นิสสัน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 07 Nov 2024 11:44:03 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘นิสสัน’ เตรียมโละพนักงาน 9,000 คนทั่วโลกเพื่อ ‘ลดต้นทุน’ หลังยอดขายร่วงเหลือ 1.6 ล้านคัน https://positioningmag.com/1497982 Thu, 07 Nov 2024 09:34:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1497982 ดูเหมือนว่าค่ายรถสันดาปญี่ปุ่นหลายรายกำลังเจอช่วงวิกฤตจากการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุค รถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถอีวี โดยล่าสุด นิสสัน (Nisson) ก็เตรียมลดพนักงานและปรับลดกำลังการผลิต รวมถึง CEO ก็ยอมลดเงินเดือนลง เพื่อทำให้ต้นทุนต่ำที่สุด

นิสสัน มอเตอร์ ค่ายรถยนต์อันดับ 3 ของญี่ปุ่น ได้ลดประมาณการกำไรจากการดำเนินงานประจำปีลง 70% เหลือ 1.5 แสนล้านเยน (975 ล้านดอลลาร์) นับเป็นการปรับลดครั้งที่สองหลังจากปรับลด 17% เมื่อต้นปีนี้ โดยกำไรจากการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ (กรกฎาคม-กันยายน) ลดลง 85% เหลือ 3.29 หมื่นล้านเยน ซึ่งต่ำกว่าประมาณการของ LSEG ที่ 6.68 หมื่นล้านเยน

โดยยอดขายของนิสสันในปีนี้ ลดลง 3.8% เหลือ 1.6 ล้านคัน ส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงในประเทศจีนถึง 14.3% ขณะที่ยอดขายในสหรัฐฯ ลดลงเกือบ 3% เหลือประมาณ 449,000 คัน เมื่อรวมกันแล้ว ทั้งสองตลาดมีสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของยอดขายทั่วโลกของนิสสัน

จากการลดลงดังกล่าว ทำให้นิสสันกำลังตัดสินใจจะ เลิกจ้าง พนักงานจำนวน 9,000 คนทั่วโลก นอกจากนี้ นิสสันยัง ลดกําลังการผลิตลง 20% ขณะที่ตัว มาโกโตะ อุชิดะ ซีอีโอ (Makoto Uchida) จะขอ ลดเงินเดือนลง 50% นับตั้งแต่เดือนนี้ โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม นิสสันมีพนักงานทั่วโลกจำนวน 133,580 คน  

“นิสสันจะปรับโครงสร้างธุรกิจให้มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นมากขึ้น ขณะเดียวกันก็จัดระบบการจัดการใหม่เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจอย่างรวดเร็วและยืดหยุ่น อย่างไรก็ตาม มาตรการเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าบริษัทกำลังหดตัว” มาโกโตะ อุชิดะ ซีอีโอ กล่าวในแถลงการณ์

ปัจจุบัน นิสสันกำลังผนึกกำลังกับแบรนด์รถยนต์ต่างชาติเพื่อต่อสู้ในตลาดจีน ซึ่งกำลังได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นจากผู้ผลิตรถยนต์จีนในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเติบโต

Source

]]>
1497982
ถึงเวลาสู้ศัตรูคนเดียวกัน! ‘ฮอนด้า’ ผนึก ‘นิสสัน’ พัฒนารถอีวีเพื่อสู้กับ ‘ค่ายจีน’ https://positioningmag.com/1466580 Mon, 18 Mar 2024 03:58:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1466580 หากเป็นรถยนต์สันดาป ผู้ที่ครองตลาดก็จะเป็น ค่ายรถญี่ปุ่น แต่ถ้าเป็นตลาดรถอีวี ค่ายจีน ได้กลายเป็นผู้นำของตลาดไปเรียบร้อยแล้ว แม้แต่แบรนด์สุดแข็งอย่าง Tesla ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับค่ายจีน ดังนั้น แบรนด์ญี่ปุ่นจึงต้องเลิกสู้กันเอง หันมาจับมือกันเพื่อสู้ค่ายจีน

ในอดีตค่ายรถยนต์ของญี่ปุ่นอาจจะต้องแข่งกับค่ายรถจากฝั่งยุโรปและแข่งขันกันเอง แต่ตอนนี้ทุกค่ายคงตระหนักได้ว่า คู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดในตลาดก็คือ ค่ายรถอีวีจีน ทำให้ นิสสัน (Nissan) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจแบบไม่ผูกมัด (Memorandum of Understanding – MoU) กับ ฮอนด้า (Honda) ค่ายรถยนต์คู่แข่ง เพื่อร่วมมือกันในการผลิตส่วนประกอบสำคัญสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและปัญญาประดิษฐ์ในแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ยานยนต์

โดยความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยให้ทั้งสองบริษัทประหยัดต้นทุนในการผลิต เพราะทำให้มี Economy of scale ที่มากขึ้น ซึ่งจะยิ่งช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นสามารถแข่งขันกับค่ายรถอีวีจากจีน โดยเฉพาะ บีวายดี (BYD) จากจีนที่เพิ่งบุกตลาดประเทศญี่ปุ่น รวมถึง เทสลา (Tesla) ด้วย

“ผู้เล่นหน้าใหม่มีความก้าวร้าวมากและกำลังบุกเข้ามาด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง เราไม่สามารถชนะการแข่งขันได้ ตราบใดที่เรายึดมั่นในแนวคิดและแนวทางแบบดั้งเดิม” มาโกโตะ อุชิดะ ซีอีโอของนิสสัน กล่าว

อย่างไรก็ตาม นิสสันและฮอนด้า ยังไม่ได้หารือเกี่ยวกับการลงทุนร่วมกัน แต่ก็เปิดรับความเป็นไปได้ในอนาคต รวมถึงยัง เปิดกว้างในการร่วมมือกับพันธมิตร ที่มีอยู่หากมีโอกาสเกิดขึ้น

