พฤติกรรมผู้บริโภค – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 07 Nov 2025 13:14:06 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 คนไทย ‘กล้าใช้ กล้ากู้’ เพื่อความสุข แม้รู้ดีเศรษฐกิจไม่ดี ต้องประหยัด https://positioningmag.com/1545855 Fri, 07 Nov 2025 06:13:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1545855 สรุปผลสำรวจ ‘ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอาเซียน’ (ACSS) ประจำปี 2568 ที่ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย    ทำร่วมกับบริษัท Boston Consulting Group สะท้อนถึงพฤติกรรมการจับจ่ายและทัศนคติทางการเงินของผู้บริโภคไทยที่มีหลายประเด็นควรจับตามอง

 

แม้ไทย จะเป็นประเทศที่มี GDP ใหญ่เป็นอันดับ 2 แต่มีการเติบโตช้าสุดตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยปัจจัยที่ทำให้เกิดภาพดังกล่าว ส่วนหนึ่งมาจากความไม่แน่นอนและการไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง

 

ค่าครองชีพสูงปัจจัยที่คนไทยกังวลมากสุด

 

สำหรับความกังวลที่คนไทยกังวลมากสุดพบว่า ผู้บริโภค 61% กังวลเรื่อง ‘ค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อ, 57% กังวลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ-ภัยธรรมชาติ-มลพิษ และ 55% กังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นสูงกว่า

 

โดยค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้พฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคชาวไทยเปลี่ยนไป

 

ผู้บริโภคทั่วไป (มีรายได้ต่ำกว่า 50,000 บาท/เดือน)

-48% ติดตามการใช้จ่ายอย่างใกล้ชิด

-45% มองหาส่วนลดในการซื้อ

 

ผู้บริโภคกำลังซื้อสูง (มีรายได้มากกว่า 200,000 บาท/เดือน)

-30% ลดการใช้จ่ายสินค้าฟุ่มเฟือย

-27% มองหาแหล่งรายได้เสริม

 

กล้ากู้ กล้ายืมเพื่อประสบการณ์

 

ความน่าสนใจ แม้รู้ต้องควบคุมการใช้เงิน แต่ 3 ใน 4 ของคนไทยมองการใช้จ่ายเพื่อประสบการณ์และไลฟ์สไตล์ เป็นสิ่ง ‘จำเป็น’ มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่และผู้มีรายได้สูง ซึ่งเมื่อเจาะลึกเกี่ยวกับการจัดการด้านการเงินของทั้งสองกลุ่มพบว่า

 

คนรุ่นใหม่ : 73.5% ชอบใช้เงินในตอนนี้มากกว่ากังวลเรื่องอนาคต, 72.5% ไม่กังวลถ้าต้องยืมเงินเพื่อใช้จ่าย, 79% รู้สึกว่า ความคาดหวังทางสังคมหรือแรงกดดันจากคนรอบข้างทำให้การออมเงินเป็นเรื่องยาก

 

ผู้มีรายได้สูง : 85% ชอบใช้เงินในตอนนี้มากกว่ากังวลเรื่องอนาคต, 82% ไม่กังวลถ้าต้องยืมเงินเพื่อใช้จ่าย, 80% รู้สึกว่าความคาดหวังทางสังคมหรือแรงกดดันจากคนรอบข้างทำให้การออมเงินเป็นเรื่องยาก

สินเชื่อส่วนบุคคล-บัตรเครดิต หนี้ที่คนไทยมีมากสุด

 

ในด้านหนี้สินผลสำรวจดังกล่าวระบุว่า 3 ใน 4 ของผู้บริโภคมีสินเชื่อเฉลี่ย 2.3 รายการ โดยหนี้สินเชื่อที่พบมากสุดของคนไทย ได้แก่ สินเชื่อส่วนบุคคล 39%, สินเชื่อบัตรเครดิต 38% รองลงมา สินเชื่อรถยนต์ 31% และสินเชื่อบ้าน 21%

 

ความน่าสนใจคือ ‘แนวโน้มการกู้ยืม’ ปีนี้ผู้คนจำนวนมากหันไปพึ่งพาครอบครัวและเพื่อนฝูง เพื่อขอความช่วยเหลือทางการเงิน มากกว่าจะกู้ยืมผ่านบัตรเครดิต    

 

เมื่อถึงเวลาชำระหนี้ 80% ของผู้กู้สามารถชำระเงินคืนได้อย่างสม่ำเสมอ แต่ Gen Z มีแนวโน้มที่จะพลาดการชำระเงินบ่อยครั้ง

 

สำหรับสาเหตุของการพลาดชำระเงินมาจากขาดความเข้าใจด้านการเงินหรือทักษะการวางแผนด้านการเงิน และรูปแบบรายได้ที่ไม่สม่ำเสมอ เช่น ทำงานแบบไม่มีรายได้ประจำแน่นอน

 

 

นอกจากนั้น การสำรวจพบว่า ผู้บริโภคที่มีรายได้สูงยิ่งเข้าถึงแหล่งสินเชื่อได้มากขึ้น ซึ่งนั่นทำให้จำนวนรายการ      สินเชื่อของผู้มีกำลังซื้อสูงนั้นสูงกว่ากลุ่มทั่วไป โดยผู้มีกำลังซื้อสูงมีสินเชื่อเฉลี่ย 2.5 รายการ

 

 

ด้านแนวโน้มการกู้ยืม พบว่าการกู้ยืมจากบัตรเครดิตลดน้อยลงกว่าในปี 2567 ขณะที่การกู้ยืมจากเพื่อนและครอบครัวเพิ่มขึ้นแทน

 

ด้านการชำระหนี้ พบว่า ร้อยละ 80 ของผู้กู้สามารถชำระเงินคืนได้อย่างสม่ำเสมอ แต่กลุ่ม Gen Z มีแนวโน้มที่จะพลาดการชำระเงินบ่อยครั้งและต้องเสียค่าปรับ

การออมยังน้อย

 

ด้านความมั่นใจในการบริหารการเงินของตนเอง ผลสำรวจพบว่า ผู้บริโภคไทย 87% มีความมั่นใจในการบริหารการเงินส่วนบุคคลของตนเอง แต่มีเพียง 39% ที่มั่นใจในสถานะการเงิน และคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่และผู้มีกำลังซื้อสูง รู้สึกว่าความคาดหวังทางสังคมหรือแรงกดดันจากคนรอบข้างทำให้การออมเงินเป็นเรื่องยาก

 

นอกจากนี้ 66% ผู้บริโภคไทยพร้อมกู้ยืมเพื่อเป้าหมายทางการเงิน และ 25% ยอมกู้เพื่อใช้จ่ายในสิ่งที่อยากดี สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติซื้อสิ่งที่อยากได้ก่อนสิ่งจำเป็น ซึ่งทำให้หนี้ครัวเรือนสะสมของไทยสูงถึง 86.8%

 

]]>
1545855
เทรนด์ ‘สุขภาพ’ และ ‘ความยั่งยืน’ จุดกระแสคนรุ่นใหม่ฮิต ‘กินเจ’ https://positioningmag.com/1543670 Tue, 21 Oct 2025 08:47:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1543670 จับตาการเปลี่ยนพฤติกรรม ‘กินเจ’ ของผู้บริโภค จากกินเพื่ออิ่มบุญตามความเชื่อและพิธีกรรมทางศาสนา สู่การใส่ใจสุขภาพและให้ความสำคัญกับความยั่งยืน โดยเฉพาะในกลุ่ม ‘คนรุ่นใหม่’ ส่งผลให้ตลาดอาหารเจเติบโตและมีจำนวนคนกินเพิ่มมากขึ้น

 

