ภาษี – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 02 Jan 2024 05:12:26 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สิงคโปร์เตรียมขึ้นภาษีสินค้าและบริการเป็น 9% ให้เหตุผลจะได้มีงบประมาณรองรับสังคมผู้สูงอายุในอนาคต https://positioningmag.com/1457463 Fri, 29 Dec 2023 05:47:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1457463 สิงคโปร์ประกาศเตรียมขึ้นภาษีสินค้าและบริการเป็น 9% โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2024 เป็นต้นไป โดยการปรับขึ้นภาษีดังกล่าวนั้นมีเหตุผลมาจากค่าใช้จ่ายทางสังคมเนื่องจากผู้สูงวัยมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในอนาคต

รัฐบาลสิงคโปร์ประกาศเตรียมขึ้นภาษีสินค้าและบริการเป็น 9% จากเดิมที่ 8% เพื่อที่จะรองรับกับค่าใช้จ่ายทางสังคมเนื่องจากผู้สูงวัยมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยมาตรการดังกล่าวจะมีผลภายในวันที่ 1 มกราคมปี 2024 นี้ อย่างไรก็ดีมาตรการดังกล่าวฝ่ายค้านของสิงคโปร์ได้ออกความเห็นว่าไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว

เหตุผลในการปรับขึ้นนภาษีสินค้าและบริการจาก 8% เป็น 9% ก็คือ สิงคโปร์ต้องการเตรียมพร้อมสำหรับต้นทุนทางสังคม โดยเฉพาะต้นทุนทางด้านการสาธารณสุข ซึ่งสิงคโปร์กำลังจะมีผู้สูงวัยเพิ่มขึ้นคิดเป็นสัดส่วน 25% ของประเทศภายในปี 2030 สวนทางกับปัจจุบันอัตราการเกิดของทารกในสิงคโปร์ลดลง

Lawrence Wong ซึ่งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ ได้เคยเขียนบทความกล่าวถึงการเลื่อนขึ้นภาษีสินค้าและบริการนั้นเป็นการสร้างปัญหาในอนาคต และยังทำให้งบประมาณนั้นลดน้อยลงจากความต้องการในด้านการคลัง (ซึ่งเป็นผลมาจากสังคมผู้สูงอายุ)

ภาษีสินค้าและบริการในประเทศสิงคโปร์ไม่ได้มีการปรับเพิ่มขึ้นมาแล้วยาวนานถึง 15 ปี ซึ่งภาษีดังกล่าวครอบคลุมสินค้าแทบจะทุกชนิด โดยรัฐบาลสิงคโปร์ได้เพิ่มภาษีดังกล่าวจาก 7% เพิ่มเป็น 8% ในปีนี้

การปรับขึ้นภาษีดังกล่าว ร้านค้าหลายร้านในสิงคโปร์ได้ประกาศไม่ปรับขึ้นราคาสินค้า เช่น Fairprice ซึ่งเป็นผู้ให้บริการซูเปอร์มาร์เก็ต จะรับภาระทางภาษีอีก 1% ไปอีกระยะหนึ่ง สำหรับสินค้า 500 ชนิด เช่น ข้าว หรือผักสด ฯลฯ หรือแม้แต่ร้านค้าในสนามบิน Changi ก็ใช้ปรับกลยุทธ์เพื่อป้องกันไม่ให้จำนวนลูกค้าลดลง รวมถึง IKEA เองเช่นกัน

แต่หลายร้านค้าเองที่ไม่สามารถแบกต้นทุนภาษีสินค้าและบริการ 9% ได้มีการออกโปรโมชั่นจูงใจให้ลูกค้าซื้อสินค้าในช่วงเวลาไม่กี่วันสุดท้ายของปี 2023

อย่างไรก็ดีฝ่ายค้านของสิงคโปร์ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นไม่เห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าว เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อในสิงคโปร์ยังถือว่าสูง และจะสร้างผลกระทบต่อประชาชน

ที่มา – Reuters, The Strait Times

]]>
1457463
จำนวน ‘เศรษฐีอเมริกา’ ที่ถูกตรวจสอบ ‘ภาษี’ ลดลงเหลือ 2% จาก 16% https://positioningmag.com/1385965 Thu, 19 May 2022 08:59:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1385965 กลายเป็นว่าในช่วง 10 ปีมานี้ จำนวนเศรษฐีชาวอเมริกันที่ถูกตรวจสอบภาษีมีอัตราลดลง โดยสาเหตุส่วนใหญ่มาจากพนักงานและการขาดแคลนเงินทุนของ Internal Revenue Service ที่ทำหน้าที่ดังกล่าว

อัตราการตรวจสอบภาษีคนอเมริกันที่มีรายได้มากกว่า 5 ล้านเหรียญต่อปี ลดลงเหลือเพียง 2% ในปี 2019 จากมากกว่า 16% ในปี 2010 ตามรายงานจากสำนักงานความรับผิดชอบของรัฐบาลกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานเฝ้าระวัง ซึ่งหมายความว่ามีเพียง 1 ใน 50 ของผู้มีรายได้สูงเท่านั้นที่ได้รับการตรวจสอบในปี 2019 เทียบกับ 1 ใน 6 ในปี 2010

