปั๊มสูญญากาศเครื่องอัดอากาศ หรือปั๊มลมเครื่องมืออุตสาหกรรมที่ใช้ในการประกอบยานยนต์ และเครื่องมือขุดเจาะล้วนมีการพัฒนาเทคโนโลยีให้มีส่วนช่วยประหยัดพลังงานและการใช้พลังงานแสงอาทิตย์

เทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนได้เพื่อผลักดันให้เกิดสังคมที่มีก๊าซคาร์บอนต่ำ และยังส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจใหญ่หรือโอกาสที่จะช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างๆเพราะจุดประสงค์คือการลดสภาวะก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานและพลังงานที่ใช้ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายว่าเราจะช่วยลดการปล่อยมลพิษเพื่อช่วยจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไว้ที่สูงสุด 1.5 °C (2.7 °F) เพื่อให้บรรลุสิ่งนี้ Atlas Copco จะสามารถลดการปล่อยมลพิษที่เกิดขึ้นในส่วนต่างๆ ลง 46% ภายในปี 2030

สำหรับในประเทศไทย Atlas Copco ได้ดำเนินธุรกิจมา 30 ปีแล้วมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องแม้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของหลายๆ บริษัทแต่บริษัทของเรายังคงเติบโตเนื่องจากเราได้ทำการพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอยู่ตลอดเวลา พร้อมกับเป็นนวัตกรรมที่ช่วยลดต้นทุนการผลิตโดยมุ่งเน้นเรื่องการประหยัดพลังงานที่เกี่ยวข้องกับการลดค่าใช้จ่ายในเรื่องค่าไฟฟ้าในการผลิตให้ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น เพราะว่าตลอดอายุการใช้งานของเครื่องจักรค่าไฟฟ้าตลอดอายุการใช้งานของเครื่องจักรคิดเป็น 75%-80% ซึ่งเป็นต้นทุนหลักเมื่อเทียบกับราคาเครื่องจักรและค่าบำรุงรักษาเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งประมาณ 20%-25%

ในหลายธุรกิจอาจได้รับผลกระทบและบริษัทเหล่านั้นมีอาจจะการปลดพนักงานเพื่อควบคุมรายจ่ายแต่สำหรับ Atlas Copco ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 ที่ผ่านมาได้มีการเพิ่มจำนวนบุคลากรขึ้น 9% สำหรับหน่วยงานบริษัทแอตลาสคอปโก้ (ประเทศไทย) จำกัด และได้ทำการปรับปรุงอาคารสำนักงานของเราในเมืองไทยเพื่อตอบสนองกับนโยบายพลังงานหมุนเวียนซึ่งเรามั่นใจว่าพลังงานที่ใช้ 70% ที่ใช้ในอาคารสำนักงานของเรานั้นเป็นการใช้พลังงานหมุนเวียนเพื่อการประหยัดพลังงานอย่างยั่งยืน

และสิ่งที่เป็นความภาคภูมิใจของประเทศไทยก็คือการที่ประเทศไทยถูกแต่งตั้งเป็นสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียย้ายฐานจากประเทศสิงคโปร์ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยและเพิ่มความเชื่อมั่นของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นด้วย


บิ๊กโปรเจ็คต์ Water for All น้ำสะอาดเพื่อทุกคน

นอกจากนวัตกรรมต่างๆ ของ Atlas Copco จะตอบโจทย์เรื่องการประหยัดพลังงาน และความยั่งยืนแล้วสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือการทำโครงการเพื่อสังคมหรือ CSR ซึ่งจะมีโครงการ Water for All เป็นโครงการใหญ่ในระดับโกลบอลที่ทำต่อเนื่องอย่างยาวนานในแต่ละประเทศจะมีโครงการย่อยๆ ทั้งในระดับภูมิภาค และทั่วโลกอีกด้วย

ฮอสท์ปีเตอร์วูล์ฟกังวาเซล Vice President Holding Atlas Copco SE-Asia & Oceania กล่าวว่า

“โครงการน้ำเพื่อทุกคน (Water for All) ก่อตั้งเมื่อปีพ.ศ. 2527 ในประเทศสวีเดน เป็นโครงการการกุศลไม่แสวงหาผลกำไร (CSR) เพื่อคืนกำไรสู่สังคมในการส่งเสริมให้ทุกคนสามารถเข้าถึงน้ำดื่มที่สะอาดมีสุขาภิบาล และอนามัยที่ดีตามหลักสิทธิมนุษยชนเป็นโครงการที่พนักงานของเราทุกคนให้ความสำคัญอย่างยิ่งด้วยการบริจาคเงินของพนักงานโดยความสมัครใจ และบริษัทจะทำการสมทบเพิ่มให้อีกเป็นสองเท่าเพื่อจัดหาน้ำดื่ม และน้ำเพื่อการสุขาภิบาลที่สะอาดให้กับผู้คนที่ต้องการเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาดในถิ่นทุรกันดารต่างๆ ทั่วโลก”

นอกจากการบริจาคเงินแล้วยังรวมไปถึงการพัฒนา และการเข้าถึงแหล่งน้ำที่สะอาดนั้นสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals – SDGs) ที่องค์การสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UN Thailand) ได้กำหนดไว้เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจช่วยให้มีระบบนิเวศที่ดีและเป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานของการดำรงชีวิต

จากการวิจัยของ World Bank พบว่ายังมีประชากรทั่วโลกกว่า 2.2 พันล้านคนที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาดเพื่อบริโภคได้ประชากรกว่า 4.2 พันล้านคนที่ไม่ได้รับบริการด้านสุขอนามัยที่ดีและประชากรอีกกว่า 3 พันล้านคนไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการล้างมือขั้นพื้นฐานช่องว่างในการเข้าถึงแหล่งน้ำและการสุขาภิบาลเกิดจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นทำให้ความต้องการใช้น้ำมากขึ้นรวมถึงความแปรปรวนของสภาพอากาศในปัจจุบันซึ่งส่งผลให้เกิดกระทบในหลายพื้นที่ทั่วโลกน้ำจึงเป็นสิ่งสำคัญในการเติบโตทางเศรษฐกิจและช่วยในการพัฒนาแหล่งชุมชนอย่างยั่งยืน

โครงการ Water for All ได้เริ่มดำเนินการครั้งแรกที่เมือง Anden ในอเมริกาใต้ต่อมาก็ได้ขยายไปไปยังถิ่นธุรกันดารอีกหลายประเทศทั่วโลกอาทิประเทศจีนประเทศอินเดียรวมถึงประเทศต่างๆ ในแถบแอฟริกา

ทาง Atlas Copco มีความเชื่อว่าแค่น้ำก็สามารถเปลี่ยนชีวิตได้คนทั่วโลกต้องการเข้าถึงน้ำสะอาดต้องการช่วยให้ผู้คนเหล่านี้บรรลุเป้าหมายเพราะเชื่อว่าน้ำสะอาดเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน

ทางด้าน ซานเจย์ ซาฟายา กรรมการผู้บริหารบริษัท แอตลาส คอปโก้ (ประเทศไทย) จำกัด เสริมว่า

“สำหรับโครงการ Water for All ในประเทศไทยได้จัดขึ้นเป็นปีที่ 3 แล้วในปี พ.ศ. 2564 ได้เดินทางไปพัฒนาระบบน้ำประปา และก่อสร้างถังเก็บน้ำให้กับหมู่บ้านบนดอยจำนวน 3 หมู่บ้านในจังหวัดเชียงรายได้แก่หมู่บ้านแม่ตาซาง, หมู่บ้านบาลาห์และหมู่บ้านร่วมใจ ครอบคลุมช่วงเดือนกรกฎาคม-ธันวาคม พ.ศ. 2564 โครงการได้รับทุนสนับสนุนจากบริษัท แอตลาส คอปโก้ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นจำนวนเงินรวมทั้งหมดประมาณ 400,000 บาท”

โครงการนี้จะช่วยลดปัญหาด้านการขาดแคลนน้ำทั้ง 3 หมู่บ้าน เพื่อให้มีน้ำเพียงพออย่างน้อย 50 ลิตรต่อวันตามที่ระบุไว้ในมาตรฐานสากล (มาตรฐานด้านมนุษยธรรม SPHERE) สำหรับการใช้งานต่อวันสำหรับการบริโภค และการรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล

ด้วยการสนับสนุนการเงินจาก Atlas Copco และการช่วยเหลือด้านการจัดการของบริษัทแพลนอินเตอร์เนชั่นแนลประเทศไทยได้ส่งเสริมชุมชนเพื่อสร้างถังเก็บน้ำในบ้านร่วมใจและท่อส่งน้ำแรงโน้มถ่วงที่บ้านแม่ตาช้างและบ้านบาลาร์ได้สำเร็จ ส่งผลให้โครงการตอบสนองการเข้าถึงแหล่งน้ำสำหรับประชากรในหมู่บ้านจำนวน 1,969 คน

ซึ่งหมายความว่ามีน้ำเพียงพอตลอดทั้งปีโดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งซึ่งจะมีปริมาณน้ำที่พอเพียงสำหรับสมาชิกในครัวเรือนเพื่อที่จะสามารถทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการเพิ่มผลผลิตและเพิ่มรายได้มากขึ้นสำหรับชุมชนเหล่านี้อีกทั้งยังจะช่วยให้เด็กและเยาวชนมีความปลอดภัยโดยไม่จำเป็นต้องไปตักน้ำจากแหล่งน้ำที่ไกลจากชุมชนอีกด้วย

จะเห็นได้ว่า Atlas Copco มีความมุ่งมั่นในการสร้างความยั่งยืนในทุกมิติทั้งการพัฒนาสินค้าและนวัตกรรมต่างๆเพื่อประหยัดพลังงานนำไปสู่การลดต้นทุนลดการปล่อยสารพิษได้อย่างมหาศาลอีกทั้งยังมีโครงการที่สร้างความยั่งยืนให้กับชุมชมและสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรมอีกด้วย

 

]]>
1378499
‘กสิกรไทย’ กับกลยุทธ์การเติบโต ฉบับ ‘THE METAMORPHOSIS’ พัฒนาเทคโนโลยี จับโอกาสตลาดอาเซียน https://positioningmag.com/1367289 Fri, 17 Dec 2021 04:00:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1367289

ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราได้เห็นการปรับตัวที่โดดเด่นเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและแตกต่างของ ‘ธนาคารกสิกรไทย’ (KBank) ที่สร้างปรากฏการณ์มาหลายครั้ง

ความเคลื่อนไหวล่าสุดกับการประกาศยกทัพบุกตลาดภูมิภาค ด้วยแนวคิด “THE METAMORPHOSIS” กลายร่างธนาคาร ให้เติบโตมากกว่าเดิมแบบ “ไร้ขีดจำกัด ไร้รอยต่อ และไร้ขอบเขต” น่าสนใจยิ่ง เพราะสะท้อนให้เห็นถึงเป้าหมายที่ชัดเจนในการ บุกทำตลาดต่างประเทศ เพื่อให้ทุกคน ‘เข้าถึง’ การเงินบนโลกดิจิทัล

โอกาสนี้ เห็นได้จากทิศทางการเติบโตของธุรกิจธนาคารในระดับภูมิภาคของ KBank ที่เป็นไปอย่างก้าวกระโดด ท่ามกลางความโกลาหลของเศรษฐกิจโลกในช่วงวิกฤตโควิด-19

โดยในปี 2564 มีการเติบโตมากกว่าปีก่อนหน้าถึง 34% ซึ่งธนาคารได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่า ภายในปี 2566 จะเพิ่มสัดส่วนรายได้ของธุรกิจในต่างประเทศเป็น 5% ของรายได้สุทธิธนาคารทั้งหมด (Net Total Income-NTI) หรือมีรายได้เติบโตถึง 5 เท่า  พร้อมขยายฐานลูกค้าดิจิทัลเป็น 6.5 ล้านราย จากปัจจุบันที่มีอยู่ 1.6 ล้านราย และเพิ่มเป็น 10 ล้านรายภายในปี 2567

