ปศุสัตว์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 26 Jan 2023 05:03:51 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สายเนื้อก็รักษ์โลก! สตาร์ทอัพออสซี่กำลังพัฒนา “อาหารวัว” ที่ช่วยลดการ “เรอ-ตด” ก๊าซมีเธน https://positioningmag.com/1416735 Thu, 26 Jan 2023 04:47:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1416735 สายเนื้อจะห้ามใจหันไปกิน plant-based ได้อย่างไร แต่สิ่งแวดล้อมก็ต้องรักษาไว้ ทำให้สตาร์ทอัพชื่อ Rumin8 เริ่มพัฒนา “อาหารวัว” ที่จะช่วยลดการเรอและผายลมในวัว ต้นเหตุของก๊าซมีเธนตัวการโลกร้อน

Rumin8 เป็นสตาร์ทอัพที่ก่อตั้งในเมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย โดยเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีเป้าหมาย ‘ลดการปล่อยก๊าซมีเธน’ มีโปรดักส์หนึ่งที่น่าสนใจคือการพัฒนา “อาหารวัว” ที่ทำมาจากสาหร่ายทะเล ซึ่งจะช่วยให้วัวที่กินเข้าไปลดการผายลมและการเรอได้

สตาร์ทอัพรายนี้เพิ่งจะระดมทุนเฟส 2 ในรอบ Seed Stage ไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (23 มกราคม 2023) โดยได้รับเงินลงทุนไป 25 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 581 ล้านบาท) ที่น่าสนใจคือ นักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในรอบนี้ก็คือ Breakthrough Energy Ventures หรือ BEV ซึ่งเป็นบริษัทลงทุนในสตาร์ทอัพของ “บิล เกตส์”

Rumin8 ระบุว่าเงินทุนในรอบนี้จะถูกนำไปใช้สร้างสายการผลิตเบื้องต้น และเริ่มการทดลองขายอาหารวัวดังกล่าวในเชิงพาณิชย์

ทำไมการลดการตดและเรอของวัวจึงสำคัญ? คำตอบคือ ในการตดและเรอของวัวนั้นจะมีก๊าซมีเธนออกมาด้วย และก๊าซมีเธนนี้มีศักยภาพในการกักเก็บความร้อนในชั้นบรรยากาศมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25 เท่า (ข้อมูลจากสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา)

การทำปศุสัตว์นั้นคิดเป็นสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในโลกนี้ถึง 15% ทำให้การทำฟาร์มสัตว์ขนาดใหญ่ทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงการลดผลกระทบของธุรกิจตัวเองต่อโลก โดยต้องแก้โจทย์ให้ได้ว่าจะทำอย่างไรถึงเลี้ยงสัตว์ได้อย่างยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม

สัปดาห์ก่อนนี้ บิล เกตส์ ก็เพิ่งจะเข้าไปตอบคำถามใน Reddit Ask Me Anything เกี่ยวกับเนื้อสัตว์ที่รักษ์โลกมากขึ้น โดยเขาเล่าถึงกระแสนี้ว่า “มีบริษัทมากมายที่กำลังผลิต ‘เนื้อ’ ในวิถีทางใหม่ หลายคนกำลังหาทางเพื่อที่จะยังเลี้ยงวัวได้อยู่แต่ลดการปล่อยก๊าซมีเธนแทน ผมคิดว่าสินค้าพวกนี้จะค่อยๆ กลายเป็นสินค้าที่ดีมาก แม้ว่าวันนี้ส่วนแบ่งในตลาดของพวกเขาจะยังเล็กอยู่”

ไม่ได้มีแค่ Rumin8 หรือ BEV เวนเจอร์แคปปิตอลของเกตส์ ที่สนใจเรื่องการลดก๊าซมีเธนจากตดและเรอของวัว เมื่อสัปดาห์ก่อน Danone บริษัทยักษ์ใหญ่ในธุรกิจอาหารจากฝรั่งเศส ก็ให้คำมั่นว่า บริษัทจะลดการปล่อยก๊าซมีเธนจากฟาร์มวัวนมของตนเองให้ได้ 1 ใน 3 ส่วนภายในสิ้นทศวรรษนี้

รวมถึง “นิวซีแลนด์” ประเทศผู้ส่งออกเนื้อวัวรายใหญ่ ก็กำลังจะเสนอร่างกฎหมายเพื่อ “เก็บภาษีจาก ‘เรอ’ ของปศุสัตว์” ภายในปี 2025!