การตรวจสอบที่ลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่คนรวย กลายเป็นประเด็นทางการเมืองที่ร้อนแรงในสหรัฐฯ โดยรายงานคาดการณ์ว่าระหว่างปี 2011-2013 มีผู้เสียภาษีรายงานภาษีเงินได้ต่ำกว่าความเป็นจริงรวมแล้วถึง 2.45 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี

สาเหตุหลักของการตรวจสอบที่ลดลงตามรายงานคือ การขาดเงินทุนของ IRS ในปีงบประมาณ 2021 โดยงบประมาณของหน่วยงานอยู่ที่ 1.19 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งน้อยกว่างบประมาณประจำปี 2010 ที่ 200 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ กรมสรรพากรยังพบว่าระดับการรับพนักงานลดลงสู่ระดับเดียวกับปี 1917 โดยกรมสรรพากรสหรัฐฯ ระบุว่า มีแผนที่จะจ้างพนักงาน 10,000 คนเพื่อจัดการกับงานในมือจำนวน 20 ล้านรายการเพื่อเรียกเก็บภาษีที่ยังไม่ได้ดำเนินการ

การลดลงของเงินทุนและผู้ตรวจสอบหมายความว่า ผู้เสียภาษี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้มีรายได้สูง มีโอกาสน้อยที่จะถูกจับได้ว่าจ่ายภาษีน้อยกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว อัตราการตรวจสอบโดยรวมสำหรับผู้เสียภาษีชาวอเมริกันลดลงเหลือ 0.2% ในปี 2019 จาก 0.9% ในปี 2010

แม้คนรวยยังคงถูกตรวจสอบในอัตราที่สูงกว่าประชากรผู้เสียภาษีทั่วไป ทว่าในช่วง 10 ปีนี้อัตราการตรวจสอบของพวกเขาลดลงในอัตราที่สูงกว่ามาก อัตราการตรวจสอบสำหรับผู้เสียภาษีที่มีรายได้ระหว่าง 5-10 ล้านดอลลาร์ลดลงเหลือ 1.4% จาก 13.5%

อย่างไรก็ตาม ผู้มีรายได้มากกว่า 10 ล้านดอลลาร์ เห็นว่าอัตราการตรวจสอบลดลงเหลือ 3.9% ในปี 2019 จาก 21.2% ในปี 2010 ในขณะที่อัตราการตรวจสอบสำหรับผู้มีรายได้ 10 ล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้นเล็กน้อยสำหรับปีภาษี 2017-2018 เนื่องจากกรมธนารักษ์กำหนดให้มีการตรวจสอบน้อย 8% สำหรับผู้ที่ทำเงินได้ตั้งแต่ 10 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้เสนอให้ลงทุน 8 หมื่นล้านดอลลาร์ ในเทคโนโลยีใหม่และเพิ่มผู้ตรวจสอบบัญชีที่ IRS มากขึ้นเพื่อเพิ่มการเก็บภาษีอีก 7 แสนล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 10 ปี

Source

]]>
1385965
สหรัฐฯ เล็งเก็บภาษี ‘มหาเศรษฐี’ ขั้นต่ำ 20% ย้ำคนรวยต้องจ่ายภาษีมากกว่า ‘ครู’ https://positioningmag.com/1379560 Tue, 29 Mar 2022 04:19:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1379560 ในปีที่ผ่านมา รายงานฉบับล่าสุดของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า คนร่ำรวยระดับ top 1% ของอเมริกา ไม่ได้จ่ายภาษี 163,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่คนร่ำรวยระดับ top 5% ก็ไม่ได้จ่ายภาษีเป็นมูลค่า 307,000 ล้านดอลลาร์ รายได้ที่สูญเสียไปทำให้รัฐบาลมีแผนจะกำหนด ภาษีขั้นต่ำ ของเหล่ามหาเศรษฐีให้อยู่ที่ 20%

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีแผนจะเสนอภาษีขั้นต่ำใหม่ที่จะเริ่มใช้ในปี 2023 โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ เหล่ามหาเศรษฐี โดยเรียกว่า ภาษีเงินได้ขั้นต่ำของมหาเศรษฐี โดยจะประเมินอัตราภาษีขั้นต่ำที่ 20% สำหรับครอบครัวที่มีรายได้มากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีประมาณกว่า 700 ครอบครัว และภาษีนี้ยังตั้งเป้ากำไรที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงในมูลค่าสินทรัพย์สภาพคล่อง เช่น หุ้น ซึ่งไม่ต้องเสียภาษีจนกว่าจะขาย

“ภาษีขั้นต่ำนี้จะช่วยให้แน่ใจว่าคนอเมริกันที่ร่ำรวยที่สุดจะไม่จ่ายภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าครูและนักดับเพลิงอีกต่อไป”

ทั้งนี้ ผลการศึกษาของรัฐบาลพบว่า ระหว่างปี 2010-2018 เศรษฐีระดับพันล้านราว 400 ครัวเรือน เสียภาษีเฉลี่ยแค่ 8.2% ของรายได้ ซึ่งถือว่า ต่ำกว่าครัวเรือนชาวอเมริกันอีกมากมาย ซึ่งการจัดเก็บภาษีที่เสนอนี้ คาดว่าจะเพิ่มรายได้ประมาณ 3.6 แสนล้านดอลลาร์ใน 10 ปีข้างหน้า