“เราถูกจำกัดด้วยเวลา ดังนั้น จำเป็นต้องทำให้เร็ว เพื่อที่ภายในปี 2030 เราจะอยู่ในตำแหน่งที่ดี เราจึงต้องตัดสินใจตั้งแต่ตอนนี้”

ทั้งนี้ ฮอนด้าตั้งเป้าที่จะเพิ่มอัตราส่วนรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงเป็น 100% ของยอดขายทั้งหมดภายในปี 2040 ส่วนนิสสันถือเป็นผู้บุกเบิกด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ด้วยรุ่น Leaf

ที่ผ่านมา ทั้งฮอนด้าและนิสสัน ได้พิจารณาเตรียมลดกำลังการผลิตในประเทศจีน โดยสาเหตุสำคัญคือผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นต้องแข่งขันกับค่ายรถยนต์ไฟฟ้าของจีน โดยนิสสันเตรียมลดกำลังการผลิตในจีนสูงสุดถึง 30% เหลือ 1.6 ล้านคัน/ปี ส่วนฮอนด้านั้นจะลดกำลังการผลิตราว 20% เหลือ 1.2 ล้านคันต่อปี

Source

]]>
1466580
Nissan จะเลิกพัฒนา “รถยนต์น้ำมัน” ใน (เกือบ) ทุกตลาด หันมามุ่ง “รถอีวี” เต็มตัว https://positioningmag.com/1373431 Wed, 09 Feb 2022 11:44:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1373431 เข้าสู่ยุคใหม่เต็มตัว Nissan ประกาศแผนเลิกพัฒนาเครื่องยนต์รถใช้น้ำมันในทุกๆ ตลาด ยกเว้นสหรัฐอเมริกา และจะหันมาพัฒนารถยนต์ไฮบริดและรถอีวี ตามแผน “Ambition 2030” เร่งยอดขายรถอีวีให้ได้ 50% ภายใน 8 ปีข้างหน้า

Nikkei Asia รายงานแผนการปรับตัวของ Nissan เตรียมหยุดพัฒนารถยนต์เครื่องยนต์น้ำมันในทุกตลาด ยกเว้นสหรัฐฯ โดยจะยังพัฒนาปรับปรุงการออกแบบในรุ่นเดิมบ้าง แต่จะไม่มีการออกแบบรถรุ่นใหม่

ต่อจากนี้ Nissan จะพัฒนาเครื่องยนต์ไฮบริดสำหรับตลาดโลก รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าที่จะเป็นอนาคตของบริษัท ตามแผน “Ambition 2030” ที่บริษัทจะทำยอดขาย 50% จากรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ภายในปี 2030 และจะมีการลงทุนหลักล้านล้านเยนสำหรับการพัฒนารถอีวีและแบตเตอรี่โดยเฉพาะ

สำหรับแรงกระตุ้นหลักที่ทำให้ Nissan ตัดสินใจเลิกพัฒนาเครื่องยนต์น้ำมันในหลายตลาด เกิดจากนโยบายของสหภาพยุโรปที่จะใช้มาตรฐาน Euro 7 ภายในปี 2025 ซึ่งจะเป็นการเขย่าตลาดยานยนต์อย่างแรงเพราะมาตรฐานนี้จะกำหนดให้รถยนต์ลดการปล่อยคาร์บอนลงไปอีกมาก และบีบให้รถยนต์ส่วนใหญ่ต้องใช้พลังงานสะอาด

แม้ว่าจะมีเฉพาะตลาดยุโรปที่ได้รับผลกระทบจากมาตรฐาน Euro 7 แต่ Nissan ก็ตัดสินใจหยุดการพัฒนารถยนต์น้ำมันในตลาดจีนและญี่ปุ่นไปพร้อมกัน ทั้งนี้ บริษัทแจ้งด้วยว่าจะไม่มีการเลย์ออฟพนักงาน เนื่องจากจะทยอยโอนย้ายพนักงานจากหน่วยผลิตรถน้ำมันไปที่หน่วยผลิตรถยนต์ไฟฟ้า

Nissan Titan รถกระบะน้ำมันรุ่นนี้ยังขายดีในสหรัฐฯ

ส่วนตลาดสหรัฐฯ ที่บริษัทยังมีการพัฒนารถยนต์น้ำมันอยู่นั้น เป็นเพราะบริษัทประเมินแล้วว่าตลาดสหรัฐฯ จะยังมีดีมานด์ “รถกระบะ” สูงอยู่ และรถกระบะเป็นประเภทรถที่ยังใช้น้ำมัน เทคโนโลยีการเปลี่ยนมาใช้แบบไฟฟ้าอาจจะยังช้ากว่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคล ทำให้รถกระบะ Nissan รุ่น Frontier และ Titan ที่ยังขายได้รวมกันกว่า 100,000 คันต่อปีในสหรัฐฯ น่าจะยังทำยอดขายได้ต่อไป

อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกับการพัฒนารถกระบะไฟฟ้า เพราะตลาดสหรัฐฯ ก็เริ่มมีรถกระบะไฟฟ้าทำตลาดบ้างแล้ว และได้เสียงตอบรับดีในหมู่ผู้บริโภค ทำให้ Nissan ก็เริ่มมีคอนเซ็ปต์คาร์ที่เป็นรถกระบะไฟฟ้าออกมาให้เห็นเช่นกัน

Nissan showcases Electric Ecosystem designed to deliver the future of driving today

บริษัท Nissan ถือว่าเป็นผู้นำระดับโลกในการเริ่มปรับตัวสู่รถยนต์ไฟฟ้า เพราะถือเป็นเจ้าแรกๆ ที่ออกรถยนต์ไฟฟ้าสู่ตลาด โดยรถรุ่น Nissan Leaf เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2010 และรักษาตำแหน่งรถยนต์ไฟฟ้า 4 ที่นั่งที่ขายดีที่สุดในโลกจนกระทั่ง Tesla Model 3 มาชิงตำแหน่งนี้ไปเมื่อปี 2020