Source

]]>
1416735
“เบทาโกร” เปิดขายหุ้น IPO เคาะราคา 40 บาท ระดมทุน 2 หมื่นล้าน หุ้นอาหารที่ใหญ่ที่สุดของไทย https://positioningmag.com/1403364 Wed, 05 Oct 2022 09:25:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1403364 “เบทาโกร” (BTG) เตรียมเปิดจองซื้อหุ้น IPO วันที่ 10-17 ตุลาคมนี้ จำนวน 500 ล้านหุ้น เคาะราคาที่ 40 บาทต่อหุ้น มูลค่าการระดมทุน 20,000 ล้านบาท ขึ้นแท่นหุ้น IPO หมวดอุตสาหกรรมอาหารที่ใหญ่ที่สุดของไทย วัตถุประสงค์ระดมทุนเพื่อขยายฟาร์มและโรงงานใหม่

บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ “BTG” เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 500 ล้านหุ้น (รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) พร้อมกำหนดราคาเสนอขายที่ 40.00 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าการเสนอขายรวมไม่เกิน 20,000 ล้านบาท (รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน)

หากมีการจองซื้อเต็มจำนวน จะนับเป็น IPO ของหุ้นในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารที่มีมูลค่าเสนอขายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดทุนไทย และเป็นหุ้น IPO ครั้งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำปีนี้

โดยขณะนี้มีนักลงทุนสถาบันจำนวนรวม 25 ราย ลงนามในสัญญาลงทุนในหุ้น BTG เพื่อเป็น Cornerstone Investors คิดเป็นประมาณ 77.1% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายให้แก่นักลงทุนสถาบันในเบื้องต้น (ไม่รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน)

สำหรับนักลงทุนที่เป็นลูกค้าของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์สามารถจองซื้อหุ้นได้ในระหว่างวันที่ 10 – 12 และ 17 ตุลาคม 2565 และคาดว่าหุ้น BTG จะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันแรก วันที่ 2 พฤศจิกายนนี้

จุดประสงค์ของการระดมทุนของเบทาโกรนั้น จะนำไปเป็นทุนในการขยายฟาร์มและโรงงานแห่งใหม่ ไม่ว่าจะด้วยการเข้าซื้อกิจการหรือก่อสร้างใหม่ คาดว่าจะมีการใช้เงินลงทุนในส่วนนี้ประมาณ 5,000 ล้านบาทต่อปี ไปจนถึงปี 2569 ส่วนจุดประสงค์การใช้เงินระดมทุนอื่นๆ จะนำไปชำระหนี้สินของบริษัทและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน

 

มีครบต้นน้ำถึงปลายน้ำ

“วสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงพื้นฐานธุรกิจของ BTG ว่า บริษัทก่อตั้งมายาวนาน 55 ปี ปัจจุบันทำธุรกิจเกษตรและอาหารตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ถึงปลายน้ำ โดยมีการจำหน่ายทั้งในไทยและส่งออกไปต่างประเทศรวม 20 ประเทศ เช่น อังกฤษ สหภาพยุโรป จีน แคนาดา ฯลฯ

ธุรกิจของเบทาโกรแบ่งได้เป็น 4 ส่วนสำคัญ คือ

1.ธุรกิจกลุ่มอาหารและโปรตีน ได้แก่ เนื้อหมู เนื้อไก่ ไข่ไก่ ปลา ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป และผลิตภัณฑ์อาหารทางเลือก (สัดส่วน 68% ของรายได้รวม)

2.ธุรกิจเกษตร ได้แก่ อาหารสัตว์ เวชภัณฑ์สัตว์ อุปกรณ์เลี้ยงสัตว์ และบริการแล็บ (สัดส่วน 25% ของรายได้รวม)