นักวิเคราะห์มองว่า แผนการนี้จะเปลี่ยนแปลงการเสียภาษีของเหล่าเศรษฐีพันล้านสหรัฐฯ ตามการคำนวณของกาเบรียล ซุคแมน นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเบิร์กลีย์ ระบุว่า อีลอน มัสก์ ต้องจ่ายภาษีเพิ่ม 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วน เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งอเมซอน ต้องจ่ายเพิ่มราว 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์

ในปีงบประมาณ 2021 การขาดดุลของรัฐบาลกลางมีมูลค่าเกือบ 2.8 ล้านล้านดอลลาร์ แต่น้อยกว่าในปี 2020 ประมาณ 3.6 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วหลังการระบาดยังเป็นปัจจัยในการลดการขาดดุลอีกด้วย โดยทำเนียบขาวให้เครดิตกับแผนการกู้ภัยของอเมริกา ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อสนับสนุนการบรรเทาทุกข์แก่ชาวอเมริกันในช่วงวิกฤตโควิด ซึ่งช่วยให้เศรษฐกิจเติบโต 5.7% ในปี 2021

Source

]]>
1379560
นักวิเคราะห์ชี้ที่ ‘Elon Musk’ เล็งขายหุ้น 10% เพราะถูกเรียกเก็บภาษี 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ https://positioningmag.com/1360927 Mon, 08 Nov 2021 10:25:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1360927 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา อีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้งบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าเทสลาได้ขอความเห็นจากชาวทวิตเตอร์ว่าเขาควรจะขายหุ้น 10% ของที่เขาถืออยู่ดีหรือไม่ หลังจากวุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครต ออกมาเสนอไอเดียให้รัฐเก็บภาษีคนรวยเพิ่มขึ้น รวมถึงประเด็นว่าความร่ำรวยจากหุ้นที่สูงแต่ยังไม่ได้ขายจริงเป็นการ ‘เลี่ยงภาษี’ ชนิดหนึ่ง

อีลอน มัสก์ ได้หยิบยกเรื่อง ความร่ำรวยจากราคาหุ้นที่สูงขึ้นแต่ยังไม่ได้ขายจริง หรือที่เรียกว่า unrealized gain ซึ่งถือเป็นการเลี่ยงภาษีอย่างหนึ่ง ทำให้มัสก์ได้ถามความเห็นจากผู้ติดตาม Twitter กว่า 62.7 ล้านคน ว่าเขาควรจะเสนอว่าจะ ขายหุ้นเทสลาที่เขาถือครองอยู่สัก 10%

โดยมัสก์ได้ทำโพลขึ้นมา พร้อมระบุว่าเขาจะ “ปฏิบัติตามผลการสำรวจความคิดเห็นนี้ ไม่ว่าจะไปทางใด” ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือ 58% เห็นด้วยที่จะขาย และ 42% ไม่เห็นด้วย อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า ไม่ว่าผลการสำรวจจะออกมาเป็นอย่างไร มัสก์ก็น่าจะเริ่มขายหุ้นได้หลายล้านหุ้นในไตรมาสนี้ เนื่องจากการเรียกเก็บเงินภาษีที่ใกล้จะเกิดขึ้น ซึ่งคาดว่าจะสูงถึงกว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์

เพราะถึงแม้เขาไม่ได้รับเงินเดือนหรือโบนัสเงินสด แต่ความมั่งคั่งของเขามาจากหุ้นและกำไรจากราคาหุ้นของเทสลา ดังนั้น มัสค์ต้องเสียภาษีเงินได้จากกำไร โดยเขาจะถูกเก็บภาษีที่ระดับรายได้ปกติสูงสุดหรือ 37% บวกภาษีการลงทุนสุทธิ 3.8% นอกจากนี้ เขายังต้องจ่ายอัตราภาษีสูงสุด 13.3% ในแคลิฟอร์เนีย เมื่อรวมกันแล้ว อัตราภาษีของรัฐและรัฐบาลกลางจะอยู่ที่ 54.1% ดังนั้น ภาษีทั้งหมดของเขา ณ ราคาปัจจุบัน จะอยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์

อ้างอิงจากข้อมูลช่วงกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา อีลอน มัสก์ ถือเป็นบุคคลที่มีทรัพย์สินมากสุดในโลก เนื่องจากมัสก์ถือครองหุ้นของเทสลาเป็นจำนวน 170.5 ล้านหุ้น โดยราคาหุ้นที่เปิดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาอยู่ที่ 1,222.09 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น ดังนั้น ถ้าขายหุ้น 10% เขาจะได้รับเงินราว 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 700,000 ล้านบาท

Source

]]>
1360927
ส่องอัตราภาษีนิติบุคคล ‘สูงสุด-ต่ำสุด’ ทั่วโลก หลังกลุ่มประเทศ G7 ปฏิรูปกำหนดขั้นต่ำ 15% https://positioningmag.com/1337080 Tue, 15 Jun 2021 07:01:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1337080 ในอดีตหลายประเทศในโลกพยายามจะลดอัตราภาษีนิติบุคคลเพื่อดึงดูดให้บริษัทข้ามชาติและบริษัทจากต่างประเทศเข้ามาตั้งสำนักงานในประเทศของตน เพื่อที่รัฐบาลจะได้มีรายได้เพิ่มขึ้น ทำให้ ‘บริษัทขนาดใหญ่’ บางรายมักจะจดทะเบียนบริษัทในประเทศที่เรียกเก็บภาษีในระดับต่ำมากหรือไม่มีการเรียกเก็บภาษีนิติบุคคลหรือภาษีเงินได้เลย จึงเป็นเหตุให้กลุ่ม G-7 ได้สนับสนุนให้อัตราภาษีนิติบุคคลทั่วโลกขั้นต่ำอย่างน้อย 15%

