นิสสัน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 16 May 2025 00:58:58 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘นิสสัน’ ประกาศโละพนักงานเพิ่มอีก 11,000 ตำแหน่ง และปิดโรงงาน 7 แห่ง หลังขาดทุน 6.7 แสนล้านเยน https://positioningmag.com/1521718 Thu, 15 May 2025 04:38:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1521718 เรียกได้ว่าเป็นช่วงมรสุมสำหรับ นิสสัน บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น ที่แผนควบรวมกับฮอนด้าและมิตซูบิชิล้มเหลวไม่พอ ยังต้องเจอกับแรงกดดันจาก ภาษีในสหรัฐฯ จนล่าสุดบริษัทต้องเร่งปรับโครงสร้างบริษัทโดยการ ลดคน และ ปิดโรงงาน

ยอดขายที่ลดลงในประเทศจีน และการลดราคาอย่างหนักในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดสองแห่งของ นิสสัน (Nissan) ซึ่งส่งผลกระทบอย่างหนักต่อรายได้ ในขณะที่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แผนการควบรวมกิจการกับ ฮอนด้า (Honda) และ มิตซูบิชิ (Mitsubishi) ก็ล้มเหลว

จนล่าสุด นิสสันได้ประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยจะลดตำแหน่งงานเพิ่มอีก 11,000 ตำแหน่งทั่วโลก และ ปิดโรงงาน 7 แห่ง เพื่อรับมือกับยอดขายที่ตกต่ำ ในขณะที่ปีที่ผ่านมานิสสันได้ปรับลดพนักงานไปแล้วกว่า 20,000 คน ปัจจุบันนิสสันจ้างพนักงานประมาณ 133,500 คนทั่วโลก

ย้อนไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา นิสสันเคยประกาศว่า บริษัทพยายามจะหาทาง ลดต้นทุน รวมถึงต้องการจะ ลดการผลิตทั่วโลกลง 1 ใน 5 และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นิสสันได้ประกาศ ยกเลิกแผนการสร้างโรงงานแบตเตอรี่และรถยนต์ไฟฟ้าในญี่ปุ่น

ย้อนไปในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นิสสันและฮอนด้า พยายามที่จะควบรวมกันเพื่อสู้กับค่ายรถจากจีน แต่การเจรจากลับล้มเหลว เนื่องจากทั้งสองบริษัทไม่สามารถตกลงกันได้ ซึ่งหลังจากการเจรจาล้มเหลว ส่งผลให้ มาโคโตะ อุจิดะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารในขณะนั้นต้องลาออก และได้ อิวาน เอสปิโนซา ซึ่งเคยเป็นประธานเจ้าหน้าที่วางแผนของบริษัทและหัวหน้าแผนกมอเตอร์สปอร์ตมาแทนที่

ทั้งนี้ นิสสันได้รายงานผลขาดทุนประจำปีถึง 6.7 แสนล้านเยน (ราว 1.5 แสนล้านบาท) ขณะที่ภาษีของสหรัฐฯ ยิ่งสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมให้กับบริษัทที่กำลังประสบปัญหา

“ปีงบประมาณที่ผ่านมา นับเป็นปีที่ท้าทาย ด้วยต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นและสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน และนิสสันก็ไม่สามารถคาดการณ์ถึงรายได้ในปีงบประมาณนี้ได้ เนื่องจากความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ” อิวาน    เอสปิโนซา กล่าว

ไม่ใช่แค่ตลาดสหรัฐฯ แต่บริษัทกำลังประสบปัญหาใน ตลาดจีน ซึ่งเป็นอีกตลาดสำคัญ เนื่องจากกำลังเผชิญกับสงครามราคา ส่งผลให้ยอดขายลดลง -12% ในขณะที่ตลาดอื่น ๆ อย่างญี่ปุ่นและยุโรป ก็ลดลงเช่นกัน

Source

]]>
1521718
มอง ‘นิสสัน’ ในวันที่ดีลควบรวมกับ ‘ฮอนด้า’ ล่ม อาจกลับสู่จุดเสี่ยง ‘ล้มละลาย’ เพราะหนี้ที่แบกกว่า ‘2 แสนล้านบาท’ https://positioningmag.com/1510744 Thu, 13 Feb 2025 09:05:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1510744 ในที่สุด ฮอนด้า และ นิสสัน ได้ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการถึงการยุติดีล ควบรวม มูลค่า 6 หมื่นล้านบาท เนื่องจากนิสสันไม่ต้องการเป็น บริษัทลูก และเมื่อพิจารณาทางเลือกอื่น ๆ แล้ว ทั้งสองบริษัทมองว่า การแยกกัน จะทำให้ทั้งคู่ดำเนินธุรกิจได้รวดเร็วกว่า จึงเลือกที่จะยุติการหารือ และข้อตกลง MOU

แม้ว่าข้อตกลงจะยุติลง แต่ทั้งสองบริษัทก็ไม่ใช่ว่าจะมองหน้ากันไม่ติด โดยทั้งคู่ยังยังคงมีความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่างกัน โดยจะมุ่งเน้นไปที่ เทคโนโลยียานยนต์อัจฉริยะ และ รถยนต์ไฟฟ้า เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทั้งสองบริษัท เพราะต้องอยู่รอดให้ได้ท่ามกลางการแข่งขันของยานยนต์ยุคใหม่