ประเด็นที่น่าสนใจ คือ ปัจจุบันการบริโภคอาหารเจไม่ใช่เฉพาะช่วงเทศกาลเท่านั้น แต่เป็นการกินตลอดทั้งปี ซึ่งจากภาพดังกล่าว ผู้ประกอบการร้านอาหารเจและธุรกิจที่เกี่ยวข้องต้องวางกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับเทรนด์ที่เกิดขึ้น ทั้งการเพิ่มเมนูให้หลากหลาย มีตัวเลือกแปลกใหม่และใส่ใจสุขภาพ

 

ขณะเดียวกันก็ต้องให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นตัวสินค้า และแพ็กเกจจิ้ง ที่สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติ หรือนำกลับไปรีไซเคิลได้

 

“เดิมทีคนกินเจ คือตั้งใจทำบุญตามความเชื่อทางศาสนา แต่ตอนนี้เปลี่ยนไป คนหันมากินเจมากขึ้นเพราะเทรนด์ใส่ใจเรื่องสุขภาพ อีกส่วน มาจากการให้ความสำคัญกับความยั่งยืนทั้งด้านอาหารและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เห็นมาสักพักแล้ว

 

“และคนรุ่นใหม่ยังบริโภคอาหารเจตลอดทั้งปี ทำให้ตอนนี้อาหารเจมีการเติบโตขึ้นทุกปี อย่างซีพีแรมเอง คาดว่า ปีนี้อาหารเจของเราจะโต 25%” ธีรพันธุ์ ลักษณาภิรมย์’ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานการขายและการตลาด บริษัท ซีพีแรม จำกัด เล่าถึงเหตุผลการกินเจของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน

 

สำหรับการพัฒนาเมนูอาหารเจของซีพีแรม จะเน้นทั้งปลอดภัย อร่อย ให้ความมั่นคงและความยั่งยืนทางอาหาร เพื่อทำให้อาหารเจไม่ได้เป็นเมนูที่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลเท่านั้น แต่เป็น ‘ทางเลือกหลัก’ ที่สามารถเข้าถึงและสามารถบริโภคได้ตลอดทั้งปี อย่างปีนี้ได้พัฒนาเมนูเจกว่า 50 รายการ จากปีก่อนอยู่ที่ 40 รายการ

 

ส่วนการตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ จะเพิ่มตัวเลือกที่แปลกใหม่ มีผัก ลดโซเดียม ควบคุมความมัน ฯลฯ ควบคู่กับการใช้แพ็กเกจจิ้งที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ย่อยสลายตามธรรมชาติ หรือสามารถนำกลับไปรีไซเคิลได้

 

ขณะที่การรองรับการกินอาหารเจตลอดทั้งปี ทางซีพีแรมเองก็มีเมนูกะเพราเจ เมนูยอดฮิตสำหรับคนไทยวางจำหน่ายทั้งปีอยู่ รวมถึงมีแบรนด์ ‘วีจี ฟอร์ เลิฟ’ (VG for Love) เพื่อรองรับความต้องการนี้ เช่น ข้าวคั่วกลิ้งเจ, ข้าวราดผัดพริกแกงหมูกรอบเจ, ผัดหมี่ซั่วเจ, เส้นหมี่ผัดซีอิ๊วเจ, ข้าวกะเพราหมูกรอบวีแกน ฯลฯ

 

เทศกาลเจปีนี้เงินสะพัดกว่า 4.5 หมื่นล้าน

 

ทาง ‘ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย’ คาดการณ์มูลค่าการใช้จ่ายช่วงเทศกาลกินเจว่า จะอยู่ที่ 45,903 ล้านบาท นับเป็นการใช้จ่ายสูงสุดในรอบ 5 ปี โดยเพิ่มขึ้น 2% จากเทศกาลเจในปี 2567 ที่มีมูลค่าการใช้จ่ายอยู่ประมาณ 45,003 ล้านบาท

 

สิ่งที่น่าจับตาคือ การกินเจในอนาคตมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดย 57.5% ตอบว่าเคยกินเจ อีก 42.5% แม้จะตอบว่า ‘ไม่เคยกิน’ แต่เมื่อเจาะลึกลงไปในรายละเอียดจะพบว่า 83% ของกลุ่มนี้มีแนวโน้มจะกินในปีนี้

สำหรับปัจจัยที่ใช้ในการเลือกซื้ออาหารเจ

อันดับ 1 ความสะอาด 

อันดับ 2 ปลอดภัยต่อสุขภาพ 

อันดับ 3 ความสะดวก 

อันดับ 4 ความสะดวก 

อันดับ 5 ความหลากหลาย 

 

จากข้อมูลดังกล่าว ผู้ประกอบการร้านอาหารเจและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง สามารถใช้กลยุทธ์เพื่อรับมือกับพฤติกรรมผู้บริโภค ด้วยกลยุทธ์ Value for Money การนำเสนออาหารที่มีราคาคุ้มค่า เช่น เมนูราคาพิเศษ ชุดอาหารสำหรับครอบครัว หรือจัดโปรโมชั่น เป็นต้น 

 

รวมถึงนำเสนออาหารที่มีคุณค่าทางอาหารและดีต่อสุขภาพหลากหลาย เช่น อาหารที่มีวัตถุดิบทางเลือกใหม่ ๆ เช่น Plant-based Meat ผักและธัญพืช เป็นต้น

]]>
1543670
‘เศรษฐกิจ’ ยังไม่มีความหวัง ทำคนไทยกลัว ‘ตกงาน’ ชะลอการใช้จ่าย https://positioningmag.com/1530643 Sun, 20 Jul 2025 15:23:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1530643 เพราะยังเห็นวี่แววว่า ‘เศรษฐกิจจะดีขึ้น’ แถมมองประเทศกำลังไปผิดทาง ทำให้คนไทยกังวลกลัว ‘ตกงาน’ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเกิดขึ้นกับคน ‘ทุกกลุ่มรายได้’ ทำให้ชะลอการซื้อไม่เฉพาะของชิ้นใหญ่ แต่ลามไปถึง ‘ของใช้ทั่วไป’

 

‘บริษัท อิปซอสส์ จำกัด’ ได้จัดทำรายงาน What Worries Thailand H1 2025 ศึกษาถึงประเด็นความกังวลของคนไทยช่วงครึ่งแรกของปี 2568 พบว่า แม้ ‘ปัญหาสังคม’ จะเป็นประเด็นที่คนไทยมีความกังวลเป็นอันดับต้นๆ แต่มุมมองต่อเศรษฐกิจของคนไทย ก็มีความ ‘กังวลเพิ่มขึ้น’ อย่างมีนัยสำคัญ

 

โดย 65% มองสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบันย่ำแย่ลง เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และสถานการณ์เศรษฐกิจที่ตกต่ำนี้ส่งผลกระทบรุนแรงขึ้นใน ‘ทุกกลุ่มรายได้’ โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่อครอบครัวต่ำกว่า 60,000 บาทต่อเดือน

ชะลอการใช้จ่ายและกลัวตกงานเพิ่มขึ้น

 

มุมมองดังกล่าว ทำให้คนไทย 53% ชะลอและลังเลที่จะจับจ่าย โดยเฉพาะสินค้าชิ้นใหญ่ เช่น บ้านหรือรถยนต์ ฯลฯ เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับปีก่อน และความกังวลยังขยายไปถึงการซื้อของใช้ในบ้านทั่วไป โดย 46% ของคนไทยรู้สึกไม่สบายใจในการซื้อของใช้ในครัวเรือนอื่นๆ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 10%

 

การชะลอและการลังเลที่จะใช้จ่ายนี้ เกิดขึ้นกับทุกกลุ่มรายได้ โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนชนชั้นกลางที่มีรายได้ต่อครอบครัวประมาณ 80,000 บาทต่อเดือน

 

ขณะเดียวกัน ‘การว่างงาน’ เป็นอีกประเด็นที่คนไทยกังวลมากขึ้นเช่นกัน โดยความเชื่อมั่นด้านความมั่นคงในงานลดลงอย่างเห็นได้ชัด