หลังจากนั้นกว่าทศวรรษ Nissan มีรถไฟฟ้าที่ออกสู่ตลาดอีกรุ่นหนึ่งคือ e-NV200 เป็นรถตู้ขนาดเล็กที่เน้นการขายในญี่ปุ่นกับยุโรปเท่านั้น แต่ปี 2022 นี้คาดกันว่า Nissan จะได้ฤกษ์ส่งมอบ ‘Nissan Ariya’ รถ CUV ที่น่าจะได้รับการตอบรับดีในตลาด โดยเปิดราคาในสหรัฐฯ มาแล้วเริ่มต้นที่ 47,125 เหรียญ (ประมาณ 1.54 ล้านบาท)

Source

]]>
1373431
‘นิสสัน’ ทุ่ม 1.38 พันล้านเหรียญสร้าง ‘gigafactory’ โรงงานผลิตแบตรถอีวีในอังกฤษ https://positioningmag.com/1340562 Sun, 04 Jul 2021 03:43:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1340562 มีผลการศึกษาออกมาว่ายอดขาย รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ รถอีวี จะแซงหน้ารถยนต์สันดาปภายในปี 2033 ซึ่งเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ 5 ปี ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ค่ายรถยนต์ต่างพยายามลงทุนเกี่ยวกับรถยนต์พลังงานสะอาดมากขึ้น ซึ่งรวมถึง ‘นิสสัน’ (Nissan) ค่ายรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นที่เตรียมสร้างโณงงานผลิตแบตรถอีวีในสหราชอาณาจักร

เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา นิสสัน ได้ประกาศแผนการที่จะสร้าง ‘gigafactory’ โรงงานผลิตแบตเตอรี่รถอีวีมูลค่า 1 พันล้านปอนด์ (1.38 พันล้านดอลลาร์) ในเมืองซันเดอร์แลนด์ ประเทศอังกฤษ เพื่อส่งเสริมแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศ

ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น กล่าวว่า กำลังเปิดตัวโครงการนี้ ซึ่งมีชื่อว่า Nissan EV36Zero พร้อมด้วย Envision AESC บริษัทเทคโนโลยีแบตเตอรี่ และสภาเทศบาลเมืองซันเดอร์แลนด์ ที่ผ่านมา นิสสันได้มีโรงงานผลิตรถยนต์ในซันเดอร์แลนด์มา 35 ปี ซึ่งโรงงาน gigafactory จะช่วยสร้างงานใหม่ 1,650 ตำแหน่ง แบ่งเป็นที่นิสสัน 900 ตำแหน่ง และ 750 ตำแหน่งที่ Envision AESC

Ashwani Gupta ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของนิสสัน กล่าวว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวแสดงให้เห็นถึง “แผนงานของเราในการลดการปล่อยคาร์บอน”

ทั้งนี้ นิสสันกำลังพยายามเป็นพันธมิตรกับบริษัทยานยนต์รายใหญ่อื่น ๆ หลายแห่งที่พยายามมุ่งเน้นที่การพัฒนาแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า โดยเมื่อต้นสัปดาห์นี้ บริษัทรถยนต์สัญชาติฝรั่งเศส Renault เพิ่งประกาศว่าได้ลงนามใน “พันธมิตรหลักสองราย” ที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบและการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า

ย้อนกลับไปในเดือนมีนาคม Volkswagen ของเยอรมนีประกาศว่าตั้งเป้าที่จะสร้างโรงงานขนาดใหญ่หลายแห่งในยุโรปภายในสิ้นทศวรรษนี้

Source

]]>
1340562
‘Nissan’ อาจยุติการพัฒนา ‘Skyline’ รถเเรงขวัญใจวัยรุ่นยุค 70s ไปทุ่มลงทุน ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ เเทน https://positioningmag.com/1337925 Mon, 21 Jun 2021 07:35:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1337925 เกิดกระเเสข่าวว่า ‘Skyline’ รถซีดานยอดฮิตครองใจวัยรุ่นยุค 70s ที่สร้างชื่อเสียงให้เเบรนด์ ‘Nissan’ มายาวนาน กำลังจะปิดฉากลง เมื่อเทรนด์ผู้บริโภคเปลี่ยนไป ความนิยมลดลง บริษัทจึงอาจตัดสินใจขยับไปมุ่ง SUV เเละรถยนต์ไฟฟ้าเเทน

Skyline รถยนต์ไฮเอนด์ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของเเดนอาทิตย์อุทัย ในช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970 เมื่อผู้คนหันมาเป็นเจ้าของรถส่วนตัวกันมากขึ้น เปลี่ยนรูปแบบทางสังคม การใช้ชีวิตประจำวัน เเละวัตนธรรมของชาวญี่ปุ่น

Nissan Skyline เปิดตัวครั้งแรกในปี 1957 เป็นช่วงเดียวกันที่รัฐบาลญี่ปุ่นขยายเครือข่ายทางหลวง ทำให้ความต้องการรถยนต์ความเร็วสูงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ความมีสไตล์ ความเเรงของเครื่องยนต์ ภาพลักษณ์เเตกต่างที่ปรากฎอยู่ในสื่อภาพยนตร์เเละโฆษณาต่างๆ ทำให้รถรุ่น Skyline เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่คนหนุ่มสาวสมัยนั้น

หนึ่งในรุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ก็คือโมเดลรุ่นที่ 4’ ซึ่งเปิดตัวในปี 1972 ได้รับฉายาว่า ‘Kenmeri’ จากเเคมเปญโฆษณาทางโทรทัศน์ที่มีคู่สามีภรรยาชาวตะวันตกชื่อเคนและแมรี่แสดงนำ

โดย ‘Skyline Kenmeri’ นี้ มียอดขายรวมกว่า 6.6 แสนคัน นับเป็นรุ่นที่มียอดขายสูงที่สุดของ Nissan Skyline กลายเป็นไอค่อนของวัยรุ่นญี่ปุ่นยุค 70s

ช่วงทศวรรษ 70s รถยนต์ Nissan Skyline มียอดจำหน่ายเฉลี่ย 1.5 แสนคันต่อปี เเต่กาลเวลาเปลี่ยน เทรนด์โลกเปลี่ยน ทำให้ในปี 2020 มียอดขายเพียง 3,900 คันเท่านั้น ความนิยมลดลงเรื่อยๆ เมื่อผู้บริโภคยุคใหม่หันไปใช้รถ SUV