3.ธุรกิจต่างประเทศ หมายถึง การเข้าลงทุนตลอดซัพพลายเชนในต่างประเทศ ปัจจุบันมีการลงทุนแล้วในลาว กัมพูชา และเมียนมา (สัดส่วน 5% ของรายได้รวม)

4.ธุรกิจสัตว์เลี้ยง ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยง ขนมขบเคี้ยวสัตว์เลี้ยง ผลิตภัณฑ์ดูแลสัตว์เลี้ยง (สัดส่วน 2% ของรายได้รวม)

ช่วงครึ่งปีแรก 2565 บริษัททำรายได้รวม 53,285 ล้านบาท เติบโต 24.9% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และทำกำไรสุทธิ 3,893 ล้านบาท เติบโต 233.1% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้ รายได้ของเบทาโกรย้อนหลัง 3 ปี (2562-64) มีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.3%

 

ทิศทาง “เบทาโกร” สร้างแบรนด์ให้แข็งแรงยิ่งขึ้น

“เราเข้าใจความผันผวนของอุตสาหกรรมนี้เพราะเราอยู่มา 55 ปี สิ่งที่เราจะเอาชนะความผันผวนได้ คือ เรามีการสร้างแบรนด์เพื่อทำให้ความผันผวนของราคาลดลง เราเน้นการขายเนื้อสัตว์ที่แปรรูปแล้วมากกว่าการขายสัตว์เป็น” วสิษฐกล่าว เมื่อถูกถามถึงการถูกมองว่าเบทาโกรจะเป็นหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีความผันผวนสูงหรือไม่

การปั้นแบรนด์เองของเบทาโกรเกิดขึ้นมากว่า 15 ปี และทำให้บริษัทมีความแข็งแรงในตลาดมากกว่าเดิมที่ยังไม่มีแบรนด์ โดยเบทาโกรมีแบรนด์สินค้าทุกกลุ่มไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเกษตร ธุรกิจอาหารและโปรตีน และธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และมีการจัดแบรนด์ครอบคลุมเซกเมนต์ตั้งแต่ระดับพรีเมียม ระดับมาตรฐาน และระดับคุ้มค่า

IPO เบทาโกร

ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจอาหารและโปรตีน จะมีแบรนด์ S-Pure และ ITOHAM อยู่ในกลุ่มพรีเมียม ส่วนแบรนด์ Betagro จะอยู่ในตลาดมาตรฐาน ขณะที่แบรนด์ เช่น บี-วัน จะเป็นตลาดคุ้มค่า

นอกจากการปั้นแบรนด์ให้แข็งแกร่งทั้งในไทยและต่างประเทศแล้ว วสิษฐยังกล่าวถึงธุรกิจที่จะเป็น New S-Curve ในอนาคต ได้แก่ การเปิดแบรนด์อาหารโปรตีนทางเลือก “Meatly” และการร่วมทุนกับ Kerry สร้างธุรกิจจัดส่งสินค้าที่ต้องแช่เย็น “Kerry Cool” ซึ่งถือเป็นการเติมแวลูเชนของบริษัท

อนาคตที่เบทาโกรกำลังศึกษาเพิ่มเติมของธุรกิจใหม่ คือการหาทางเข้าสู่ตลาดอาหารที่สามารถเก็บได้เป็นระยะเวลานานโดยไม่ต้องแช่เย็น มีอายุยาวนาน ซึ่งจะทำให้ส่งออกต่างประเทศได้ง่ายขึ้นด้วย (ปัจจุบันอาหารของเบทาโกรเป็นอาหารแช่เย็นและแช่แข็ง)

ส่วนทิศทางในระยะยาว ปัจจุบันตลาดโลกมองถึงอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ว่าเป็นตัวการการปล่อยคาร์บอน ซึ่งเบทาโกรไม่ได้นิ่งนอนใจ มีการศึกษาและออกผลิตภัณฑ์ Plant-based แล้วดังกล่าว อย่างไรก็ตาม วสิษฐเชื่อว่า โปรตีนทางเลือกจะไม่ได้มา ‘ดิสรัปต์’ กลุ่มโปรตีนดั้งเดิมได้ทั้งหมด เชื่อว่าอนาคตอาหารก็จะยังต้องรับประทานหมู ไก่ ไข่ ปลากันเป็นหลักเช่นเดิม