เส้นทางสู่เป้าหมาย เต็มไปด้วยความท้าทายมากมายรออยู่ ทั้งเรื่องการเติบโตอย่างยั่งยืน วางเเผนกลยุทธ์รองรับทุกการเปลี่ยนเเปลง การสร้างสรรค์เทคโนโลยีเเละพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ รวมไปถึงการบริหารจัดการองค์กรให้เป็น ‘หนึ่งเดียวกัน’ ผสมผสานความหลากหลายของเชื้อชาติเเละวัฒนธรรม ดึงดูด Top Talent จากทั่วโลก


เติบโตไร้ขีดจำกัด ฉบับ THE METAMORPHOSIS

ภัทรพงศ์ กัณหสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย บอกว่า อาเซียนเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก เเละมีเเนวโน้มจะเติบโตได้ต่อไปในอีกหลายปีข้างหน้า เเละเส้นทางนี้ก็เหมือนการ ‘วิ่งมาราธอน’ ที่ต้องใช้ความพยายาม อดทนเเละต้องคว้าโอกาสสำคัญให้ได้ พร้อมการวางเเผนกลยุทธ์ที่ดี การเติบโตของ KBank จึงเปรียบเสมือน ‘Metamorphosis’ วิวัฒนาการเชิงความคิด การเติบโตผ่านการเปลี่ยนแปลงรูปร่างอย่างรวดเร็วตามเป้าธุรกิจที่ท้าทาย

เปลี่ยนปรัชญาทางธุรกิจไปสู่การให้บริการที่เหนือกว่าธุรกิจธนาคาร ผ่านการสร้างโซลูชันและยกระดับการให้บริการเพื่อมอบชีวิตที่ดีให้ลูกค้า ตาม 3 วิสัยทัศน์หลัก คือ

Limitless Opportunity ธนาคารกสิกรไทยจะไม่ติดกรอบอยู่แค่การทำธุรกิจในประเทศไทย การเติบโตของธนาคารสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกภูมิภาคอย่างไร้ขีดจำกัด

Seamless Connectivity ด้วยการสนับสนุนทางเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยจาก KASIKORN BUSINESS-TECHNOLOGY GROUP (KBTG) ทำให้สามารถจัดสรรทรัพยากรทั้งการลงทุน ผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ ได้อย่างไร้รอยต่อ

Borderless Growth สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ คือ ศักยภาพ (Capabilities) ทุก ๆ ด้านของคนกสิกรไทยที่จะต้องเติบโตได้อย่างไร้ขอบเขต


โอกาสอยู่ในทุกๆ การเปลี่ยนเเปลง

ด้าน พิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ชี้ว่า โลกยุคใหม่หลังโควิด-19 เปลี่ยนเเปลงไปอย่างมาก มีทั้งความซับซ้อนเเละท้าทาย เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาดิสรัปเร็วกว่าเดิม 4-10 ปี ขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยโอกาสทางธุรกิจ สำหรับธุรกิจที่ปรับตัวได้เร็ว (Morph) และเปิดรับทักษะสมัยใหม่ โดยสามารถเเบ่งเป็น 4 ธีมการเปลี่ยนเเปลงของโลกในระยะต่อไป ได้เเก่

DECOUPLING สำนักวิจัยหลายแห่งคาดว่าภายในปี 2573 เศรษฐกิจจีนจะมีขนาดใหญ่กว่าสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ช่วงเวลานี้ เกิดการประลองกันของมหาอำนาจโลก มีการกีดกันทางการค้าและเเข่งขันกันด้านเทคโนโลยี เหล่านี้เป็นโอกาสที่ไทยเเละ ‘อาเซียน’ จะสามารถเชื่อมต่อกับสองห่วงโซ่ทั้งจีน และสหรัฐฯ จากการเปิดกว้างต่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับทั้งสองขั้วอำนาจ ซึ่งต้องมองเรื่องนี้ให้เป็นโอกาสมากกว่าอุปสรรค

ในประเด็นต่อมาคือ REGIONALIZATION 2.0 การปรับภาพลักษณ์ใหม่ของจีน ที่จะผันตัวเองจากแหล่งผลิตสินค้าราคาถูกไปเป็นประเทศ ที่เน้นการส่งออกสินค้าไฮเทคและนวัตกรรม

“ธุรกิจของจีนจะทยอยย้ายฐานการผลิตสินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้นไปยังประเทศอื่น โดยเฉพาะอาเซียน ซึ่งมีศักยภาพสูง ในการเป็นห่วงโซ่อุปทานของจีน เพื่อรองรับตลาดผู้บริโภคชนชั้นกลางจำนวนมาก รวมถึงมีความได้เปรียบทั้งเรื่องความสัมพันธ์ วิถีชีวิต มีศักยภาพสูงในการลงทุนทั้งเรื่องของค่าแรง กฎระเบียบต่างๆ”

สำหรับโอกาสของ NEXT-GEN DIGITALIZATION เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยขับเคลื่อนและสร้างโอกาสทางธุรกิจมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคและภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้มากขึ้นเพิ่มขีดความสามารถของ SMEs ยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศในภูมิภาคอาเซียน เพื่อตอบรับการเปลี่ยนผ่านสู่การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง

ส่วนอีกกระแสสำคัญของปัจจุบัน คือ DECARBONIZATION ที่นานาประเทศเริ่มมุ่งไปสู่ ‘สังคมไร้คาร์บอน’ ซึ่งการตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ยังเป็นเรื่องที่ท้าทาย

โดยทางจีนที่เป็นผู้ปล่อยคาร์บอนสูงที่สุด ก็มีการประกาศเป้าหมายนี้มาเเล้ว เชื่อว่าต่อไปจะได้เห็นความร่วมมือกันของหลายประเทศ ทั้งภาครัฐเเละเอกชนในด้านต่างๆ อย่างพลังงานลมและโซลาร์เซลล์ เเละรถยนต์ไฟฟ้า ฯลฯ

“นี่เป็นโอกาสของการทำธุรกิจในการสร้างห่วงโซ่อุปทานสีเขียว (Green Supply Chain) ของไทยเเละอาเซียน ยกระดับเศรษฐกิจเก่าไปสู่เศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสร้างอุตสาหกรรมใหม่สู่ New S-Curve ซึ่งจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาคบนเส้นทางการเติบโตยั่งยืนในอนาคตข้างหน้า”

ด้านความเห็นต่อกระเเส Crypto Economy ผู้บริหารกสิกรไทยมองว่า ต่อไปจะเป็นการรวมกันระหว่างตลาดการเงิน สินทรัพย์ดิจิทัลเเละภาคธุรกิจต่างๆ เช่นการนำ  Metaverse มาปรับใช้ จะช่วยสร้างผลิตภาพที่สูงขึ้น การซื้อขายผ่านเงินสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) หรือซื้อขายผ่าน NFT (Non-Fungible Token) สถาบันการเงินจึงต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว พร้อมรับทุกบริการเพื่อธุรกิจยุคใหม่

 ทั้งนี้ เมื่อช่วงปลายเดือนต.ค.ที่ผ่านมา KBTG เพิ่งส่งบริษัทลูกในเครืออย่าง KASIKORN X หรือ KX เดินเกมสร้างธุรกิจใหม่บนโลกของ DeFi เปิดตัว ‘Coral’  มาร์เก็ตเพลส NFT ที่ซื้อขายง่ายด้วยสกุลเงินทั่วไป สร้างโอกาสศิลปินไทยสู่ระดับสากล (คลิกอ่าน ที่นี่)

 โดยโจทย์หลักของ KBank คือ การมุ่งสู่โลกการเงินแห่งอนาคต ยกระดับความสามารถความรู้ให้ทั้งบุคลากรของธนาคาร และลูกค้าเพื่อให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยกันอย่างยั่งยืน และเรื่อง ESG ที่การเติบโตของธุรกิจไม่ได้ดูแค่ผลกำไรเท่านั้น เเต่จะต้องสร้างสิ่งดีๆ ให้สังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย


เทคโนโลยีคือจุดเชื่อมโยง ต่อยอดฟินเทคจีน-อาเซียน

เรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท KBTG (Group Chairman-KASIKORN BUSINESS-TECHNOLOGY GROUP) กล่าวถึงประเด็นที่น่าสนในของ ‘ตลาดจีน’ ว่ามี FinTech Landscape ที่ขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น จากจำนวนประชากรที่มีมากกว่า 1,412 ล้านคน เเละมีการใช้โทรศัพท์มือถือสูงมากๆ ใช้จ่ายด้านออนไลน์สูง เเละเป็นตลาดที่มีการเเข่งขันสูง เป็นโอกาสของกสิกรไทยที่จะเข้าไปเจาะตลาดเเละเรียนรู้ได้

ในปี 2563 ที่ผ่านมา KBTG ได้มีการจัดตั้งบริษัท ไคไท่ เทคโนโลยี จำกัด (KAITAI Technology Company Limited : KTECH) ที่เซินเจิ้น ซึ่งภารกิจหลักๆ  คือการ ‘หาบุคลากร’ จีนที่มีความสามารถด้านเทคโนโลยีมาร่วมทีมเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่สนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการของธนาคาร เเลกเปลี่ยนความรู้ ความเชี่ยวชาญ พร้อมทั้งต่อยอดโอกาสทางธุรกิจจากฟินเทคในจีนที่มีอยู่เป็นจำนวนมากไปสู่ทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน

โดยเทคโนโลยีที่เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในจีน ก็คือ คลาวด์คอมพิวติ้ง นาโนไฟเเนนซ์ ปัญญาประดิษฐ์ บล็อกเชน 5G เเละความปลอกภัยไซเบอร์

ความสำเร็จในก้าวปีแรกของ KBTG คือ การมีส่วนร่วมใน 14 โครงการสำคัญ ครอบคลุมในทุกประสบการณ์ทางการเงิน ทั้งด้านการปล่อยกู้ เงินฝาก การชำระเงิน รวมทั้งข้อมูลและการวิเคราะห์กับ 7 พันธมิตรสำคัญในประเทศจีน  และมีแผนเพิ่มทีมงานให้ใหญ่ขึ้นถึง 12 เท่า ภายในปี 2569  “การทำงานของเราจะเป็นไปในรูปแบบ Fast-Fun-Flow-Feedback ทำอย่างรวดเร็วด้วยความสนุก”

ส่วนเป้าหมายจำนวนผู้ใช้ K PLUS ทั้งในไทยและต่างประเทศนั้น ตั้งเป้าหมายไว้ที่ระดับ 50 ล้านผู้ใช้ในอีก 5  ปีข้างหน้า ซึ่งตอนนี้จำนวนผู้ใช้ในปัจจุบันก็ใกล้เเตะ 20 ล้านรายแล้ว


World Business Group : ก้าวต่อไป KBank ธนาคารเเห่งภูมิภาค

ภัทรพงศ์ อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับศักยภาพของกลุ่ม World Business Group (WBG) ที่ได้สร้างการเปลี่ยนสู่ธุรกิจ ธนาคารยุคใหม่แห่งภูมิภาค ว่า ด้วยความที่ KBank นิยามตัวเองว่าเป็นเทคสตาร์ทอัพที่มี banking license จึงเข้าไปทำตลาดใหม่ๆ ได้อย่าง ‘ตัวเบา’ โดยการเดินหน้าธุรกิจตามโมเดล Kasikorn China ในจีนนั้นจะใช้บนปรัชญา “Better Me” ที่มุ่งให้การสนับสนุนลูกค้าที่มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน และมุ่งมั่นนำพาตัวเองสู่อิสรภาพทางการเงินสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจีนที่มุ่งเน้นการพัฒนาแบบยั่งยืนพร้อมจะนำแนวคิดธุรกิจนี้ขยายไปต่อยัง ‘เวียดนาม’ ที่ได้เดินหน้าด้วยดิจิทัล แบงกิ้งอย่างเต็มรูปแบบ