การควบรวมที่ไม่เกิดขึ้น สำหรับ ฮอนด้า (Honda) ค่ายรถเบอร์ 2 ของญี่ปุ่น อาจไม่ได้น่าเป็นห่วงมาก เพราะ กำไรของบริษัทยังเติบโต โดยกําไรจากการดําเนินงานในไตรมาส 3 อยู่ที่ 3.97 แสนล้านเยน เพิ่มขึ้น +5% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากยอดขายรถยนต์ที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ และเงินเยนที่อ่อนค่า 

โดยบริษัทยังคงคาดการณ์กําไรจากการดําเนินงานทั้งปีที่ 1.42 ล้านล้านเยน ในขณะที่แก้ไขแนวโน้มยอดขายทั่วโลกเป็น 3.75 ล้านคันจาก 3.8 ล้านคันที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยส่วนใหญ่สะท้อนถึงการลดลงในญี่ปุ่น

ที่น่าเป็นห่วงคือ นิสสัน (Nissan) โดยนักวิเคราะห์บางคนคาดการณ์ว่า บริษัทอาจเผชิญกับการ ล้มละลาย ในปี 2026 เพราะ กําไร ของนิสสันใน 6 เดือนหลัง (สิ้นสุดในเดือนกันยายน) ลดลง 94% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2023

ด้วยเหตุนี้ ในเดือนพฤศจิกายน 2024 นิสสันได้ปรับลดคาดการณ์ผลกำไรจากการดำเนินงานลง 70% สู่ระดับ 1.5 แสนล้านเยน (3.3 หมื่นล้านบาท) จากเดิมที่คาดการณ์ไว้จะแตะ 5 แสนล้านเยน และทำให้บริษัทต้องประกาศ ลดกําลังการผลิตลง 20% ส่งผลให้มีการ เลิกจ้างพนักงาน 9,000 คน 

นอกจากนี้ บริษัทยังใช้เงินสดไปมากถึง 4.48 แสนล้านเยน (ประมาณ 99,880 ล้านบาท) ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ทำให้บริษัทต้องประกาศขายหุ้นมิตซูบิชิ ที่บริษัทถือครองอยู่ประมาณ 1 ใน 3 ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 6.9 หมื่นล้านเยน ในขณะนั้น

นอกจากผลประกอบการที่ไม่สู้ดีนัก บริษัทยังเผชิญกับ หนี้สิน โดยมีหนี้สินระยะสั้นที่ต้องชำระภายใน 1 ปี รวมประมาณ 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.4 หมื่นล้านบาท) แต่ตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 5.6 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2026 (ราว 1.9 แสนล้านบาท) 

ไม่ใช่แค่ปัญหาทางการเงินที่นิสสันต้องเผชิญ แต่ยังมีปัญหาที่ค่ายผู้ผลิตรถยนต์รุ่นเก่าส่วนใหญ่ เผชิญก็คือ ต้นทุนการวิจัยและพัฒนา จํานวนมากในการเปลี่ยนจากการผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 

อีกทั้งยังเจอความกดดันจากตลาด สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดหลักของนิสสัน เพราะแม้ว่า ประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ จะระงับการขึ้นอัตราภาษีสําหรับรถยนต์ที่นําเข้าจากเม็กซิโก ซึ่งถือเป็นฐานการผลิตและตลาดที่สําคัญสําหรับนิสสัน แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่

ก็คงต้องจับตาดูอนาคตของนิสสันกันต่อไป ว่าจะเป็นเช่นไรหลังดีลกับฮอนด้าล่ม เพราะมีอีกหลายบริษัทที่สนใจจะลงทุนกับนิสสัน อาทิ Foxconn บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่สุดของโลกสัญชาติไต้หวัน ที่กำลังจะพิจารณาเข้าถือหุ้นในนิสสัน ในขณะที่อนาคตของผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นรายนี้แขวนอยู่บนเส้นด้าย

CNN / japantimes

]]>
1510744
นิสสัน ลดต้นทุนใหญ่ เสนอมอบเงินก้อนเลิกจ้างพนักงาน https://positioningmag.com/1508760 Thu, 30 Jan 2025 06:05:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1508760 นิสสัน มอเตอร์ (Nissan Motor) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากญี่ปุ่น ประกาศแผนลดต้นทุนครั้งใหญ่ในทั่วโลก มูลค่า 2.6 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นประมาณ 8.78 แสนล้านบาท

โดยเตรียมเสนอแพ็กเกจเงินก้อนให้แก่พนักงานที่ลาออก นำร่องใช้ในโรงงานที่สหรัฐอเมริกา 3 แห่ง ประกอบด้วย

  • โรงงานประกอบรถยนต์ เมืองสเมอร์นา รัฐเทนเนสซี
  • โรงงานประกอบรถยนต์ เมืองแคนตัน รัฐมิสซิสซิปปี
  • โรงงานเครื่องยนต์ เมืองเดเชอร์ด รัฐเทนเนสซี

รวมไปถึงมีนโยบายลดกะการผลิตลง 1 กะ (จากเดิมมี 2 กะ) ใน 2 แห่ง คือ สายการผลิตรถเอสยูวี Rogue เมืองสเมอร์นา เริ่มเดือนเมษายน และลดการผลิต Altima sedan เมืองแคนตัน ตั้งแต่เดือนกันยายนนี้