Nikkei Asia รายงานว่า Nissan จะหยุดพัฒนารถยนต์รุ่น Skyline ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนการปรับโครงสร้างองค์กร ไปมุ่งรุกตลาดรถยนต์ SUV เเละรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเติบโตในปัจจุบัน

ผู้บริหาร Nissan ระบุว่า การตัดสินใจยุติพัฒนารถซีดานในตำนานอย่าง ‘Skyline’ เป็นเรื่องน่าเศร้า แต่ก็มีความจำเป็นเพื่อการดำเนินธุรกิจต่อไปในระยะยาวต่อไป ซึ่งบริษัทกำลังทุ่มงบ R&D ไปที่การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า (EV) เเทน โดยนอกจากรุ่น Skyline แล้ว Nissan ยังจะยุติการพัฒนารถซีดานทั้งหมดใน ตลาดญี่ปุ่น รวมถึงรถรุ่น Fuga และ Cima ที่อยู่ในกลุ่มลักชัวรีด้วย

ทั้งนี้ Nissan เพิ่งเปิดตัว Ariya รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด ที่วิ่งระยะทางได้ไกลสุดถึง 610 กิโลเมตร และมีกำลังสูง 290 กิโลวัตต์ พร้อมวางจำหน่ายในราคาราว 1.5 ล้านบาทในญี่ปุ่น ช่วงกลางปี 2021

ต้องจับตาว่า ‘ตลาดรถมือสอง’ ของ Nissan Skyline พุ่งขึ้นหรือไม่…

 

ที่มา : Nikkei (1) , (2)

 

]]>
1337925
ผลวิจัยชี้ ‘คนไทย’ สนใจใช้ ‘รถ EV’ สูงสุดในอาเซียน แต่ ‘ที่ชาร์จ’ ยังเป็นข้อกังวลหลัก https://positioningmag.com/1318112 Fri, 05 Feb 2021 07:43:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1318112 ‘นิสสันอาเซียน’ ร่วมมือกับ ‘ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน’ (Frost & Sullivan) องค์กรที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และงานวิจัยทางธุรกิจได้เผยถึงผลสำรวจเทรนด์ระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทยประจำปี 2564 โดยระบุว่า ผู้บริโภคชาวไทยมีความต้องการ มีความสนใจ และตื่นตัวต่อระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคอาเซียนเลยทีเดียว

43% สนใจเปลี่ยนไปใช้รถไฟฟ้าใน 3 ปี

ที่ผ่านมา ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวนได้ทำงานวิจัยด้านระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2561 เพื่อเก็บข้อมูลเปรียบเทียบผู้บริโภคในประเทศต่าง ๆ จากนั้นในเดือนกันยายน 2563 บริษัท ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน ได้ทำการศึกษาอีกครั้งจาก 6 ตลาดในภูมิภาคอาเซียน ประกอบไปด้วย ประเทศไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม

สำหรับประเทศไทย จากการสำรวจพบว่า 43% ของผู้ใช้รถยนต์ที่ไม่ใช่พลังงานไฟฟ้าจะเลือกพิจารณารถยนต์ไฟฟ้าอย่างแน่นอนหากจะต้องซื้อรถยนต์คันต่อไปในอีก 3 ปีข้างหน้า และเมื่อเทียบกับ 5 ปีที่ผ่านมาพบว่า จำนวนร่วมตอบแบบสำรวจจะเลือกพิจารณาซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึง 33%

นอกจากนี้ยังพบว่า ประเทศไทยมีจำนวนผู้ที่เข้าใจเรื่องรถยนต์ไฟฟ้ารวมถึงวิธีการใช้งานเพิ่มมากขึ้น 53% โดยวัดจากผู้ที่ร่วมตอบแบบสำรวจ นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยมีความกระตือรือร้นในการพิจารณาเลือกซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน เช่นเดียวกับอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์

สิ่งแวดล้อมแรงผลักดันใหญ่

จากการสำรวจพบว่า 3 ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียนได้แก่ 1.ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 2.ค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าการใช้รถยนต์สันดาป และ 3.ความปลอดภัยที่มากกว่า

และสำหรับประเทศไทยปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องหลักที่ทำให้ผู้ตอบแบบสอบถามเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า โดย 90% ของผู้ใช้รถตระหนักว่า ‘รถยนต์ไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับสิ่งแวดล้อม’ ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งภูมิภาคอาเซียนที่อยู่ที่ 88%

โดยผู้ร่วมตอบแบบสำรวจคนไทยมากถึง 91% ระบุว่า ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนั้นมีผลต่อการพิจารณาเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ 3 ใน 4 ของผู้ใช้รถในประเทศไทยระบุว่า แหล่งพลังงานหมุนเวียนจะช่วยส่งเสริมให้มีการซื้อหรือเช่าซื้อรถยนต์ไฟฟ้า

ทั้งนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจเชื่อว่าการใช้รถยนต์ไฟฟ้านั้นทำให้พวกเขามีส่วนช่วยปกป้องสิ่งแวดล้อม โดย 39% ของผู้ตอบแบบสำรวจชาวไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 34% เมื่อเทียบกับงานวิจัยเดียวกันเมื่อปี 2561

อุปสรรคใหญ่ สถานีชาร์จ

ผู้บริโภคเริ่มคลายกังวลเกี่ยวกับอุปสรรคต่อการเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้า โดยความกังวลเรื่องพลังไฟฟ้าจะหมดระหว่างทางก่อนไปถึงสถานีชาร์จลดเหลือ 53% จากปี 2561 อยู่ที่ 58% ส่วนปัญหาข้อสงสัยต่อเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าก็ลดลงเหลือ 40% จากปี 61 อยู่ที่ 48%

