‘Tesla’ หุ้นที่เคยร้อนแรงที่สุดในตลาดมานานกว่าหนึ่งปี โดยเคยทำสถิติ 883 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้นเมื่อวันที่ 26 มกราคม แต่จากนั้นก็ปรับตัวลดลงมาโดยตลอด จนเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมากลับลดลง 6% และปิดตลาดลงที่ 8.5% อยู่ที่ 619 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น ถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคมที่ราคาหุ้น Tesla ลดลงต่ำกว่า 700 ดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งนั่นส่งผลให้เงินของ CEO อย่าง ‘Elon Musk’ หายไปถึง 15,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีมูลค่าสินทรัพย์เหลือ 183,000 ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เขาร่วงจากตำแหน่งเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกมาอยู่ที่ 2 รองจาก Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon คำถามคือ อะไรที่ทำให้หุ้นของ Tesla ร่วงไม่หยุดแบบนี้
Bitcoin เป็นเหตุสังเกตได้
Tesla ประกาศเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาว่าได้ลงทุนใน Bitcoin ถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนั่นช่วยกระตุ้นมูลค่าของ Bitcoin ให้พุ่งสูงขึ้น และนั่นก็ทำให้ Tesla มีกำไรถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐอย่างรวดเร็ว ซึ่งมากกว่าที่ได้จากการขายรถยนต์ในปีเดียว
แต่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา Elon Musk ได้ทวีตเพื่อตอบคำถามของนักวิจารณ์เกี่ยวกับการลงทุน Bitcoin ของ Tesla ว่า “ราคาของทั้ง Bitcoin และ Cryptocurrency อื่นที่เรียกว่า Ether ดูเหมือนสูงเกินไป” ซึ่งนั่นทำให้ราคาของ Bitcoin ลดลง 9.3% ในการซื้อขายวันจันทร์ ทำให้ช่วยฉุดหุ้น Tesla ลง เนื่องจากนักลงทุนเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงจากความผันผวน
ลดราคารถเพื่อให้ขายออก
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา Tesla ได้ลดราคารถยนต์รุ่นที่ถูกที่สุดของ ‘Model Y’ และรุ่นที่ขายดีที่สุด ‘Model 3’ โดยลดราคาลงรุ่นละ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ Model Y มีราคาเริ่มต้น 38,490 ดอลลาร์สหรัฐ และรุ่น Model 3 เริ่มต้น 34,590 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ในช่วงสุดสัปดาห์รุ่น Model Y ตัวเริ่มต้นที่ถูกที่สุดหายไปจากเว็บไซต์ขายของ Tesla เหลือเพียง SUV ที่มีราคาแพงกว่าเท่านั้น
กอร์ดอน จอห์นสัน หนึ่งในนักวิจารณ์มองว่า การลดราคานี้ แสดงให้เห็นว่ารถยนต์ Tesla ไม่มีความต้องการจากลูกค้าอย่างที่อ้าง “เทสลาไม่สามารถรักษากำลังผลิตของโรงงานในปัจจุบัน หากไม่มีการลดราคา”
การแข่งขันที่เพิ่มขึ้น
เมื่อเร็ว ๆ นี้ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายได้พยายามที่จะรุกตลาด EV มากขึ้น อย่าง General Motors (GM) เปิดตัว Chevrolet Bolt รุ่น SUV เมื่อสัปดาห์ที่แล้วโดยมีราคาต่ำกว่ารุ่น Y และประกาศว่าจะขายเฉพาะรถยนต์ที่ปลอดการปล่อยมลพิษหลังจากปี 2035 ส่วน Ford ตั้งเป้าด้านยอดขาย EV ที่มากยิ่งขึ้น โดยระบุว่ารถยนต์ทุกรุ่นที่จำหน่ายจะมี EV ภายในปี 2030
นอกจากนี้ Apple กำลังพิจารณาที่จะร่วมมือกับผู้ผลิตรถยนต์เพื่อเข้าสู่ธุรกิจรถยนต์ตามรายงานข่าวหลายฉบับ ด้วยศัตรูรอบด้านนี้ ทำให้นักลงทุนเทสลาบางคนกังวลใจ เพราะเขาจะเชื่อว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ EV และจะมีผู้ชนะหลายรายในกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลก
บิสซิเนสโมเดลที่ไม่มีหวัง
หุ้น Tesla พุ่งสูงสุดหนึ่งวัน ก่อนที่รายงานผลประกอบการจะออกมาในวันที่ 27 มกราคม ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ของ Wall Street คาดการณ์ไว้ โดยผลประกอบการดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า เงินที่ Tesla ได้มาจากการขาย Reguratory Credit หรือ เครดิตการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้กับผู้ประกอบการรายอื่น แซงหน้ารายได้สุทธิโดยรวม ทำให้นักวิจารณ์มองว่า ผลประกอบการเป็นข้อพิสูจน์ว่า Tesla ไม่สามารถสร้างรายได้จากการสร้างและขายรถยนต์ได้ (แม้ว่าจะมีกำไรอื่น ๆ ที่ Tesla ทำได้)
นอกจากนี้ ในระหว่างการประชุมทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ 27 มกราคม Musk ยังพูดถึงปัญหาการขาดแคลนแบตเตอรี่ที่จำเป็นในการขับเคลื่อนรถยนต์ไฟฟ้า เขากล่าวว่าแม้จะมีการจัดหาแบตเตอรี่ในตัวของ Tesla เองและการขยายการผลิตแบตเตอรี่ตามแผน แต่บริษัทก็พยายามหาแบตเตอรี่ที่ต้องการสร้างยานพาหนะเพิ่มเติม
ยังคงเป็นผู้นำตลาด
อย่างไรก็ตาม หุ้นของ Tesla ในปี 2020 ที่เพิ่มขึ้น 743% ทำให้เทสล่ายังคงเป็นผู้นำตลาด เนื่องจากนักลงทุนยอมรับความคิดที่ว่าอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์จะเป็นไฟฟ้า และ Tesla ยังคงเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก โดยมีมูลค่าตลาดสูงกว่าผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุด 8 รายรวมกัน
และแม้จะมีการลดลงล่าสุด แต่หุ้นของ Tesla เพิ่มขึ้นประมาณ 1,300% ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2019 อย่างไรก็ตาม นักลงทุนบางคนเริ่มมองว่ามูลค่าหุ้นของเทสล่าสูงเกินไป พร้อมระบุว่า “ถึงเวลาคาดเข็มขัดนิรภัย” อีกครั้งสำหรับหุ้นของเทสลาที่จะมีความผันผวนมากขึ้น