 

– 59% ระบุว่า รู้จักคนที่เพิ่งตกงานในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา

– 28% แสดงความกังวลว่า ตนเองอาจประสบปัญหาการ ‘ตกงาน’ ในอีก 6 เดือนข้างหน้า

– 48% มี ‘ความมั่นใจน้อยลง’ เกี่ยวกับความมั่นคงในงานของตนเอง ครอบครัว และบุคคลใกล้ชิด เพิ่มขึ้นจากการสำรวจปีก่อนถึง 12%

– 54% มั่นใจน้อยลงกับความสามารถในการลงทุนเพื่ออนาคต ไม่ว่าจะเป็นการเกษียณอายุหรือเพื่อการศึกษาของบุตรหลาน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 15%

 

เมื่อถามถึงความหวังสถานะทางการเงินส่วนบุคคลจะดีขึ้นในอีก 6 เดือนข้างหน้าหรือไม่

 

37% ของคนไทยคาดการณ์ว่า สถานะทางการเงินส่วนบุคคลจะแข็งแกร่งขึ้นในอีก 6 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ดี ตัวเลขนี้ลดลงถึง 17% จากปีที่แล้ว ขณะที่ 59% บอกต้องใช้เวลามากกว่า 1 ปี เศรษฐกิจถึงจะกลับมา

 

มองประเทศกำลังมาผิดทาง ขอมีผู้นำกล้าแหกกฎแก้ปัญหา

 

นอกจากประเด็นความกังวลแล้ว การสำรวจยังได้สอบถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับทิศทางของประเทศ รวมถึงความเปราะบางของสังคมและประเทศ โดย

56% เห็นว่า ไทยกำลังมาผิดทาง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 13%

66% เชื่อว่าสังคมไทยกำลังตกอยู่ใน ‘ภาวะวิกฤต’

60% มองว่าประเทศกำลังอยู่ในภาวะถดถอย  

 

และเมื่อดู ‘ดัชนีชี้วัดสังคมวิกฤตของอิปซอสส์’ (Ipsos Society is Broken Index) พบว่า ไทยมีสัดส่วนอยู่ที่ 77% นับเป็นอัตราสูงสุดจาก 31 ประเทศที่ทำการสำรวจ ส่วนค่าเฉลี่ยทั่วโลกของดัชนีดังกล่าวอยู่ที่ 61%

 

นอกจากนี้ ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นถึงความต้องการของประชาชนเรียกร้องหาผู้นำที่มีความโดดเด่นและมีอำนาจในการจัดการแก้ไขปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างแท้จริง โดย

 

79% เรียกร้องให้มีผู้นำที่กล้าหาญพอจะ ‘แหกกฎ’ เพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศ  

77% สนับสนุนผู้นำที่เข้มแข็งเพื่อทวงคืนประเทศจากกลุ่มคนร่ำรวยและผู้มีอำนาจ 

 

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังของประชาชนต่อการเปลี่ยนแปลงและการแก้ไขปัญหาอย่างเด็ดขาดจากผู้นำทางการเมือง

แนะแบรนด์ต้องปรับตัว

ทั้งนี้ อิปซอสส์ได้ให้คำแนะนำกับแบรนด์เพื่อปรับตัวและวางแผนกลยุทธ์สำหรับรับมือกับผลกระทบจากความกังวลของคนไทยที่ส่งผลต่อภาพรวมของตลาดและภาคธุรกิจใน 2 ประเด็นหลัก ได้แก่

1.การคืนกำไรสู่สังคมและสร้างผลกระทบเชิงบวก: เมื่อผู้บริโภคเห็นว่าบริษัทสนับสนุนและคืนกลับสู่สังคม จะสามารถสร้างความรู้สึกเชิงบวกและเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริโภคกับแบรนด์นำไปสู่การสร้างความจงรักภักดีและการสนับสนุนที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า

2.สร้างความเชื่อมั่นผ่านความโปร่งใส: การดำเนินธุรกิจด้วยธรรมาภิบาลที่ดีจะส่งเสริมประสบการณ์เชิงบวกให้กับลูกค้า เพราะเป็นเรื่องที่พวกเขาให้ความสำคัญ ดังนั้นหากแบรนด์หรือองค์กรมีธรรมาภิบาลที่ดี คนก็พร้อมสนับสนุน ทำให้ไม่ต้องไปแข่งขันด้วย ‘สงครามราคา’ หรืออัดโปรฯ แรง ๆ

]]>
1530643
YONO เทรนด์ใหม่ในกลุ่ม Gen z ที่ขอเลิกติดแกรม เน้นประหยัดมากขึ้น https://positioningmag.com/1508743 Wed, 29 Jan 2025 13:20:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1508743 ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเราคงอาจได้ยินว่า ชีวิตนี้มีครั้งเดียวก็ใช้ซะให้คุ้มค่า ทำให้เกิดเทรนด์ฮิตในกลุ่มวัยรุ่นที่เรียกว่า ‘YOLO’ ย่อมาจาก You only live once ให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตมีความสุขอย่างเต็มที่ ณ ปัจจุบัน และไม่ต้องคิดหรือกังวลกับอนาคตที่ไม่แน่นอน เพราะคนเรามีชีวิตแค่ครั้งเดียว อยากจะกินอะไรก็กิน อยากช้อปอะไรก็ช้อป 

 

แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจ และค่าครองชีพสูงขึ้นแต่รายได้ดันไม่สูงตาม แถมการจ้างงานยังลดน้อยลง จากสถานการณ์ปัจจุบันที่ยากลำบากยิ่งขึ้น กลายเป็นตัวจุดกระแสให้ตอนนี้เกิดเทรนด์ใหม่ในการใช้ชีวิต นั่นคือ ‘YONO’ หรือ You only need one 

 

หลักการของกลุ่มนี้ก็ง่าย ๆ คือ พวกเขาจะลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง เลิกพฤติกรรมติดแกลม มีการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการเฉพาะ ‘จำเป็นจริงๆ’ และต้อง ‘คุ้มค่า’ เท่านั้น รวมถึงหันมาใส่ใจการออมและวางแผนด้านการเงินในระยะยาวมากขึ้น

 

สำหรับเทรนด์ YONO กำลังมาแรงในกลุ่มคนรุ่นใหม่เกาหลีใต้และจีนอายุตั้งแต่ 12-27 ปี หรือ คน Gen Z นั่นเอง โดยเฉพาะช่วงอายุ 20 ปีกลาง ๆ ซึ่งมีรายได้จากการทำงานแล้ว ที่ได้เปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์และนิสัยให้หันมาใช้จ่ายอย่างประหยัดขั้นสุด ซื้อของชิ้นเดียวเฉพาะจำเป็นเท่านั้น และงดการไปกินอาหารนอกบ้านหรือกินดื่มสังสรรค์กับเพื่อนลง

 

นอกจากนี้ กลุ่ม YONO ยังหันมาสนใจกับการวางแผนการเงินล่วงหน้า มีการแบ่งเงินออมก่อนใช้ และลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ 

 

ส่วนการทุ่มเงินเพื่อซื้อความสุขตอบสนองความต้องการของตัวเองให้ได้ลองของดี ๆ สักครั้งในชีวิต พวกเขามองเป็น ‘เรื่องเชย’ หรือปล่อยให้เป็นเรื่องของ Gen Y ที่อายุมากกว่า และมีกำลังซื้อมากกว่าไปซะ

 

การเปลี่ยนแปลงจาก YOLO สู่ YONO สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวในการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ ที่พยายามหาทางสร้างความสุขที่แท้จริงและยืนยาว มากกว่าจะมองแค่เรื่องสุขนิยมแบบชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้น

