มหาเศรษฐีระดับโลก – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 07 Apr 2021 06:37:29 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “Jeff Bezos” ยังรั้งเบอร์ 1 “มหาเศรษฐี” รวยที่สุดในโลก “Elon Musk” ผงาดขึ้นเบอร์ 2 https://positioningmag.com/1326811 Wed, 07 Apr 2021 06:14:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1326811 Forbes จัดอันดับ “มหาเศรษฐี” รวยที่สุดในโลกปี 2021 ปีนี้ “Jeff Bezos” แห่ง Amazon ยังคงรั้งอันดับ 1 เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ส่วนอันดับ 2 ตกเป็นของ “Elon Musk” แห่ง Tesla ซึ่งทะยานขึ้นมาจากอันดับที่ 31 เมื่อปีก่อน ขณะที่ “Warren Buffet” พ่อมดตลาดหุ้นแห่ง Berkshire Hathaway หลุด Top 5 เศรษฐีโลกเป็นครั้งแรกในรอบสองทศวรรษ

นิตยสาร Forbes ซึ่งจัดอันดับมหาเศรษฐีโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 35 เปิดเผย ลิสต์รายชื่อเศรษฐีปีล่าสุด 2021 (คำนวณเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2021) แม้จะผ่านโรคระบาดกันแบบเต็มปี แต่มูลค่าสินทรัพย์ของเศรษฐีทั้งลิสต์ 2,755 คนรวมกันกลับเพิ่มขึ้นสูง โดยปีนี้มหาเศรษฐีโลกมีสินทรัพย์รวมมูลค่า 13.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับปีก่อนที่มีรวมกัน 8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้ ประเทศที่มีมหาเศรษฐีมากที่สุดยังคงเป็นสหรัฐอเมริกา มีทั้งหมด 724 คน แต่ตามมาติดๆ คือ จีน (รวมฮ่องกงและมาเก๊า) จำนวน 698 คน

10 อันดับ “มหาเศรษฐี” รวยที่สุดในโลกปี 2021 จัดอันดับโดย Forbes

1) Jeff Bezos – Amazon – 1.77 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
2) Elon Musk – Tesla, SpaceX – 1.51 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
3) Bernard Arnault และครอบครัว – LVMH – 1.50 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
4) Bill Gates – Microsoft – 1.24 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
5) Mark Zuckerberg – Facebook – 9.70 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
6) Warren Buffet – Berkshire Hathaway – 9.60 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
7) Larry Allison – ซอฟต์แวร์หลากหลาย (บริษัทหลักคือ Oracle) – 9.30 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
8) Larry Page – Google – 9.15 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
9) Sergey Brin – Google – 8.90 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
10) Mukesh Ambani – ธุรกิจหลากหลาย (บริษัทหลักคือ Reliance Industries) – 8.80 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

 

Jeff Bezos แชมป์ 4 ปีซ้อน Elon Musk ทะยานขึ้นเบอร์ 2

Jeff Bezos แห่ง Amazon ยังคงเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน โดยสถานการณ์โรคระบาดยิ่งเป็นผลบวกต่อเขา เพราะการล็อกดาวน์อยู่กับบ้านทำให้อีคอมเมิร์ซเติบโตแรง จนช่วงเดือนแรกของการล็อกดาวน์ (มีนาคม-เมษายน 2020) Amazon ประกาศการจ้างงานพนักงานเพิ่มถึง 1.75 แสนตำแหน่ง เพื่อให้ทันกับความต้องการ

Jeff Bezos (Photo by Spencer Platt/Getty Images)

ด้าน Elon Musk แห่ง Tesla และ SpaceX อันดับเศรษฐีพุ่งจาก 31 เป็นอันดับ 2 ในปีนี้ หลังจากหุ้น Tesla ทะยานไกลจากความสำเร็จในการส่งมอบรถยนต์ และยอดขายที่เติบโตดีในประเทศจีน นอกจากนี้ SpaceX บริษัทท่องอวกาศของเขาเพิ่งระดมทุนรอบเดือนกุมภาพันธ์ 2021 และถูกตีมูลค่าบริษัทเพิ่มเป็น 7.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

Elon Musk (Photo by Kevork Djansezian/Getty Images)

ทั้งนี้ Elon Musk เคยขึ้นไปอยู่อันดับ 1 มหาเศรษฐีโลกมาแล้วในช่วงเดือนมกราคม 2021 แต่ต่อมาราคาหุ้น Tesla กลับลดลงจากหลายๆ ปัจจัย จน Musk กลับมาที่อันดับ 2 อีกครั้ง (อ่านเพิ่มเติม : เปิด 4 สาเหตุฉุดหุ้น ‘Tesla’ ร่วง ทำ ‘Elon Musk’ เสียตำแหน่งเศรษฐีเบอร์ 1 โลก)

สำหรับ Warren Buffet ปีนี้สินทรัพย์เขากลับมาเพิ่มขึ้น แต่บอกได้ว่ายังเพิ่มไม่ทันบรรดาเจ้าพ่อเทคคอมปะนี ทำให้อันดับหย่อนลงมาอยู่ที่อันดับ 6

 

เจ้าพ่อน้ำแร่ เจ้าแม่เครื่องสำอาง

เศรษฐีจีนที่รวยที่สุดปีนี้ตกเป็นของ Zhong Shanshan เจ้าของน้ำแร่ Nongfu Spring อยู่ในอันดับ 13 ของโลก ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ 6.89 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เขาพุ่งทะยานขึ้นมาแซงหน้า Jack Ma จากการจดทะเบียนบริษัทในตลาดหุ้นฮ่องกงเมื่อเดือนกันยายน 2020 (อ่านเพิ่มเติม : เปิดอินไซต์ “Nongfu Spring” แบรนด์น้ำแร่ที่พา “จง สานส่าน” รวยกว่าวอร์เรน บัฟเฟตต์)

Zhong Shanshan
Zhong Shanshan (เเฟ้มภาพ- Photo by Jiang Xin/VCG via Getty Images)

ส่วน “เศรษฐินี” ที่รวยที่สุดของโลกอยู่ในอันดับ 12 เธอคือ Francoise Bettencourt Meyers และครอบครัว เจ้าของธุรกิจเครื่องสำอาง L’Oréal มูลค่าสินทรัพย์ของเธออยู่ที่ 7.36 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

 