ได้แก่ KBank Biz Loan สินเชื่อดิจิทัลที่ช่วยให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายในการขออนุมัติวงเงินและ K PLUS Vietnam โมบาย แบงกิ้งที่ต่อยอดจากต้นแบบ K PLUS ในประเทศไทย

“ในอนาคตจะมีการเปิดตัวธุรกิจใหม่บนโมเดล Banking-as-a Service (BaaS) ในการให้บริการมากกว่าธุรกิจการเงินที่จะเริ่มที่เวียดนามเป็นแห่งแรก เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกที่มากกว่าในการเข้าถึงบริการทางการเงิน ช่วยให้ฟินเทครายย่อยมีโอกาสเติบโตไปพร้อมกันและเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น”

สำหรับในตลาดกัมพูชา KBank พร้อมเปิดตัว Payroll Lending ที่ทำให้ลูกค้าได้รับสินเชื่ออย่างง่ายดาย ผ่านแอปพลิเคชันของพันธมิตร ส่วนในฝั่ง สปป.ลาวจะยังคงเดินหน้าเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานบริการ QR KBank จากปัจจุบันที่มี 1.3 แสนรายอย่างต่อเนื่อง ด้วยการขยายการใช้งานให้ครอบคลุมทุกธุรกรรมการเงินของลูกค้า

เป้าหมายถัดไปของธนาคารกสิกรไทย คือ การเชื่อมต่อกับอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่สุดและมีประชากรจำนวนมากที่สุดในภูมิภาค โดยปัจจุบันธนาคารได้เร่งสร้างพันธมิตรธุรกิจที่หลากหลาย เพื่อขยายโอกาสในการทำธุรกิจและส่งมอบบริการทางการเงินให้กับลูกค้าในอินโดนีเซีย

นอกจากนี้ ยังมีแผนในการจัดตั้งบริษัท K VISION FINANCIAL (KVF) เพื่อขยายการลงทุนด้านดิจิทัลในธุรกิจต่าง ๆ ด้วยเป้าหมายในการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มจำนวนพันธมิตรทางธุรกิจ สู่การเป็น Ecosystem ทางการเงินในระดับภูมิภาค พร้อมชูแผนการสร้าง บริการทางการเงินเพื่อรองรับตลาด Digital Asset ที่จะเติบโตในตลาดภูมิภาค โดยเฉพาะในประเทศจีน อินโดนีเซีย และเวียดนาม

เปิดพื้นที่เเชร์ไอเดีย เป็นองค์กรสำหรับ Talent ทั่วโลก

จากเป้าหมายและพันธกิจที่ใหญ่ขึ้น  WBG ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนพนักงานเป็น 1,037 คนในปี 2565 หรือเพิ่มขึ้นถึง 52% จากปี 2563 เพื่อขยายศักยภาพของทีมให้ไปสู่ความสำเร็จได้ และด้วยความตั้งใจที่จะเป็นองค์กรสำหรับ Talent ทั่วโลก

ธนาคารได้เสนอแนวคิด “World of Borderless Growth” เพื่อสื่อสารให้คนรุ่นใหม่เห็นโอกาสในการเติบโตอย่างไร้ขอบเขตทุกมิติ อย่าง

Personal Growth การเติบโตผ่านประสบการณ์ทำงานจริงที่ท้าทาย

Growth of Team การเติบโตร่วมกับทีมที่เต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน

Growth of Partners การเติบโตไปพร้อมกับพันธมิตรทั้ง Tech Company และ Startup ระดับโลก

Growth of Community การเติบโตเคียงข้างกับสังคมผ่านทุกภารกิจ (Mission) ของ WBG ที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกค้า สังคม และสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น

“เราจะได้สร้างสิ่งใหม่ๆ เรื่องใหม่ๆ ที่ไม่ใช่เเค่พนักงานไม่เคยทำ เเต่ KBank เองก็ยังไม่เคยทำ เป็นประสบการณ์ใหม่ของทีมงานที่จะได้ไปเจอ ให้โอกาสในการเเสดงศักยภาพ เเชร์ไอเดียทำงาน เราต้องการคนรุ่นใหม่ที่ใจกล้า มีความอยากเรียนรู้เข้ามาช่วยเราทำงาน เเละเติบโตไปด้วยกัน”  ชัช เหลืองอาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าว

โดยสิ่งที่ธนาคารกสิกรไทยอยากจะเป็นจริงๆ ในช่วง 3 ปีข้างหน้า คือการเป็นธนาคารที่ช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือลูกค้า เเละ ‘เป็นที่รัก’ ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศไหนๆ เเละก็เชื่อว่าทีมงานของเราทุกคนมีความเชื่อเเละปรัชญานี้เหมือนกัน ที่จะมุ่งมั่นสร้างสรรค์สิ่งที่มีความหมายต่อชีวิต พัฒนาสิ่งที่ดีกว่าให้กับโลก

 

]]>
1367289
สยามพิวรรธน์ เสริมทัพดิจิทัลมุ่งสร้างค้าปลีกเชื่อมโลกคู่ขนานแห่งอนาคต ประกาศแต่งตั้ง “ปานเทพย์ นิลสินธพ” นำทีมคนรุ่นใหม่ ขับเคลื่อนประสบการณ์เหนือความคาดหมายอย่างไร้รอยต่อ https://positioningmag.com/1365573 Tue, 14 Dec 2021 02:00:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1365573

บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เจ้าของและผู้บริหาร ศูนย์การค้าสยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ เสริมทัพดิจิทัล ส่ง “ปานเทพย์ นิลสินธพ” ร่วมขับเคลื่อนการบริหารงานใหม่ล่าสุด Customer Experience ในตำแหน่งประธานบริหารสายงานประสบการณ์ลูกค้า (Chief Customer Officer) เพื่อเป็นผู้นำทัพเข้าสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ โดยจะทำงานร่วมกับนายอริยะ พนมยงค์ ประธานบริหารด้านนวัตกรรม และนายอักเซล วินเทอร์ ประธานบริหารสายงานดิจิทัล เพื่อเชื่อมโลกออฟไลน์และออนไลน์ในทุกมิติ สร้างสัมพันธ์แบบบูรณาการและมอบประสบการณ์ที่คัดสรรมาเฉพาะให้กับลูกค้า

การเสริมทัพดิจิทัลในครั้งนี้ สอดคล้องกับกลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจของสยามพิวรรธน์ ที่มุ่งเชื่อมโลกแห่งการค้าในทุกมิติเพื่อมอบประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายให้กับลูกค้าทั้งในประเทศและที่เคยเดินทางมาเยี่ยมเยือนโครงการของสยามพิวรรธน์จากทั่วโลก (Global Citizen) ซึ่งในปัจจุบัน ออนไลน์เป็นช่องทางที่ผู้คนจากทั่วโลกจะสามารถเข้าถึงกิจกรรมและประสบการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในธุรกิจของกลุ่มสยามพิวรรธน์ได้ตลอดเวลา ดังนั้นสยามพิวรรธน์จึงพร้อมตอบไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในยุคดิจิทัลนี้ ด้วยนวัตกรรม และแพลตฟอร์มใหม่ๆ ที่ได้พัฒนาขึ้น เพื่อเชื่อมโยงธุรกิจค้าปลีกในศูนย์การค้า เข้ากับช่องทางออนไลน์ทั้ง S-Commerce และ E- Commerce อย่างสมบูรณ์แบบ ผ่านระบบนิเวศแห่งความสำเร็จที่ได้รวบรวมร้านค้า คู่ค้า และพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ ให้ร่วมก้าวไปสู่ความสำเร็จในอนาคตพร้อมกัน

นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ กล่าวว่า

“สยามพิวรรธน์เป็นผู้นำความคิดสร้างสรรค์ (The Visionary Icon) การก้าวไปสู่การทำธุรกิจแห่งอนาคตให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน คือการผลักดันให้เกิดระบบนิเวศแห่งความสำเร็จ ซึ่งจะประกอบไปด้วยความหลากหลายของคู่ค้า ลูกค้า พันธมิตร ที่จะมาเชื่อมต่อกันและเกิดการแลกเปลี่ยนสิทธิประโยชน์ ความพึงพอใจและประสบการณ์ที่ไร้ขีดจำกัด ไร้พรมแดน ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลกจริงหรือโลกดิจิทัลก็ตาม สยามพิวรรธน์เน้นการทำธุรกิจโดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ที่เราต้องมีความเข้าใจและเข้าถึงในพฤติกรรมและความปรารถนาของลูกค้าทุกกลุ่มอยู่ตลอดเวลา เพื่อสามารถสร้างแรงบันดาลใจและประสบการณ์ที่เหนือระดับ พร้อมมอบคุณค่าทางด้านจิตใจ และตอบสนองการบริโภคทุกมิติของลูกค้าได้เสมอ ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องมีสายงานใหม่ คือ Customer Experience ที่จะเข้ามาดูแลเรื่องประสบการณ์ของลูกค้า ทั้งในศูนย์การค้าและบนดิจิทัลแพลตฟอร์มโดยตรง สยามพิวรรธน์เล็งเห็นว่า คุณปานเทพย์ นิลสินธพ คือผู้ที่เหมาะสมที่จะเข้ามาเป็นผู้บริหารสำคัญ ที่จะนำทีมนี้ ด้วยประสบการณ์ที่เชี่ยวชาญในธุรกิจการเงินรวมถึง เทคโนโลยีและนวัตกรรมมายาวนาน อีกทั้งมีวิสัยทัศน์และทักษะในการบริหารจัดการ โดยผลงานที่ผ่านมาได้สะท้อนให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์และความสำเร็จในการสร้างความเปลี่ยนแปลงมาหลายองค์กร สยามพิวรรธน์เชื่อมั่นว่าคุณปานเทพย์จะเป็นหนึ่งในคณะผู้บริหารคนรุ่นใหม่ ที่จะมาช่วยกันขับเคลื่อนการขยายตัวของธุรกิจในกลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดดบนเวทีโลก”

ปานเทพย์ นิลสินธพ นับเป็นนักบริหารที่มีบทบาทในการช่วยขับเคลื่อน องค์กรชั้นนำต่างๆ หลายแห่งที่เคยร่วมงานด้วย ได้แก่ บมจ.หลักทรัพย์ Asia Plus บริษัท J.P. Morgan บริษัท The Boston Consulting Group และล่าสุดที่ Total Access Communication หรือ dtac ในตำแหน่งผู้อำนวยการอาวุโส สายงานผลิตภัณฑ์ดิจิทัล โดยได้เริ่มต้นพัฒนาความรู้ความสามารถจากการเข้าศึกษาในระดับปริญญาตรีด้านพาณิชยศาสตร์ และได้รับเกียรตินิยมทางด้านเศรษฐศาสตร์จาก University of Melbourne มหาวิทยาลัยอันดับ 1 ในประเทศออสเตรเลีย ก่อนศึกษาปริญญาโทต่อในมหาวิทยาลัยเดียวกัน จนสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาโท ด้านการเงินประยุกต์ คุณปานเทพย์เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการวางกลยุทธ์ การบริหารประสบการณ์ของลูกค้าช่องทางดิจิทัล และการสร้างธุรกิจบนดิจิทัลแพลตฟอร์มที่มีบทบาทสำคัญในการเติบโตของช่องทางดิจิทัลและการขับเคลื่อนแพลตฟอร์มธุรกิจใหม่ในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิเช่น ธุรกิจโทรคมนาคม การเงิน ประกัน และเกมส์

“ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสยามพิวรรธน์ และได้ร่วมขับเคลื่อนภารกิจที่จะนำสยามพิวรรธน์ก้าวไปสู่การเป็นค้าปลีกแห่งอนาคต สู่การเติมเต็มประสบการณ์สุดพิเศษให้กับลูกค้าที่มากกว่าเดิม พร้อมนำทัพคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ และมีความเชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขาร่วมพัฒนาโครงการซึ่งจะกลายเป็น “โครงการระดับโลก” ไปด้วยกัน” นายปานเทพย์ กล่าวทิ้งท้าย