ช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจากประเทศกลุ่ม G-7 ได้แก่ สหรัฐฯ แคนาดา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น ได้ตกลงกันว่าจะสนับสนุนอัตราภาษีนิติบุคคลทั่วโลกให้มีขั้นต่ำอย่างน้อย 15% เพื่อแก้ปัญหาการใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายหลบเลี่ยงภาษีและประกันความยุติธรรมสำหรับชนชั้นกลางและคนทำงานในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก

ที่ผ่านมา รัฐบาลในประเทศเศรษฐกิจใหญ่ต้องเผชิญกับความท้าทายในการเก็บภาษีบริษัทขนาดใหญ่ เช่น ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Facebook และ Google ที่มักใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อหลบเลี่ยงการเสียภาษีในประเทศแม่ด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ เช่น การตั้งบริษัทสาขาในประเทศที่มีการเรียกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราต่ำแล้วยื่นเสียภาษีที่นั่น แม้ว่าบริษัทจะมีผลกำไรส่วนใหญ่มาจากยอดขายในประเทศอื่นก็ตาม ซึ่งช่วยให้บริษัทหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีที่สูงขึ้นในประเทศบ้านเกิดของบริษัท

องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD คาดว่าอัตราภาษีขั้นต่ำขององค์กรทั่วโลกรวมกันจะเพิ่มขึ้นราว 5-8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดยทั่วไป ประเทศในแอฟริกาและอเมริกาใต้กำหนดอัตราภาษีนิติบุคคลที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในยุโรปและเอเชีย ตามข้อมูลของมูลนิธิ Think Tank Tax Foundation, OECD และที่ปรึกษา KPMG ส่วนประเทศที่มีภาษีต่ำหลายแห่งเป็นประเทศเล็ก ๆ เช่น บัลแกเรีย และลิกเตนสไตน์ ซึ่งอัตราภาษีนิติบุคคลสูงสุดและต่ำสุดทั่วโลก มีดังนี้

ประเทศที่มีอัตราภาษีนิติบุคคลสูงสุด
ประเทศที่มีอัตราภาษีนิติบุคคลต่ำสุด

จากข้อมูลดังกล่าวระบุว่า ประมาณ 15 ประเทศไม่ได้กำหนดภาษีเงินได้นิติบุคคลทั่วไป ซึ่งรวมถึงประเทศที่เป็นเกาะ เช่น เบอร์มิวดา หมู่เกาะเคย์แมน และหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่าเป็น “ที่หลบภัยทางภาษี” นอกชายฝั่ง ซึ่งเป็นเขตอำนาจศาลที่บริษัทขนาดใหญ่เปลี่ยนผลกำไรไปเพื่อจ่ายภาษีให้น้อยลง โดยพื้นที่ดังกล่าวจะเน้นทำประโยชน์จากการจ้างงานของบริการบริษัทข้ามชาติ รวมถึงการทำเงินจากค่าธรรมเนียมที่จ่ายโดยบริษัทขนาดใหญ่แทน

Daniel Bunn รองประธานโครงการระดับโลกของ Tax Foundation กล่าวว่า ประเทศที่มีภาษีต่ำเอื้อต่อการลงทุนมากกว่าประเทศที่มีภาษีสูงกว่า ดังนั้น การใช้อัตราภาษีขั้นต่ำทั่วโลกจะเพิ่มต้นทุนของการลงทุนเหล่านั้น และอาจส่งผลต่อประเทศเหล่านั้นแน่นอน

“แม้จะยังไม่ชัดเจนว่าในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แน่นอนว่าอาจยังมีโอกาสหลบเลี่ยงหรือหลีกเลี่ยง หรือประเทศต่าง ๆ จะเปลี่ยนกฎในลักษณะที่เป็นสิทธิพิเศษสำหรับเขตอำนาจศาลของตนก็เป็นได้”

Source

]]>
1337080
นิวยอร์กเตรียมขึ้น “ภาษีคนรวย-ภาคธุรกิจ” ไว้เป็นเงินทุนต่อสู้ COVID-19 https://positioningmag.com/1327642 Sat, 10 Apr 2021 15:55:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1327642 สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า แอนดรูว์ คัวโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กของสหรัฐฯ เปิดเผยว่ารัฐนิวยอร์กเตรียมเรียกเก็บภาษีจากคนรวย และบริษัทต่างๆ เพิ่มอีกหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราวหลักหมื่น หรือแสนล้านบาท) ต่อปี เพื่อเป็นเงินทุนสำหรับการใช้จ่ายที่สูงท่ามกลางการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19

วุฒิสภา และสภารัฐนิวยอร์กผ่านร่างกฎหมายงบประมาณของรัฐมูลค่า 2.12 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.66 ล้านล้านบาท) สำหรับปีงบประมาณ 2022 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. ปีนี้ หลังจากหารือและบรรลุข้อตกลงกับคัวโมเมื่อวันอังคารที่ 6 เม.ย.