ทั้งนี้ การผลิตรถรุ่น Rogue นิสสันมีโรงงานผลิตอีกแห่งที่เมืองคิวชู ประเทศญี่ปุ่น โดยก่อนหน้านี้รอยเตอร์ส เคยรายงานเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2567 ว่า นิสสันมีแผนลดการผลิตที่โรงงานในเมืองสเมอร์นา ลง 1 ใน 3 เนื่องจาก กำลังซื้อที่อ่อนแอในสหรัฐฯ โดยเฉพาะรถรุ่นเก่าอย่าง Rogue

อย่างไรก็ดี นิสสันปฏิเสธตอบ จำนวนพนักงานในสหรัฐฯ ยอมรับข้อเสนอและลาออกโดยสมัครใจ แต่คาดว่าจะลดตำแหน่งงานได้มากถึง 1,500 ตำแหน่ง ตามการรายงานของหนังสือพิมพ์นิกเคอิ

นิสสัน ยืนยันว่า “ไม่ได้วางแผนดําเนินการเลิกจ้างโดยไม่สมัครใจ” และเสริมว่าบริษัทจ้างพนักงานมากกว่า 11,700 คน จากโรงงาน 3 แห่ง ในสหรัฐอเมริกา ณ สิ้นปี 2567

อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 นิสสันได้ประกาศแผนการเลิกจ้าง 9,000 ตําแหน่งทั่วโลก และลดกําลังการผลิตสูงสุดของสายการผลิตรถยนต์ 25 สาย เนื่องจากประสบปัญหายอดขายตกต่ำในประเทศจีนและอเมริกาเหนือ

]]>
1508760
Nissan-Honda เล็งควบรวมกิจการ สู้ศึกรถอีวีจากจีนที่ถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง https://positioningmag.com/1504033 Wed, 18 Dec 2024 08:51:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504033 นับเป็นข่าวใหญ่สำหรับแวดวงยานยนต์ โดยเฉพาะในญี่ปุ่น เมื่อมีรายงานข่าวว่า สองยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นอย่าง ‘นิสสัน’ (Nissan) และ ‘ฮอนด้า’ (Honda) มีแผนจะควบรวมกิจการกัน เพื่อให้สามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และต้านทานกระแสรถยนต์อีวีจากจีนที่กำลังมาแรงมากในปัจจุบัน

 

สำนักข่าวบีบีซี ได้รายงานว่า นิสสัน และฮอนด้ากำลังเจรจาความเป็นไปได้ในการควบรวมกิจการ ที่จะดำเนินงานภายใต้รูปแบบ ‘บริษัทโฮลดิ้ง’ ซึ่งจะมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจในเร็วๆ นี้ และยังระบุว่า ทั้งสองบริษัทยังมีวางแผนจะนำ ‘มิตซูบิชิ มอเตอร์’ (Mitsubishi Motors) ที่นิสสันเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด ด้วยสัดส่วนการถือหุ้น 24% เข้ามาอยู่ภายใต้บริษัทโฮลดิ้งนี้ด้วย

 

อย่างไรก็ตามทั้งฮอนด้า และนิสสัน ไม่ได้ ‘ยืนยัน’ หรือ ‘ปฏิเสธ’ ต่อกระแสข่าวดังกล่าว โดยฮอนด้าเผยว่า “เมื่อเดือนมีนาคมของปีนี้ ทั้งสองบริษัทมีการสำรวจความเป็นไปได้ต่าง ๆ สำหรับความร่วมมือในอนาคต โดยใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของกันและกัน หากมีการอัปเดตใด ๆ จะแจ้งในเวลาที่เหมาะสม”

 

การควบรวมกิจการที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างผู้ผลิตรถยนต์อันดับสองและอันดับสามของญี่ปุ่น อาจมีความซับซ้อนด้วยเหตุผลหลายประการ เนื่องจากข้อตกลงใดๆ ก็ตามที่จะออกมาต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบอย่างเข้มข้นของรัฐบาลญี่ปุ่น เนื่องจากการควบรวมกิจการอาจนำไปสู่การเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก

 

ด้านสำนักข่าวนิกเคอิ รายงานว่า หลังจากข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป ทำให้ราคาหุ้นของนิสสันพุ่งสูงขึ้นกว่า 20% และหุ้นของมิตซูบิชิ มอเตอร์พุ่งขึ้น 13% ขณะที่ที่หุ้นของฮอนด้าปรับตัวลดลงราว 2%

 

นอกจากนี้ยังระบุอีกว่า ในปี 2023 นิสสันและฮอนด้ามียอดขายทั่วโลกรวมกัน 7.4 ล้านคัน โดยทั้งค่ายกำลังสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับรถยนต์อีวีที่มีราคาถูกกว่า โดยเฉพาะจากสัญชาติจีน อาทิ บีวายดี (BYD) ซึ่งมีรายได้ประจำไตรมาสพุ่งสูงแซงหน้า เทสลา (Tesla) เป็นครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

 

ก่อนจะมีข่าวการควบรวมกิจการแพร่สะพัดออกมา ทางนิสสันและฮอนด้า ได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU เมื่อเดือนมีนาคม 2024 โดยทั้งสองบริษัทจะเริ่มศึกษาความเป็นไปได้ของความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในด้านของยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า และการเคลื่อนที่อัจฉริยะ ซึ่งขอบเขตของการศึกษาความเป็นไปได้ จะประกอบไปด้วย แพลตฟอร์มและ ซอฟต์แวร์ของยานยนต์ ส่วนประกอบหลักที่เกี่ยวข้องกับรถอีวี และผลิตภัณฑ์เสริม อื่นๆ