เศรษฐีไทยติดโผ 15 คน

ขณะที่เศรษฐีไทยที่ติดท็อประดับโลกยังเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตา รวมทั้งหมด 15 คน ได้แก่ ธนินท์ เจียรวนนท์ (อันดับ 103) เจริญ สิริวัฒนภักดี (อันดับ 156) สารัชถ์ รัตนาวะดี (อันดับ 264) สุเมธ เจียรวนนท์ (อันดับ 502) จรัญ เจียรวนนท์ (อันดับ 520) มนตรี เจียรวนนท์ (อันดับ 520)

ชูชาติ เพ็ชรอำไพ และดาวนภา เพชรอำไพ (อันดับ 859) สมโภชน์ อาหุนัย (อันดับ 925) ฮาราลด์ ลิงก์ (อันดับ 986) ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ (อันดับ 986) อาลก โลเฮีย (อันดับ 1205) วานิช ไชยวรรณ (อันดับ 1362) กฤตย์ รัตนรักษ์ (อันดับ 1362) คีรี กาญจนพาสน์ (อันดับ 1517) และ ประยุทธ มหากิจศิริ (อันดับ 1517)

Source: Forbes, Reuters

]]>
1326811
หุ้น Tesla พุ่งไม่หยุด ส่ง ‘อีลอน มัสก์’ ขึ้นเเท่นมหาเศรษฐีรวยสุดในโลก เเซง ‘เจฟฟ์ เบโซส’ https://positioningmag.com/1313378 Fri, 08 Jan 2021 06:03:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1313378 มาเเรงเเซงทางโค้งกับความรวยที่พุ่งไม่หยุดของ เจ้าพ่อเทคโนโลยีสุดล้ำ อย่างอีลอน มัสก์” (Elon Musk) ขึ้นเเท่นมหาเศรษฐีรวยที่สุดในโลกไปเรียบร้อย เบียดเเชมป์หลายสมัยอย่างเจฟฟ์ เบโซสซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Amazon 

ราคาหุ้นของ Tesla ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่กระฉุด หลังเข้าไปอยู่ในดัชนี S&P 500 เพิ่มพูนความมั่งคั่งไม่หยุด ล่าสุดหลังมีการประเมินมูลค่าทรัพย์สินโดยรวม พบว่า อีลอน มัสก์ มีมูลค่าทรัพย์สินมากกว่า 185,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.56 ล้านล้านบาท) เเซงเจ้าพ่อ Amazon ที่มีมูลค่าทรัพย์สินของปัจจุบันที่ 184,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.53 ล้านล้านบาท)

การก้าวสู่ตำเเหน่งมหาเศรษฐีเบอร์ 1 ของอีลอน มัสก์ ในครั้งนี้ ได้รับอานิสงส์มาจากราคาหุ้นของ Tesla ที่ขยับขึ้นอย่างก้าวกระโดดเพิ่มขึ้นจากปีที่เเล้วถึง 900% เเละเพิ่มขึ้นถึง 23,900% จากปี 2010 ที่เข้า IPO ครั้งแรก โดยมัสก์เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Tesla ในสัดส่วนราว 20%

หลังทราบกระเเสข่าวนี้ อีลอน มัสก์ ออกมาโพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์เพียงสั้นๆ ว่า แปลกจัง… อืม กลับไปทำงานดีกว่า

โดยเส้นทางความร่ำรวยของชายผู้มุ่งสร้างเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกคนนี้ น่าสนใจไม่น้อย เพราะถือว่าเป็นการก้าวขึ้นอันดับบุคคลร่ำรวยเเบบ “รวดเร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์เพราะเมื่อต้นปีที่เเล้ว เขาเพิ่งจะได้เข้ามาอยู่ในลิสต์ 50 บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าทรัพย์สินที่ 27,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ก่อนจะพุ่งเเรงขยับมาอยู่ในอันดับที่ 7 เมื่อเดือนกรกฎาคม เเละรวยเเซงเศรษฐีโซเชียลมีเดียอย่าง
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กได้ในเดือนกันยายน พร้อมส่งท้ายปี 2020 ด้วยการแซงหน้าบิล เกตส์ผู้ก่อตั้ง
ไมโครซอฟท์ ขึ้นเป็นมหาเศรษฐีที่รวยเป็นอันดับ 2 ของโลกเมื่อเดือนพฤศจิกายน ก่อนขึ้นเเท่นเบอร์ 1 เเทนเจฟฟ์ เบโซส ได้ในต้นปี 2021

อย่างไรก็ตาม การจัดลำดับมหาเศรษฐีโลกของนิตยสาร Forbes ยังใช้วิธีการคำนวณที่เเตกต่างกัน โดยมัสก์ยังคงเป็นรองเจฟฟ์ เบโซส อยู่ราว 7,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ต่อไปนี้…ก็ต้องจับตาว่าหุ้น Tesla จะเติบโตไปในทิศทางใด

 

ที่มา : CNBC ,  Bloomberg

]]>
1313378
รวยแล้วรวยอีก! Top 500 เศรษฐีโลกรวยขึ้น 1.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐปี 2019 https://positioningmag.com/1258948 Sun, 29 Dec 2019 21:20:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1258948 การวิเคราะห์ของสำนัก Bloomberg พบมหาเศรษฐีรายใหญ่ Top 500 ของโลกสามารถสร้างความมั่งคั่งได้เพิ่มขึ้นรวม 1.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2019 หรือประมาณ 36 ล้านล้านบาทตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนความไม่เท่าเทียมหรือช่องว่างระหว่างความร่ำรวยและยากจนที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น คาดเป็นปรากฏการณ์ชัดเจนที่สุดในรอบหลายสิบปีที่สหรัฐอเมริกา

ในภาพรวม Bloomberg ประเมินว่าเศรษฐี 500 คนที่รวยที่สุดในโลก มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 25% คิดเป็นเม็ดเงินกลมๆ 5.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

Mark Zuckerberg

สำหรับในสหรัฐอเมริกา เศรษฐีที่รวยที่สุด 0.1% สามารถครองส่วนแบ่งสินทรัพย์ในตลาดได้มากขึ้นแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นนับตั้งแต่ปี 1929 เบื้องต้นพบว่ามหาเศรษฐีอเมริกัน 172 คนที่ถูกจัดอันดับโดย Bloomberg นั้นสามารถเพิ่มทรัพย์สินได้มากกว่า 500,000 ล้านเหรียญ ไม่น่าแปลกใจเพราะ Mark Zuckerberg แห่ง Facebook Inc. ร่ำรวยเพิ่มขึ้น 27,300 ล้านเหรียญสหรัฐ และ Bill Gates ผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft Corp. มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นอีก 22,700 ล้านเหรียญสหรัฐ

