รถยนต์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 31 Oct 2025 02:57:38 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ภาษีสหรัฐฯ-สงครามรถจีน-Net Zero ทำ ‘อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย’ ท้าทายสุดนับตั้งแต่เริ่มผลิตรถ K-Research แนะปรับโฟกัสสู่ HEV/PHEV https://positioningmag.com/1544919 Fri, 31 Oct 2025 02:24:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1544919 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ อุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนไทย กำลังเผชิญกับโจทย์ใหญ่หลายด้าน ถือเป็นความท้าทายครั้งสำคัญ นับตั้งแต่เริ่มต้นการผลิตในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ การแข่งขันจากค่ายรถจีนที่รุกขยายตลาด และการยกระดับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของคู่ค้า ซึ่งท้าทายการปรับตัวและความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในระยะยาว

ดร. รุจิพันธ์ อัสสะรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เผยว่า แม้ไทยมีสัดส่วนส่งออกรถยนต์ไปสหรัฐฯ น้อย แต่มาตรการภาษีนำเข้า Section 232 มีแนวโน้ม ส่งผลกระทบทางอ้อม ต่อส่งออกรถยนต์ไทยไปตลาดโลก เพราะผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ อาจกระจายส่งออกไปตลาดอื่นมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ซึ่งจะเพิ่มความรุนแรงของการแข่งขันในตลาดโลก ขณะเดียวกัน มาตรการนี้กระทบโดยตรงต่อการส่งออกชิ้นส่วนไทยไปสหรัฐฯ โดยมีสัดส่วนราว 26% ของมูลค่าส่งออกชิ้นส่วนไทย 

อย่างไรก็ดี ยางล้อขนาดเล็ก ของไทยยังได้เปรียบในด้านต้นทุนและคุณภาพ นอกจากนี้ ไทยยังได้รับการยกเว้นภาษี Section 232 ตามมาตรการ Import Adjustment Offset ราว 12% ของมูลค่าส่งออกชิ้นส่วน (ไม่รวมยางล้อ) ไปสหรัฐฯ มากกว่าญี่ปุ่นที่อยู่เพียง 3%

นางหทัยวัลคุ์ ตุงคะธีรกุล เจ้าหน้าที่วิจัยอาวุโส บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า การรุกตลาดของค่ายรถจีนผ่าน สงครามราคา ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยทั้งภาคการผลิตและบริการ หลังจากค่ายรถหลักเดิมสูญเสียส่วนแบ่งในไทยและตลาดโลก เนื่องจาก ผู้บริโภคหันมานิยมรถไฟฟ้าจีนมากขึ้น

ขณะเดียวกัน ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นตลาดส่งออกรถสำคัญของไทย ได้ปรับมาตรฐานการปล่อย CO2 และระบบเบรกให้เข้มงวดขึ้นตั้งแต่ปี 2568 ซึ่งจะหนุนความต้องการรถยนต์ไฮบริดทั้ง HEV และ PHEV แต่ก็จะเป็นแรงกดดันความต้องการ รถยนต์แบบสันดาปภายใน หรือ ICE ที่ไทยส่งออกเป็นหลักให้มี แนวโน้มลดลง 

ดร. กฤตย์ สีตะธนี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวตอนท้ายว่า การที่ ไทยเลื่อนเป้า Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี ส่งผลให้ภาคขนส่งต้องเร่งปรับตัวเพิ่มสัดส่วนยอดขายรถ BEV ใหม่ โดยในปัจจุบันรถ BEV มีเพียง 1.2% ของรถยนต์สะสมทั้งหมด จึงยังมีช่องว่างอีกมากในการผลิตเพื่อทดแทนรถ ICE ทั้งหมดภายในปี 2593 ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตชิ้นส่วนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ราว 65% ยังไม่ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่บริษัทขนาดใหญ่เริ่มปรับตัวแล้ว 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยแนะนำผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย ที่เผชิญแรงกดดันจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ การแข่งขันรุนแรงจากค่ายรถจีน และมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด รวมทั้งการเร่งเป้าหมาย Net Zero ของประเทศ และกระแสรถยนต์ไฟฟ้าที่ขยายตัว จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์ เพื่อสามารถตอบสนองกับทิศทางของตลาดที่มีแนวโน้มสัดส่วน รถ ICE ที่ลดลง และมีสัดส่วนรถ HEV และ PHEV ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งจับตาโอกาสในการขยายตลาดของรถ BEV