]]>
1508743
เมื่อการทำตลาดในปี 68 ไม่ใช่เรื่องง่าย ‘ผู้บริหาร’ ต้องวางแผนสู้อย่างไรให้ ‘ธุรกิจอยู่รอด’ https://positioningmag.com/1505874 Thu, 09 Jan 2025 07:00:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1505874 ปี 2568 ยังคงเป็นปีที่ท้าทายสำหรับวงการธุรกิจ จากหลายปัจจัย ซึ่งสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย หรือ MAT บอกว่า การตลาดในปี 2568 ‘ไม่ใช่เรื่องง่าย’ ต้องรอบคอบและระมัดระวัง สะท้อนจากผลสำรวจ Marketing Trends : 2025 Way Forward ซึ่งเป็นการรวบรวมข้อมูลจาก MAT CMO COUNCIL ที่ได้สอบถามข้อมูลจาก ผู้บริหารระดับสูงด้านการตลาด จำนวน 111 ราย

 

• มุมมองต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2025 พบว่า 55% ของผู้บริหารมองว่า ‘โตยาก’ และคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไว้เพียง 1.65%

• ปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อการตลาดไทยอย่างมีนัยสำคัญ 3 อันดับแรก ได้แก่ ‘สภาพเศรษฐกิจโลก’, ‘เทคโนโลยีดิจิทัล’ โดยเฉพาะ AI และ ‘การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค’

 

• จากภาพที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้บริหารถึง 77.6% ระบุปีนี้จะไม่เพิ่มงบในทำการตลาด และจะลดงบในส่วนนี้ลง 0.41%

 

 

เมื่อไม่เพิ่มงบการตลาด แล้วผู้บริหารหันมาลงทุนกับอะไร

• อันดับ 1 Content Platform 73%

• อันดับ 2 Commerce Platform 63.1%

• อันดับ 3 Payment Systems 29.1%

 

ทาง MAT ย้ำว่า ผู้บริหารและนักการตลาดต้องทำ Content ไปพร้อมกับการทำ Commerce เพราะปัจจุบันผู้บริโภคเสพ Content ไปพร้อม ๆ กับการจับจ่ายซื้อสินค้าออนไลน์ผ่าน Commerce Platforms ต่าง ๆ

 

• พวกเขายังมองอีกว่า ผู้บริโภคในปี 2025 จะให้ความสำคัญกับ 3 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย 1.สุขภาพ ครอบคลุมทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ และสุขภาพทางอารมณ์ 2.เทคโนโลยีดิจิทัล 3.คุณภาพของสินค้าและบริการ

 

นอกจากนี้ สิ่งที่ผู้บริหารและนักการตลาดให้ความสำคัญกับ 3P ได้แก่ Profit – เน้นสร้างผลกำไรเป็นหลัก สอดคล้องกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ, People – สังคม ชุมชน และผู้คน Planet – สิ่งแวดล้อม

 

ส่วนอุตสาหกรรมที่เป็น New S-curve ของไทย ได้แก่

1.Heath & Wellness 88.3%

2.Quality Tourism 73.9%

3.Agri & Biotech 63.1%

สำหรับหัวใจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในปี 2025 ต้องยึดหลัก A-B-C-D ประกอบด้วย

 

A (AI) : ใช้ปัญญาประดิษฐ์ AI ยกระดับ Customer Experience ผ่านการใช้ปัญญาประดิษฐ์และ Personalized Marketing เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวทั้งกับลูกค้าและคู่ค้า

B (Balance) : ช้า-เร็ว ระวังหลัง สร้างความสมดุลระหว่างความรวดเร็วและความรอบคอบในการดำเนินกลยุทธ์และลงทุนกับการจัดการความเสี่ยง ซึ่งต้องเร็วและอยู่บนความเข้าใจผู้บริโภคอย่างแท้จริง

C (Clear) : ชัดเจน ไม่สะเปะสะปะ วางแผนการใช้งบการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ มีโฟกัสแบบไม่หว่าน

D (Data) : ชิงชัยด้วยข้อมูล เก็บ วิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีคุณภาพ เพื่อสร้างความผูกพันทางอารมณ์และความรู้สึกกับลูกค้า เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่า ‘แบรนด์เข้าใจพวกเขาอย่างแท้จริง’

]]>
1505874
NIQ เจาะลึกพฤติกรรมนักช้อป “Gen Z” คนรุ่นใหม่จะซื้ออะไรทีต้อง “หาข้อมูล” ก่อนเสมอ https://positioningmag.com/1487750 Wed, 28 Aug 2024 09:57:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1487750 NIQ เจาะพฤติกรรมผู้บริโภค “Gen Z” เจนเนอเรชันที่กำลังจะเป็นผู้มีกำลังซื้อหลักของโลกในอีก 7 ปีข้างหน้า สิ่งที่โดดเด่นของคนรุ่นนี้ คือ ต้องการ “หาข้อมูล” สินค้าก่อนตัดสินใจซื้อเสมอ และเปลี่ยนใจจากแบรนด์ง่าย พร้อมเปิดรับลองแบรนด์ใหม่ๆ

บริษัทวิจัยผู้บริโภค “NielsenIQ” (NIQ) จัดทำรายงาน “NIQ Spend Z” ศึกษากลุ่มผู้บริโภค “Gen Z” จากทั่วโลก โดยนิยาม Gen Z ในที่นี้คือผู้ที่เกิดระหว่างปี ค.ศ. 1997-2012 (ปัจจุบันอายุ 12-27 ปี)

การวิจัยจำนวนประชากรพบว่า Gen Z กำลังจะมีบทบาทสำคัญที่สุดในโลกภายในปี 2030 เพราะจะกลายเป็นเจนเนอเรชันที่มีกำลังซื้อสูงสุด คิดเป็นสัดส่วน 23.2% ของการใช้จ่ายรวมทุกเจนเนอเรชัน แซงหน้า Gen X และ Gen Y ซึ่งมีบทบาทสูงสุดอยู่ขณะนี้

หากตีกรอบลงมาเฉพาะภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก Gen Z จะมีบทบาทสูงสุดภายในปี 2034 เพราะจะกลายเป็นผู้สนับสนุนการใช้จ่ายหลักของครัวเรือน และสร้างการใช้จ่ายมากกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

ส่วนประเทศไทยนั้น NIQ คาดว่า Gen Z จะมีบทบาทสูงสุดในปี 2037 ขึ้นมามีบทบาทสำคัญช้ากว่าค่าเฉลี่ยโลกเนื่องจากสังคมไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตาม แบรนด์ควรเตรียมตัวได้ตั้งแต่ตอนนี้เพราะ Gen Z มีลักษณะเฉพาะที่สร้างอิทธิพลต่อคนเจนเนอเรชันอื่นในการตัดสินใจซื้อ

Low section of woman with shopping bags walking in rush

 

5 เทรนด์ช้อปปิ้งแบบคน Gen Z

NIQ มีการสรุปเทรนด์พฤติกรรมช้อปปิ้งของผู้บริโภค Gen Z จากรายงานดังกล่าว โดยพบว่าเป็นพฤติกรรมร่วมทั้งระดับโลกและ Gen Z ในไทยด้วย ดังนี้

1.ก่อนซื้อต้อง “หาข้อมูล” และเลือกเชื่อเพื่อน+อินฟลูเอนเซอร์

Gen Z โดดเด่นมากเรื่อง “หาข้อมูล” ก่อนตัดสินใจซื้อ โดยเฉพาะ Gen Z ชาวไทย 86% ตอบว่าตนจะศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนซื้อสินค้า ข้อมูลที่ว่าคือดูทั้งรีวิวการใช้งาน ชื่อเสียงของแบรนด์ และเทียบราคาด้วย