8 ใน 10 เป็นคนอเมริกัน

Jeff Bezos ซีอีโอ Amazon (ภาพจากรอยเตอร์)

ตามดัชนีมหาเศรษฐี Bloomberg Billionaires Index พบว่า 8 ใน 10 มหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกมาจากสหรัฐอเมริกา โดยแชมป์เป็นของ Jeff Bezos ประธานเจ้าหน้าที่บริหารหรือ CEO ของ Amazon ซึ่งแม้จะสูญเสียทรัพย์สินไปเกือบ 9,000 ล้านเหรียญในปี 2019 (ตามข้อมูลของ Bloomberg) แต่ Bezos ยังมีแนวโน้มที่จะครองแชมป์ปี 2019 ในฐานะบุคคลที่รวยที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวม 116,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้มหาเศรษฐีที่รวยอยู่แล้วยิ่งรวยขึ้นอีก คือภาวะตลาดหุ้นที่ผันผวน อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์มูลค่าทรัพย์สินเหล่านี้ได้รับความสนใจในฐานะเครื่องบ่งชี้ความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีปี 2020 โดยเฉพาะ Bernie Sanders และ Elizabeth Warren ที่พยายามชูความไม่เท่าเทียมกันเป็นองค์ประกอบสำคัญในการร่างนโยบายหาเสียง

การวิเคราะห์ของ Bloomberg ยังพบว่าเศรษฐีจากฝั่งประเทศจีนยังคงร่ำรวยยิ่งขึ้นต่อเนื่อง โดยจีนมีเศรษฐีเพิ่มขึ้นเป็น 54 ราย เป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐฯ ตำแหน่งแชมป์เป็นของ He Xiangjian ผู้ก่อตั้งบริษัทส่งออกเครื่องปรับอากาศรายใหญ่ที่สุดของจีน สามารถทำแต้มท็อปฟอร์มร่ำรวยมากขึ้นได้เร็วที่สุดประจำปีนี้ สถิติที่บันทึกไว้คือทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 79% เป็น 23,300 ล้านเหรียญสหรัฐ

สำหรับเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดของรัสเซีย มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 51,000 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 21% ผลจากสินทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่ ทั้งการเก็งกำไรค่าเงิน รวมถึงหุ้น และพันธบัตรที่ดีดตัวขึ้นในปี 2019 ทำให้แก้มือได้หลังจากที่ขาดทุนอย่างหนักเมื่อปีที่แล้ว

Rupert Murdoch รวยน้อยลง

รายงานระบุว่าทรัพย์สินส่วนตัวของ Rupert Murdoch เจ้าพ่อสื่ออเมริกันลดลงประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2019 เนื่องจากเม็ดเงินในดีลการซื้อสินทรัพย์ Fox ของ Walt Disney ถูกแจกจ่ายให้กับทายาททั้ง 6 ส่งให้แต่ละคนสามารถเป็นมหาเศรษฐีในชื่อของตัวเอง

ยังมี Adam Neumann แห่งอาณาจักร WeWork ที่เห็นความมั่งคั่งของตัวเองน้อยลง เนื่องจากการประเมินมูลค่าของบริษัทที่ลดลงเหลือ 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐในเดือนตุลาคม จากที่เคยเป็นดาวรุ่งถูกประเมินมูลค่าบริษัทไว้ที่ 47,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงต้นปี แต่โชคยังดีเพราะดีลของ SoftBank ก็ยังทำให้ Neumann คงสถานะเศรษฐีอยู่ได้อีกปี

มหาเศรษฐีใหม่ที่โดดเด่นสำหรับปี 2019 คือ Anthony Mandl ผู้อยู่เบื้องหลังเครื่องดื่มพันธ์ใหม่โดนใจมิลเลเนียล “White Claw” ถูกบันทึกว่ามีทรัพย์สิน 3,600 ล้านดอลลาร์ ยังมี Jitse Groen ผู้ปลุกปั้นมาร์เก็ตเพลสเดลิเวอรี่อาหารออนไลน์ชื่อดังในยุโรปและเวียดนาม Takeaway.com NV ที่สร้างความมั่งคั่งได้เบาๆ 1,500 ล้านดอลลาร์

อีกเศรษฐีใหม่ที่ไม่ควรมองข้ามคือครอบครัว Lo ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 8 คนที่เกี่ยวพันกับ Le Kwee Seong นักธุรกิจฮ่องกงรานี้สร้างธุรกิจนมถั่วเหลืองจนมีมูลค่าทรัพย์สินรวมกันมากกว่า 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ

เอ๊าไปขายน้ำเต้าหู้กันเถอะ.

Source 

]]>
1258948
ถอดถอน “ทรัมป์” รอดหรือร่วง…เเละทำไม “บลูมเบิร์ก” รวยเเซงหน้าทรัมป์ ถึง 17 เท่า https://positioningmag.com/1257976 Fri, 20 Dec 2019 09:40:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1257976 ในยามที่กำลังลุ้นว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45 จะถูกถอดถอนออกจากตำเเหน่ง ไปไม่ถึงการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในช่วงปลายปีหน้าหรือไม่ Positioning พามาดูขุมทรัพย์ของมหาเศรษฐี 2 ตัวเต็งชิงผู้นำอเมริการะหว่างเจ้าพ่อสื่อ ไมเคิล บลูมเบิร์ก VS โดนัลด์ ทรัมป์ เเละวิเคราะห์โอกาสในการถอดถอน “ทรัมป์” ว่ามีมากน้อยเเค่ไหน

ทำไม “บลูมเบิร์ก” รวยเเซงหน้า “ทรัมป์” ถึง 17 เท่า

ทุกคนรู้ดีว่าปัจจุบันช่องว่างของความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยเเละคนจนมีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งในสหรัฐอเมริกา ประเทศไทยเละประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ขณะเดียวกันช่องว่างนี้ก็เกิดขึ้นระหว่างคนรวยกับคนรวยด้วย เมื่อมองไปถึงการชิงตำเเหน่งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะกำลังจะมีขึ้นในปี 2020