อย่างไรก็ตาม อุปสรรคหลักสำคัญเพียงเรื่องเดียวที่ยังคงเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2561 นั่นก็คือ ความกังวลต่อระบบแท่นชาร์จไฟฟ้าสาธารณะที่มีอยู่อย่างจำกัด” โดยผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทย 76% มองว่าสถานีชาร์จไฟฟ้าจำเป็นต้องมีมากขึ้นในเขตบริเวณที่พักอาศัย และ 47% มีความกังวลเกี่ยวกับระบบแท่นชาร์จไฟฟ้าตามแหล่งสาธารณะ กลับกัน ข้อกังวลนี้กลับลดลงในทุกประเทศที่มีการสำรวจ โดยเฉลี่ย 9%

ภาษีและสถานีชาร์จ 2 ปัจจัยกระตุ้น

จากงานวิจัยผู้บริโภคในอาเซียนพบว่า 66% ของผู้บริโภคในภูมิภาคเชื่อว่าพวกเขาไม่อาจหลีกเลี่ยงการหันมาใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ ซึ่งสิ่งนี้จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในอนาคตอันใกล้ โดยผลวิจัยในปี 2561 พบว่า 2 อันดับที่ช่วยจูงใจให้เปลี่ยนไปใช้รถฟ้าคือ สิทธิประโยชน์ทางภาษี 77% การมีแท่นชาร์จติดตั้งตามอาคารที่พักอาศัย 75%

สำหรับประเทศไทย แรงจูงใจที่มาเป็นอันดับ 1 คือ สถานีแท่นชาร์จในเขตบริเวณที่พักอาศัย 76% ตามด้วยสิทธิประโยชน์ทางภาษี 73% และช่องทางพิเศษสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า 50%

เทคโนโลยีอี-พาวเวอร์ อีกนวัตกรรมน่าสนใจ

เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีอี-พาวเวอร์ กับระบบไฮบริด ปลั๊กอินไฮบริด และระบบสันดาปภายใน (Internal Combustion Engine Vehicle: ICE Vehicle) แล้ว ปัจจัยที่เป็นสิ่งดึงดูดสำหรับผู้ใช้รถในไทยมากที่สุด คือเทคโนโลยีอี-พาวเวอร์ ซึ่งให้สมรรถนะเฉกเช่นรถยนต์ไฟฟ้าโดยไม่ต้องชาร์จไฟจากภายนอก และเมื่อลูกค้าได้เรียนรู้ว่าเทคโนโลยีอี-พาวเวอร์ ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ได้อย่างไร ผู้ตอบแบบสำรวจถึง 82% ระบุว่า ขุมพลังอี-พาวเวอร์นั้น “น่าสนใจมาก” และ “ค่อนข้างน่าสนใจ” เป็นรองแค่รถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่เท่านั้น

]]>
1318112
อยู่แต่บ้านเดี๋ยวเบื่อ ‘Nissan’ ผุดคอนเซ็ปต์รถตู้ ‘Work from Anywhere’ ให้ทำงานได้ทุกที่ https://positioningmag.com/1315896 Fri, 22 Jan 2021 09:32:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1315896 จากการระบาดของ COVID-19 รอบสองนี้ หลายประเทศเลยต้องขอให้ภาคเอกชนกลับไป Work from Home เพื่อจำกัดการแพร่ระบาดของเชื้อ ซึ่งแบรนด์รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นอย่าง ‘นิสสัน (Nisson)’ ก็ได้ออกแบบรถคอนเซ็ปต์รถตู้นาม ‘NV350’ ที่จะทำให้การทำงานทางไกลไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

นิสสันได้เปิดเผยแนวคิดของรถยนต์ที่เกี่ยวกับเทรนด์การทำงานจากทุก Work from Anywhere ด้วยรถตู้รุ่น ‘NV350’ ที่จะเป็นเสมือนรถธุรกิจสำหรับมืออาชีพและผู้ที่ชื่นชอบการทำกิจกรรมกลางแจ้ง โดยรถคันนี้จะมีส่วนที่ยื่นออกมาจากท้ายรถตู้ที่สามารถพับเก็บได้โดยการสั่งงานผ่านสมาร์ทโฟน ซึ่งด้านในนั้นจะเป็นเหมือนดั่งออฟฟิศไซส์มินิ โดยได้ติดตั้งอุปกรณ์และฟังก์ชันเสริมซึ่งประกอบด้วยโต๊ะ เก้าอี้แบบ Herman Miller Cosm และพื้นแบบ polycarbonate ที่จะทำให้เรามองเห็นวิวพื้นด้านล่างได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีไฟส่องสว่างรอบตัว

นอกจากนี้ ในส่วนของหลังคารถที่มาพร้อมกับเก้าอี้เอนและร่มกันแดด อีกทั้งยังมี ‘เครื่องชงกาแฟ’ ดังนั้นหากอยากเปลี่ยนบรรยากาศหรือพักสมองสักนิด พร้อมจิบกาแฟชิว ๆ ก่อนลุยงานต่อก็สามารถทำได้ ขณะที่ตัวรถเองก็สามารถขับได้ทั้งบนถนนปกติหรือทางขรุขระแบบออฟโรด เรียกได้ว่าสามารถพาไปได้ทุกที่

นิสสันระบุว่า แนวคิดนี้ช่วยให้ผู้โดยสารสามารถทำงานได้ทุกที่ แถมยังสามารถปรับให้เข้ากับสไตล์การทำงานของตัวเองได้อีกด้วย เรียกได้ว่าขับไปเรื่อย ๆ เจอที่ไหนวิวดีน่านั่งทำงานก็ปักหลักตรงนั้นได้เลย อย่างไรก็ตาม รถตู้รุ่น NV350 ยังเป็นเพียงแค่แนวคิดเท่านั้น ใครที่สนใจอาจต้องอดใจรอสักหน่อยนะ