ส่วนแหล่งที่ใช้หาข้อมูลพบว่า 71% เลือกฟังคำแนะนำจากอินฟลูเอนเซอร์และกลุ่มเพื่อน โดยอินฟลูเอนเซอร์ที่ Gen Z จะเชื่อมักจะมีลักษณะเป็นคนทั่วไป ให้ความรู้สึกเหมือนเพื่อน มากกว่าคนดัง/เซเลบระดับประเทศ

นอกจากจะหาข้อมูลจากคนอื่นแล้ว Gen Z ยังเป็นกลุ่มที่ชอบ “รีวิว” สินค้าด้วย ทำให้เป็นเจนเนอเรชันที่มีอิทธิพลต่อความคิดของคนอื่นในสังคม

Gen Z นักช้อป

2.ชอบลองของใหม่ แบรนด์ใหม่เข้าถึงง่ายขึ้น

อีกคาแรกเตอร์ที่โดดเด่นของ Gen Z คือ ชอบลองของใหม่ สินค้าใหม่และแบรนด์ใหม่จึงมีโอกาสเข้าถึงง่ายกว่า โดยรายงานชิ้นนี้พบว่า 71% ของ Gen Z ชาวไทยยินดีเปลี่ยนแบรนด์ถ้าราคาดีกว่า

เทรนด์นี้ยังทำให้สินค้าประเภท ‘Private Label’ ของห้างสรรพสินค้าต่างๆ มียอดขายที่ดีขึ้น เพราะกลุ่มคนรุ่นใหม่ติดแบรนด์น้อยลง หากคุณสมบัติเป็นที่น่าพอใจ ค้นหาข้อมูลแล้วน่าสนใจ ก็จะลองใช้

Gen Z นักช้อป

3.Omnichannel ซื้อออนไลน์ผสมหน้าร้านอย่างละครึ่ง

Gen Z เป็นเจนเนอเรชันที่โตมากับดิจิทัลก็จริง แต่ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะช้อปออนไลน์ตลอดเวลา งานวิจัยนี้พบว่าการช้อปออนไลน์กับหน้าร้านของคนเจนเนอเรชันนี้แบ่งครึ่งๆ 50:50 เพราะสินค้าหลายอย่างก็ยังต้องการการจับ ลอง สัมผัสก่อนซื้อ เช่น เครื่องสำอาง

อย่างไรก็ตาม ดังที่กล่าวไปว่าคน Gen Z ต้องหาข้อมูลก่อน แม้ว่าจะไปยืนเลือกสินค้าหน้าร้าน พวกเขาก็จะยังหยิบสมาร์ทโฟนมาเสิร์ชหาข้อมูลหรือแชตไปถามเพื่อนก่อนจะตัดสินใจเสมอ ดังนั้น แบรนด์ต้องมีข้อมูลและรีวิวให้พวกเขาค้นหาได้ ไม่ว่าจะวางขายผ่านช่องทางไหน

4.ไม่แยกบ้าน เป็นแหล่งข้อมูลสินค้าให้คนในบ้าน

คนรุ่นใหม่มีแนวโน้มจะแยกครัวเรือนช้ากว่าคนรุ่นก่อนหน้าด้วย ทำให้พวกเขามีแนวโน้มจะเป็นแหล่งข้อมูลให้คนในบ้านว่าสินค้าตัวไหนกำลังมาแรง น่าสนใจ น่าซื้อ แม้ว่าจะไม่ใช่ผู้ซื้อหลักก็ตาม แบรนด์จึงมองข้าม Gen Z ไม่ได้

5.ลอยัลตี้ต่ำ แต่ถ้าได้มาจะดีมาก

คนรุ่นนี้ชอบลองของใหม่ ความภักดีต่อแบรนด์ต่ำ แต่ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ หากแบรนด์สามารถดึง Gen Z มาเป็นลูกค้าประจำได้แล้ว มีแนวโน้มที่พวกเขาจะเป็นกระบอกเสียงให้แบรนด์ด้วย เพราะเป็นเจนเนอเรชันที่ชอบการรีวิวและบอกต่อ

 

อยากเป็นแบรนด์ในใจ Gen Z ต้องทำอย่างไร

หากต้องการเป็นแบรนด์ในใจของ Gen Z มี 4 หัวข้อที่ต้องคำนึงถึงว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่พวกเขามองหาในฐานะแบรนด์ ได้แก่

  • Authentic – แบรนด์ต้องเป็นตัวของตัวเอง ไม่สร้างภาพ หากคนรุ่นนี้มองว่าแบรนด์ไม่จริงใจก็จะเริ่มถอยห่างออกมา
  • Sense of Belongings – คนรุ่นนี้ต้องการเข้ากลุ่มของตัวเองซึ่งมีแยกย่อยหลากหลายมากๆ ซึ่งทำให้วัฒนธรรม ‘แฟนด้อม’ ได้ผลสูงกับคน Gen Z
  • Diversity – ขณะเดียวกันก็รักในความหลากหลายและเท่าเทียมกันด้วย Gen Z ถือเป็นเจนเนอเรชันที่นิยามตัวเองเป็น LGBTQ+ มากที่สุดเมื่อเทียบกับคนรุ่นก่อนๆ และแนวโน้มจะไม่นับถือศาสนาหรือเลือกศาสนาเอง ไม่ยึดถือตามครอบครัวมากขึ้น
  • Physical and Mental Health – เป็นคนรุ่นที่หันมาสนใจสุขภาพกายและสุขภาพจิตเร็วกว่ารุ่นอื่นๆ การวิจัยพบว่า 52% ของคน Gen Z มองหาวัตถุดิบที่ดีต่อสุขภาพในสินค้าต่างๆ และ 40% มองหาสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนหรือเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

สรุปแล้วแบรนด์ที่ต้องการได้ใจ Gen Z ต้องคำนึงถึงหลายด้าน สร้างแบรนด์ที่จริงใจและพูดภาษาเดียวกับพวกเขา มีข้อมูลรีวิวให้ค้นหา และทำราคาให้เหมาะสม เพราะพวกเขาจะชั่งน้ำหนักความคุ้มค่าเสมอในทุกการตัดสินใจซื้อ!

]]>
1487750
รู้จักทฤษฎี “Lipstick Effect” เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ แต่ทำไมลิปสติกที่เป็น “ของฟุ่มเฟือย” กลับขายดี!? https://positioningmag.com/1481403 Thu, 04 Jul 2024 12:20:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1481403 ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำแต่ “ลิปสติก” กลับขายดีทั้งที่ไม่ใช่สิ่งของจำเป็น ปรากฏการณ์ผู้บริโภคแบบนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ “Lipstick Effect” ทฤษฎีทางจิตวิทยาที่เจ้าของแบรนด์กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยสามารถนำไปปรับใช้ได้

“Lipstick Effect” ถูกนำเสนอและพูดถึงครั้งแรกโดยศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ “Juliet Schor” เมื่อปี 1998 เธอพบจากการสังเกตพฤติกรรมผู้บริโภคว่า เมื่อเศรษฐกิจตกสะเก็ดและต้องรัดเข็มขัด ผู้หญิงจะตัดงบซื้อคลีนเซอร์และสกินแคร์ไปใช้ยี่ห้อธรรมดาแทน และนำเงินส่วนต่างมาละลายกับการซื้อ “ลิปสติก” แบรนด์หรูที่พวกเธอมีโอกาสจะได้หยิบมาใช้ในที่สาธารณะ

ทฤษฎีนี้มาโด่งดังยิ่งขึ้นเมื่อ “Leonard Lauder” ประธานกรรมการของยักษ์เครื่องสำอาง “Estée Lauder” พบว่าทฤษฎีนี้เป็นจริง เพราะหลังการก่อการร้าย 9/11 และสภาวะเศรษฐกิจผันผวนหลังจากนั้น สินค้าที่ยังคงขายดีในห้วงเวลาน่าหวาดหวั่นกลับเป็น “ลิปสติก”