เมื่อวันพุธที่ 7 เม.ย. คัวโมเปิดเผยว่ารัฐนิวยอร์กจะเก็บภาษีได้เพิ่ม 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 8.49 หมื่นล้านบาท) จากการปรับอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้สูงขึ้น และ 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.35 หมื่นล้านบาท) จากอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่สูงขึ้น ในปีงบประมาณ 2022

และในปีงบประมาณ 2023 จำนวนเงินที่เรียกเก็บจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคลจะมีมูลค่า 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.03 แสนล้านบาท) และ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.14 หมื่นล้านบาท) ตามลำดับ

ชาวนิวยอร์กที่มีรายได้มากกว่า 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 786 ล้านบาท) ต่อปี จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 10.9% จากเดิม 8.82%

Photo : Shutterstock

นอกจากนั้นอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้มีรายได้ 5-25 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ประมาณ 157-786 ล้านบาท) จะเพิ่มขึ้นเป็น 10.3% จากเดิม 8.82% ส่วนบุคคลที่มีรายได้ตั้งแต่ 1-5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 31-157 ล้านบาท) ต่อปี ต้องจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 9.65% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 8.82%

ด้านกลุ่มคนร่ำรวยที่สุดในนิวยอร์กซิตีต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น 3.88% และอาจต้องเสียอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มขึ้นเป็น 14.78% ซึ่งนับเป็นอัตราที่สูงที่สุดในสหรัฐฯ

คัวโมกล่าวว่าอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทที่มีรายได้มากกว่า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 157 ล้านบาท) ต่อปี จะเพิ่มจาก 6.5% เป็น 7.25% เป็นเวลา 3 ปี

ขณะเดียวกันคัวโมระบุว่ารัฐนิวยอร์กได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลกลาง 1.26 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.96 แสนล้านบาท) สำหรับปีงบประมาณนี้

Photo : Shutterstock

คัวโมเสริมว่าการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีเหล่านี้จะเกิดขึ้นก่อนการยกเลิกลดหย่อนภาษีของรัฐและภาษีท้องถิ่น (State and Local Tax) ซึ่งจะทำให้ภาษีสุทธิในรัฐลดลง โดยการปรับขึ้นอัตราภาษีดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกสภานิติบัญญัติและกลุ่มหัวก้าวหน้า แต่เผชิญกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากภาคธุรกิจ

เมื่อวันพุธที่ 7 เม.ย. แถลงการณ์จากฮีเธอร์ บริกเชตตี ประธานและซีอีโอของสภาธุรกิจแห่งรัฐนิวยอร์ก ระบุว่าการเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรวมถึงการปรับเพิ่มภาษีภาคธุรกิจนั้นไม่ใช่สิ่งจำเป็น เนื่องจากนิวยอร์กได้รับเงินสนับสนุนจำนวนมากจากรัฐบาลกลางอยู่แล้ว

บริกเชตตีกล่าวเสริมว่า ในขณะที่การช่วยเหลือภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจากมาตรการล็อกดาวน์ และข้อจำกัดของรัฐเพิ่มเติมนั้นเป็นสิ่งที่น่าส่งเสริม “เรากลัวว่าการเรียกเก็บเงินและภาษีเพิ่มเติมจะส่งผลกระทบต่อรัฐนิวยอร์กมากกว่าเอื้อให้เกิดการฟื้นตัว”

]]>
1327642
เปิดลิสต์ 18 กองทุน SSF ซื้อลดหย่อนภาษี 2 แสนบาท ก.ล.ต.ไฟเขียว เสนอขายได้ 1 เม.ย.นี้ https://positioningmag.com/1271003 Tue, 31 Mar 2020 10:53:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1271003 ก.ล.ต. อนุมัติจัดตั้ง “กองทุน SSF หลักทรัพย์จดทะเบียน” เเล้ว จำนวน 18 กองทุน จาก บลจ. 14 แห่ง เพื่อให้เสนอขายได้วันที่ 1 เมษายน นี้ ตามมติคณะรัฐมนตรีภายใต้มาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส COVID-19

รื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ตามที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 มีมติให้ประชาชนทั่วไปหักลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุนกองทุนเพื่อการออม (Super Savings Fund : SSF) ที่มีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือ “SSF หลักทรัพย์จดทะเบียน” นั้น โดยมีเงื่อนไข ดังนี้

(1) ลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนทั้งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ

(2) หักลดหย่อนภาษีเงินได้พึงประเมินตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 200,000 บาท โดยแยกจากวงเงินลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน SSF กรณีปกติ และไม่อยู่ภายใต้เพดานวงเงินหักลดหย่อนรวมในกองทุนเพื่อการเกษียณทั้งหมด

(3) ซื้อระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2563 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563

(4) ถือหน่วยลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 10 ปี

ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 ก.ล.ต. ได้อนุมัติการจัดตั้งกองทุน SSF หลักทรัพย์จดทะเบียน ไปแล้วจำนวน 18 กองทุน จากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จำนวน 14 แห่ง ซึ่งกองทุน SSF หลักทรัพย์จดทะเบียน พร้อมเสนอขายได้ในวันที่ 1 เมษายน 2563 สำหรับผู้สนใจสามารถติดต่อได้ที่ บลจ. ที่เสนอขายกองทุน ดังนี้