Source

]]>
1315896
ปิดฉาก “นิสสัน เอ็กซ์เทรล-เทียน่า-ซิลฟี่” บริษัทแจ้งดีลเลอร์ยุติทำตลาด ปรับพอร์ตสินค้า https://positioningmag.com/1295752 Mon, 07 Sep 2020 16:26:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1295752 จดหมายหลุดว่อนเน็ต หลังนิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) ส่งจดหมายแจ้งผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศ ยุติการจำหน่ายรถยนต์ทั้ง 3 รุ่น เอ็กซ์เทรล (X-Trail), เทียน่า (Teana) , ซิลฟี่ (Sylphy) ย้ำมีอะไหล่สำรองครบพร้อมการรับประกันตามเงื่อนไข ระบุมีรถรุ่นใหม่มาทำตลาดแทนแน่นอน

เอกสารภายในของนิสสันหลุดเผยแพร่บนโลกออนไลน์ เนื้อหาระบุให้ตัวแทนจำหน่ายนิสสัน ทั่วประเทศไทยทราบถึง การยุติการผลิต และจำหน่ายรถยนต์ 3 รุ่นได้แก่ เอ็กซ์เทรล, เทียน่า, ซิลฟี่ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

“เนื่องจากทางบริษัทฯ ได้มีการปรับเปลี่ยนแผนดำเนินงานทางการตลาดและการขายในประเทศไทย เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานระยะยาวของกลุ่ม บริษัท นิสสัน มอเตอร์ ในภูมิภาคเอเชีย โดยได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าในกลุ่มภูมิภาคเอเชีย และจะมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับรถยนต์ในกลุ่มรถยนต์ขนาดเล็ก รถยนต์อเนกประสงค์ขนาดเล็ก และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ รวมถึงรถยนต์พลังงานทางเลือกและพลังงานไฟฟ้าในอนาคต

ทางบริษัท จึงขอแจ้งการหยุดการผลิตและยกเลิกการจัดจำหน่ายรถยนต์ Nissan X-Trail, Teana , Sylphy ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2563 เป็นต้นไป ซึ่งทางบริษัท ใคร่ขอความร่วมมือจากผู้จัดจำหน่าย ตามรายละเอียดด้านล่างดังนี้

นิสสัน เอ็กซ์เทรล

การขายและการตลาด

หลังจากที่ท่านผู้จำหน่ายได้จำหน่ายรถยนต์ดังกล่าวหมดแล้วนั้น ใคร่ขอให้ดำเนินการหยุดการโฆษณาประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับรถยนต์รุ่นดังกล่าว รวมถึงทำลายสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ อาทิ โบรชัวร์ , ใบราคา , เสาธงญี่ปุ่นและอุปกรณ์ส่งเสริมการขายในโชว์รูม เป็นต้น

การบริการหลังการขาย

ทางบริษัทฯ ยังคงดำเนินการรักษาการรับประกันตามเงื่อนไขที่ลูกค้าได้รับอย่างครบถ้วน รวมถึงทางโรงงานยังมีการส่งมอบอะไหล่ให้กับทางผู้จัดจำหน่าย เพื่อซ่อมบำรุงรถยนต์รุ่นดังกล่าวได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงใคร่ขอความร่วมมือจากทางผู้จัดจำหน่าย สื่อสารกับทางลูกค้าให้ชัดเจนเกี่ยวกับเงื่อนไขและแนวทางการดำเนินงานต่างๆ อย่างครบถ้วน เมื่อลูกค้าเข้ามารับบริการซ่อมบำรุงหรือการเปลี่ยนแปลงอะไหล่ เพื่อรักษาและดูแลลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจกับบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) และท่านผู้แทนจำหน่ายด้วยดีเสมอมา”

นิสสัน เทียน่า

อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามไปยังผู้รับผิดชอบของบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) ระบุว่า เนื้อหาดังกล่าวเป็นจดหมายภายในของนิสสัน ซึ่งส่งให้กับดีลเลอร์จริง แต่ยังไม่สามารถให้ความเห็นใดๆ ได้ในขณะนี้ โดยระบุได้เพียงว่า ขอให้มั่นใจว่านิสสันมีการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง และจะมีการออกรถยนต์รุ่นใหม่ในอนาคตอย่างแน่นอน

]]>
1295752
5 เรื่องน่ารู้ “นิสสัน” เปลี่ยนโลโก้ใหม่ในรอบ 20 ปี ประเดิม “นิสสัน อริยะ” รุ่นแรก https://positioningmag.com/1288124 Fri, 17 Jul 2020 05:02:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1288124 ถึงคราวของค่ายรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น “นิสสัน” ในการปรับเปลี่ยนโลโก้ใหม่ เพื่อให้เข้ากับยุคสมัย ในครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนโลโก้ในรอบ 20 ปี มีความทันสมัยมากขึ้น เริ่มใช้ในเดือนกรกฎาคม 2563 ประเดิม “นิสสัน อริยะ” รุ่นแรก

5 เรื่องน่ารู้ นิสสันเปลี่ยนโลโก้ใหม่

1. การเดินทางสู่ยุคใหม่

ความหมายของโลโก้ใหม่ของ นิสสัน ได้รับการออกแบบเพื่อสื่อถึง “การเดินทางสู่ยุคใหม่” นั่นหมายความว่ารวมไปถึงเป้าหมาย ทิศทางขององค์กรที่จะขับเคลื่อนเป็นยานยนต์แห่งอนาคตด้วยเช่นกัน

ชื่อของบริษัทยังคงอยู่ที่ศูนย์กลางของโลโก้ สื่อให้มีการจดจำได้โดยทันที พร้อมช่วยบอกเล่าเหตุการณ์สำคัญ และความทรงจำในอดีต พร้อมๆ กันกับการถ่ายทอดวิวัฒนาการต่างๆ ของแบรนด์

การเริ่มต้นยุคใหม่ที่ว่านี้ มีทั้งการสื่อสารในโลกดิจิทัลที่มากขึ้น รวมถึงการเดินทางในยุคของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่จะกลายเป็นการเดินทางในอนาคตของผู้บริโภคต่อไปก็ว่าได้ ซึ่งนิสสันเองก็ได้ออกรุ่นใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง

2. สื่อชัดเจนขึ้น แม้บนโลกดิจิทัล

จุดประสงค์หลักของโลโก้นี้จะสะท้อนถึงเอกลักษณ์ของนิสสันได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นบนโลกดิจิทัล

นิสสันมองว่ามีปฏิสัมพันธ์กับทุกคนมากขึ้นกว่าเดิม ผู้คนเติบโตพร้อมไปกับการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร โอกาส และใช้ชีวิตบนโลกดิจิทัลเทียบเท่ากับการดำเนินชีวิตประจำวัน ดังนั้นแบรนด์จะแข็งแกร่งได้จะต้องสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์กับทั้งสองโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา โลโก้ที่ปรากฏโฉมของนิสสันเป็นสัญลักษณ์สำหรับยานยนต์ และอื่นๆ อีกมากมาย โลโก้เป็นเครื่องแสดงถึงตัวตน เป็นตัวแทนของนามบัตร การจับมือ และการทักทายในครั้งแรกระหว่างลูกค้า กับประสบการณ์ในการขับขี่ที่ตื่นเต้นเร้าใจของรถยนต์นิสสัน โลโก้ของนิสสันยังคงมุ่งมั่นกับค่านิยมที่สืบทอดจากโยชิสุเกะ ไอคาวะ ผู้ก่อตั้ง ที่ว่า “Shisei tenjitsu o tsuranuku” ซึ่งหมายถึง “ถ้าคุณมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า มันก็ทำให้คุณก้าวไปได้ถึงดวงอาทิตย์”

3. ยังคงมีดวงอาทิตย์

โลโก้ใหม่นี้ยังคงมีวงกลมที่เปรียบเหมือนพระอาทิตย์อยู่ และคาดด้วยตัวอักษร NISSAN ที่เป็นชื่อแบรนด์ ที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 1988 แต่เปลี่ยนจาก 3 มิติ สีเงิน มาเป็น 2 มิติ สีดำ และตัดกรอบรอบๆ ออก เป็นโลโก้ที่ไม่มีแสงตกกระทบก็ยังสื่อสารได้

โลโก้เก่า

4. วางแผนมา 2 ปี

กระบวนการออกแบบของโลโก้นี้เริ่มต้นขึ้นในช่วงฤดูร้อนของปี 2017 เมื่อ อัลฟอนโซ อัลบายซ่า รองประธานอาวุโสด้านการออกแบบระดับโลกของนิสสัน เริ่มศึกษาการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นกับโลโก้ และเอกลักษณ์ของแบรนด์นิสสัน เขาตั้งทีมออกแบบที่นำโดย ซึโตมุ มัตซึโอะ รองผู้จัดการทั่วไปฝ่ายออกแบบขั้นสูงของนิสสัน เพื่อศึกษาทุกอย่างตั้งแต่วิวัฒนาการที่ลึกซึ้งจนถึงการคิดค้นใหม่อย่างสมบูรณ์

อัลบายซ่า เสนอคำหลักที่สำคัญคือ “บาง เบา และมีความยืดหยุ่น หรือ thin, light and flexible” และแต่งตั้ง มัตสึโอะ และทีมของเขาในภารกิจนี้

“แรงบันดาลใจมาจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการเชื่อมต่อ สิ่งเหล่านี้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานให้กับลูกค้าของเราได้อย่างไร อย่างที่คุณได้จินตนาการ วิสัยทัศน์ของโลกดิจิทัลเริ่มอยู่ร่วมกับวิถีชีวิตของเรา”

ในอีก 2 ปีข้างหน้า ทีมได้ร่างแบบ และวางแผนซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยคำนึงถึงคำกล่าวของ มร. ไอคาวะ ที่ว่า “ต้องมีความกระตือรือร้น ต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง ต้องกล้าท้าทายสิ่งใหม่ ๆ”

ทีมต้องพิจารณาตัวแปรมากมาย รวมถึงการตัดสินใจก่อนกำหนดแบบเพื่อให้โลโก้ส่องสว่างขึ้นในรถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นที่กำลังจะมา สิ่งนี้นำมาซึ่งข้อเสนอที่มีความท้าทายด้านเทคนิค เช่น การวัดความหนาของโครงร่างของโลโก้เพื่อให้แน่ใจว่า จะได้ภาพที่คมชัดเมื่อมีแสงสว่าง และสอดคล้องกับกฎระเบียบของภาครัฐบาลสำหรับองค์ประกอบที่มีเรืองแสงบนรถยนต์ โดยโลโก้จำเป็นต้องสร้างความประทับใจอย่างมากเมื่อไม่ได้รับแสง ตัวอย่างเช่นเมื่อมันปรากฏตัวในรูปแบบดิจิทัลหรือบนกระดาษ

ไม่ว่าจะเป็นการวางบนสื่อใดๆ โลโก้ใหม่นี้จำเป็นต้องบ่งบอกถึงความเป็นนิสสันอย่างชัดเจน หลังจากสเก็ตช์ภาพและการทำแบบจำลองนับครั้งไม่ถ้วน ผลลัพธ์ที่ได้คือโลโก้ ที่มีความน่าประทับใจแบบ 2 มิติ (2-D) ดูทันสมัยมากขึ้น มีความยืดหยุ่นในการใช้จริงทุกรูปแบบ การสเก็ตช์แบบเริ่มจากภาพ 3 มิติ ก่อนจะพัฒนาให้เป็นแบบ 2 มิติ โลโก้ต้องสามารถเรืองแสงถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ต้น เพื่อให้การกระจายแสงเป็นตัวแทนของแบบโลโก้ 2 มิติ

5. ประเดิมนิสสัน อริยะ รุ่นแรก

โลโก้ใหม่จะเริ่มปรากฏในเดือนกรกฎาคม ทั้งในรูปแบบดิจิทัล และแบบดั้งเดิม รถยนต์ไฟฟ้าของนิสสันจะมีโลโก้ไฟที่เรืองแสงอันเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ โดยที่มีหลอดไฟแบบ LED จำนวน 20 ดวง (ตรงกับจำนวนปีที่มีการปรับโลโก้) ซึ่งเป็นภาพที่ย้ำถึงความโดดเด่น และแสดงถึงว่านิสสันกำลังมุ่งสู่อนาคตของยานยนต์ไฟฟ้า