]]>
1365573
Cold Brew Cool Club ส่ง Cooler Scooter ไอเท็มสุดคูลที่ช่วยให้ปาร์ตี้กับเพื่อนซี้สมูทกว่าเดิม https://positioningmag.com/1364260 Fri, 10 Dec 2021 10:00:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1364260

ถึงช่วงเวลาส่งท้ายปีอย่างนี้ อะไรจะดีไปกว่าการได้เฉลิมฉลองกับเพื่อนซี้ และคนรู้ใจ แต่รับรองว่าครั้งนี้การฉลองปาร์ตี้กับเพื่อนๆ จะต้องคูล และสมูทกว่าที่เคยอย่างแน่นอน

Cold Brew Cool Club ได้ส่งไอเท็มใหม่ จะเรียกว่าเป็นไอเท็มลับสุดคูลก็ว่าได้ ซึ่งไอเท็มที่จะทำให้หลายคนต้องร้องว้าวก็คือ เจ้า Cooler Scooter ที่มีรูปร่างหน้าตาเป็นรถสกู๊ตเตอร์ยอดฮิตของวัยรุ่น แถมยังมีถังเก็บความเย็นเพิ่มเข้ามาอีก ซึ่งไอเท็มนี้นี่เองจะเป็นตัวช่วยให้ทุกปาร์ตี้กับเพื่อนซี้คูลมากขึ้น สมูทขึ้นอีกหลายระดับ

และต้องบอกว่า Cooler Scooter เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมใหม่ที่สร้างสีสันให้กับตลาดในช่วงส่งท้ายปีได้อย่างดี เข้ากับจังหวะเทศกาลเฉลิมฉลองเป็นอย่างมาก แถมยังมีการดีไซน์ได้โดนใจคนรุ่นใหม่เข้าอย่างจัง

 

สำหรับจุดเด่นของ Cooler Scooter ต้องบอกเลยว่าไม่ธรรมดา เพราะนอกจากงานออกแบบที่เท่ห์ ดูดี รวมไปถึงวัสดุสุดพรีเมียม เจ้า Cooler Scooter คันนี้ยังถูกอัพเกรดความสามารถให้เท่ห์กว่าสกู๊ตเตอร์ทั่วไป ด้วยการเสริมไอเท็มสุดคูลอย่าง “ถังคูลเลอร์เก็บความเย็น” พร้อมส่งต่อความสมูทในอุณหภูมิที่เย็นถึงใจในทุกปาร์ตี้ แถมยังสามารถใช้งานเป็นที่นั่งสำหรับนั่งขี่สกู๊ตเตอร์เพลินๆ เติมเต็มบรรยากาศให้ทุกการพบปะของเพื่อนซี้นั้น สนุกสนาน และสมูทกว่าที่เคย

สำหรับใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ แล้วอยากมี Cooler Scooter เอาไว้ในครอบครอง ไว้ส่งต่อความสมูทสุดคูลกับเหล่าเพื่อนซี้ ต้องกดติดตามกิจกรรมจากแฟนเพจ Cold Brew Cool Club เอาไว้เลย เพราะทางเพจจะมีกิจกรรมให้ร่วมสนุก อาจจะมีลุ้นได้เป็นเจ้าของ Cooler Scooter ด้วยนะ

สามารถติดตามรายละเอียด และคอนเทนต์ดีๆ จาก Cool Brew Cool Club (https://www.facebook.com/ColdBrewCoolClub) คลับที่จะมาอินสไปร์การใช้ชีวิตของคุณให้คูลและสมูทได้ไม่เหมือนใคร

 

]]>
1364260
สยามพิวรรธน์สร้างปรากฏการณ์ เปิด “ONESIAM SuperApp” แพลตฟอร์มอัจฉริยะที่รวมจักรวาลแห่งประสบการณ์ไว้ในที่เดียว จับมือพันธมิตร 13 อุตสาหกรรม เปิดโลกใหม่ของการสร้างธุรกิจดิจิทัล ผ่านระบบนิเวศแห่งความสำเร็จระดับโลก https://positioningmag.com/1366146 Fri, 10 Dec 2021 04:00:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1366146
  • สยามพิวรรธน์ สร้างปรากฏการณ์ระบบนิเวศธุรกิจพรีเมียมระดับโลกที่เจาะกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง
        ในประเทศจำนวนกว่า 7 ล้านคน พร้อมครอบคลุมฐานลูกค้าที่ทรงพลังทั่วโลก
  • เดินหน้า Co-creation ผนึกพันธมิตรชั้นนำครอบคลุมหลากหลายธุรกิจ รวมถึงแบรนด์ระดับพรีเมียม 
        และลักชัวรีที่แข็งแกร่งกว่า 1,000 แบรนด์ไทยและจากทั่วโลก เข้าสู่ระบบนิเวศแห่งความสำเร็จด้วย
        การเชื่อมต่อแพลตฟอร์ม Content-Loyalty-Digital Assets  
  • เผยโฉม ONESIAM ซูเปอร์แอปพลิเคชันใหม่ รวม 4 จักรวาลแห่งประสบการณ์เหนือความคาดหมาย
        “The Universe of Extraordinary Experiences” ไว้ในแพลตฟอร์มเดียว พร้อมสร้างระบบเพิ่มมูลค่าใน
        การจับจ่ายใช้สอยแบบใหม่ด้วย VIZ COIN 

 

บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้พัฒนาธุรกิจค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหาร สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญย้ำภาพผู้นำความคิดสร้างสรรค์ (Thought Leader) พัฒนาและเปิด “ONESIAM” ซูเปอร์แอปพลิเคชันใหม่ ที่รวม 4 จักรวาลแห่งประสบการณ์เหนือความคาดหมาย “The Universe of Extraordinary Experiences ไว้ในแพลตฟอร์มเดียว พร้อมเดินหน้า Co-creation ผนึกองค์กรนวัตกรรม พันธมิตร คู่ค้า และแบรนด์ที่แข็งแกร่งจากทั่วโลก สร้างระบบนิเวศธุรกิจพรีเมียมระดับโลก ผสานฐานลูกค้าที่ทรงพลังทั้งในประเทศและต่างประเทศ เดินหน้าสู่โลกใหม่ของธุรกิจที่สามารถขยายไปได้อย่างไร้พรมแดน

นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ กล่าวว่า

“เมื่อ 10 ปีก่อน สยามพิวรรธน์ได้พลิกกลยุทธ์ในการทำธุรกิจ โดยเป็นคนแรกที่ประกาศว่า ศูนย์การค้าของเราไม่ได้เป็นเพียงที่ขายสินค้าหรือให้บริการต่าง ๆ แต่เป็นสถานที่ที่จะนำเสนอประสบการณ์แปลกใหม่และยิ่งใหญ่ในทุกมิติ สร้างแรงบันดาลใจและมอบคุณค่าของการใช้ชีวิตแก่ผู้คนอย่างไม่สิ้นสุด ความสำเร็จในการทำธุรกิจของเราไม่ได้อยู่ที่ผลกำไร แต่คือการเป็นที่หนึ่งในใจลูกค้าของเราทั้งคนไทยและทั่วโลก จากนั้นมา สยามพิวรรธน์ได้ก้าวข้ามการแข่งขันในประเทศได้สำเร็จ สู่การเป็นผู้ชนะคว้ารางวัลที่หนึ่งในสาขาต่าง ๆ ในเวทีโลกได้อย่างต่อเนื่องเป็นปรากฏการณ์ และมีฐานลูกค้ามีระดับที่แข็งแกร่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ และที่สำคัญที่สุด ความสำเร็จของสยามพิวรรธน์ในวันนี้มาจากการร่วมมืออันยาวนานกับคู่ค้าและพันธมิตรทางธุรกิจที่พร้อมจะก้าวไปกับเราเพื่อร่วมปฏิวัติวงการและนำเสนอความแปลกใหม่ให้ได้ก่อนใคร อีกทั้งสนับสนุนเกื้อกูลซึ่งกันและกันจนเติบโตและประสบความสำเร็จร่วมกันอย่าง
น่าภาคภูมิใจยิ่ง”

ในปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทสำคัญมากในการทำธุรกิจ ซึ่งส่งผลให้ระบบนิเวศธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เกิดโอกาสในการเชื่อมโยงระบบดิจิทัลซึ่งกันและกัน ดังนั้นธุรกิจค้าปลีกไม่จำเป็นต้องวางกรอบตัวเอง อยู่ในอุตสาหกรรมเดิมอีกต่อไป แต่สามารถสร้างธุรกิจในรูปแบบใหม่ ๆ จากการเชื่อมต่อกับพันธมิตร อีกทั้งผสานฐานลูกค้าให้มีการบริหารจัดการที่จะส่งประโยชน์สูงสุดพร้อมมอบหลากหลายประสบการณ์บนแพลตฟอร์มเดียวให้ลูกค้าได้อย่างน่าอัศจรรย์ สยามพิวรรธน์มองเห็นโอกาสนี้และได้เริ่มพัฒนาระบบนิเวศธุรกิจพรีเมียมระดับโลกที่จะเชื่อมคู่ค้าพันธมิตรจากทั่วโลก (Global Ecosystem) ให้เติบโตร่วมกันบนดิจิทัลแพลตฟอร์ม ซึ่งทั้งหมดนี้ มาจากหลักใน
การดำเนินธุรกิจของสยามพิวรรธน์ที่ยึดมั่นในการ Share Values และ Co-creation เพื่อให้เกิดความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าร่วมกันอย่างยั่งยืน

นางชฎาทิพ กล่าวเสริมว่า “ในวันนี้ สยามพิวรรธน์พร้อมแล้วที่จะเดินหน้าสู่โลกใหม่ของธุรกิจที่สามารถขยายไปได้อย่างไร้พรมแดน โดยนำเสนอจักรวาลแห่งประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายในโลกดิจิทัล (The Universe of Extraordinary Experiences) ซึ่งเราได้ใช้ระยะเวลาเพียง 13 เดือน ในการปรับกลยุทธ์ และพัฒนาแอปพลิเคชันรูปแบบใหม่ที่จะทลายทุกข้อจำกัด และสามารถเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มต่าง ๆ อีกหลากหลายประเภทของพันธมิตรในระบบนิเวศของเรา ภายใต้การนำของคุณอริยะ พนมยงค์ ทำหน้าที่ประธานบริหารสายงานนวัตกรรม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้ก่อตั้งบริษัท Transformational โดยทำงานร่วมกับคุณอักเซล วินเทอร์ ประธานบริหารสายงานดิจิทัล โดยใช้นวัตกรรมจากหลายองค์กรชั้นนำต่างประเทศ สยามพิวรรธน์ได้ใช้เงินลงทุนกว่า 300 ล้านบาท เพื่อสร้างระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่และแอปพลิเคชันนี้ขึ้นมา โดยมุ่งเน้นให้สนับสนุนและส่งเสริมธุรกิจของบรรดาร้านค้าใน 4 ศูนย์การค้าของเรารวมถึงพันธมิตรกว่า 1,000 แบรนด์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เราได้เชิญมาร่วมใน Global Ecosystem นี้ นับเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกของการรวมพลังที่แข็งแกร่ง ซึ่งเรามีความยินดีที่จะมอบ “ONESIAM SuperApp” ให้เป็นแพลตฟอร์มที่จะเชื่อมโยงกว่า 13 อุตสาหกรรม  ให้ใกล้ชิดผู้บริโภค ให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและเป็นเสมือนเพื่อนที่รู้ใจ โดยพันธมิตรในระบบนิเวศธุรกิจนี้จะเข้ามาเติมเต็ม และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงผ่านวิสัยทัศน์ในการพัฒนา ONESIAM SuperApp ดังนี้