อ้างอิง

https://www.bbc.com/news/articles/cr56r74214eo

https://asia.nikkei.com/Business/Automobiles/Honda-and-Nissan-to-begin-merger-talks-amid-EV-competition

]]>
1504033
‘นิสสัน’ เตรียมโละพนักงาน 9,000 คนทั่วโลกเพื่อ ‘ลดต้นทุน’ หลังยอดขายร่วงเหลือ 1.6 ล้านคัน https://positioningmag.com/1497982 Thu, 07 Nov 2024 09:34:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1497982 ดูเหมือนว่าค่ายรถสันดาปญี่ปุ่นหลายรายกำลังเจอช่วงวิกฤตจากการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุค รถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถอีวี โดยล่าสุด นิสสัน (Nisson) ก็เตรียมลดพนักงานและปรับลดกำลังการผลิต รวมถึง CEO ก็ยอมลดเงินเดือนลง เพื่อทำให้ต้นทุนต่ำที่สุด

นิสสัน มอเตอร์ ค่ายรถยนต์อันดับ 3 ของญี่ปุ่น ได้ลดประมาณการกำไรจากการดำเนินงานประจำปีลง 70% เหลือ 1.5 แสนล้านเยน (975 ล้านดอลลาร์) นับเป็นการปรับลดครั้งที่สองหลังจากปรับลด 17% เมื่อต้นปีนี้ โดยกำไรจากการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ (กรกฎาคม-กันยายน) ลดลง 85% เหลือ 3.29 หมื่นล้านเยน ซึ่งต่ำกว่าประมาณการของ LSEG ที่ 6.68 หมื่นล้านเยน

โดยยอดขายของนิสสันในปีนี้ ลดลง 3.8% เหลือ 1.6 ล้านคัน ส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงในประเทศจีนถึง 14.3% ขณะที่ยอดขายในสหรัฐฯ ลดลงเกือบ 3% เหลือประมาณ 449,000 คัน เมื่อรวมกันแล้ว ทั้งสองตลาดมีสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของยอดขายทั่วโลกของนิสสัน

จากการลดลงดังกล่าว ทำให้นิสสันกำลังตัดสินใจจะ เลิกจ้าง พนักงานจำนวน 9,000 คนทั่วโลก นอกจากนี้ นิสสันยัง ลดกําลังการผลิตลง 20% ขณะที่ตัว มาโกโตะ อุชิดะ ซีอีโอ (Makoto Uchida) จะขอ ลดเงินเดือนลง 50% นับตั้งแต่เดือนนี้ โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม นิสสันมีพนักงานทั่วโลกจำนวน 133,580 คน  

“นิสสันจะปรับโครงสร้างธุรกิจให้มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นมากขึ้น ขณะเดียวกันก็จัดระบบการจัดการใหม่เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจอย่างรวดเร็วและยืดหยุ่น อย่างไรก็ตาม มาตรการเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าบริษัทกำลังหดตัว” มาโกโตะ อุชิดะ ซีอีโอ กล่าวในแถลงการณ์

ปัจจุบัน นิสสันกำลังผนึกกำลังกับแบรนด์รถยนต์ต่างชาติเพื่อต่อสู้ในตลาดจีน ซึ่งกำลังได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นจากผู้ผลิตรถยนต์จีนในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเติบโต

Source

]]>
1497982
ถึงเวลาสู้ศัตรูคนเดียวกัน! ‘ฮอนด้า’ ผนึก ‘นิสสัน’ พัฒนารถอีวีเพื่อสู้กับ ‘ค่ายจีน’ https://positioningmag.com/1466580 Mon, 18 Mar 2024 03:58:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1466580 หากเป็นรถยนต์สันดาป ผู้ที่ครองตลาดก็จะเป็น ค่ายรถญี่ปุ่น แต่ถ้าเป็นตลาดรถอีวี ค่ายจีน ได้กลายเป็นผู้นำของตลาดไปเรียบร้อยแล้ว แม้แต่แบรนด์สุดแข็งอย่าง Tesla ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับค่ายจีน ดังนั้น แบรนด์ญี่ปุ่นจึงต้องเลิกสู้กันเอง หันมาจับมือกันเพื่อสู้ค่ายจีน

ในอดีตค่ายรถยนต์ของญี่ปุ่นอาจจะต้องแข่งกับค่ายรถจากฝั่งยุโรปและแข่งขันกันเอง แต่ตอนนี้ทุกค่ายคงตระหนักได้ว่า คู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดในตลาดก็คือ ค่ายรถอีวีจีน ทำให้ นิสสัน (Nissan) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจแบบไม่ผูกมัด (Memorandum of Understanding – MoU) กับ ฮอนด้า (Honda) ค่ายรถยนต์คู่แข่ง เพื่อร่วมมือกันในการผลิตส่วนประกอบสำคัญสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและปัญญาประดิษฐ์ในแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ยานยนต์

โดยความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยให้ทั้งสองบริษัทประหยัดต้นทุนในการผลิต เพราะทำให้มี Economy of scale ที่มากขึ้น ซึ่งจะยิ่งช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นสามารถแข่งขันกับค่ายรถอีวีจากจีน โดยเฉพาะ บีวายดี (BYD) จากจีนที่เพิ่งบุกตลาดประเทศญี่ปุ่น รวมถึง เทสลา (Tesla) ด้วย