]]>
1544919
“โฟล์คสวาเกน” ประกาศขายโรงงานรถยนต์ในซินเจียงเพื่อลดต้นทุน เซ่นพิษตลาดรถยนต์เดือด https://positioningmag.com/1501220 Thu, 28 Nov 2024 08:38:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1501220 โฟล์คสวาเกน (Volkswagen AG) ผู้ผลิตรถยนต์ใหญ่ที่สุดในเยอรมนีและยุโรป ได้ประกาศขายโรงงานในซินเจียงซึ่งเป็นภูมิภาคทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน เนื่องจากเหตุผลทางเศรษฐกิจ อีกทั้งแรงกดดันจากการกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน 

บริษัทฯระบุว่า โฟล์คสวาเกนได้ผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปมาจนถึงปี 2019 และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ดําเนินการในฐานะศูนย์กระจายสินค้าที่ผลิตในโรงงานอื่น ๆ

โฆษกฯ กล่าวว่า เนื่องจากรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปมีความต้องการที่ลดลง ทำให้บริษัทฯ เผชิญหน้ากับแรงกดดันอย่างมาก บริษัทฯ จึงจําเป็นต้องเร่งพัฒนาและเปลี่ยนแปลงกระบวนการการผลิตใหม่ อีกทั้งกระแสรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมอย่างมากในไม่กี่ปีที่ผ่านมา 

ตามรายงานของสํานักงานพลังงานระหว่างประเทศ ระบุว่า ยอดขายรถ EV มีอัตราเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ รวมถึงในประเทศจีนที่คิดเป็น 45% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในปีนี้ ทำให้โฟล์คสวาเกนตัดสินใจประกาศขายโรงงานในซินเจียง ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับ SAIC Motor ของเซี่ยงไฮ้ 

นอกจากบริษัทฯ ต้องเผชิญหน้ากับการแข่งขันในตลาดรถยนต์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น การขายดังกล่าว ยังมีปัจจัยในเรื่องของการวิพากษ์วิจารณ์ของรัฐบาลสหรัฐฯ และกลุ่มสิทธิมนุษยชน ที่กล่าวหาว่ามีการบังคับใช้แรงงานและกระทําการล่วงละเมิดอื่นๆ เป็นเวลาหลายปี เช่น การกักขังกลุ่มชนกลุ่มน้อยมุสลิมอุยกูร์จํานวนมากในซินเจียง 

ซึ่งจีนก็ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคนี้มาแล้วหลายครั้ง

ย้อนกลับไปในปี 2022 นักสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้เผยแพร่รายงานว่า จีนได้กระทําการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงต่อชาวมุสลิมอุยกูร์ในซินเจียง ซึ่งอาจเท่ากับการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

และในปี 2018 เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวหาว่าจีนกักขังชาวอุยกูร์อย่างน้อย 800,000 คนและสมาชิกของชนกลุ่มน้อยมุสลิมอื่นๆ ที่อาจรวมกันได้มากกว่า 2 ล้านคนในศูนย์กักกันในซินเจียง 

ทำให้จีนออกมาอธิบายว่าศูนย์ดังกล่าวเป็นเพียงศูนย์ฝึกอาชีพให้กับคนและกล่าวว่าจะปิดศูนย์ดังกล่าวในปี 2019 