]]>
1403364
รู้จักเทคโนโลยี “สวนแนวตั้ง” ปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ปิด แก้ปัญหาเผาป่าทำเกษตร https://positioningmag.com/1306038 Sat, 14 Nov 2020 08:25:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1306038 ทุกวันนี้ฟาร์มปศุสัตว์โดยเฉพาะฟาร์มโคเนื้อ-โคนม กลายเป็นผู้ร้ายต่อสิ่งแวดล้อม เพราะวัวต้องการอาหาร นำไปสู่การถางป่า-เผาป่าเพื่อปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ ต้นตอปัญหาโลกร้อน ทำให้ Grov สตาร์ทอัพในสหรัฐฯ ดัดแปลงเทคโนโลยี “สวนแนวตั้ง” มาใช้ในระดับอุตสาหกรรม ปลูกข้าวบาร์เลย์-ข้าวสาลีเลี้ยงวัว ลดการใช้พื้นที่ทำเกษตรกรรม

เทคโนโลยี “สวนแนวตั้ง” หรือสวนที่ปลูกในที่ร่มไม่ใช่เรื่องใหม่ มีสตาร์ทอัพและบริษัทจำนวนมากคิดค้นสูตรเพื่อปลูกพืชแนวตั้ง แต่ส่วนใหญ่จะมุ่งไปที่ “ผักสลัด” สำหรับมนุษย์บริโภค แต่สตาร์ทอัพ Grov Technologies ไม่คิดเช่นนั้น พวกเขานำเทคโนโลยีสวนแนวตั้งมาใช้สำหรับปลูกข้าวบาร์เลย์และข้าวสาลีไว้เลี้ยงวัว

ในพื้นที่ฟาร์มวัวแห่งหนึ่งของรัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา มีตึกลักษณะคล้ายเต็นท์ยักษ์แห่งหนึ่งที่ด้านในบรรจุหอสูง 10 แท่ง สูงแท่งละ 25 ฟุต (ประมาณ 7.5 เมตร) เพื่อปลูกธัญพืชไว้เลี้ยงวัวที่เดินอยู่ด้านนอก บริษัท Grov รายงานว่า หอแต่ละแท่งใช้พื้นที่ 850 ตารางฟุตเท่านั้น (ประมาณ 79 ตารางเมตร) แต่สามารถปลูกข้าวบาร์เลย์ได้เทียบเท่ากับที่ปลูกบนพื้นราบเนื้อที่ 35-50 เอเคอร์ (ประมาณ 88-126 ไร่) แถมยังใช้น้ำเพียง 5% ของที่เคยใช้เมื่อปลูกพืชตามวิธีปกติ

หอสำหรับปลูกพืชในร่ม (Photo : Grov Technologies)

กระบวนการทั้งหมดเป็นระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์จะเทเมล็ดพันธุ์ 4 ปอนด์ลงในแต่ละถาด และส่งถาดนั้นเข้าสู่ระบบ เซ็นเซอร์จะคอยมอนิเตอร์สภาวะของพืชในถาดและให้แสงกับน้ำที่เพียงพอ จนกระทั่งเติบโตถึงจุดที่เหมาะสมก็จะเก็บเกี่ยวอัตโนมัติเช่นกัน ทำให้ฟาร์มไม่จำเป็นต้องหาคนงานเพิ่มเติมมาดูแลระบบ บริษัทระบุว่า โดยเฉลี่ยระบบนี้จะใช้เวลา 6 วันครึ่งในการปลูกพืชแต่ละรอบ

นอกจากนี้ Grov ยังพยายามลดต้นทุนให้มากที่สุดที่ทำได้ เช่น แสงไฟฟ้าสำหรับปลูกพืชจะไม่ส่งความร้อนออกมาด้วยเพื่อเลี่ยงปัญหาค่าไฟพุ่งทะยานจากการทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ และบริษัทยังทำระบบให้สามารถใช้พลังงานหมุนเวียนได้ด้วย

 