“โดนัลด์ ทรัมป์” (Donald Trump) ผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบันจากพรรครีพับลิกัน ได้รับการประเมินว่ามีความมั่งคั่งอยู่ที่ 3.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 9.37 หมื่นล้านบาท) ติดอันดับ 715 ของทำเนียบมหาเศรษฐีโลกปีนี้ จากการจัดอันดับของ Forbes ถือว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาลเมื่อเทียบกับคนส่วนใหญ่บนโลก

แต่ทรัพย์สินของทรัมป์ กลับดูน้อยมากหากเทียบกับทรัพย์สินของผู้เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีตัวเต็งจากพรรคเดโมเเครตอย่าง “ไมเคิล บลูมเบิร์ก” (Michael Bloomberg) ผู้ครองความมั่งคั่งกว่า 5.3 หมื่นล้านเหรียญ (ราว 1.64 ล้านล้านบาท ) ติดอันดับ 9 ของทำเนียบมหาเศรษฐีโลกปีนี้ 

บลูมเบิร์ก สามารถบริหารจัดการธุรกิจและทรัพย์สินได้อย่างเหมาะสม เเละเพิ่มความมั่งคั่งได้เป็นทวีคูณ โดยติดอันดับ 400 บุคคลที่รวยที่สุดในอเมริกาหรือ Forbes 400 เป็นครั้งแรกได้ในปี 1992 ซึ่งคนที่จะติดอันดับได้ต้องมีสินทรัพย์ 350 ล้านเหรียญขึ้นไปในขณะนั้น หลังจากบริษัทของเขาที่ให้บริการข้อมูลหุ้น พันธบัตร และอื่นๆ เริ่มเป็นที่นิยมในวอลสตรีท

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ฟาก “ทรัมป์” ต้องฝ่าวิกฤตเพื่อรักษาอาณาจักรของครอบครัวไว้ หลังมีหนี้สินก้อนโตจนเกือบล้มละลาย

ฟ้าหลังฝน ทรัมป์ฝ่าวิกฤตได้และกลับเข้ามาสู่ทำเนียบ Forbes 400 ได้ในปี 1996 ด้วยความมั่งคั่งราว 450 ล้านเหรียญ ขณะที่ บลูมเบิร์ก ตอนนั้นมีความมั่งคั่งอยู่ราว 1 พันล้านเหรียญ เเล้ว จากมูลค่าหุ้นในธุรกิจข้อมูลทางการเงินของเขา

ตลอดช่วง 23 ปีที่ผ่านมา ความมั่งคั่งสุทธิของทรัมป์ เพิ่มขึ้นในอัตรา 8.8% ต่อปี มากกว่าผลตอบแทนของดัชนีหุ้น S&P 500 ซึ่งอยู่ที่ 6.7% ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยผลตอบแทนของทรัมป์ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในปี 1996-1997 ซึ่งทำให้เขาก้าวกระโดดจาก 450 ล้านเหรียญมาเป็น 1.4 พันล้านเหรียญ

ขณะที่ความมั่งคั่งของบลูมเบิร์ก มีการเติบโตเเละมีความเสถียรมากกว่า ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 18.8% ต่อปี

ผลตอบแทนเเละการเติบโตทางธุรกิจที่โดดเด่น การขยายกิจการเเละเข้าซื้อธุรกิจสื่อ ทำให้บลูมเบิร์กรวยขึ้นมหาศาล เเซงหน้าเหล่ามหาเศรษฐีที่ธุรกิจส่วนใหญ่ยังเป็นการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์เก่าดั่งเช่นทรัมป์

โดยช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา บริษัท Bloomberg LP เติบโตขึ้นจากการขยายการรายงานข่าวธุรกิจและการเงินเข้ามาด้วย จากเดิมที่เพียงให้บริการข้อมูลด้านการเงินเท่านั้น

จากนั้น Bloomberg LP ได้เข้าซื้อกิจการหนังสือ BusinessWeek ซึ่งกำลังประสบปัญทางการเงินอย่างหนักจาก McGraw-Hill ด้วยมูลค่า 5 ล้านเหรียญ และรับโอนหนี้สินมาอีกเกือบ 32 ล้านเหรียญในปี 2009

ปัจจุบัน ประเมินว่า Bloomberg LP มีรายได้อยู่ที่ 1 หมื่นล้านเหรียญและ “ไมเคิล บลูมเบิร์ก” ผู้ก่อตั้งนั้นถือครองหุ้นอยู่ 88% ของบริษัท

ไมเคิล บลูมเบิร์ก นักธุรกิจผู้ท้าชืงตำเเหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ในปี 2020 – AFP Photo/Olivier Douliery

นอกจากนี้เจ้าพ่อสื่ออย่างบลูมเบิร์ก ยังมีชื่อเสียงจากการเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีที่บริจาคเงินเพื่อการกุศล โดยเขาบริจาคเงิน 8 พันล้านเหรียญให้กับองค์การกุศลและกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ รวมถึงมหาวิทยาลัย Johns Hopkins
และกิจกรรมที่ผลักดันการควบคุมอาวุธปืน

เเม้การเอาชนะใครบางคนได้ในสนามธุรกิจ กับการเอาชนะใครบางคนได้ในสนามเลือกตั้งนั้นต้องใช้ทักษะที่แตกต่างกัน ซึ่งในปีหน้านี้ บลูมเบิร์ก ผู้เคยดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กมาเเล้ว 3 สมัย จะได้รับโอกาสพิสูจน์ตัวเองว่าเขาจะสามารถต่อสู้กับทรัมป์บนเวทีการเมืองได้หรือไม่เเละอย่างไร

ทุ่มเงินซื้อโฆษณาเลือกตั้ง 2020

มีรายงานจาก Advertising Analytics บริษัทด้านสำรวจโฆษณาในสหรัฐฯ เผยว่าบลูมเบิร์กได้ทุ่มเงินจำนวนอย่างน้อย 33 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 990 ล้านบาท) ซื้อโฆษณารณรงค์ประชาสัมพันธ์การสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาในหลายรัฐ

เป็นที่น่าสนใจว่า เงินดังกล่าวส่วนใหญ่ถูกลงไปกับการซื้อโฆษณาหาเสียงในรัฐที่เป็นฐานเสียงของพรรคคู่เเข่งอย่างรีพับลิกัน และถือเป็น “Swing State” ที่มีจำนวน Electoral College หลายที่นั่ง เช่น รัฐฟลอริดา โอไฮโอ มิชิแกน ยูทาห์ และเท็กซัส

เเม้ข้อมูลตัวเลขของเเคมเปญดังกล่าวจะยังไม่ชัดเจน เเต่ก็นับว่าสูงกว่าสมัยที่อดีตประธานธิบดี “บารัค โอบามา” เคยใช้เงินซื้อโฆษณาที่ 24 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่า ทีมหาเสียงของมหาเศรษฐี “บลูมเบิร์ก”
อาจใช้เงินในการรณรงค์แคมเปญหาเสียงสูงเลือกตั้งครั้งนี้ถึง 100 ล้านเหรียญเลยทีเดียว

ถอดถอน “ทรัมป์” รอดหรือร่วง?