หลังจากนั้นในช่วงโควิด-19 ก็ยิ่งตอกย้ำทฤษฎีนี้อีก ยกตัวอย่างในสหรัฐฯ ที่เศรษฐกิจหดตัวในช่วงไตรมาสแรกปี 2020 แต่มาร์เก็ตเพลส Amazon กลับพบว่าสินค้าบิวตี้และผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคลกลับเติบโตขึ้น หรือ Sephora รายงานว่ายอดขายออนไลน์ของบริษัทในตลาดสหรัฐฯ ปี 2020 กลับโตขึ้น 35% จากปีก่อนหน้า

 

เพราะเป็นของที่ซื้อแล้ว “ดีต่อใจ”

เครื่องสำอาง พรีเมียม

ทฤษฎี “Lipstick Effect” คือจิตวิทยาผู้บริโภคที่สวนทางกับการคาดคะเนทั่วไป ปกติแล้วถ้าเศรษฐกิจตกต่ำ เราคงคิดว่าของฟุ่มเฟือยอย่างลิปสติกคงถูกตัดออกจากงบซื้อสินค้าเป็นอย่างแรกๆ แต่ที่ไม่เป็นเช่นนั้นเพราะลิปสติกไม่ได้มีฟังก์ชันแค่ตกแต่งริมฝีปากให้สวยงาม แต่ยังมีฟังก์ชันแฝงในฐานะของที่ซื้อแล้ว “ดีต่อใจ”

Natalia Bambiza ผู้อำนวยการและนักวิเคราะห์สินค้าหมวดบิวตี้ที่ NPD Market Research Group บอกว่า สินค้าเครื่องสำอางนั้นเกี่ยวกับเรื่องอารมณ์ความรู้สึกในการซื้อด้วย จากอินไซต์ของบริษัทพบว่า 64% ของผู้บริโภควัย 13-25 ปีตอบว่าตนแต่งหน้าเพื่อ ‘เสริมความมั่นใจ’ ให้ตนเอง และ 30% ของคนที่แต่งหน้าทั้งหมดบอกว่าเครื่องสำอางช่วยให้รู้สึกมีความสุข

Edward Kusoati ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย Tufts อธิบายว่า ถ้าจินตนาการถึงกลุ่มผู้บริโภคที่ในช่วงเศรษฐกิจปกติจะมีความสุขกับการช้อปปิ้งเครื่องประดับมีราคา เสื้อผ้ากระเป๋าแบรนด์เนม หรือรถยนต์หรู แต่เมื่อเศรษฐกิจเล่นงานกระเป๋าสตางค์เข้า สิ่งที่ยังพอซื้อได้เพื่อคงสถานะและความรู้สึกดีๆ ก็คือสิ่งของลักชัวรีขนาดเล็กที่เข้าถึงง่ายกว่า เช่น ลิปสติก

นอกจากลิปสติกจะช่วยให้รู้สึกดีและมั่นใจขึ้นเวลาปาดลงบนริมฝีปากแล้ว หากเป็นลิปสติกแบรนด์หรู ผู้บริโภคก็ยังจะได้รับประสบการณ์แบบเดิมในการเดินเข้าไปเลือกซื้อของในช็อปลักชัวรีบนศูนย์การค้าไฮเอนด์ ทำให้ได้มีช่วงเวลาหนึ่งที่หลีกหนีจากปัญหาทางการเงินในชีวิตจริง เพราะความปรารถนาของผู้คนที่อยากจะดูแลตัวเองนั้นไม่เคยหายไปแม้ว่าชีวิตจะกำลังลำบากก็ตาม

 

คว้าโอกาสจาก “Lipstick Effect”

ไม่ใช่แค่ลิปสติกที่ได้ประโยชน์จากจิตวิทยาผู้บริโภคนี้ สินค้าอื่นๆ ที่มีฟังก์ชันใกล้เคียงกันก็สามารถทำได้ โดยควรจะมีคุณสมบัติ คือ ไม่ใช่ได้แค่ฟังก์ชันหลักของตัวสินค้าแต่ยังให้ความรู้สึกดีต่อใจเมื่อซื้อและใช้งาน และแพ็กเกจราคากำลังดีในการซื้อเพื่อสร้างความสุขให้ตัวเองได้ในยามเศรษฐกิจตกต่ำ

ยกตัวอย่างสินค้าฟุ่มเฟือยที่ราคาเข้าถึงง่ายกว่า เช่น น้ำหอมแบรนด์เนม (ทดแทนการซื้อกระเป๋า), ทานอาหารไฟน์ไดนิ่ง (ทดแทนการไปทริปหรูต่างประเทศ), แพ็กเกจนวดหน้า (ทดแทนหัตถการราคาสูง)

ร้านอาหาร Louis Vuitton
ร้านอาหาร Louis Vuitton แห่งใหม่ที่เมืองเฉิงตู

ข้อแนะนำต่อแบรนด์สินค้าต่างๆ จากที่ปรึกษาด้านการตลาด “Intelligence Marketing” มีคำแนะนำที่น่าสนใจ ดังนี้

  1. ทำการตลาดสินค้าบางชิ้นของแบรนด์ในฐานะสิ่งที่ดีต่อใจ เป็นการปรนเปรอตนเองเล็กๆ น้อยๆ เพื่อจูงใจผู้บริโภคที่กำลังมองหาอะไรมาให้รางวัลตัวเองและทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น
  2. สร้างโอกาสในการซื้อสิ่งที่ดีต่อใจนี้ด้วยการทำ “แพ็กเกจพิเศษ” หรือ “รุ่น Limited Edition” ที่ซื้อแล้วยิ่งเสริมความรู้สึกดีๆ
  3. แบรนด์อาจจะถือโอกาสนี้นำสินค้ารุ่นขายดีของทางร้านมาปรับขนาดให้เล็กลง เพื่อให้ราคาเข้าถึงง่ายขึ้น แต่ลูกค้าจะยังได้ความรู้สึกที่ได้ถือแบรนด์ที่ตนชื่นชอบ
  4. ในช่องทางการขายต่างๆ ทั้งหน้าร้านและออนไลน์ สามารถจัดโซนสินค้าชิ้นเล็กซื้อง่ายเหล่านี้ไว้ด้วยกันเพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจได้เร็ว
  5. เน้นย้ำเรื่องประสบการณ์การซื้อที่จะสร้างความรู้สึกดีต่อใจได้ เช่น ประสบการณ์แกะกล่องสินค้าที่รู้สึกหรูหราใจฟู

 

ที่มา: Intelligence Marketing, Rose Inc, Mailchimp

]]>
1481403
ผลสำรวจจาก UBS เผยชาวไทย 71% มองเศรษฐกิจในปี 2024 ดีขึ้น แต่พฤติกรรมบริโภคเปลี่ยนไปในปีนี้ https://positioningmag.com/1454519 Wed, 06 Dec 2023 09:11:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1454519 ผลสำรวจจากสถาบันการเงินอย่าง UBS ที่ได้สำรวจผู้บริโภคชาวไทยนั้นมองว่าในปี 2024 นั้นมีมุมมองต่อเศรษฐกิจไทยที่ดีกว่าเดิม อย่างไรก็ดีพฤติกรรมและมุมมองของผู้บริโภคไทยได้เปลี่ยนไปหลายเรื่องเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือแม้แต่การจับจ่ายใช้สอย

UBS ได้ออกบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม โดย 71% ของผู้ร่วมทำการสำรวจได้ให้มุมมองว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2024 นั้นดูดีมากขึ้น ซึ่งถือว่ามากที่สุดที่บันทึกไว้นับตั้งแต่การสำรวจนับตั้งแต่ปี 2020 อย่างไรก็ดีผู้บริโภคชาวไทยที่ได้ทำแบบสำรวจดังกล่าวมองว่าราคาสินค้าและบริการในปีหน้าจะยังเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ

สถาบันการเงินจากสวิตเซอร์แลนด์ได้ทำสำรวจผู้บริโภคชาวไทย 1,000 รายด้วยกันในหลากหลายคำถามตั้งแต่ เรื่องของมุมมองเศรษฐกิจ พฤติกรรมผู้บริโภค หรือแม้แต่การใช้สินค้าในแต่ละวัน ซึ่งสำรวจดังกล่าวได้จัดทำในช่วงไตรมาส 4 นับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา โดยจัดทำปีละ 1 ครั้ง และในปี 2023 นี้จัดทำในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

ในการทำแบบสำรวจดังกล่าวสำรวจผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทเป็นกลุ่มรายได้ต่ำ 330 ราย รายได้ปานกลางจะอยู่ในช่วง 30,000-79,999 บาท 340 ราย ขณะที่เงินเดือนมากกว่า 80,000 บาทจะถือเป็นกลุ่มรายได้สูงซึ่งมีผู้ตอบแบบสอบถาม 330 ราย

มุมมองของเศรษฐกิจไทยที่ UBS ได้สอบถาม ผู้ร่วมตอบแบบสอบถาม 51% มองว่าเศรษฐกิจไทยดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะที่ 27% มองว่าแย่ลง 22% มองว่าเหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลง ขณะที่ 89% มองว่าราคาสินค้าและบริการนั้นเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ในส่วนของมุมมองเศรษฐกิจในปีหน้าเมื่อเทียบสเกลจากดีมากไปยังแย่สุด ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มองว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2024 จะ “ดีขึ้นเล็กน้อย”

ผลสำรวจจาก UBS ในส่วนอื่นๆ ที่น่าสนใจ

  • รายได้เฉลี่ยของผู้มีรายได้ต่ำที่ตอบแบบสอบถามนี้มองว่ารายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
  • ขณะที่รายได้ของผู้มีรายได้ปานกลางและสูงมองว่ารายได้ในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นในช่วง 1-5% เท่านั้น
  • คนไทยยังซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้งสัดส่วนมากกว่า 20%
  • ช่องทางในการซื้อสินค้าออนไลน์ของไทยยังอยู่ที่ Shopee กับ Lazada เป็นหลัก ขณะที่ TikTok Shop นั้นเพิ่มขึ้นแต่ยังไม่ถึงสัดส่วน 10%
  • แพลตฟอร์ม Food Delivery ที่คนไทยใช้งานเป็นหลักคือ Grab รองลงมาคือ LINE MAN และ Food Panda
  • 3 แบรนด์ร้านขายอุปกรณ์ตกแต่งบ้านที่ผู้ตอบแบบสอบถามชอบไปคือ โฮมโปร ไทยวัสดุ และ IKEA
  • ผลสำรวจยังพบว่าผู้ที่ตอบแบบสอบถามนั้นลดการบริโภคแอลกอฮอล์ลงนับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา
  • คนไทยลดการบริโภควิตามินซีทุกวันนับตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา แต่บริโภคนานๆ ครั้ง เช่น 3-5 วัน เป็นต้น

ผลสำรวจดังกล่าวมีการตอบคำถามที่มีมุมมองตรงกันก็คือ สินค้าที่ผู้บริโภคใช้ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีรายได้ต่ำถึงสูงมองตรงกันคือเรื่องของความคุ้มค่าต่อราคา ต่างกับในอดีตที่มองว่าราคาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด รองลงมาคือเรื่องของการทำโปรโมชั่น ขณะที่ปัจจัยสำคัญน้อยสุดคือพนักงานขายต้องมีความสุภาพและเต็มใจที่จะช่วยเหลือ

UBS ยังเชื่อว่าผลสำรวจดังกล่าวจะสะท้อนมุมมองในภาพกว้างว่าการบริโภคชาวไทยอาจฟื้นตัวในปี 2024 ด้วยมาตรการกระตุ้นทางการคลังของรัฐบาล (เช่น โครงการ Digital Wallet) และการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญ

]]>
1454519
“ผักผลไม้” อาหารสุขภาพอันดับ 1 ในใจชาวไทย แต่คนกว่าครึ่ง “เงินไม่พอ” ซื้อทานประจำ https://positioningmag.com/1427271 Wed, 12 Apr 2023 05:03:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1427271 บริษัทวิจัย “มินเทล” สำรวจการเลือกทานอาหารเพื่อสุขภาพของชาวไทย พบว่าอาหารสุขภาพอันดับ 1 ที่ชาวไทยสนใจคือ “ผักผลไม้” แต่ด้วยภาวะทางการเงินทำให้คนกว่าครึ่งไม่มีเงินพอซื้อผักผลไม้ทานเป็นประจำ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในฐานะการเงินระดับต่ำ

มินเทล สำรวจความต้องการของผู้บริโภคด้านสุขภาพกับการทานอาหาร พบว่า ผู้บริโภคไทย 52% สนใจหาความรู้ด้านโภชนาการมากขึ้น สะท้อนว่าหลังโควิด-19 ชาวไทยมีความสนใจการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันสูงขึ้นกว่าเดิม ผ่านการดูแลอาหารการกินของตนเอง

อาหารสุขภาพที่ผู้บริโภคชาวไทยสนใจคืออะไรบ้าง? มินเทลพบว่า 7 ใน 10 ของคนไทยยกให้ “ผักผลไม้” เป็นสิ่งสำคัญที่ดีต่อสุขภาพ เป็นอาหารที่ช่วยเสริมโภชนาการได้

อย่างไรก็ตาม อุปสรรคใหญ่ที่ทำให้คนไทยไม่ทานผักผลไม้มากนักคือเรื่อง “การเงิน” ทุกคนทราบประโยชน์ของผักผลไม้ แต่ผลสำรวจพบว่า ผู้บริโภคในชนบทมีเพียง 48% ที่ทานผักผลไม้เป็นประจำ ขณะที่ในเมืองจะมีสัดส่วนสูงกว่า โดยผู้บริโภคคนเมืองมี 56% ที่ทานผักผลไม้เป็นประจำ

กลุ่มที่รับผลกระทบหนักที่สุดคือ คนรุ่นใหม่วัยไม่เกิน 24 ปีที่มีสถานะทางการเงินระดับต่ำ กลุ่มนี้มีเพียง 37% ที่ได้ทานผักผลไม้เป็นประจำ

พิมพ์วดี อากิลา Associate Director แผนกอาหารและเครื่องดื่ม มินเทล รีพอร์ทส์ ประเทศไทย มองว่าแบรนด์สามารถนำอินไซต์นี้มาใช้ได้ เพราะคนไทยใส่ใจสุขภาพมากขึ้น เพียงแต่ต้องการเข้าถึงผักผลไม้ได้ง่ายขึ้นผ่านการลดราคาสินค้าและแหล่งจำหน่าย ซึ่งที่จริงแล้วผักผลไม้ไทยตามฤดูกาลของไทยนั้นมีจำนวนมากและราคาจับต้องได้ จึงควรจะเป็นตัวเลือกอาหารเพื่อสุขภาพในราคาเป็นมิตร

 

คนไทย “ทำอาหาร” เอง และสนใจ Plant-based

นอกจากประเด็นผักผลไม้ คนไทยยังมีความสนใจการดูแลสุขภาพและโภชนาการด้านอื่นๆ ด้วย โดยมี 51% ที่ตอบว่าปัจจุบันหันมา “ทำอาหาร” ทานเอง ซึ่งดีต่อสุขภาพมากกว่า

คนไทยบางส่วนเริ่มสนใจการลดละเลิกเนื้อสัตว์ด้วย โดยมีผู้บริโภค 21% ที่สนใจลดการทานเนื้อสัตว์ และมีผู้บริโภค 24% ที่วางเป้าหมายจะเปลี่ยนจากการทานเนื้อสัตว์มาทานอาหาร Plant-based และผลิตภัณฑ์ทดแทนนม