ตั้งแต่นั้นมาโฟล์คสวาเกนต้องเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์จากนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิในการเป็นเจ้าของโรงงานในซินเจียง ต่อมาในในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ผู้บริหารของโฟล์คสวาเกนได้ออกมาโต้ว่าไม่มีการบังคับใช้แรงงานในโรงงานแต่อย่างใด 

อย่างไรก็ตาม Financial Times รายงานว่าในเดือนกันยายน มีพบว่าการตรวจสอบดังกล่าว ไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล

เมื่อถูกขอให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความของ Financial Times โฆษกของโฟล์คสวาเกน กล่าวว่า บริษัทฯได้ปฏิบัติตามข้อกําหนดทางกฎหมายในการตรวจสอบและดำเนินกิจการมาเสมอ ไม่มีครั้งใดที่นักลงทุนหรือประชาชนถูกหลอกลวงจากคำแถลงการณ์ของบริษัทฯ

บริษัทฯ ยังต่อสู้กับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์นั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์ในท้องถิ่นได้เพิ่มการผลิตและการขายรถยนต์ไฟฟ้า

ทำให้โฟล์คสวาเกนได้ประกาศการปรับแผนการดำเนินการบริษัทฯ เมื่อเดือนที่แล้วว่าจะมีการปิดโรงงานผลิตรถยนต์อย่างน้อย 3 แห่งในเยอรมนีและจะเลิกจ้างพนักงานหลายหมื่นคน ถือเป็นการปิดกิจการในประเทศครั้งแรกในรอบ 87 ปีของบริษัท

ที่มา : CNN 

]]>
1501220
ยอดขาย ‘รถยนต์’ เดือนต.ค. ลดลง 36.08% ดิ่งหนักสุดในรอบ 54 เดือน! เนื่องจากพิษหนี้ครัวเรือน และแบงก์เข้มออกสินเชื่อ https://positioningmag.com/1500737 Tue, 26 Nov 2024 05:30:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1500737 ท่าทางจะฟื้นลำบากสำหรับตลาด รถยนต์ เพราะยอดขายในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ถือว่า แย่สุดในรอบ 4 ปี เลยทีเดียว ขณะที่ภาพรวมตลอด 10 เดือนก็หดตัวกว่า 20% แม้แต่ รถอีวี ที่เคยโตแรงก็หดตัว จนถึงขั้นต้องปรับคาดการณ์การผลิตรถยนต์ทั้งปีลงถึง 2 แสนคัน

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนตุลาคม 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 37,691 คัน ลดลงจากเดือนกันยายน 36.08% ถือว่าต่ำสุดในรอบ 54 เดือน นับตั้งแต่ยกเลิกล็อกดาวน์จากการระบาด COVID-19 ในเดือนพฤษภาคม 2563 สำหรับในส่วนของยานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) มีจดทะเบียนใหม่จำนวน 6,651 คัน ลดลงจากเดือนตุลาคมปีที่แล้ว -32.19% ยอดขายยานยนต์ไฟฟ้า (BEV) 3,717 คัน ลดลง -49.73%

โดยปัจจัยหลักมาจากเศรษฐกิจของประเทศที่ยังอ่อนแอเติบโตในอัตราต่ำและหนี้ครัวเรือนสูง และการเข้มงวดในการให้กู้ซื้อรถยนต์ของสถาบันการเงิน ส่งผลให้จำนวนบัญชีผู้กู้ซื้อรถยนต์ในไตรมาส 3 มี 6,365,571 บัญชี ลดลงจากไตรมาสสอง 75,377 บัญชี หรือ -1.2% และลดลงจากไตรมาส 3 ปี 2566 จำนวน 199,655 บัญชีหรือ -3% ขณะที่จำนวนเงินหนี้รถยนต์ไตรมาส 3 อยู่ที่ 2,465,204 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 2 ที่ -2.8% และลดลง -5.8% จากไตรมาส 3 ปี 2566 