“ผู้เล่นหน้าใหม่มีความก้าวร้าวมากและกำลังบุกเข้ามาด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง เราไม่สามารถชนะการแข่งขันได้ ตราบใดที่เรายึดมั่นในแนวคิดและแนวทางแบบดั้งเดิม” มาโกโตะ อุชิดะ ซีอีโอของนิสสัน กล่าว

อย่างไรก็ตาม นิสสันและฮอนด้า ยังไม่ได้หารือเกี่ยวกับการลงทุนร่วมกัน แต่ก็เปิดรับความเป็นไปได้ในอนาคต รวมถึงยัง เปิดกว้างในการร่วมมือกับพันธมิตร ที่มีอยู่หากมีโอกาสเกิดขึ้น

“เราถูกจำกัดด้วยเวลา ดังนั้น จำเป็นต้องทำให้เร็ว เพื่อที่ภายในปี 2030 เราจะอยู่ในตำแหน่งที่ดี เราจึงต้องตัดสินใจตั้งแต่ตอนนี้”

ทั้งนี้ ฮอนด้าตั้งเป้าที่จะเพิ่มอัตราส่วนรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงเป็น 100% ของยอดขายทั้งหมดภายในปี 2040 ส่วนนิสสันถือเป็นผู้บุกเบิกด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ด้วยรุ่น Leaf

ที่ผ่านมา ทั้งฮอนด้าและนิสสัน ได้พิจารณาเตรียมลดกำลังการผลิตในประเทศจีน โดยสาเหตุสำคัญคือผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นต้องแข่งขันกับค่ายรถยนต์ไฟฟ้าของจีน โดยนิสสันเตรียมลดกำลังการผลิตในจีนสูงสุดถึง 30% เหลือ 1.6 ล้านคัน/ปี ส่วนฮอนด้านั้นจะลดกำลังการผลิตราว 20% เหลือ 1.2 ล้านคันต่อปี

Source

]]>
1466580
Nissan จะเลิกพัฒนา “รถยนต์น้ำมัน” ใน (เกือบ) ทุกตลาด หันมามุ่ง “รถอีวี” เต็มตัว https://positioningmag.com/1373431 Wed, 09 Feb 2022 11:44:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1373431 เข้าสู่ยุคใหม่เต็มตัว Nissan ประกาศแผนเลิกพัฒนาเครื่องยนต์รถใช้น้ำมันในทุกๆ ตลาด ยกเว้นสหรัฐอเมริกา และจะหันมาพัฒนารถยนต์ไฮบริดและรถอีวี ตามแผน “Ambition 2030” เร่งยอดขายรถอีวีให้ได้ 50% ภายใน 8 ปีข้างหน้า

Nikkei Asia รายงานแผนการปรับตัวของ Nissan เตรียมหยุดพัฒนารถยนต์เครื่องยนต์น้ำมันในทุกตลาด ยกเว้นสหรัฐฯ โดยจะยังพัฒนาปรับปรุงการออกแบบในรุ่นเดิมบ้าง แต่จะไม่มีการออกแบบรถรุ่นใหม่

ต่อจากนี้ Nissan จะพัฒนาเครื่องยนต์ไฮบริดสำหรับตลาดโลก รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าที่จะเป็นอนาคตของบริษัท ตามแผน “Ambition 2030” ที่บริษัทจะทำยอดขาย 50% จากรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ภายในปี 2030 และจะมีการลงทุนหลักล้านล้านเยนสำหรับการพัฒนารถอีวีและแบตเตอรี่โดยเฉพาะ

สำหรับแรงกระตุ้นหลักที่ทำให้ Nissan ตัดสินใจเลิกพัฒนาเครื่องยนต์น้ำมันในหลายตลาด เกิดจากนโยบายของสหภาพยุโรปที่จะใช้มาตรฐาน Euro 7 ภายในปี 2025 ซึ่งจะเป็นการเขย่าตลาดยานยนต์อย่างแรงเพราะมาตรฐานนี้จะกำหนดให้รถยนต์ลดการปล่อยคาร์บอนลงไปอีกมาก และบีบให้รถยนต์ส่วนใหญ่ต้องใช้พลังงานสะอาด

แม้ว่าจะมีเฉพาะตลาดยุโรปที่ได้รับผลกระทบจากมาตรฐาน Euro 7 แต่ Nissan ก็ตัดสินใจหยุดการพัฒนารถยนต์น้ำมันในตลาดจีนและญี่ปุ่นไปพร้อมกัน ทั้งนี้ บริษัทแจ้งด้วยว่าจะไม่มีการเลย์ออฟพนักงาน เนื่องจากจะทยอยโอนย้ายพนักงานจากหน่วยผลิตรถน้ำมันไปที่หน่วยผลิตรถยนต์ไฟฟ้า

Nissan Titan รถกระบะน้ำมันรุ่นนี้ยังขายดีในสหรัฐฯ

ส่วนตลาดสหรัฐฯ ที่บริษัทยังมีการพัฒนารถยนต์น้ำมันอยู่นั้น เป็นเพราะบริษัทประเมินแล้วว่าตลาดสหรัฐฯ จะยังมีดีมานด์ “รถกระบะ” สูงอยู่ และรถกระบะเป็นประเภทรถที่ยังใช้น้ำมัน เทคโนโลยีการเปลี่ยนมาใช้แบบไฟฟ้าอาจจะยังช้ากว่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคล ทำให้รถกระบะ Nissan รุ่น Frontier และ Titan ที่ยังขายได้รวมกันกว่า 100,000 คันต่อปีในสหรัฐฯ น่าจะยังทำยอดขายได้ต่อไป

อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกับการพัฒนารถกระบะไฟฟ้า เพราะตลาดสหรัฐฯ ก็เริ่มมีรถกระบะไฟฟ้าทำตลาดบ้างแล้ว และได้เสียงตอบรับดีในหมู่ผู้บริโภค ทำให้ Nissan ก็เริ่มมีคอนเซ็ปต์คาร์ที่เป็นรถกระบะไฟฟ้าออกมาให้เห็นเช่นกัน

Nissan showcases Electric Ecosystem designed to deliver the future of driving today

บริษัท Nissan ถือว่าเป็นผู้นำระดับโลกในการเริ่มปรับตัวสู่รถยนต์ไฟฟ้า เพราะถือเป็นเจ้าแรกๆ ที่ออกรถยนต์ไฟฟ้าสู่ตลาด โดยรถรุ่น Nissan Leaf เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2010 และรักษาตำแหน่งรถยนต์ไฟฟ้า 4 ที่นั่งที่ขายดีที่สุดในโลกจนกระทั่ง Tesla Model 3 มาชิงตำแหน่งนี้ไปเมื่อปี 2020

หลังจากนั้นกว่าทศวรรษ Nissan มีรถไฟฟ้าที่ออกสู่ตลาดอีกรุ่นหนึ่งคือ e-NV200 เป็นรถตู้ขนาดเล็กที่เน้นการขายในญี่ปุ่นกับยุโรปเท่านั้น แต่ปี 2022 นี้คาดกันว่า Nissan จะได้ฤกษ์ส่งมอบ ‘Nissan Ariya’ รถ CUV ที่น่าจะได้รับการตอบรับดีในตลาด โดยเปิดราคาในสหรัฐฯ มาแล้วเริ่มต้นที่ 47,125 เหรียญ (ประมาณ 1.54 ล้านบาท)

Source

]]>
1373431
‘นิสสัน’ ทุ่ม 1.38 พันล้านเหรียญสร้าง ‘gigafactory’ โรงงานผลิตแบตรถอีวีในอังกฤษ https://positioningmag.com/1340562 Sun, 04 Jul 2021 03:43:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1340562 มีผลการศึกษาออกมาว่ายอดขาย รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ รถอีวี จะแซงหน้ารถยนต์สันดาปภายในปี 2033 ซึ่งเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ 5 ปี ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ค่ายรถยนต์ต่างพยายามลงทุนเกี่ยวกับรถยนต์พลังงานสะอาดมากขึ้น ซึ่งรวมถึง ‘นิสสัน’ (Nissan) ค่ายรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นที่เตรียมสร้างโณงงานผลิตแบตรถอีวีในสหราชอาณาจักร

เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา นิสสัน ได้ประกาศแผนการที่จะสร้าง ‘gigafactory’ โรงงานผลิตแบตเตอรี่รถอีวีมูลค่า 1 พันล้านปอนด์ (1.38 พันล้านดอลลาร์) ในเมืองซันเดอร์แลนด์ ประเทศอังกฤษ เพื่อส่งเสริมแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศ

ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น กล่าวว่า กำลังเปิดตัวโครงการนี้ ซึ่งมีชื่อว่า Nissan EV36Zero พร้อมด้วย Envision AESC บริษัทเทคโนโลยีแบตเตอรี่ และสภาเทศบาลเมืองซันเดอร์แลนด์ ที่ผ่านมา นิสสันได้มีโรงงานผลิตรถยนต์ในซันเดอร์แลนด์มา 35 ปี ซึ่งโรงงาน gigafactory จะช่วยสร้างงานใหม่ 1,650 ตำแหน่ง แบ่งเป็นที่นิสสัน 900 ตำแหน่ง และ 750 ตำแหน่งที่ Envision AESC

Ashwani Gupta ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของนิสสัน กล่าวว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวแสดงให้เห็นถึง “แผนงานของเราในการลดการปล่อยคาร์บอน”

ทั้งนี้ นิสสันกำลังพยายามเป็นพันธมิตรกับบริษัทยานยนต์รายใหญ่อื่น ๆ หลายแห่งที่พยายามมุ่งเน้นที่การพัฒนาแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า โดยเมื่อต้นสัปดาห์นี้ บริษัทรถยนต์สัญชาติฝรั่งเศส Renault เพิ่งประกาศว่าได้ลงนามใน “พันธมิตรหลักสองราย” ที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบและการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า

ย้อนกลับไปในเดือนมีนาคม Volkswagen ของเยอรมนีประกาศว่าตั้งเป้าที่จะสร้างโรงงานขนาดใหญ่หลายแห่งในยุโรปภายในสิ้นทศวรรษนี้

Source

]]>
1340562
‘Nissan’ อาจยุติการพัฒนา ‘Skyline’ รถเเรงขวัญใจวัยรุ่นยุค 70s ไปทุ่มลงทุน ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ เเทน https://positioningmag.com/1337925 Mon, 21 Jun 2021 07:35:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1337925 เกิดกระเเสข่าวว่า ‘Skyline’ รถซีดานยอดฮิตครองใจวัยรุ่นยุค 70s ที่สร้างชื่อเสียงให้เเบรนด์ ‘Nissan’ มายาวนาน กำลังจะปิดฉากลง เมื่อเทรนด์ผู้บริโภคเปลี่ยนไป ความนิยมลดลง บริษัทจึงอาจตัดสินใจขยับไปมุ่ง SUV เเละรถยนต์ไฟฟ้าเเทน