ล่าสุดกับข่าวใหญ่ของการเมืองสหรัฐและการเมืองโลกในช่วงปลายปีนี้ เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ลงมติด้วยคะแนน 230 :197 ถอดถอน (impeachment) ประธานาธิบดีทรัมป์ใน 2 ข้อกล่าวหาคือ ข้อหาการใช้อำนาจในทางมิชอบ และขัดขวางกระบวนการสอบสวนของสภาคองเกรส โดยพรรคเดโมแครตมี ส.ส. จำนวน 232 เสียง ซึ่งโหวตเห็นชอบเกือบหมด ส่วนพรรครีพับลิกันมี ส.ส. จำนวน 195 เสียงเเละโหวตคัดค้านทุกคน

เเฟ้มภาพ – โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45

ส่งผลให้ทรัมป์กลายเป็นผู้นำคนที่ 3 ของสหรัฐฯ ที่ถูกพิจารณาถอดถอนในขั้นตอนของสภาผู้แทนราษฎร ถัดจากแอนดรูว์ จอห์นสัน และ บิล คลินตัน

อย่างไรก็ตาม การถอดถอนประธานาธิบดีไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องอาศัยเสียงโหวตในสภา โดยการเสนอถอดถอนต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง (1/2) ของสภาล่าง (ผ่านเเล้ว) แต่การโหวตตัดสินว่าผิดจริงหรือไม่ต้องใช้เสียงถึง 2/3 ของสภาสูงหรือวุฒิสภา ที่มีจำนวน 100 ที่นั่ง หรือเท่ากับต้องมี 67 เสียงขึ้นไปถึงจะถอดถอนได้

เเละเมื่อมองดูจากสถานการณ์ ตอนนี้พรรครีพับลิกันนั้นครองเสียงข้างมากในสภาสูงคือ 53 เสียง พรรคเดโมแครตมี 45 เสียง และวุฒิสมาชิกอิสระอีก 2 เสียง ทำให้การที่พรรคเดโมเเครตจะมีคะเเนนโหวตถึง 2/3 ของสภาสูงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้การเมืองสหรัฐฯ มีการเเบ่งขั้วชัดเจน (ดูจากพรรครีพับลิกันมี ส.ส. จำนวน 195 เสียงก็โหวตคัดค้านพร้อมเพรียงกันทุกคน)

อย่างไรก็ตาม หากเกิดการ “พลิกล็อก” ขึ้นมาจริงๆ ในกรณีทรัมป์ถูกถอดถอนสำเร็จ รองประธานาธิบดี “ไมค์ เพนซ์” (Mike Pence) ซึ่งเป็นฝ่ายรัฐบาลพรรครีพับลิกันก็ยังคงบริหารต่อไป โดยขึ้นมารับตำแหน่งประธานาธิบดีแทน

นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าการยื่นถอดถอนทรัมป์ของพรรคเดโมเเครตครั้งนี้ เป็นเทคนิคทางการเมืองที่ทำให้คู่เเข่งอย่างรีพับลิกันไขว้เขวเเละไม่โฟกัส การเลือกตั้งประธานาธิบดีที่กำลังจะมาถึงในช่วงปลายปีหน้า เพราะกระบวนการต่อสู้ต้องใช้ทรัพยากรมากทั้งการเตรียมข้อมูล การหักล้างฟาดฟันกัน

ในมุมกลับกันก็อาจเป็นการสร้างเเนวร่วมให้กับฐานเสียงของทรัมป์ด้วย ซึ่ง The Wall Street Journal ออกมาวิเคราะห์ว่าการยื่นถอดถอนทรัมป์ครั้งนี้ อาจเป็นการยืนยันว่าทรัมป์จะชนะเลือกตั้งสมัยหน้าอีกก็เป็นได้ (อ่านเพิ่มเติมใน The Democrats Could Re-Elect Trump in 2020) 

ที่มา

 

]]>
1257976
รวยเกิ๊น! Jeff Bezos ทำเงิน 5 วันมากกว่าค่าเฉลี่ยรายได้ชาวอเมริกัน 5 ชั่วคน https://positioningmag.com/1153228 Thu, 11 Jan 2018 01:15:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1153228 ภาพจาก : usatoday.com

อีกสถิติที่สะท้อนความร่ำรวยมหาศาลของ Jeff Bezos เพราะหากคำนวณเฉพาะช่วง 5 วันแรกที่ตลาดหุ้นอเมริกันเปิดทำการในปี 2018 เจ้าพ่อ Amazon สามารถทำเงินเข้ากระเป๋าได้มากกว่าค่าเฉลี่ยรายได้ของชาวอเมริกันส่วนใหญ่ถึง 5 ชั่วคน 

ผู้ก่อตั้ง Amazon.com นั้นถูกบันทึกว่าทำเงินได้มากกว่า 6.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วง trading day จำนวน 5 วันแรกของปี 2018 ล่าสุด การคำนวณครั้งใหม่พบว่า Bezos มีทรัพย์สินในมือมากกว่า 1.05 แสนล้านเหรียญสหรัฐแล้ว ตามข้อมูลที่ระบุในดัชนีเศรษฐีโลก Bloomberg Billionaires Index

เพื่อให้เห็นภาพ สื่ออเมริกันหยิบตัวเลขทรัพย์สินของ Bezos ไปเทียบกับตัวเลขรายได้เฉลี่ยของชาวอเมริกันส่วนใหญ่ซึ่งรวมคู่สมรสในประเทศ ซึ่งพบว่ารายรับรวมอยู่ที่ราว 73,000 เหรียญสหรัฐต่อปี โดยรายได้เฉลี่ยตลอดช่วงชีวิต ซึ่งรวมผู้สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัย นั้นมีมูลค่าน้อยกว่า 2 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น ตามรายงานของมหาวิทยาลัยอินเดียนา