1. กองทุนเปิดกรุงศรี SET100 – บลจ.กรุงศรี
2. กองทุนเปิด เค ซูเปอร์สตาร์ เพื่อการออมพิเศษ – กสิกรไทย
3. กองทุนเปิด ทิสโก้ หุ้นทุน เพื่อการออม – ทิสโก้
4. กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นไทยเพื่อการออม – บัวหลวง
5. กองทุนเปิดกรุงไทย ก่อการดี เพื่อการออม – กรุงไทย
6. กองทุนเปิดกรุงไทย 70/30 เพื่อการออม – กรุงไทย
7. กองทุนเปิดพรินซิเพิล เว็ท 50 อินเด็กซ์เพื่อการออม – พรินซิเพิล
8. กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี ไทยเฟล็กซิเบิล เพื่อการออม – เอ็มเอฟซี
9. กองทุนเปิดเอ็มเอฟซีหุ้นไทยเพื่อการออม – เอ็มเอฟซี
10. กองทุนเปิดยูโอบี เพื่อการออม – ยูโอบี
11. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ดัชนี SET เพื่อการออม – ไทยพาณิชย์
12. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ผสม 70/30 เพื่อการออม – ไทยพาณิชย์
13. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นไทยเเอคทีฟ เพื่อการออม – ไทยพาณิชย์
14. กองทุนเปิด เเอล เอช สมาร์ท เพื่อการออม – เเลนด์ เเอนด์ เฮ้าส์
15. กองทุนเปิด เเอสเซทพลัส สมอล เเอนด์ มิด เเคป อิควิตี้ เพื่อการออม – เเอสเซท พลัส
16. กองทุนเปิดภัทร SET50 ESG – ภัทร
17. กองทุนเปิดธนชาต อีสท์สปริง หุ้นทุนปันผลเพื่อการออมพิเศษ – ธนชาต
18. กองทุนเปิด วรรณ สนับสนุนตลาดทุนไทย เพื่อการออม – วรรณ

*ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563

อ่านเพิ่มเติม :
ส่องผลประโยชน์-ผลกระทบ “กองทุน SSF” ที่มาทดแทน LTF

 

 

]]>
1271003
จ่อขึ้นภาษี “บิ๊กไบค์” เพิ่มหลักแสนบาท ปล่อย CO2 เยอะก็จ่ายเยอะ https://positioningmag.com/1251302 Mon, 28 Oct 2019 16:31:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1251302 ครม.” เห็นชอบโครงสร้างการจัดเก็บภาษีรถมอเตอร์ไซค์ในอัตราใหม่ที่อิงตามปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซค์ โดยกำหนดให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 .. 63 เป็นต้นไป คาดกระทบตลาดบิ๊กไบค์จ่ายภาษีเพิ่มหลักแสนบาทต่อคัน

เท่ากับว่าการจัดเก็บภาษีรถจักรยานยนต์ใหม่ จะเปลี่ยนแปลงการจัดเก็บภาษีจากเดิมที่ยึดตามขนาดเครื่องยนต์ ไปเป็นยึดตามปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) โดยการจัดเก็บภาษีนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 63 เป็นต้นไป ซึ่งคาดว่าจะทำให้รัฐมีรายได้ภาษีเพิ่มอีกประมาณ 500 – 700 ล้านบาทต่อปี

สำหรับโครงสร้างภาษีใหม่กำหนดว่าหากเป็นรถจักรยานยนต์ที่มีขนาดต่ำกว่า 150 ซีซี (รถทั่วไป) จะมีสัดส่วนกว่า 90% ซึ่งอาจจะทำให้ราคาปรับเพิ่มขึ้นมาประมาณกว่า 100 บาท แต่ผลกระทบสำคัญจะเป็นรถประเภทบิ๊กไบค์ (500 ซีซีขึ้นไป) แต่ค่ายรถจากยุโรปและญี่ปุ่นที่อาจจะมีเทคโนโลยีสูงน่าจะสามารถผลิตรถที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซค์ (CO2) ลดลงได้

ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์บางค่ายที่มีรถขนาดซีซีสูงเหมือนกัน แต่ประสิทธิภาพอาจจะกินน้ำมันมากกว่า ก็จะส่งผลให้เสียภาษีเพิ่มขึ้น ดังนั้นการจัดเก็บภาษีจะขึ้นอยู่กับการปล่อย CO2

หากเป็นรถบิ๊กไบค์ซึ่งมีราคาขายในระดับล้านบาทนั้น อาจจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นเป็นแสนบาทต่อคัน เช่น เคยเสียภาษีอยู่ 9% ถ้าเกิดปล่อย CO2 มากจะต้องเสียภาษี 18% ซึ่งจะมีผลเฉพาะรถใหม่หรือนำเข้ามา

ด้านโครงสร้างภาษีรถจักรยานยนต์ใหม่จะแบ่งเป็น 5 ขั้นอัตรา คือ

  • หากปล่อย CO2 ไม่เกิน 10 กรัมต่อกิโลเมตร จะเสียภาษีที่ 1%
  • มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า-EV ปล่อย CO2 ระหว่าง 10 – 50 กรัมต่อกิโลเมตร จะเสียภาษี 3%
  • ปล่อย CO2 ระหว่าง 50 – 90 กรัมต่อกิโลเมตร จะเสียภาษี 6%
  • ปล่อย CO2 ระหว่าง 90 – 130 กรัมต่อกิโลเมตร จะเสียภาษี 9%
  • ปล่อย CO2 130 กรัมต่อกิโลเมตรขึ้นไป เสีย 18% ซึ่งกรณีรถบิ๊กไบค์ (500 ซีซีขึ้นไป) ก็น่าจะเสียที่อัตราสูงสุด เนื่องจากเครื่องยนต์ใหญ่และมีการปล่อย CO2 มากกว่า 130 กรัมต่อกิโลเมตร