Skyline รถยนต์ไฮเอนด์ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของเเดนอาทิตย์อุทัย ในช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970 เมื่อผู้คนหันมาเป็นเจ้าของรถส่วนตัวกันมากขึ้น เปลี่ยนรูปแบบทางสังคม การใช้ชีวิตประจำวัน เเละวัตนธรรมของชาวญี่ปุ่น

Nissan Skyline เปิดตัวครั้งแรกในปี 1957 เป็นช่วงเดียวกันที่รัฐบาลญี่ปุ่นขยายเครือข่ายทางหลวง ทำให้ความต้องการรถยนต์ความเร็วสูงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ความมีสไตล์ ความเเรงของเครื่องยนต์ ภาพลักษณ์เเตกต่างที่ปรากฎอยู่ในสื่อภาพยนตร์เเละโฆษณาต่างๆ ทำให้รถรุ่น Skyline เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่คนหนุ่มสาวสมัยนั้น

หนึ่งในรุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ก็คือโมเดลรุ่นที่ 4’ ซึ่งเปิดตัวในปี 1972 ได้รับฉายาว่า ‘Kenmeri’ จากเเคมเปญโฆษณาทางโทรทัศน์ที่มีคู่สามีภรรยาชาวตะวันตกชื่อเคนและแมรี่แสดงนำ

โดย ‘Skyline Kenmeri’ นี้ มียอดขายรวมกว่า 6.6 แสนคัน นับเป็นรุ่นที่มียอดขายสูงที่สุดของ Nissan Skyline กลายเป็นไอค่อนของวัยรุ่นญี่ปุ่นยุค 70s

ช่วงทศวรรษ 70s รถยนต์ Nissan Skyline มียอดจำหน่ายเฉลี่ย 1.5 แสนคันต่อปี เเต่กาลเวลาเปลี่ยน เทรนด์โลกเปลี่ยน ทำให้ในปี 2020 มียอดขายเพียง 3,900 คันเท่านั้น ความนิยมลดลงเรื่อยๆ เมื่อผู้บริโภคยุคใหม่หันไปใช้รถ SUV

Nikkei Asia รายงานว่า Nissan จะหยุดพัฒนารถยนต์รุ่น Skyline ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนการปรับโครงสร้างองค์กร ไปมุ่งรุกตลาดรถยนต์ SUV เเละรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเติบโตในปัจจุบัน

ผู้บริหาร Nissan ระบุว่า การตัดสินใจยุติพัฒนารถซีดานในตำนานอย่าง ‘Skyline’ เป็นเรื่องน่าเศร้า แต่ก็มีความจำเป็นเพื่อการดำเนินธุรกิจต่อไปในระยะยาวต่อไป ซึ่งบริษัทกำลังทุ่มงบ R&D ไปที่การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า (EV) เเทน โดยนอกจากรุ่น Skyline แล้ว Nissan ยังจะยุติการพัฒนารถซีดานทั้งหมดใน ตลาดญี่ปุ่น รวมถึงรถรุ่น Fuga และ Cima ที่อยู่ในกลุ่มลักชัวรีด้วย

ทั้งนี้ Nissan เพิ่งเปิดตัว Ariya รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด ที่วิ่งระยะทางได้ไกลสุดถึง 610 กิโลเมตร และมีกำลังสูง 290 กิโลวัตต์ พร้อมวางจำหน่ายในราคาราว 1.5 ล้านบาทในญี่ปุ่น ช่วงกลางปี 2021

ต้องจับตาว่า ‘ตลาดรถมือสอง’ ของ Nissan Skyline พุ่งขึ้นหรือไม่…

 

ที่มา : Nikkei (1) , (2)

 

]]>
1337925
ผลวิจัยชี้ ‘คนไทย’ สนใจใช้ ‘รถ EV’ สูงสุดในอาเซียน แต่ ‘ที่ชาร์จ’ ยังเป็นข้อกังวลหลัก https://positioningmag.com/1318112 Fri, 05 Feb 2021 07:43:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1318112 ‘นิสสันอาเซียน’ ร่วมมือกับ ‘ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน’ (Frost & Sullivan) องค์กรที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และงานวิจัยทางธุรกิจได้เผยถึงผลสำรวจเทรนด์ระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทยประจำปี 2564 โดยระบุว่า ผู้บริโภคชาวไทยมีความต้องการ มีความสนใจ และตื่นตัวต่อระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคอาเซียนเลยทีเดียว

43% สนใจเปลี่ยนไปใช้รถไฟฟ้าใน 3 ปี

ที่ผ่านมา ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวนได้ทำงานวิจัยด้านระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2561 เพื่อเก็บข้อมูลเปรียบเทียบผู้บริโภคในประเทศต่าง ๆ จากนั้นในเดือนกันยายน 2563 บริษัท ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน ได้ทำการศึกษาอีกครั้งจาก 6 ตลาดในภูมิภาคอาเซียน ประกอบไปด้วย ประเทศไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม

สำหรับประเทศไทย จากการสำรวจพบว่า 43% ของผู้ใช้รถยนต์ที่ไม่ใช่พลังงานไฟฟ้าจะเลือกพิจารณารถยนต์ไฟฟ้าอย่างแน่นอนหากจะต้องซื้อรถยนต์คันต่อไปในอีก 3 ปีข้างหน้า และเมื่อเทียบกับ 5 ปีที่ผ่านมาพบว่า จำนวนร่วมตอบแบบสำรวจจะเลือกพิจารณาซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึง 33%

นอกจากนี้ยังพบว่า ประเทศไทยมีจำนวนผู้ที่เข้าใจเรื่องรถยนต์ไฟฟ้ารวมถึงวิธีการใช้งานเพิ่มมากขึ้น 53% โดยวัดจากผู้ที่ร่วมตอบแบบสำรวจ นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยมีความกระตือรือร้นในการพิจารณาเลือกซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน เช่นเดียวกับอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์

สิ่งแวดล้อมแรงผลักดันใหญ่

จากการสำรวจพบว่า 3 ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียนได้แก่ 1.ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 2.ค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าการใช้รถยนต์สันดาป และ 3.ความปลอดภัยที่มากกว่า

และสำหรับประเทศไทยปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องหลักที่ทำให้ผู้ตอบแบบสอบถามเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า โดย 90% ของผู้ใช้รถตระหนักว่า ‘รถยนต์ไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับสิ่งแวดล้อม’ ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งภูมิภาคอาเซียนที่อยู่ที่ 88%

โดยผู้ร่วมตอบแบบสำรวจคนไทยมากถึง 91% ระบุว่า ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนั้นมีผลต่อการพิจารณาเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ 3 ใน 4 ของผู้ใช้รถในประเทศไทยระบุว่า แหล่งพลังงานหมุนเวียนจะช่วยส่งเสริมให้มีการซื้อหรือเช่าซื้อรถยนต์ไฟฟ้า

ทั้งนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจเชื่อว่าการใช้รถยนต์ไฟฟ้านั้นทำให้พวกเขามีส่วนช่วยปกป้องสิ่งแวดล้อม โดย 39% ของผู้ตอบแบบสำรวจชาวไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 34% เมื่อเทียบกับงานวิจัยเดียวกันเมื่อปี 2561

อุปสรรคใหญ่ สถานีชาร์จ

ผู้บริโภคเริ่มคลายกังวลเกี่ยวกับอุปสรรคต่อการเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้า โดยความกังวลเรื่องพลังไฟฟ้าจะหมดระหว่างทางก่อนไปถึงสถานีชาร์จลดเหลือ 53% จากปี 2561 อยู่ที่ 58% ส่วนปัญหาข้อสงสัยต่อเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าก็ลดลงเหลือ 40% จากปี 61 อยู่ที่ 48%

อย่างไรก็ตาม อุปสรรคหลักสำคัญเพียงเรื่องเดียวที่ยังคงเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2561 นั่นก็คือ ความกังวลต่อระบบแท่นชาร์จไฟฟ้าสาธารณะที่มีอยู่อย่างจำกัด” โดยผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทย 76% มองว่าสถานีชาร์จไฟฟ้าจำเป็นต้องมีมากขึ้นในเขตบริเวณที่พักอาศัย และ 47% มีความกังวลเกี่ยวกับระบบแท่นชาร์จไฟฟ้าตามแหล่งสาธารณะ กลับกัน ข้อกังวลนี้กลับลดลงในทุกประเทศที่มีการสำรวจ โดยเฉลี่ย 9%

ภาษีและสถานีชาร์จ 2 ปัจจัยกระตุ้น

จากงานวิจัยผู้บริโภคในอาเซียนพบว่า 66% ของผู้บริโภคในภูมิภาคเชื่อว่าพวกเขาไม่อาจหลีกเลี่ยงการหันมาใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ ซึ่งสิ่งนี้จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในอนาคตอันใกล้ โดยผลวิจัยในปี 2561 พบว่า 2 อันดับที่ช่วยจูงใจให้เปลี่ยนไปใช้รถฟ้าคือ สิทธิประโยชน์ทางภาษี 77% การมีแท่นชาร์จติดตั้งตามอาคารที่พักอาศัย 75%

สำหรับประเทศไทย แรงจูงใจที่มาเป็นอันดับ 1 คือ สถานีแท่นชาร์จในเขตบริเวณที่พักอาศัย 76% ตามด้วยสิทธิประโยชน์ทางภาษี 73% และช่องทางพิเศษสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า 50%

เทคโนโลยีอี-พาวเวอร์ อีกนวัตกรรมน่าสนใจ

เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีอี-พาวเวอร์ กับระบบไฮบริด ปลั๊กอินไฮบริด และระบบสันดาปภายใน (Internal Combustion Engine Vehicle: ICE Vehicle) แล้ว ปัจจัยที่เป็นสิ่งดึงดูดสำหรับผู้ใช้รถในไทยมากที่สุด คือเทคโนโลยีอี-พาวเวอร์ ซึ่งให้สมรรถนะเฉกเช่นรถยนต์ไฟฟ้าโดยไม่ต้องชาร์จไฟจากภายนอก และเมื่อลูกค้าได้เรียนรู้ว่าเทคโนโลยีอี-พาวเวอร์ ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ได้อย่างไร ผู้ตอบแบบสำรวจถึง 82% ระบุว่า ขุมพลังอี-พาวเวอร์นั้น “น่าสนใจมาก” และ “ค่อนข้างน่าสนใจ” เป็นรองแค่รถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่เท่านั้น

]]>
1318112