ภาวะหุ้นพุ่งกระฉูดของ Amazon ทำให้ Bezos มีทรัพย์สินมากกว่า Bill Gates ผู้ก่อตั้ง Microsoft แชมป์เก่าอย่างขาดลอย ล่าสุด Bezos คือบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดตลอดกาลของโลกไปแล้ว

หากย้อนดูประวัติมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของ Bezos พบว่ายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องเมื่อหุ้นของบริษัทค้าปลีกออนไลน์เพิ่มขึ้น 56% ในปี 2017 และเพิ่มขึ้นอีก 6.6% ในช่วงสัปดาห์แรกของปี 2018 ผลจากอิทธิพลของ Amazon ที่ครองส่วนแบ่งการใช้จ่ายออนไลน์ของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะ Cyber ​​Monday 2017 ที่ Amazon ระบุว่าเป็นวันช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติของบริษัท 

แต่สิ่งหนึ่งที่โลกตั้งข้อสังเกต คือแชมป์เก่าอย่าง Gates นั้นได้มอบทรัพย์สมบัติจำนวนมากให้กับองค์กรการกุศล มูลค่าสุทธิปัจจุบันของ Gates อยู่ที่ 9.33 หมื่นล้านเหรียญ และในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาเขาได้มอบหุ้นรวมถึงเงินสดที่จะมีมูลค่าราว 60 พันล้านเหรียญในวันนี้ ซึ่งจะทำให้มูลค่าทรัพย์สินของเขาพุ่งสูงกว่า 1.5 แสนล้านเหรียญหากเขายังเก็บไว้

นอกจาก Bezos มหาเศรษฐีรายอื่นในสหรัฐฯ ที่มีผลประกอบการน่าประทับใจช่วงสัปดาห์แรกของปีนี้ ยังมี

  • Mark Zuckerberg เจ้าพ่อ CEO ของ Facebook ทำเงินเพิ่มขึ้น 4.7 พันล้านดอลลาร์ (มูลค่ารวมสุทธิ: 77.5 พันล้านดอลลาร์)
  • Larry Page ผู้ร่วมก่อตั้ง Google ทำเงินเพิ่มขึ้น 2.6 พันล้านเหรียญ (มูลค่ารวมสุทธิ: 54.9 พันล้านเหรียญ)
  • Sergey Brin ผู้ร่วมก่อตั้ง Google ทำเงินเพิ่มขึ้น 2.4 พันล้านเหรียญ (ยอดรวมสุทธิ: 53.5 พันล้านเหรียญ)
  • Warren Buffett หัวเรือใหญ่ CEO บริษัท Berkshire Hathaway ทำเงินเพิ่มขึ้น 1.8 พันล้านเหรียญ (ยอดรวมสุทธิ : 87.2 พันล้านเหรียญ)

นี่แค่ 5 วันแรกของปีนาจา.

ที่มาusatoday.com/story/money/markets/2018/01/09/amazon-jeff-bezos-now-worth-more-than-microsoft-bill-gates-ever/1017602001/

]]>
1153228
จำนวนมหาเศรษฐีทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ 16.5 ล้านคน ครองทรัพย์สิน 63.5 ล้านล้านดอลลาร์ https://positioningmag.com/1141665 Thu, 28 Sep 2017 09:54:19 +0000 http://positioningmag.com/?p=1141665 จำนวนของมหาเศรษฐีในโลกเพิ่มขึ้น 8 เปอร์เซ็นต์เมื่อปีที่แล้วกลายเป็น 16.5 ล้านคนโดยมีสินทรัพย์รวมกันทั้งสิ้น 63.5 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 2.1 พันล้านล้านบาท) อ้างจากรายงานของบริษัทที่ปรึกษาระดับโลก Capgemini 

สินทรัพย์ของผู้ที่มีความมั่งคั่งสูง (High Net Worth Individuals: HNWI) ซึ่ง Capgemini นิยามว่าเป็นผู้ที่มีสินทรัพย์ที่สามารถลงทุนได้ 1 ล้านดอลลาร์ (ราว 33 ล้านบาท) ขึ้นไป ไม่รวมที่พักอาศัย ของสะสม และบริโภคภัณฑ์ เพิ่มขึ้น 8.2 เปอร์เซ็นต์ในปี 2016 และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มเกินกว่า 100 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2025

รายงานระบุว่า คนราว 1.15 ล้านคนกลายเป็นมหาเศรษฐีใหม่เมื่อปีที่แล้ว มหาเศรษฐีใหม่ส่วนใหญ่มาจากสหรัฐฯ ญี่ปุ่น เยอรมนี และจีนซึ่งคิดเป็นเกือบสองในสามของจำนวนทั้งหมด

ในสหรัฐฯ ผู้มีความมั่งคั่งสูงเพิ่มขึ้นจาก 4.46 ล้านคนเป็น 4.8 ล้านคน ในขณะที่ตัวเลขดังกล่าวในจีนเพิ่มจากเพียงกว่า 1 ล้านคนเป็น 1.13 ล้านคน

เอเชีย-แปซิฟิก ยุโรป และอเมริกาเหนือมีสัดส่วนการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่งเท่าๆ กัน โดยรัสเซีย บราซิล และแคนาดากลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากการลดลงเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว รายงานเผย

รัสเซียซึ่งได้รับผลบวกจากการฟื้นตัวของตลาดหุ้นได้เห็นทั้งจำนวนมหาเศรษฐีและสินทรัพย์ของพวกเขาเพิ่มขึ้นราว 20 เปอร์เซ็นต์

ฝรั่งเศสแซงหน้าอังกฤษในห้าอันดับแรกในแง่ของจำนวนมหาเศรษฐีเนื่องจากการฟื้นตัวของอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่สวีเดนเขี่ยสิงคโปร์ที่เผชิญการปรับตัวลงในตลาดตราสารทุนออกจาก 25 อันดับแรก