Source

]]>
1251302
สัญญาณเริ่มดี! ทรัมป์บรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรกกับจีน พร้อมชะลอการรีดภาษีระลอกใหม่ https://positioningmag.com/1249704 Sun, 13 Oct 2019 16:22:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1249704 ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เผยร่างข้อตกลงการค้า ‘เฟสแรก’ กับจีนเมื่อวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา พร้อมสั่งชะลอมาตรการรีดภาษีสินค้าจีนระลอกใหม่ที่จะเริ่มมีผลบังคับในสัปดาห์หน้า

เจรจายุติสงครามการค้าเริ่มคืบหน้า

ข้อตกลงเบื้องต้นซึ่งครอบคลุมทั้งเรื่อง สินค้าเกษตร อัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงกลไกปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา ถือเป็นความคืบหน้าครั้งสำคัญในการเจรจาเพื่อยุติสงครามการค้าที่ยืดเยื้อและสั่นคลอนเศรษฐกิจโลกมานานถึง 15 เดือน

ทรัมป์ ไม่ได้ลงลึกถึงรายละเอียดของข้อตกลง ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 5 สัปดาห์จึงจะร่างเสร็จสมบูรณ์ พร้อมยอมรับว่าดีลฉบับนี้อาจ ล้มเหลว ก็เป็นได้ แต่ตนมั่นใจว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น

ผมเชื่อว่าเรามีความเข้าใจขั้นพื้นฐานที่ตรงกันในประเด็นสำคัญๆ เราได้จัดทำเอกสารต่างๆ ไปมากพอสมควร แต่ก็ยังเหลืองานที่ต้องทำอีกสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวระหว่างที่คณะผู้แทนเจรจาทั้ง 2 ฝ่ายร่วมประชุมกับ ทรัมป์ ที่ห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาว พร้อมย้ำว่าสหรัฐฯ จะไม่ยอมเซ็นข้อตกลงใดๆ จนกว่าเงื่อนไขทุกอย่างจะถูกระบุเป็นลายลักษณ์อักษร

ทรัมป์ระบุว่า จุดสิ้นสุดของสงครามการค้านั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม ในขณะที่รองนายกรัฐมนตรี หลิว เหอ ของจีนยังคงเลือกใช้ถ้อยคำกลางๆ

การเจรจามีความคืบหน้ามากพอสมควรในหลายด้าน ทางเรารู้สึกยินดี และก็จะพยายามกันต่อไป หลิว ระบุ

หนังสือพิมพ์พีเพิลส์เดลีของจีนกล่าวผ่านบทบรรณาธิการฉบับวันนี้ (12 ตุลาคม) ว่า ปักกิ่งมองว่าการเจรจากับสหรัฐฯ รอบล่าสุดเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ตรงไปตรงมาและมีประสิทธิภาพขณะเดียวกันก็ย้ำเตือนว่า แม้ทั้ง 2 ฝ่ายกำลังก้าวไปสู่ทางออกของสงครามการค้าแต่เป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ปัญหาด้วยการกดดันจีนตามอำเภอใจ

ทรัมป์ชะลอรีดภาษีจากจีนไปก่อน

ทรัมป์ กล่าวยกย่องรัฐบาลจีนที่ตกลงรับซื้อสินค้าเกษตรอเมริกันเป็นมูลค่าถึง 50,000 ล้านดอลลาร์ แต่ยังปฏิเสธที่จะถอนมาตรการรีดภาษีสินค้าจีนมูลค่าหลายแสนล้านที่ได้ประกาศใช้ไปแล้ว

อย่างไรก็ดี มนูชิน ระบุว่า ทรัมป์ ได้สั่งชะลอการปรับขึ้นภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจีนมูลค่า 250,000 ล้านดอลลาร์จาก 25% เป็น 30% ออกไปก่อน ซึ่งเดิมทีมาตรการนี้จะเริ่มมีผลบังคับในวันที่ 15 ..

ด้าน โรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ย้ำว่า ทรัมป์ยังไม่ได้ตัดสินใจเกี่ยวกับมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรสินค้าจีนอีกล็อตที่จะมีผลในช่วงเดือนธ.. อีกทั้งข้อตกลงการค้าเฟสแรกนี้ก็ยังไม่มีการพูดถึงสถานะของ หัวเว่ย เทคโนโลยีส์ ผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำเมื่อเดือนพ..