มินเทลยังพบด้วยว่า เหตุปัจจัยที่ทำให้คนไทยใส่ใจโภชนาการมากขึ้น นอกเรื่องการป้องกันโรคแล้ว ยังมีเหตุอื่นๆ ด้วย เช่น 38% ต้องการกินเพื่อเพิ่มสมรรถภาพร่างกาย และ 28% ทานเพื่อสร้างเสริมสุขภาพจิตที่ดี

ข้อมูลเหล่านี้เป็นอินไซต์ที่น่าสนใจสำหรับแบรนด์ในการเข้าถึงผู้บริโภคด้วยมุมมองด้านสุขภาพ หรือพัฒนาสินค้าที่มีประโยชน์ทางโภชนาการกันมากขึ้น

]]>
1427271
เปิดพฤติกรรม ‘นักช้อป 6 สาย’ ใครเป็นสายไหนเช็คด่วน! https://positioningmag.com/1420345 Wed, 22 Feb 2023 07:54:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1420345 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การระบาดของ COVID-19 ได้ส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคของคนไทย โดยสถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) หรือ Hakuhodo Institute of Life and Living ASEAN (THAILAND) ก็ได้มีการทำแบบสอบถามเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพจากประชากรเพศชายและหญิงจำนวน 1,200 คน อายุระหว่าง 20-59 ปีจาก 6 ภูมิภาค ทั่วประเทศทุก ๆ สองเดือน จนสามารถแบ่งพฤติกรรมของผู้บริโภคได้เป็น 6 สาย ได้แก่ 

สายเน้นชัวร์ (Save&Safe)

สายที่มีจำนวนมากที่สุด (56%) โดยจะเป็นสายที่เน้นใช้เหตุผลในการตัดสินใจซื้อ เน้นคุณภาพ ดูความคุ้ม เน้นความชัวร์ ความคุ้นเคย ไม่ชอบลองของใหม่ ๆ จะไม่ซื้อของเพื่อตอบสนองความสุขของตัวเอง ไม่ถูกกระตุ้นง่าย คิดแล้วคิดอีกกว่าจะซื้อ และจะบอกต่อถ้าใช้ดี

ดังนั้น ถ้าแบรนด์อยากจับคนกลุ่มนี้ แบรนด์ต้องให้ความรู้สึกพึ่งพาได้ต้องสร้างความสัมพันธ์ที่คุ้นเคย ทำตัวเป็นเหมือนพาร์ตเนอร์ ให้คนกลุ่มนี้เกิดความรู้สึกมั่นคงในการซื้อ

แม่บุญทุ่ม (The Care-giver)

คิดเป็น 11% จากผลสำรวจ โดยคนกลุ่มนี้ ชอบซื้อให้คนอื่น มีความสุขเมื่อเห็นผู้ที่ได้รับมีความสุข เนื่องจากมองว่าการ สานสัมพันธ์เป็นการเติมเต็มตัวเอง ดังนั้น จุดประสงค์หลักในการช้อปคือเพื่อ เชื่อมต่อกับคนสำคัญ โดยให้ความสำคัญกับคนใน ครอบครัว เป็นอันดับ 1 (Family First) เพื่อต้องการแน่ใจว่าพวกเขามีครบและมีสุข

ดังนั้น แบรนด์สามารถกระตุ้นการจับจ่ายด้วยการสร้างเหตุผลใหม่ ๆ ให้แก่คนกลุ่มนี้ได้ซื้อและเกิดความรู้สึกอิ่มเอมใจในการให้เพิ่มขึ้นได้ เพราะคนกลุ่มนี้ถูกกระตุ้นด้วยอารมณ์ได้ง่าย

สายรอโปรฯ (The Deal-Hunter)

คิดเป็น 7% ของกลุ่มสำรวจ โดยคนกลุ่มนี้พร้อม รอโปรโมชันหรือดีลสำคัญ เพื่อให้ได้ราคาที่คุ้มที่สุดเสมอ ยิ่งซับซ้อนยิ่งรู้สึกอยากเอาชนะ สินค้าราคาสูงยิ่งดึงดูดใจ ซึ่งแบรนด์สามารถเติมเต็มความชอบท้าทายด้วยการ สร้างพื้นที่ให้นักช้อปเป็น ผู้เล่น เสมือนการเล่นเกม หรือ ใช้แพลตฟอร์มที่มีอยู่เปิดพื้นที่ให้เหล่านักช้อปมาแชร์ tips and tricks ในการหาดีลพิเศษ และเป็นประโยชน์กับนักช้อปมือสมัครเล่นได้นำไปใช้ด้วย

ชอบก็จัดประหยัดทำไม (The Passionate Spender)

คนกลุ่มนี้มองว่า ความสุขซื้อได้ด้วยการช้อป คิดเป็น 7% จากกลุ่มตัวอย่าง โดยคนกลุ่มนี้ พร้อมเปย์ตลอดปีแบบไม่มีอะไรมากั้น ไม่ว่าจะเครียดหรือสุขก็พร้อมจ่าย ความอยากใช้เงินถูกกระตุ้นด้วยความรู้สึกในแต่ละวัน ซื้อเพื่อตอบสนองอารมณ์ อยากได้ต้องได้ มากกว่าเหตุผล เมื่อได้จ่ายเงินแล้วก็จะรู้สึกสบายใจ ฟินสุดคือตอนจ่ายเงินหรือรูดบัตร บางทีของยังไม่แกะของด้วยซ้ำ

ดังนั้น แบรนด์ควรจับตาเทรนด์หรือ trigger point ที่อาจก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์เพื่อช่วยสร้างข้ออ้างใหม่ ๆ ในการช้อป และปลุกไฟแห่งการอยากเปย์ให้ลุกโชนอยู่เสมอ เช่น ช้อปแก้ช้ำวันหวยออก ช้อปแก้ขัดก่อนวันหยุดงาน เป็นต้น

สายชิล ไม่คิดเยอะ (The Happy-Go-Lucky)

กลุ่มนี้จะเน้นใช้ชีวิตและใช้จ่ายแบบ สบาย ๆ สไตล์คนไทย มีมากใช้มาก มีน้อยใช้น้อย ไม่คิดเยอะ ซึ่งถือเป็น 5% ของกลุ่มการสำรวจ คนกลุ่มนี้ต้องการซื้อความสุขใจให้ตัวเองในปัจจุบัน มากกว่าการวางแผนการเงินในอนาคตอย่างจริงจัง ดังนั้น แบรนด์สามารถเข้าไปมีบทบาทในการช่วยเติมความสุขวันละนิด ให้คนกลุ่มนี้ได้โดยที่ ไม่ต้องเน้นเยอะ แต่เน้นบ่อย

สวยไว้ก่อน (The Always-Glam)

เป็น 5% ของผลสำรวจ จากงานวิจัยพบว่า เสื้อผ้าและผลิตภัณฑ์เพื่อความงามมักติด Top 5 สินค้าที่ต้องการซื้อ และคนมีความต้องการซื้อสูงกว่า 30% ตลอดทั้งปี ถูกกระตุ้นด้วยอารมณ์ได้ง่าย มองภาพลักษณ์มาก่อน ดังนั้น สินค้าสวยงามเป็นสิ่งแรกที่เลือกซื้อมากกว่าของกินของใช้

คนกลุ่มนี้มองว่า สินค้าแฟชั่น/ความงามไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือยแต่เป็นการลงทุน ดังนั้น แบรนด์จึงต้องตอกย้ำความมั่นใจให้คนกลุ่มนี้ว่า ซื้อเลยสวยชัวร์แบรนด์คิดมาให้ดีแล้ว ไม่มีพลาดต่อหน้าใครแน่นอน ผ่านการจับ trend/occasion ในการแนะนำสินค้า เพื่อกระตุ้นให้ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น

]]>
1420345