ประหยัดพื้นที่ ลดการถาง-เผาป่าปลูกพืช

“สตีฟ ลินด์สลีย์” ประธานบริษัท Grov Technologies กล่าวว่า ปัจจุบันการใช้ที่ดินของสหรัฐฯ ราว 41% ของประเทศใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ และดีมานด์เพื่อใช้ที่ดินไปในทิศทางนั้นยังคงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ที่ดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูกโดยเฉพาะสำหรับพืชเลี้ยงสัตว์กำลังลดน้อยลงเรื่อยๆ

(Photo : Twitter@GrovTech

ดังนั้น ในบางพื้นที่ของประเทศ จะมีการถางป่าหรือเผาป่าเพื่อนำมาใช้ปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ประเภทโคหรือไก่ “เทคโนโลยีนี้เห็นได้ชัดว่าจะมีประโยชน์ยิ่งต่อสิ่งแวดล้อม เราคิดว่ามันจะมีความหมายอย่างลึกซึ้งในการพัฒนา เมื่อคุณคิดถึงการทำลายป่าเพื่อเหตุนี้ที่เกิดขึ้นทั่วโลก” ลินด์สลีย์กล่าว

เมื่อใช้ที่ดินน้อยลง น่าจะช่วยบรรเทาปัญหาจากการทำปศุสัตว์และเกษตรกรรมในขณะนี้ได้ ยกตัวอย่างเช่น ประเทศจีน เป็นกลุ่มทุนที่เข้าซื้อที่ดินเกษตรกรรมทั่วโลกเพื่อปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ส่งกลับประเทศตัวเอง รวมถึงที่สหรัฐฯ ด้วย
ดังนั้น “จีน” จะเป็นหนึ่งในประเทศสำคัญที่บริษัทนี้บุกเข้าตลาด เพื่อแนะนำระบบการปลูกพืชเลี้ยงสัตว์โดยตรงเข้าสู่ฟาร์ม ไม่ต้องเสียทั้งที่ดินและเชื้อเพลิงเพื่อขนส่งข้ามโลก

 

โต้กลับกลุ่มอาหาร Plant-based

จากการทดลองเบื้องต้นในการเลี้ยงวัวหลักร้อยตัวเมื่อปี 2019 ฟาร์มที่ทดลองใช้พบว่าพืชจากการปลูกในร่มกลับมีโภชนาการดีกว่าที่ปลูกบนพื้นที่ปกติ ทำให้วัวกินอาหารน้อยลง และลดค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก โดยที่วัวยังให้ปริมาณนมเท่าเดิม

Grov ประเมินว่าฟาร์มที่ลงทุนเทคโนโลยีนี้จะเข้าสู่จุดคุ้มทุนภายใน 3 ปี และยังลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติที่เริ่มถี่มากขึ้นทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้ง คลื่นความร้อน น้ำท่วม พายุ ฯลฯ ซึ่งมีผลต่อการปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ตามปกติ

อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้มองว่าเทคโนโลยีนี้จะมาแทนที่ฟาร์มปกติได้ทั้งหมด แต่มองว่าจะเป็นสัดส่วนอาหารที่เข้าไปผสมกับอาหารสัตว์จากแหล่งปกติ ยกตัวอย่างเช่นฟาร์มในรัฐยูทาห์ที่กล่าวข้างต้น พืชจากสวนแนวตั้งคิดเป็นสัดส่วน 15% ของอาหารทั้งหมดเพื่อเลี้ยงวัวจำนวน 2,000 ตัว ถึงแม้จะผสมเป็นสัดส่วนที่ไม่มากนัก แต่ก็มีศักยภาพพอที่จะช่วยโลกจากการถางป่า สาเหตุของโลกร้อน

ลินด์สลีย์ยังมองประโยชน์ในเชิงการค้าด้วย เพราะทุกวันนี้มีกระแสการทานอาหาร Plant-based หรือเนื้อทำจากพืชซึ่งผลิตขึ้นในห้องแล็บ โดยผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปทานอาหารประเภทนี้ ส่วนหนึ่งเพราะตระหนักถึงการทำลายสิ่งแวดล้อมในแวดวงปศุสัตว์ ดังนั้น การเปลี่ยนวิธีปลูกพืชจะเป็นการโต้กลับของกลุ่มเกษตรกรเลี้ยงสัตว์เพื่อนำผู้บริโภคกลับคืนมา

Source

]]>
1306038