  • Sharing Economy สยามพิวรรธน์เชื่อในพลังของการแบ่งปันประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่ทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมในวงจรห่วงโซ่ธุรกิจ ซึ่ง ONESIAM SuperApp นี้ถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นแพลตฟอร์มที่จะมอบประโยชน์ให้เกิดขึ้นได้ทั่วถึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ 

ลูกค้าทั่วโลกONESIAM SuperApp นอกจากจะเป็นแพลตฟอร์มที่มอบจักรวาลแห่งประสบการณ์เหนือความคาดหมาย แก่ลูกค้าที่เป็นสมาชิกแล้ว ยังจะทำให้ทุกการจับจ่ายใช้สอยเกิดความคุ้มค่าและประโยชน์สูงสุด ผ่านการปฏิวัติระบบ Loyalty Program ให้เป็นระบบเพิ่มมูลค่า โดยลูกค้าจะได้รับคืนเป็น VIZ COIN จากการจับจ่ายใช้สอยตามเงื่อนไขที่กำหนด ยิ่งไปกว่านั้น

  • สยามพิวรรธน์มีแผนที่จะขยายการให้บริการครอบคลุมเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัลแก่ลูกค้าในไตรมาสแรกของปีหน้า ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจหลายรายอีกด้วย
  • คู่ค้า และร้านค้าชั้นนำจาก 4 ศูนย์การค้าที่เข้าร่วม – สยามพิวรรธน์วางกลยุทธ์ให้ ONESIAM SuperApp เป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนและใช้คะแนนสะสม (Earn & Burn Destination) จากพันธมิตรทางธุรกิจต่าง ๆ เพื่อเป็นการส่งเสริมการขาย สร้างแบรนด์ สนับสนุนให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มยอดขายซึ่งกันและกันอย่างต่อเนื่อง
  • พันธมิตรทางธุรกิจONESIAM SuperApp จะเป็นแพลตฟอร์มหนึ่งเดียวที่พันธมิตรในระบบนิเวศธุรกิจ (Global Ecosystem) ของสยามพิวรรธน์สามารถใช้ร่วมกันในการพัฒนาธุรกิจของตนเองสร้างผลิตภัณฑ์ดิจิทัลใหม่ ๆ อีกทั้งเป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนและการใช้ VIZ COIN รวมถึงสิทธิประโยชน์มากมาย พันธมิตรทุกรายสามารถขยายฐานลูกค้าบนแพลตฟอร์มนี้ไปได้อย่างไร้ข้อจำกัดและไร้พรมแดน
  1. Co-creation สยามพิวรรธน์ได้ผนึกกำลังกับองค์กรนวัตกรรม พันธมิตร คู่ค้า แบรนด์ที่แข็งแกร่งจากทั่วโลก
    ในการสร้างมหกรรมคอนเทนต์ที่น่าตื่นตาตื่นใจจากฝีมือ Content Makers ระดับโลก สร้างสรรค์แคมเปญการตลาด กิจกรรมส่งเสริมการขาย รวมถึง Loyalty Program โดยพันธมิตรในระบบนิเวศสามารถร่วมสร้าง Community ตามความสนใจของกลุ่มลูกค้า ซึ่งในปี 2022 ONESIAM SuperApp จะถูกพัฒนาให้เป็นแพลตฟอร์มที่ลูกค้าสามารถมา Co-create Content ร่วมกันในแต่ละ Community ได้อย่างสนุกสนานอีกด้วย
  2. Collaborate to Win ปรากฏการณ์ครั้งแรกของการเชื่อมต่อแพลตฟอร์มจากหลากหลายประเภทธุรกิจของพันธมิตรในระบบนิเวศ อาทิ Fintech Platform, S-Commerce และ E-Commerce, NFT, Cryptocurrency/Benefits และ Metaverse เป็นต้น เพื่อให้ลูกค้าและสมาชิกของพันธมิตรทุกรายได้เข้าถึงทุกธุรกรรมได้บนแพลตฟอร์มเดียว ทั้งนี้พันธมิตรของสยามพิวรรธน์สามารถร่วมคิดและพัฒนาธุรกิจดิจิทัลรูปแบบใหม่ ๆ ร่วมกันบน ONESIAM SuperApp นี้ได้เสมอ
  3. Sustainable Growth for All จากพันธกิจของสยามพิวรรธน์ ที่ตั้งเป้าให้ทุกฝ่ายสามารถเติบโตไปด้วยกันได้บนแพลตฟอร์ม ONESIAM SuperApp เป็นการเปิดโลกใหม่ของการทำธุรกิจดิจิทัลที่ทลายทุกข้อจำกัด ส่งผลให้เกิดการขยายธุรกิจอย่างรวดเร็ว และขยายฐานลูกค้าซึ่งกันและกันระหว่างพันธมิตร มีโอกาสที่จะร่วมกันพัฒนาให้เกิดธุรกิจดิจิทัลใหม่ ๆ ได้อย่างไร้ข้อจำกัด และขยายฐานลูกค้าสู่ Global Citizen ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เป็นการเติบโตด้วยความมั่นคงอย่างยั่งยืน

สยามพิวรรธน์ถือเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพียงไม่กี่รายในโลกและเป็นรายแรกในประเทศไทยที่ลงทุนสร้างแพลตฟอร์มของตนเองเพื่อลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจที่ทำให้เกิดประโยชน์กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นการต่อยอดจากวิสัยทัศน์ขององค์กร และพันธมิตรใน Global Ecosystem ที่จะช่วยกันรังสรรค์ประสบการณ์เหนือความคาดหมายในโลกดิจิทัลบนแพลตฟอร์มเดียวที่จะรวบรวมลูกค้าของพันธมิตรทุกรายเข้ามาเป็นสมาชิก และบริหารประสบการณ์แบบ Customer Centric อย่างลงลึก เพื่อให้แพลตฟอร์มนี้เข้าใจพฤติกรรม และเข้าถึงความต้องการของลูกค้าสามารถสร้างแรงบันดาลใจและประสบการณ์ที่เหนือระดับ พร้อมมอบคุณค่าทางด้านจิตใจและตอบสนองการบริโภคทุกมิติ รวมถึงให้บริการกับลูกค้าอย่างดีที่สุด

ONESIAM ซูเปอร์แอปพลิเคชันใหม่ จะเปิดรับสมาชิกในวันที่ 9 ธันวาคม โดยทุกคนสามารถสมัครได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ และเป็นแพลตฟอร์มที่นำเสนอสินค้าและบริการที่ถูกคัดสรรมาแล้วอย่างพิถีพิถันให้กับลูกค้าบนความสนใจเฉพาะบุคคล ด้วยเทคโนโลยี A.I. ที่จะเรียนรู้พฤติกรรมของลูกค้า พร้อมด้วย Hyper Personalized Marketing ที่จะวิเคราะห์ และคาดการณ์การรับข่าวสารและซื้อสินค้าครั้งหน้าของลูกค้าแต่ละคน ซึ่งจะช่วยให้บริหารจัดการสินค้าและบริการทุกประเภทได้ดีขึ้น รวมทั้งสร้างแคมเปญให้ตรงใจลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น เพื่อยกระดับการเชื่อมประสบการณ์โลกคู่ขนาน online/offline ให้กับลูกค้าที่กำลังมองหาประสบการณ์แบบคนรู้ใจ

นายปานเทพย์ นิลสินธพ ประธานบริหารสายงานประสบการณ์ลูกค้า บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า ONESIAM SuperApp จะเป็นประตูสู่ระบบนิเวศของสยามพิวรรธน์ ที่จะมาเติมเต็มพลังให้สมาชิกได้มากกว่าเดิม ในวันนี้ ธุรกิจค้าปลีกไม่ใช่เพียงเรื่องการจับจ่ายใช้สอย แต่หมายรวมถึงการสร้างประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้รับความพึงพอใจสูงสุด ซึ่งจะมาตอกย้ำความเป็นผู้นำความคิดสร้างสรรค์ที่แตกต่างไม่เหมือนใครของสยามพิวรรธน์

โดย ONESIAM SuperApp จะรวมความพิเศษอันหลากหลายผ่าน 4 จักรวาลแห่งประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมาย ดังนี้ 

1.จักรวาลแห่งการจับจ่ายใช้สอย (Universe of Shopping Experiences) : การผนึกแบรนด์ระดับพรีเมียมและลักชัวรีอีกกว่า 1,000 แบรนด์ ในต้นปี 2022 ที่ตอบรับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ ONESIAM SuperApp โดยมีแบรนด์ชั้นนำระดับโลกที่ได้ตอบรับการเข้าร่วมบนแพลตฟอร์มในรูปแบบการขายสินค้า การทำ Content ที่น่าตื่นตาตื่นใจ การทำ Loyalty Platform  ซึ่งสยามพิวรรธน์เชื่อมั่นว่า การผนึกกำลังกับร้านค้าเข้าสู่ระบบนิเวศธุรกิจพรีเมียมระดับโลกจะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่พร้อมกับสิทธิประโยชน์ในรูปแบบที่แปลกใหม่ คุ้มค่า และเกินความคาดหมายอีกครั้ง นอกจากนี้สยามพิวรรธน์ยังได้พัฒนาฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มลักชัวรีโดยเฉพาะ คือ การเปิดหน้าพิเศษสำหรับลักชัวรีแบรนด์แยกออกมา ทั้งในส่วนของคอนเทนต์ สินค้า และบริการ

2.จักรวาลแห่งการเชื่อมโยงคอมมูนิตี้ (Universe of Co-Created Communities) : การผนึกความร่วมมือกับผู้นำความคิด คนรุ่นใหม่ พันธมิตร ร้านค้า คู่ค้า มาร่วมสร้างคอมมูนิตี้ออนไลน์แพลตฟอร์ม ให้ได้รู้ก่อนใคร นำเสนอคอนเทนต์ที่หลากหลายตามความสนใจของลูกค้า เพื่อเชื่อมโยงและสร้างการมีส่วนร่วม พร้อมมอบแรงบันดาลใจในชีวิตประจำวันให้กับลูกค้าของสยามพิวรรธน์ ทั้งในเรื่องของเทรนด์ล้ำโลกต่าง ๆ โดยมีคอนเทนต์มากกว่า 3,000 คอนเทนต์ในแต่ละเดือน จาก 5 คอมมูนิตี้หลัก ได้แก่ Style: แฟชั่น เครื่องประดับ / Glow : สุขภาพ ความสุขสมบูรณ์ ความงาม เครื่องบำรุงผิว / Feast หรือ การเฉลิมฉลอง: อาหาร เครื่องดื่ม การสังสรรค์ / Travel หรือการแสวงหา : การท่องเที่ยว ศิลปะ วัฒนธรรม ดีไซน์ และ Fun หรือกิจกรรมยามว่าง : กีฬา เกมส์ แกดเจ็ต

3.จักรวาลแห่งระบบรีวอร์ดที่ไร้ขีดจำกัด (Universe of Infinite Rewards) : การผนึกร้านค้า พันธมิตรปฏิวัติระบบ Loyalty Program แบบใหม่ ใช้ VIZ COIN ที่ 1 เหรียญ มีมูลค่าเท่ากับ 1 บาท ยกระดับประสบการณ์การเลือกซื้อสินค้า ณ ร้านค้าที่เข้าร่วมรายการภายในศูนย์การค้าและบนช่องทางออนไลน์ อีกทั้งได้ร่วมมือกับ Loyalty Programของพันธมิตรต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้าเปลี่ยนคะแนนสะสมในบัตรเครดิตธนาคาร หรือบัตรสมาชิกต่างๆ เป็น VIZ COIN เพื่อใช้ซื้อสินค้าได้คุ้มค่าและสะดวกสบายขึ้น ยิ่งช้อปยิ่งสะสม VIZ COIN แล้วนำมาใช้ต่อ
ได้ทันที รวมถึงสร้างให้ ONESIAM SuperApp เป็น Earn & Burn Destination กับร้านค้าและพันธมิตรใน Global Ecosystem