การสำรวจการครอบครองทรัพย์สินทางการเงินของมหาเศรษฐีเผยให้เห็นว่า พวกเขาครอบครอง 31.1 เปอร์เซ็นต์ของตราสารทุนในไตรมาสที่สองของปี 2017 เทียบกับ 24.8 เปอร์เซ็นต์เมื่อปี 2016

รายได้คงที่ทรงตัวอยู่ที่ 18 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่เงินสดเพิ่มขึ้นจาก 23.5 เปอร์เซ็นต์เป็น 27.3 เปอร์เซ็นต์ การลงทุนทางเลือกเช่น เฮดจ์ฟันด์ ตราสารอนุพันธ์ เงินตราต่างประเทศ โภคภัณฑ์ และหุ้นนอกตลาดลดลงจาก 15.7 เปอร์เซ็นต์เหลือ 9.7 เปอร์เซ็นต์

รายงานไม่ได้บอกถึงเหตุผลของความเปลี่ยนแปลงนี้แต่การเติบโตอย่างเข้มแข็งขึ้นทั่วโลกบวกกับสภาพคล่องอย่างมากภายหลังหลายปีของการกระตุ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อนของธนาคารกลางทั่วโลกได้ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกขึ้นสู่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์

อีกด้านหนึ่ง นักลงทุนหลายคนกังวลถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐฯและเกาหลีเหนือ และไม่มั่นใจเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่อาจมีต่อเศรษฐกิจและตลาดจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯยกเลิกการกระตุ้นแบบพิเศษ

เหล่ามหาเศรษฐีได้รับผลตอบแทนโดยเฉลี่ย 24.3 เปอร์เซ็นต์จากพอร์ทการลงทุนที่ได้รับการตรวจสอบโดยบริษัทวางแผนการจัดการสินทรัพย์


ที่มา : mgronline.com/around/detail/9600000099481

]]> 1141665 ตามติดชีวิต ใน 1 วันของ “เซอร์ ริชาร์ด แบรนสัน” กิน-อยู่-เล่น-คิด แบบมหาเศรษฐีระดับโลก https://positioningmag.com/1135922 Fri, 11 Aug 2017 23:55:22 +0000 http://positioningmag.com/?p=1135922 เขาอาจจะไม่ใช่บุคคลที่มีทรัพย์สินมากที่สุดในโลก แต่ “เซอร์ ริชาร์ด แบรนสัน” เป็นมหาเศรษฐีที่มีชีวิตที่น่าทึ่งมากที่สุดคนหนึ่ง และได้ชื่อว่าเป็นคนที่ใช้ชีวิตได้อย่างคุ้มค่าอย่างถึงที่สุดแล้ว

หลังก่อตั้งบริษัทแผ่นเสียง Virgin Records ริชาร์ด แบรนสัน ใช้เวลาไม่นานในการสร้างอาณาจักรธุรกิจ  Virgin Group ขึ้นมา, เขาทำธุรกิจหลายแขนง และได้รับการแต่งตั้งให้ติดยศอัศวินจากพระราชินีอังกฤษ โดย Forbes ระบุว่ามหาเศรษฐชาวอังกฤษคนนี้มีทรัพย์สินประมาณ 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

แต่ปัจจุบัน แบรนสัน กลับเลือกใช้ชีวิตอย่างโลดโผน เดินทางผจญภัยไปทั่วโลก, ยังคงกระตือรือล้นต่อเรื่องต่างๆ, ใช้ชีวิตง่ายๆ และยังเป็นเจ้านายที่ขี้เล่นสนุกสนานสำหรับลูกน้องเสมอ เหมือนกับที่เขาเล่นสนุกแอบถ่ายภาพพนักงานของ Virgin ขณะกำลังนอนหลับเอามาเผยแพร่เมื่อเร็วๆ นี้

แบรนสัน กล่าวอย่างชัดเจนผ่านเว็บไซต์ของ Virgin ว่าเขาตั้งใจที่จะ “ไม่เกษียณ” จากการทำงาน และหลังจากนี้จะเน้น “ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการทำงานเพื่อกิจกรรมที่ไม่แสวงหากำไรเป็นหลัก”

เมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ริชาร์ด แบรนสัน ได้บอกเล่าการใช้ชีวิตประจำวันของตัวเองผ่าน Blog ส่วนตัว แน่นอนว่าแต่ละวันในชีวิตของเขามีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป ตามประสามหาเศรษฐีระดับที่ต้องเดินทางแทบจะทั่วโลกอยู่ตลอดเวลา แต่นี่คือตารางการใช้ชีวิตแบบคร่าวๆ ของเขาที่ถือว่าใกล้เคียงกันในทุกๆ วัน

ตื่นเช้าตรู – สนุกกับการออกกำลังกาย

แบรนสัน จะตื่นนอนประมาณ 5.00 น. ของทุกวัน เขาบอกว่า “การตื่นแต่เช้าทำให้ผมทำสิ่งสำคัญได้ก่อน และทำตามตารางชีวิตของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

Kristian Dowling/Getty Images

แต่ก่อนอื่น แบรนสัน จะให้เวลาอย่างเต็มที่กับครอบครัว และการกินอาหารเช้า “ไม่เพียงทำให้ครอบครัวรู้ว่าผมให้ความสำคัญกับพวกเขาแค่ไหน แต่นี่ยังเป็นพื้นฐานสำหรับผมก่อนที่จะเริ่มวัน และทำสิ่งต่างๆ ต่อไปด้วย” โดยเขาจะให้เวลากับการออกกำลังกายตอนเช้า ซึ่งกิจกรรมเรียกเหงื่อที่ แบรนสัน โปรดปรานเป็นพิเศษก็คือ ไคท์เซิร์ฟ, ว่ายน้ำ, จักรวาน และเทนนิส ที่ว่ากันว่า แบรนสัน เป็นนักเทนนิสที่เสิร์ฟได้โหดมาก

Stringer/Reuters

ไม่เท่านั้น แบรนสัน ยังเคยเข้าแข่งวันวิ่งมาราธอนที่ลอนดอนเมื่อปี 2010 มาแล้ว ส่วนเมื่อปี 2009 ก็เคยเล่น ไคท์เซิร์ฟแบบมีซูเปอร์โมเดลขี่อยู่ที่หลังโดยไม่สวมอะไรเลยด้วย ส่วนเมื่อต้นปีที่ผ่านมาเขาเพิ่งชวนประธานาธิบดีโอบามาเล่น ไคท์เซิร์ฟ และบอกว่ากีฬาชนิดนี้พิเศษมาก “เราไม่สามารถหาความรู้สึกอิสระ, สนุกสนาน และเป็นหนึ่งเดียวได้เท่ากับการเล่นไคท์เซิร์ฟอีกแล้ว … นี่คือวิธีรีดอดรีนารีนที่พิเศษสุดๆ เลย”