จากนั้น โลโก้ใหม่จะปรากฏบนสื่อต่างๆ ตั้งแต่หัวจดหมาย และสัญลักษณ์ของผู้จำหน่ายไปจนถึงโซเชียลมีเดีย และสื่อโฆษณาแบบดิจิทัล

ได้ประเดิมโลโก้ใหม่กับ “นิสสัน อริยะ” ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อไม่นานมานี้ เป็นครอสโอเวอร์ไฟฟ้าคันแรกของแบรนด์ที่ถูกตกแต่งด้วยโลโก้ใหม่ ในฐานะที่เป็นไอคอนใหม่ของการขับเคลื่อนอัจฉริยะของนิสสัน หรือ Nissan Intelligent Mobility

]]>
1288124
“นิสสัน” เปิดแผน 4 ปีกู้วิกฤตขาดทุนใหญ่ ปิดโรงงานอินโดนีเซีย ย้ายฐานมาไทย https://positioningmag.com/1281278 Sat, 30 May 2020 16:31:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1281278 นิสสัน มอเตอร์ ประกาศแผนการ 4 ปีข้างหน้า หลังขาดทุนบักโกรกกว่า 6.7 แสนล้านเยน เผยแผนลดต้นทุน ลดกำลังการผลิต 20% เหลือ 5.4 ล้านคัน/ปี พร้อมปรับแผนการผลิตใหม่ ยุติทำตลาดที่เกาหลีใต้ ปิดโรงงานที่สเปนและอินโดนีเซีย โดยยกไทยเป็นฐานผลิตเดียวของอาเซียน ขณะที่ นิสสัน ไทยขานรับทันทีพร้อมเปิดไลน์การผลิตที่ 2 ในวันที่ 1 มิถุนายน 2563

รายงานข่าวจาก นิสสัน มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น ระบุว่า นิสสันประกาศแผนการดำเนินงานปรับโครงสร้างทางธุรกิจใหม่ระยะยาว 4 ปีนับจากนี้ โดยจะมุ่งเน้นไปที่การลดค่าใช้จ่าย ตัดส่วนธุรกิจที่ไม่สามารถทำกำไรออกไป และปรับลดการผลิต การลงทุนให้สอดคล้องกับการเติบโต หลังผลประกอบการประจำปี 2019 (1 เมษายน 2019 – 31 มีนาคม 2020) ขาดทุนกว่า 671,200 ล้านเยน (ราว 22,300 ล้านบาท)

“การเปลี่ยนแผนการดำเนินงานของนิสสันในครั้งนี้ เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน แทนที่การสร้างยอดขายให้มากขึ้นเพียงอย่างเดียว เราจะมุ่งไปที่ความสามารถหลักและเสริมสร้างคุณภาพให้กับธุรกิจ โดยรักษาระเบียบวินัยทางการเงิน พร้อมกับมุ่งเน้นไปที่การสร้างรายได้สุทธิต่อหน่วยเพื่อทำกำไรตามเป้าหมายที่วางเอาไว้” มาโคโตะ อูชิดะ ประธานเจ้าหน้าบริหาร นิสสัน กล่าว

แผนงานดังกล่าวประกอบไปด้วย

  • ลดจำนวนรุ่นรถที่จำหน่ายลงจาก 69 รุ่นเหลือ 55 รุ่น
  • การตัดรายจ่ายประจำลง 300,000 ล้านเยน (ประมาณ 10,000 ล้านบาท)
  • ลดกำลังการผลิตรวมทั้งแบรนด์ลงประมาณ 20% เหลืออยู่ที่ 5.4 ล้านคันต่อปี
  • ใช้ประโยชน์ให้เต็มความสามารถของกำลังการผลิตที่มีอยู่
  • ยุติการทำตลาดที่เกาหลีใต้ และยุติการทำตลาดแบรนด์ดัทสันในรัสเซีย รวมถึงการปิดโรงงานบางแห่ง

สำหรับการปิดโรงงานจะเริ่มต้นด้วยโรงงานนิสสันที่ บาเซโลนา ประเทศสเปน พร้อมกับการปิดไลน์การประกอบรถยนต์ที่ประเทศอินโดนีเซีย และย้ายฐานการผลิตมาให้ประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินการแทนทั้งหมด โดยตั้งให้ประเทศไทยเป็นศูนย์การผลิตแห่งเดียวรองรับตลาดอาเซียน

ขณะเดียวกัน นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย ขานรับการย้ายฐานผลิตดังกล่าวด้วยการประกาศกลับมาเริ่มเปิดสายการผลิตของโรงงานที่ 2 ในวันที่ 1 มิถุนายนนี้ หลังจากที่ปิดการผลิตชั่วคราวเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19

ที่มา : Facebook Nissan

โดยกำลังการผลิตรวมของโรงงานนิสสัน ประเทศไทยนั้นมีสูงสุดถึง 370,000 คัน/ปี และปัจจุบันผลิตรถเพื่อส่งออกจำนวน 6 รุ่นจำหน่ายไปยัง 115 ประเทศทั่วโลก ซึ่งมีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ล่าสุดคือ นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ ที่มีการยืนยันว่าจะผลิตเพื่อส่งออกด้วย

สำหรับรถรุ่นใหม่อื่นๆ นิสสัน มอเตอร์ ประกาศว่า มีการเตรียมเปิดตัวรถยนต์ 12 รุ่น ภายใน 18 เดือนนับจากนี้ โดยจะมีการมุ่งเน้นไปที่รถในกลุ่ม C และ D เซ็กเมนต์รถสปอร์ตและรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่รวมถึงรถที่ใช้เทคโนโลยี อี-พาวเวอร์ ซึ่งตั้งเป้าจำหน่ายรวม 1 ล้านคันภายในปี 2566

Source

]]>
1281278