4.จักรวาลแห่งประสบการณ์ที่ไม่สิ้นสุด (Universe of Unlimited Experiences) : ในต้นปี 2022 สมาชิกจะ สามารถใช้ ONESIAM SuperApp ในการทำธุรกรรมดิจิทัลในเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับ “สินทรัพย์ดิจิทัล” (Digital Assets) และดิจิทัลยูทิลิตี้ (Digital Utility) เพิ่มเติมจาก Loyalty Program  โดยในช่วงแรกนำเสนอประสบการณ์ที่เป็นมากกว่ารีเทลระดับโลกในรูปแบบ “งานศิลปะดิจิทัล NFT” ด้วยการเปิดตัว ความร่วมมือกับ KASIKORN X หรือ KX เป็นพันธมิตรแรก ในการก่อตั้ง Coral – Super Simple NFT Marketplace (CORALWORLD.CO) เพื่อเป็นการสนับสนุน ผลักดัน ต่อยอด งานศิลปะ วัฒนธรรม และไลฟ์สไตล์ ทั้งออนไลน์และ ออฟไลน์ ของศิลปินไทยและภูมิภาค
ในประเทศไทยและไปสู่ระดับโลก และการร่วมมือกับ Zipmex ในการแลกซื้อคอลเลกชันเอ็กซ์คลูซีฟผ่าน Zipmex Token (ZMT) ก่อนพัฒนาสู่ช่วงที่สอง ซึ่งทางสยามพิวรรธน์ได้ร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำอาทิเช่น  X Spring (เอ็กซ์สปริง) และ เจ เวนเจอร์ส เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ด้านสินทรัพย์ดิจิทัลครบวงจรภายในปีหน้า นอกจากนี้ สยามพิวรรธน์ยังเตรียมขยายศักยภาพการเชื่อมโลกจริงและโลกเสมือนจริงบน Metaverse ด้วยการจับมือกับผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ลูกค้าจะได้สัมผัสประสบการณ์ที่เชื่อมต่อประโยชน์อันหลากหลายไว้ในที่เดียว และจะมีการพัฒนาธุรกิจและกิจกรรมดิจิทัลเรื่องอื่น ๆ บน ONESIAM SuperApp อย่างต่อเนื่อง

ในการสร้าง ONESIAM SuperApp สยามพิวรรธน์ได้ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ อาทิ บริษัท Transformational Perx Technologies ที่เข้ามาช่วยสร้างสรรค์ประสบการณ์แปลกใหม่บนโลกดิจิทัลที่จะเป็น ประโยชน์ทั้งกับกลุ่มพันธมิตรร้านค้าและคู่ค้า ขณะเดียวกันกลุ่มลูกค้าจะได้รับประโยชน์เต็มอิ่มกับสิทธิประโยชน์เหนือระดับผ่าน Loyalty Program รูปแบบใหม่ที่ใช้ VIZ COIN มาแทนการสะสมคะแนนแบบเดิม ช่วยให้คุณสะสมได้ง่ายและใช้ได้สะดวกขึ้น รวมทั้งสนุกเร้าใจกับการจับจ่ายใช้สอยผ่านประสบการณ์แบบเกมมิฟิเคชัน (Gamification) นอกจากนี้ ยังได้ร่วมมือกับ Adobe ผู้ดูแลระบบการจัดการคอนเทนต์ (Content Management) การทำ Personalization ให้กับกลุ่มลูกค้า และ Huawei Technologies ผู้ให้บริการด้าน Cloud Service ซึ่งสยามพิวรรธน์มีแผนที่จะจับมือร่วมกับบริษัทชั้นนำสำหรับการพัฒนาเชื่อมสู่แพลตฟอร์มโลกการเงินและสินทรัพย์ดิจิทัลต่อไปในอนาคต โดย ONESIAM SuperApp ตั้งเป้าการดาวน์โหลดไว้ที่ 5 ล้านคน ภายในสิ้นปี 2565

ONESIAM SuperApp พร้อมจับมือร่วมกันกับพันธมิตรศูนย์การค้าในต่างประเทศ (Global Privilege Partners) คู่ค้า ร้านค้า ส่งมอบจักรวาลแห่งประสบการณ์ที่เชื่อมโยงความต้องการของลูกค้ากับสินค้าหรือบริการได้อย่างตรงจุดมากขึ้น จากความเชื่อมั่นและความไว้วางใจที่พันธมิตรมีให้สยามพิวรรธน์มาตลอดระยะเวลาในการทำธุรกิจ ส่งผลให้มีพันธมิตรชั้นนำกว่า 50 บริษัท ครอบคลุม 13 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้ให้ความสนใจและตอบรับในการร่วมสร้างปรากฏการณ์ระบบนิเวศธุรกิจพรีเมียมระดับโลกไปด้วยกัน โดยพันธมิตรองค์กรชั้นนำที่เข้าร่วมในเบื้องต้นประกอบด้วย

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย  

กลุ่มอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน และการธนาคาร : ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน), บริษัทบัตรกรุงศรีอยุธยา, บัตรเครดิตกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์,

  • ธนาคารกสิกรไทย, บัตรเครดิต เคทีซี, ธนาคารซิตี้แบงก์, ธนาคารทหารไทยธนชาต, ธนาคารไทยพาณิชย์, ธนาคารยูโอบี, ธนาคารออมสิน, ธนาคารไอซีบีซี (ไทย) และบริษัท วีซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด
  • กลุ่มอุตสาหกรรมประกันภัย : บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน), บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน), บริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด
  • กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร: บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน), บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)
  • กลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์  : บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)
  • กลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ : โรงพยาบาลกรุงเทพ, บริษัท บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก จำกัด, โรงพยาบาล
    บํารุงราษฎร์, รักษ ศูนย์บูรณาการสุขภาพและการแพทย์แบบองค์รวม
  • กลุ่มอุตสาหกรรมการบิน : บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน), สายการบินบางกอก แอร์เวย์ส, airasia Super App
  • กลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ : กลุ่มธุรกิจมิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย)
  • กลุ่มอุตสาหกรรมสื่อและเอ็นเตอร์เทนเมนท์: บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บริษัท แพลน บี มีเดีย จํากัด (มหาชน), บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน)
  • กลุ่มอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ : โรงแรมบันยันทรี กรุงเทพ, โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ กรุงเทพ
  • กลุ่มอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล – บริษัท เจเวนเจอร์ส จำกัด, บริษัท อีอาร์เอ็กซ์ จํากัด, บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน), KASIKORN X, Zipmex
  • กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี : บริษัท Transformational, Perx Technologies, Adobe, บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) ,inCart โดยบริษัท มิวซ์ อินโนเวชั่น จำกัด
  • กลุ่มอุตสาหกรรมโฆษณาและผลิตคอนเทนต์ : โอกิลวี่ ประเทศไทย, บริษัท ดี โปรดักชั่น เฮ้าส์ จำกัด,  บริษัท แอนด์เฟรนด์สตูดิโอ, เป็นตุเป็นตะ Boutique Agency and Production House, อีส ครีเอทีฟ แอนด์ โปรดัคชั่น เฮาส์, ทีม จินโตะ

สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษบนโลกแห่งประสบการณ์เหนือความคาดหมายในมือคุณจาก ONESIAM SuperApp ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ ทาง App Store (ระบบ IOS) และ Play Store (ระบบ Android)

]]>
1366146
“โลตัส” ผนึก “กลุ่มทรู” เปิด Smart LivingTECH เติมเต็มไอเดียแต่งบ้านให้เป็น “สมาร์ทโฮม” https://positioningmag.com/1363867 Fri, 26 Nov 2021 04:00:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1363867

เมื่อ “โลตัส” ผู้นำแห่งวงการค้าปลีก และ “กลุ่มทรู” ผู้นำการให้บริการสื่อสารและดิจิทัลครบวงจรในประเทศไทย มาเจอกัน ต้องมีนวัตกรรมล้ำๆ ให้คนไทยได้สัมผัสอย่างแน่นอน การจับมือกันล่าสุด ถือเป็นการยกระดับประสบการณ์ช้อปปิ้งในแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า ผ่าน Lotus’s Smart LivingTECH powered by True แห่งแรกในไทยที่โลตัส สุขุมวิท 50

Lotus’s Smart LivingTECH powered by True เป็นเหมือนโชว์รูมที่สร้างประสบการณ์ใหม่ในการเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์สมาร์ทโฮมต่างๆ ที่จะพลิกโฉมที่อยู่อาศัยสู่บ้านอัจฉริยะ ตอบโจทย์ทุกการอยู่อาศัยในยุคดิจิทัลของทุกคนในบ้านทั้งความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ ด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้าสุดไฮเทค อุปกรณ์ IoT ครบวงจร และนวัตกรรมโซลูชันบ้านอัจฉริยะ ที่เชื่อมต่อกันอย่างอัตโนมัติและควบคุมผ่านแอปพลิเคชันเดียว LivingTECH คอยอำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง

นอกจากนี้ Lotus’s Smart LivingTECH powered by True ยังจำลองการอยู่อาศัยแบบอัจฉริยะด้วยอุปกรณ์ IoT ครบวงจรที่แรกในประเทศไทย โดยนำร่องที่โลตัส สุขุมวิท 50 ให้ลูกค้าสามารถทดลองและสัมผัสประสบการณ์สุดสมาร์ทได้ด้วยตัวเอง

เจมส์ พาโดแวน ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายการพาณิชย์ – สินค้าอุปโภค โลตัส กล่าวว่า

“โลตัส มุ่งมั่นที่จะทำให้ลูกค้าของเรา รู้สึกดีดีทุกวัน ที่โลตัส ผ่านการส่งมอบสินค้าคุณภาพสูงในราคาที่เอื้อมถึง และประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีเยี่ยมทุกที่ ทุกเวลา การร่วมมือกับกลุ่มทรู ในการเปิด Lotus’s Smart LivingTECH powered by True ภายในสาขาของเรา จะช่วยยกระดับประสบการณ์การซื้อสินค้าแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าของโลตัส ให้ตอบโจทย์ลูกค้าในยุคดิจิทัล ได้ดียิ่งกว่าเดิม เพราะลูกค้าในยุคปัจจุบันต้องการใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย ปลอดภัย และมีสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ

บ้านและที่อยู่อาศัยจึงจำเป็นที่จะต้องสามารถตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้ นวัตกรรม IoT และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ถูกเชื่อมต่ออย่างอัจฉริยะ จะช่วยให้ลูกค้าสามารถควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้านได้ผ่านแอปพลิเคชันในโทรศัพท์มือถือ

โซน Smart Living Tech ยังมีจุดเด่นอยู่ที่การจำลองการอยู่อาศัยแบบอัจฉริยะ ให้ลูกค้าสามารถสัมผัสและทดลองใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ได้จริง โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากทรูให้คำแนะนำ โดยเราเปิดตัวสาขานำร่องแห่งแรกที่โลตัส สุขุมวิท 50 และมีแผนการที่จะขยายไปสู่สาขาอื่น เพื่อยกระดับประสบการณ์การซื้อสินค้าแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าในโลตัสให้มีความสนุกและสมาร์ทยิ่งกว่าเดิม”

ทางด้าน เอกราช ปัญจวีณิน  กรรมการผู้จัดการ  ธุรกิจดิจิทัลโซลูชัน บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด  กล่าวว่า

“ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป พัฒนานวัตกรรมดิจิทัลโซลูชันล้ำสมัยที่ตอบโจทย์ทั้งภาคธุรกิจ และการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัล โดยนำศักยภาพเทคโนโลยีสื่อสาร และระบบนิเวศดิจิทัลครบวงจรของกลุ่มทรู สร้างสรรค์และยกระดับประสบการณ์ดิจิทัลไลฟ์สไตล์ของคนไทยอย่างต่อเนื่อง นำร่องเปิด Smart LivingTECH powered by True โดยร่วมมือกับโลตัส จัดทัพอุปกรณ์ IoT สมาร์ทโฮมสุดล้ำที่สามารถติดตั้งเองได้ง่ายๆ ครอบคลุมทุกการใช้งาน ทุกโซนในบ้าน สำหรับทุกคนในครอบครัวไว้ในที่เดียว”