จับกระแสโลก – จดทุกอย่างที่เข้ามาในหัว

การตื่นเช้าสำหรับ แบรนสัน ยังไม่ในเฉพาะสำหรับการออกกำลังกายเท่านั้น แต่เพราะเขาอาศัยอยู่ที่เกาะเนคเกอร์ ใน หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน ที่ แบรนสัน จ่ายเงิน 320,000 เหรียญฯ ซื้อมาเมื่อ 38 ปีก่อน การตื่นเช้าที่นี่ยังทำให้เขาสามารถเริ่มงานก่อนคนส่วนใหญ่ทั่วทั้งโลกได้ด้วย “ที่บริติชเวอร์จินผมจะตื่นมาทำงานด้วยออนไลน์ตั้งแต่เช้าเลย ผมสามารถเข้าถึงออฟฟิศแห่งอื่นๆ ของเราได้ และสามารถทำงานผ่านอีเมล์ได้ตั้งแต่ก่อนที่คนส่วนใหญ่ทั้งโลกได้เริ่มออนไลน์กัน”

Paul Kane / Stringer / Getty Images

แน่นอนว่าผู้บริหารอย่าง แบรนสัน ยังคงต้องทำงานนั่งโต๊ะด้วย แต่เขาก็ไม่ค่อยชอบใส่เนคไทเหมือนกับผู้บริหารทั่วๆ ไป และบอกว่าตนเองเกลียดเนคไทมาก ว่ากันว่าบางครั้ง แบรนสัน จะให้คนอื่นที่อยู่รอบๆ ตัวถอดเนคไทออกมาแล้ว

โดยในการทำงานแต่ละวัน นอกจากการบริหารงานในตำแหน่งสูงสุดแล้ว แบรนสัน ยังพยายามเปิดสายตาให้กว้างไกลอยู่เสมอ เขาจะให้เวลาไปกับการเช็คโซเชียลมีเดีย, อ่านขาว และพยายามใกล้ชิดกับพนักงานอยู่ตลอดเวลา “การทำงานของผู้นำยุคใหม่ก็คือต้องเกาะติดกับสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา ต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงสิ่งที่เรากำลังพูดถึง ซึ่งผมจะเช็คข้อมูลกับทีมที่ Virgin อยู่ตลอดเวลา”

“ซึ่งเคล็ดลับของผมก็คือการจดทุกอย่างเอาไว้ ผมคงเล่าว่ามาถึงตรงนี้ได้ยังไงไม่ได้แน่ๆ ถ้าไม่ได้จดทุกไอเดียมาเกิดขึ้นเอาไว้ทันทีที่นึกออก”

ชีวิตคือการผจญภัย

ส่วนเรื่องอาหารของ แบรนสัน เว็บไซต์ของ Virgin บอกว่าเขาชอบอะไรง่ายๆ แบบ แซนวิชไข่, สตูว์ที่ภรรยาเป็นคนทำ หรืออาจจะเป็น เชพเพิร์ดพาย (พายเนื้อ) หรืออาหารอบแบบอังกฤษก็ได้ และเขาจะดื่มชาเป็นหลัก แน่นอนว่าเป็นชาขาวที่ไม่ใส่น้ำตาล

Ben A. Pruchnie / Stringer / Getty Images

ผู้ก่อตั้งเครือ Virgin ยังมีงานอดิเรกหลายอย่าง บางอย่างก็ธรรมดาๆ เหมือนคนทั่วไปเช่นการเล่นหมากรุกเป็นต้น และบางครั้งงานอดิเรกของเขาก็อาจจะ “พิเศษ” สักหน่อย อย่างการทำลายสถิติโลกในเรื่องต่างๆ เช่น การล่องเรือ หรือ เดินทางด้วยบอลลูน อย่างเมื่อปี 1985 ที่ แบรนสัน พยายามล่องเรือ Virgin Atlantic Challenger เพื่อทำลายสถิติการเดินทางข้าม ทรานส์-แอนแลนติก แม้จะล้มเหลวเรือถึงขั้นอับปาง จนต้องมีการส่งทีมไปช่วยชีวิต แต่สุดท้ายในปีต่อมาเขาก็ทำสำเร็จ

Carl De Souza / Stringer / Getty Images

เพื่อรักษาสมาธิให้มั่นคงอยู่เสมอ และผ่อนคลายจาการความเครียด แบรนสัน จะฝึกโยคะ และไท่เก๊ก ในช่วงเวลาระหว่างวันด้วย

เขายังบอกว่าตนเองไม่ค่อยใช้เวลาดูโทรทัศน์เท่าไหร่นัก แต่จะชอบดูภาพยนตร์แปลกๆ เขายังเคยไปปรากฏตัวในหนัง เจมส์ บอนด์ ตอน Casino Royale และชอบฟังเพลงของ ปีเตอร์ เกเบรียล, ไมค์ โอลด์ฟิลด์ และตำนานแห่งวงการพังค์  The Sex Pistols

Benoit Tessier/Reuters

สำหรับเวลาหลังอาหารมื้อค่ำแล้ว แบรนสัน จะใช้เวลากับครอบครัว และเพื่อนๆ ก่อนจะเข้านอนในเวลา 5 ทุ่มของทุกวัน ซึ่งเขาบอกว่าตนเองจะใช้เวลานอนประมาณ 6 ชั่วโมงต่อวัน

Justin Sullivan/Getty Images

แบรนสัน บอกว่าสิ่งสำคัญก็คือต้องมองการใช้ชีวิตเหมือนเป็น “การผจญภัย” ซึ่งเขาอธิบายว่า “หัวใจสำคัญของการผจญภัยก็คือการตั้งเป้าหมายเพื่อผลักดันตัวเอง, ตื่นเต้นกับอุปสรรค และเอาชนะอย่างยิ่งใหญ่ให้ได้”

ที่มา : thisisinsider.com/richard-branson-daily-routine-2017-8?utm_content=buffereea95&utm_medium=social&utm_source=facebook.com&utm_campaign=buffer-insider-design

]]>
1135922