ทรัมป์ เคยประกาศว่าจะไม่ยอมรับข้อตกลงเพียงบางส่วนและต้องการบีบให้จีนแก้ไขพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรม การขโมยทรัพย์สินทางปัญญา รวมถึงนโยบายอุดหนุนอุตสาหกรรมในประเทศซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นเหตุให้สหรัฐฯ สูญเสียงานหลายล้านตำแหน่ง อย่างไรก็ดี ผู้นำสหรัฐฯ กลับออกมาพูดเมื่อวันศุกร์ (11 ตุลาคม) ว่าแนวทางแบบค่อยเป็นค่อยไป” (phased approach) น่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสม

ทรัมป์ และประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน มีกำหนดเดินทางไปประชุมซัมมิตกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (เอเปก) ที่กรุงซันติอาโกของชิลีในวันที่ 16 .. และ ทรัมป์ เองก็เอ่ยเป็นนัยๆ ว่าอาจจะมีการลงนามข้อตกลงการค้ากับจีนที่นั่น

กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ยืนยันเมื่อวันพฤหัสบดี (10 ตุลาคม) ว่าได้มีการส่งออกเนื้อหมูไปยังจีนรวม 142,172 ตันในช่วงเวลา 1 สัปดาห์จนถึงวันที่ 3 .. ซึ่งนับเป็นยอดส่งออกรายสัปดาห์ที่สูงเป็นประวัติการณ์

แหล่งข่าวที่ซึ่งเข้าถึงรายละเอียดการเจรจาระบุว่า เนื้อหาข้อตกลงในส่วนที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญานั้นจะเน้นหนักไปที่การปกป้องลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้า ทว่ายังไม่มีการพูดถึงเรื่องการถ่ายโอนเทคโนโลยีขั้นสูง ความมั่นคงไซเบอร์ มาตรฐานผลิตภัณฑ์ และระบบคะแนนความน่าเชื่อถือทางสังคม (social credit) ซึ่งจะประเมินจากพฤติกรรมการดำเนินธุรกิจของบริษัทต่างๆ.

Source

]]>
1249704
เอาละสิ “Google” ชนะอุทธรณ์คดีเก็บภาษีย้อนหลัง 1.1 พันล้านยูโร ในฝรั่งเศส https://positioningmag.com/1132573 Thu, 13 Jul 2017 02:44:27 +0000 http://positioningmag.com/?p=1132573 เมื่อวันพุทธ (12 ..)  ศาลฝรั่งเศส ได้ตัดสินให้กูเกิล (Google) ไม่ต้องเสียภาษี 1.1 ล้านยูโรหรือประมาณ 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลฝรั่งเศสเรียกเก็บเพิ่มเติม งานนี้สะท้อนโอกาสเรื่องการเรียกเก็บภาษีจากกูเกิลที่อาจคดีพลิกในหลายประเทศ

ศาลปกครองกรุงปารีสวินิจฉัยว่า กูเกิลไอร์แลนด์ (Google Ireland Limited) ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมายภาษีนิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่มในช่วงปี 2548-2553 ทำให้ข้อเรียกร้องในการชำระเงินภาษีย้อนหลังไม่สามารถทำได้

คำตัดสินที่กูเกิลได้รับ เกิดขึ้นเพราะคำแนะนำของที่ปรึกษาของศาลว่ากูเกิลไม่มีสถานประกอบการถาวรหรืออยู่ในสถานะต้องเสียภาษีตามที่รัฐบาลเมืองน้ำหอมเรียกเก็บย้อนหลัง แม้ว่ากูเกิลจะทำรายได้จากธุรกิจโฆษณาออนไลน์ผ่านอุปกรณ์ไอทีบนแผ่นดินฝรั่งเศสอย่างเป็นกอบเป็นกำในช่วงเวลานั้นก็ตาม

ปัจจุบัน กูเกิลเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทอัลฟาเบ็ต (Alphabet Inc) ในแถลงการณ์ระบุว่า กระทรวงการคลังฝรั่งเศสกำลังพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาล ซึ่งจะต้องยื่นฟ้องอีกครั้งภายใน 2 เดือนหรือ 60 วันนับจากนี้

คดีนี้ถือเป็นคนละแนวกับคดีที่ กูเกิล (Google) ถูกสหภาพยุโรปหรืออียู (European Union) ตัดสินว่า กูเกิลมีความผิดต้องชดใช้เงินมากกว่า 2.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 9.1 หมื่นล้านบาท ฐานผูกขาดผลเสิร์ชจนทำให้ไม่เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมในช่วงที่ผ่านมา แต่มีความคล้ายคลึงกับ กรณีของอินโดนีเซียและอังกฤษ ที่สามารถเรียกเก็บภาษีย้อนหลังได้แม้กูเกิลจะชี้แจงกับทั้ง 2 ประเทศว่าไม่มีพนักงาน รายใดในสำนักงานกูเกิลทั้ง 2 ประเทศ ที่มีหน้าที่ปิดการขายโฆษณาเนื่องจากอำนาจในการปิดการขายนั้นอยู่ที่กูเกิลประเทศไอร์แลนด์ และกูเกิลสิงคโปร์เท่านั้น

กรณีของฝรั่งเศส อธิบายได้ง่ายว่าในเมื่อไม่มีใครในกูเกิลประเทศฝรั่งเศสทำหน้าที่ปิดการขาย ฝรั่งเศสก็ไม่มีสิทธิ์เก็บภาษี แม้ว่าทีมงานกูเกิลประเทศฝรั่งเศสจะมีส่วนในการเจรจาการขายก็ตาม

ทั้งหมดนี้ทำให้กระทรวงการคลังฝรั่งเศสมองว่าต้องมีการอุทธรณ์ ซึ่งถือเป็นอีกคดีที่กระทรวงการคลังของไทยและอีกหลายประเทศต้องติดตามใกล้ชิด 


ที่มา : http://manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9600000071074

]]>
1132573