โซนนี้ชูจุดเด่นนวัตกรรมโซลูชันบ้านอัจฉริยะที่เชื่อมโยงการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์ IoT ต่างๆ ภายในบ้านเข้าด้วยกัน ควบคุมทุกอุปกรณ์ได้ง่ายๆ ผ่านแอปพลิเคชัน LivingTECH แอปเดียวครบจบ ทั้งสั่งงาน ตั้งค่า และปรับแต่งบรรยากาศภายในบ้าน สร้างประสบการณ์ตามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง

อำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยภายในบ้านได้ตลอด 24 ชั่วโมง โซลูชั่นนี้จะช่วยเสริมให้คนไทยเข้าถึงอุปกรณ์สมาร์ทโฮมที่หลากหลายได้ง่ายขึ้น เพิ่มการใช้งานที่แพร่หลาย ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการนำเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้เติมเต็มชีวิตในยุคดิจิทัลให้สมบูรณ์แบบ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้สะดวกสบายและมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

ภายในโซน Lotus’s Smart LivingTECH powered by True ได้จำลองบรรยากาศการใช้ชีวิตแบบสมาร์ทภายในบ้านอัจฉริยะที่มีทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าสุดไฮเทค และหลากหลายอุปกรณ์ IoT สมาร์ทโฮม จัดแบ่งพื้นที่เป็นโซนต่างๆ ให้สัมผัสประสบการณ์ชีวิตดิจิทัลได้ตั้งแต่ก่อนเข้าบ้านจนถึงการพักอาศัยในห้องต่างๆ ภายในบ้าน อาทิ

  • พื้นที่บริเวณหน้าบ้าน – ยกระดับความปลอดภัยด้วยอุปกรณ์ประตูล็อคอัจฉริยะ (Smart Door Lock), กล้องวงจรปิดอัจฉริยะภายนอกบ้าน (Smart Outdoor Camera) และอุปกรณ์เซ็นเซอร์สำหรับประตูและหน้าต่าง (Door& window Sensor) ที่สามารถแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชันเมื่อพบการเคลื่อนไหว

  • ห้องนั่งเล่น – เปลี่ยนเครื่องใช้ไฟฟ้าให้สมาร์ทขึ้นได้ทันที ด้วยรีโมทคอนโทรลอัจฉริยะ (IR Remote Control) และ ปลั๊กอัจฉริยะ (Smart Plug) พร้อมเครื่องใช้ไฟฟ้าสุดไฮเทค ไม่ว่าจะเป็นเครื่องฟอกอากาศอัจฉริยะ และหุ่นยนต์ดูดฝุ่นอัจฉริยะ (Smart Robot Cleaner)

  • ห้องครัว – อีกขั้นของความปลอดภัยในห้องครัวยุคดิจิทัล ที่มีทั้งอุปกรณ์เซ็นเซอร์อัจฉริยะตรวจจับควัน (Smoke Sensor) และ เซ็นเซอร์อัจฉริยะตรวจจับน้ำรั่วซึม (Water Leak Sensor)

  • ห้องนอน/ห้องนอนเด็ก – เพิ่มความสุขและสุขอนามัยในห้องนอน ด้วยอุปกรณ์ตรวจวัดอุณหภูมิและความชื้นตลอด 24 ชั่วโมง และตัวช่วยในการดูแลลูกน้อยผ่านกล้องวงจรปิดอัจฉริยะสำหรับเด็ก (Smart Baby Camera)

  • ห้องนอนผู้สูงอายุ – แม้ไม่อยู่บ้านก็ดูแลผู้สูงอายุให้ปลอดภัยได้ทุกย่างก้าว ด้วยอุปกรณ์เซ็นเซอร์อัจฉริยะตรวจจับการเคลื่อนไหว (Motion Sensor) และ ปุ่มกดฉุกเฉินอัจฉริยะ (Emergency Button) ขอความช่วยเหลือได้ทันทีในกรณีฉุกเฉิน

นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์ IoT สมาร์ทโฮมอีกมากมายให้ลูกค้าได้สัมผัสและเลือกชมตามไลฟ์สไตล์ที่ชื่นชอบ เติมเต็มไอเดียการตกแต่ง และเปลี่ยนบ้านให้กลายเป็น “บ้านอัจฉริยะ” ได้จริงแล้ววันนี้

พบกับ Lotus’s Smart LivingTECH powered by True  พร้อมรับโปรโมชันสุดพิเศษได้ที่แผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า โลตัส สุขุมวิท 50

]]>
1363867
รู้จักโครงการ ‘The Educator’ โดย ‘AIS Academy’ กับภารกิจนำเทคโนโลยีดิจิทัลยกระดับ “ครู” สู่ยุค 2021 https://positioningmag.com/1344249 Thu, 29 Jul 2021 04:00:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1344249

การเรียนออนไลน์ (Learn Form Home) ในบ้านเราเริ่มเป็นที่รู้จัก และมีให้เห็นตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงระลอกแรกในปี 2020 แต่ถึงอย่างนั้นการเรียนในรูปแบบนี้ยังพบอุปสรรคอีกมากมาย โดยเฉพาะสื่อการสอนและวิธีการสอนของครูที่ยังปรับตัวไม่ทันกับเทคโนโลยี ส่งผลให้นักเรียนได้รับความรู้ไม่เต็มที่เท่าที่ควร นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ AIS Academy ลุกขึ้นมากระตุกสังคมโลกการศึกษาอีกครั้ง ให้หวนคิดและถึงเวลาที่ดิจิทัลเทคโนโลยีจะเข้าไปเปลี่ยนหน้าตา รูปแบบวิธีการสอน รวมถึงยกระดับครูไทย ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง

ไม่ใช่ครูทุกคนที่พร้อมสอนออนไลน์

ดร. ดิศกุล เกษมสวัสดิ์ เลขาธิการคุรุสภา กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าคุณครูในแต่ละพื้นที่ของไทยมีความแตกต่างและหลากหลาย อย่างไรก็ตามในแต่ละพื้นที่ก็พยายามและความมุ่งมั่นที่จะจัดการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์เพื่อทดแทนการสอนแบบปกติ ดังนั้น ครูจึงพยายามพัฒนาตนเอง พยายามปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดกับการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะสกิลทางด้านดิจิทัลและภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็น 2 ทักษะที่คุณครูในปัจจุบันจำเป็นต้องเรียนรู้ แต่สิ่งสำคัญกว่าคือ จิตวิญญาณของความเป็นครูและหัวใจของการเรียนรู้ เพราะครูต้องเรียนรู้ตลอดชีวิตการเป็นครูเพื่อพัฒนาตนเอง

“ยุคนี้คุณครูเองต้องทำงานหนักมาก เพราะบางคนอาจจะยังไม่เข้าใจเรื่องเทคโนโลยีมากนัก ดังนั้น จึงมีการเรียนการสอนแบบผสมผสาน ครูก็พยายามปรับตัวเรียนรู้เพื่อที่จะสอนนักเรียน สิ่งสำคัญคือ หัวใจของการเรียนรู้”

ความยั่งยืนที่แท้จริงต้องมากกว่าแค่ในองค์กร

สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เอไอเอสเล็งเห็นเรื่องดิจิทัลทรานซ์ฟอร์มเมชั่นตั้งแต่ก่อนการระบาดของ COVID-19 เมื่อองค์กรได้ผ่านการทำดิจิทัลทรานซ์ฟอร์มเมชั่น มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับปรุงการทำงานและการเรียนการสอนภายในองค์กร แต่การทำเฉพาะภายในอาจเป็น ‘ความยั่งยืนที่ไม่ยั่งยืน’ เท่ากับการช่วยให้สังคมภายนอกเติบโตไปด้วยกันจึงเกิดเป็นโครงการ THE EDUCATORS THAILAND โดย AIS Academy

“ประโยชน์ของดิจิทัลจะทำให้การเรียนการสอนสามารถทำได้ทั่วถึงและครอบคลุมพื้นที่ที่ห่างไกลและโรงเรียนที่มีข้อจำกัดด้านจำนวนคุณครู ขณะที่ครูเองก็พยายามปรับตัว ดังนั้น ถ้ามีอาวุธช่วยครูก็จะเป็นประโยชน์กับประเทศ เพื่อให้นักเรียนเข้าถึงการศึกษาได้อย่างทัดเทียม”

เจาะลึกโครงการ THE EDUCATORS THAILAND

สำหรับโครงการ THE EDUCATORS THAILAND เพื่อต่อยอดการศึกษาของไทย ด้วยการให้ความสำคัญกับคุณครู บุคลากรต้นน้ำ ผ่านความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ ในการพัฒนาหลักสูตรและต่อยอดทักษะการออกแบบสื่อการเรียนการสอนยุคใหม่ให้สอดรับกับการศึกษายุคดิจิทัลแบบครบวงจร ตั้งแต่ การวางโครงสร้างหลักสูตร เครื่องมือสื่อการสอน และการวัดประเมินผลผู้เรียน

โครงการดังกล่าวนั้นเปิดกว้างให้บุคลากรด้านการศึกษาจากภาครัฐและเอกชน ไม่ว่าจะเป็น นักการศึกษา ครูผู้สอน บุคลากรด้านการศึกษาทุกสังกัด และนักศึกษาฝึกสอน สามารถเข้าร่วม Un Learn และ Re Learn ทักษะการสอน โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการกว่า 1,000 คน

“เราเห็นว่าคุณครูกว่า 90% ที่เข้าร่วมโครงการของเรามีความพร้อมและความตั้งใจในการเรียนรู้อย่างมาก” ดร.สุพจน์ ศรีนุตพงษ์ หัวหน้าส่วนงานการจัดการความรู้ด้านเทคนิค AIS กล่าว

สำหรับเนื้อหาภาคทฤษฎีที่จะทำการสอนมีทั้งหมด 5 หลักสูตร ได้แก่

1. ภูมิทัศน์ของการเรียนในอนาคต องค์ประกอบของการเรียนออนไลน์ สื่อการสอนออนไลน์ ระบบ LMS และอุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียน

2. การวิเคราะห์เนื้อหา และวิธีการเรียนออนไลน์

3. กลยุทธ์การสอนออนไลน์ การสอนแบบผู้เรียนอิสระ การสอนโดยใช้กิจกรรมกลุ่ม การออกแบบการสอน

4. การผลิตวิดีโอออนไลน์ สำหรับการศึกษา

5. การวัดประเมินผลออนไลน์ การวัดความรู้ การวัดทักษะ การวัดทัศนคติ

ทั้งนี้ หลักสูตรดังกล่าวถูกออกแบบและพัฒนาโดย AIS Academy ร่วมกับสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยบุคลากรชั้นนำในวงการ โดยเป็นหลักสูตรเฉพาะผู้ที่เข้าร่วมโครงการ THE EDUCATORS THAILAND เท่านั้น เมื่อผู้เรียนผ่านการอบรมหลักสูตรจะได้รับใบประกาศนียบัตร และ Digital Credential Badge ซึ่งเป็นมาตรฐานการรับรองคุณวุฒิระดับสากล

นอกจากนี้ยังมีเวิร์คช้อปการผลิตนวัตกรรมการเรียนรู้รูปแบบใหม่ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้เตรียมความพร้อมในการผลิตผลงานในการแข่งขันชิงถ้วยรางวัลเกียรติยศ พระราชทาน จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรม-ราชกุมารี โดยจะมีการประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศ ประจำปี 2564 ในวันที่ 15 ธ.ค.

กานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล กลุ่มบริษัท AIS และ Intouch, กรรมการ บริษัท เลิร์นดิ จำกัด กล่าวว่า ทาง AIS Academy ยังมีภารกิจในการนำองคูความรู้ต่าง ๆ ไปประยุกต์ใช้กับอีกหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคสังคม เพราะเชื่อว่าเป็นการช่วยยกระดับอีโคซิสเต็มส์ให้เติบโตไปด้วยกันในทุกด้านด้วยเทคโนโลยี ดังนั้น เอไอเอสอยากจะเป็นตัวช่วยในการจุดประกายให้ภาคเอกชนต่าง ๆ นำจุดแข็งมาช่วยให้ประเทศสามารถฟื้นฟูจาก COVID-19 และมีความสามารถในการแข่งขันได้

“ระหว่างทางที่เราพัฒนาเราอยากเห็นการยกระดับขีดความสามารถและ Mindset แม้โครงการจะจบในช่วงสิ้นปี แต่เชื่อว่าคนที่เข้าโครงการจะนำประสบการณ์ไปส่งต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเรื่องการศึกษาเป็นพื้นฐานสำคัญ และเทคโนโลยีจะเข้ามาช่วยลดความเหลื่อมล้ำ”

 

]]>
1344249
ซื้อบ้าน “พฤกษา” ได้ส่วนลดค่าหมอ! กลยุทธ์มัดใจผู้ซื้อยุคใส่ใจ “สุขภาพ” และ “สังคมสูงวัย” https://positioningmag.com/1335443 Fri, 04 Jun 2021 12:53:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1335443 “พฤกษา” ชูกลยุทธ์ใหม่ Tomorrow Reimagined วาง 3 เป้าหมายในการพัฒนา ได้แก่ สุขภาพ ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ และความยั่งยืน ทำให้มีสินค้าและบริการใหม่ตอบสนอง ที่เห็นเด่นชัด เช่น “โรงพยาบาลวิมุต” ธุรกิจใหม่ในเครือเดียวกัน สร้างแต้มต่อให้ลูกบ้านพฤกษาได้ “ส่วนลดพิเศษ” ค่ารักษาพยาบาล จูงใจคนเจนวาย-เจนเอ็กซ์

ยุคนี้การขายบ้านไม่ได้ขายแค่ตัวอาคารเท่านั้น แต่แต่ละแบรนด์ต่างพยายามเสริมคุณค่าให้กับบ้านหรือห้องชุดมากขึ้น เพื่อให้สินค้าโดดเด่นในตลาด มีหมัดเด็ดให้ลูกค้าตัดสินใจเลือก โดยกลยุทธ์ของพฤกษาปีนี้จะสร้างนวัตกรรมใหม่มาเสริมทัพ มีโจทย์ตั้งต้นเป็นเมกะเทรนด์ที่บริษัทเล็งเห็น

ปิยะ ประยงค์ Chief Executive Officer บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงที่มาแนวคิดใหม่ในการพัฒนาสินค้าและบริการคือ “พฤกษา ใส่ใจเพื่อทั้งชีวิต Tomorrow Reimagined” แนวคิดนี้มาจากที่พฤกษาเล็งเห็น “เมกะเทรนด์” ของชีวิตและการอยู่อาศัย 3 ด้าน คือ

1.สุขภาพและเวลเนส – คนใส่ใจสุขภาพมากขึ้นและใส่ใจทั้งร่างกายและจิตใจ ต้องการเวชศาสตร์เชิงป้องกัน ไม่รอให้เจ็บป่วยก่อน และต้องการข้อมูลที่รวดเร็ว

2.ไลฟ์สไตล์เปลี่ยนแปลง – ขณะนี้เห็นสองเรื่องใหญ่ๆ หนึ่งคือ “สังคมผู้สูงอายุ” ทำให้การออกแบบบ้านต้องเหมาะสม สองคือ “Work from Home” ทำให้คนต้องการพื้นที่ทำงานหรือเรียนในบ้าน

3.ความยั่งยืน – โลกร้อน ฝุ่นพิษ PM2.5 ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นหลักของคนรุ่นใหม่ ทำให้พฤกษาต้องการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไข

ทีมพฤกษา : (จากซ้าย) สมภพ สันติวัฒนกุล Head of Innovation & Strategy, ปิยะ ประยงค์ ซีอีโอ และ อังคณา ลิขิตจรรยากุล Group Chief Marketing Officer

เมื่อตั้งแนวทางได้แล้ว ทำให้เราได้เห็นอะไรใหม่ๆ จากพฤกษาในหลายแง่มุม ทั้งที่ออกสู่ตลาดแล้วและที่กำลังจะเปิดตัวเร็วๆ นี้

 

“พริวิลเลจ” ลูกค้าพฤกษาได้ “ส่วนลด” กับรพ.วิมุต

เรื่องแรกที่น่าจะเป็นที่สนใจในตลาดคือบริการสุขภาพ โดยพฤกษาออกโปรโมชันพิเศษ ลูกบ้านพฤกษาที่โอนบ้านในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ได้รับ “พริวิลเลจ” กับโรงพยาบาลวิมุต โรงพยาบาลใหม่ในเครือพฤกษาที่เพิ่งเปิดบริการเมื่อเดือนก่อน โดยพริวิลเลจที่น่าสนใจคือ “ส่วนลด” ค่ายา 10% กับค่าห้องพัก 25% ลดค่าวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์เหลือเข็มละ 500 บาท และยังได้สิทธิ Telemedicine หาหมอทางไกลฟรี 4 ครั้งด้วย (ขณะนี้กำหนดรับสิทธิได้จนถึง 31 ธ.ค. 64)

การจับคู่หมู่บ้าน/คอนโดมิเนียมกับโรงพยาบาลต่างๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่ เคยมีการจัดโปรโมชันร่วมกับโรงพยาบาลอยู่บ้าง แต่ที่น่าสนใจคือครั้งนี้พฤกษามีโรงพยาบาลในเครือของตนเอง ทำให้การสร้างฐาน “พริวิลเลจ” กับลูกบ้านจะเป็นแผนระยะยาวมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น บัตรระดับแพลทินัมและบัตรระดับอีลีท ที่ให้ส่วนลดกับรพ.วิมุตมากกว่า กำลังจะเปิดตัวเร็วๆ นี้ (สิทธิเฉพาะบางโครงการ)

นอกจากนี้ พฤกษายังประกาศก่อนหน้านี้ว่า จะมีการตั้ง Healthcare Avenue หรือศูนย์สุขภาพขนาดเล็กแบบมีเตียงโรงพยาบาลรองรับ เป็นเหมือนศูนย์แยกของรพ.วิมุต เริ่มทำเลแรกบริเวณ Pruksa Avenue สุขาภิบาล 2 ซึ่งมีหมู่บ้านของพฤกษาอยู่หลายโครงการ ศูนย์นี้สามารถดูแลการเจ็บป่วยเบื้องต้น ตรวจสุขภาพ รับดูแลผู้สูงอายุในช่วงกลางวัน ทำกายภาพบำบัดได้ โดยปิยะแย้มว่า Healthcare Avenue จะมีเพิ่มอีก 2 แห่ง ในย่านรังสิต และคอนโดฯ ย่าน ถ.ประดิพัทธ์

ศูนย์ดังกล่าวเปิดให้บริการเป็นการทั่วไป ไม่ได้จำกัดเฉพาะลูกบ้านพฤกษา แต่น่าสนใจว่าต่อไปลูกบ้านพฤกษาอาจได้รับ “พริวิลเลจ” ร่วมกับศูนย์เหมือนกับโรงพยาบาลก็ได้

ภาพเบื้องต้น Health + Commercial Zone จะมีศูนย์สุขภาพวิมุตให้บริการ

“การมีสุขภาพเข้ามาเหมือนเป็นโซลูชัน เรามองว่าน่าจะทำให้คนตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น และเราคิดว่าน่าจะโดนใจกลุ่มเจนเอ็กซ์และเจนวายซึ่งเป็นกลุ่มที่ตอนนี้มักจะมีทั้งพ่อแม่และมีลูกๆ ที่ต้องดูแล ทำให้ต้องการโซลูชันสุขภาพเยอะขึ้น” อังคณา ลิขิตจรรยากุล Group Chief Marketing Officer กลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าว (ปัจจุบัน กลุ่ม Gen X คือคนวัย 41-56 ปี และเจนวายคือกลุ่มวัย 25-40 ปี)

 

ไลฟ์สไตล์ “เปลี่ยน” และ “แตกต่าง”

อีกมุมที่น่าสนใจคือเทรนด์ด้านไลฟ์สไตล์คนที่เปลี่ยนเร็วและแตกต่างด้วย โดย “สมภพ สันติวัฒนกุล” Head of Innovation & Strategy บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท ฉายภาพว่ายุคนี้คนที่เข้ามาชมบ้านโครงการเดียวกัน อาจมีไลฟ์สไตล์คนละแบบกัน บางคนเป็นคู่ที่ไม่มีลูก บางคนมีลูก บางคนมีพ่อแม่อาศัยอยู่ด้วย ทำเลและแบบบ้านภายนอกอาจถูกใจแล้ว แต่มาต่างกันที่ฟังก์ชันในบ้าน

ทำให้พฤกษาเปิดตัวนวัตกรรม Pruksa Flex เป็นการออกแบบบ้านให้ไม่ต้องใช้กำแพงกั้นห้องช่วยรับน้ำหนัก กำแพงเหล่านี้จึงยกย้ายเปลี่ยนฟังก์ชันห้องได้ โดยลูกค้าสามารถแจ้งกับโครงการตั้งแต่ซื้อบ้านว่าต้องการฟังก์ชันแบบไหน เช่น ต้องการมี 1, 2 หรือ 3 ห้องนอน และกำแพงเหล่านี้สามารถเจาะรูได้ตามปกติ พร้อมฉนวนกันเสียง

สมภพระบุว่า บริการ Pruksa Flex จะเปิดตัวนำร่องปีนี้ก่อน 2 โครงการในทาวน์เฮาส์แบรนด์บ้านพฤกษา ย่านประชาอุทิศกับย่านรังสิต ในแง่ค่าใช้จ่ายจะคิดตามจริง หากปรับเปลี่ยนกำแพงแล้วต้นทุนลดลง พฤกษาจะ ‘มีทอน’ ให้ลูกค้าด้วย

(*กำแพงดังกล่าว หากลูกค้าอยู่อาศัยไประยะหนึ่งแล้วต้องการปรับแก้ สามารถจ้างช่างหรือผู้รับเหมาดูแลออกแบบและยกย้ายได้เลย เพราะไม่มีผลกระทบกับโครงสร้าง)

อีกหนึ่งนวัตกรรมที่พฤกษามีเพื่อตอบโจทย์การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ คือ แพลตฟอร์ม ASKURP (แอสครัป) เป็นตัวกลางระหว่างลูกบ้านพฤกษาที่ต้องการขายบ้านเก่า ซื้อบ้านใหม่ จับคู่เข้ากับกลุ่มนักลงทุนรีโนเวตบ้านเก่าเพื่อขายใหม่ โดยแอสครัปไม่คิดค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมใดๆ ทำให้ลูกบ้านอุ่นใจขึ้นว่าถ้าชีวิตมีความเปลี่ยนแปลง ต้องย้ายบ้าน การขายบ้านเก่าจะง่ายขึ้น

ปิดท้ายเรื่องความยั่งยืน ดูแลสิ่งแวดล้อม พฤกษามีหลายๆ ฟังก์ชันและโครงการที่เกี่ยวข้อง เช่น การติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อประหยัดไฟส่วนกลาง ร่วมมือกับโครงการ “วน” รีไซเคิลพลาสติก นโยบายลดใช้กระดาษในองค์กร เป็นต้น

ต้องติดตามต่อว่าภายใต้แนวคิดใหม่จับ “เมกะเทรนด์” ของพฤกษา จะมีการพัฒนานวัตกรรมอะไรออกมาอีกบ้าง!

]]>
1335443