ทั้งนี้ ตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา รถยนต์มียอดขาย 476,350 คัน ลดลง -26.24% เมื่อเทียบกับ 10 เดือนแรกของปี 2566 และเมื่อแยกเป็นรถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์มีจำนวน 284,304 คัน เท่ากับ 59.84% ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว 12.22%

ด้านการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปได้ 84,334 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว +5.08% แต่เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2566 ถือว่าลดลงถึง -20.23% อย่างไรก็ตาม ยอดส่งออกในเดือนตุลาคม 2566 ถือเป็นฐานที่สูง เพราะสามารถส่งออกได้ถึง 105,726 คัน ส่งผลให้ส่งออกลดลงทุกตลาด ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษคือตลาดออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง และยุโรป 

โดย นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยตัวเลขประมาณการการผลิตรถยนต์ของสมาชิก กลุ่มฯ ในปี พ.ศ. 2567 ใหม่ โดยปรับเป้าผลิตรถยนต์ปี 2567 จาก 1,700,000 คันเป็น 1,500,000 คัน ลดลง 200,000 คัน โดยปรับการผลิตขายในประเทศลดลงจาก 550,000 คันเป็น 450,000 คัน และการผลิตเพื่อส่งออกลดลงจาก 1,150,000 คัน เป็น 1,050,000 คัน

]]>
1500737
“โฟล์คสวาเกน” เตรียมเลิกจ้าง-ลดค่าจ้าง 10% พร้อมเล็งปิดโรงงานในเยอรมัน อย่างน้อย 3 แห่ง https://positioningmag.com/1496141 Tue, 29 Oct 2024 07:38:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1496141 สภาโรงงานของบริษัท โฟล์คสวาเกน (Volkswagen) กล่าวว่า บริษัทฯ ได้เสนอแผนต่อสภาฯ ในการพิจารณาการลดค่าจ้างและการเลิกจ้างในภาพรวม 10% รวมถึงแผนการลดรายจ่ายอื่น เช่น การระงับขึ้นเงินเดือนในปี 2025-2026 เป็นต้น ซึ่งเมื่อพิจารณาจากปัจจัยทั้งหมดแล้ว คาดว่าจะมีคนงานถูกลดค่าจ้างประมาณ 18% ในช่วงเวลาดังกล่าว

Daniela Cavallo ประธานสภาแรงงาน และกรรมการฝ่ายกำกับดูแลของบริษัทโฟล์คสวาเกน กล่าวว่า การปรับองค์กรในครั้งนี้หมายถึงการนําผลิตภัณฑ์ ปริมาณ กะงาน และไลน์ผลิตในส่วนงานการประกอบชิ้นส่วนทั้งหมดออกไปมากกว่าที่เคยปรับโครงสร้างองค์กรมา 

เมื่อเดือนที่แล้ว บริษัทได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์ส่วนต่างของกำไรถึง 2 ครั้งในเวลาไม่ถึง 3 เดือน เนื่องจากผลการ ดําเนินงานที่ลดลงเกินกว่าที่คาดไว้จากแผนกรถยนต์ส่วนบุคคล และในเดือนกันยายน บริษัทฯ ได้แจ้งเตือนพนักงานเกี่ยวกับการปิดโรงงาน และการยกเลิกข้อตกลงแรงงานจํานวนมาก รวมถึงข้อตกลงกับพนักงานที่มีตําแหน่งผู้เชี่ยวชาญหรือตําแหน่งหัวหน้างาน คนงานชั่วคราว และพนักงานฝึกงาน 

ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ให้การคุ้มครองแรงงานชาวเยอรมันมาตั้งแต่ปี 1994 ส่งผลให้พนักงานนับหมื่นคนตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะตกงาน โดยมาตรการลดรายจ่ายครั้งใหญ่นี้ เกิดขึ้นหลังจากที่การเจรจากับสหภาพแรงงานก่อนหน้านี้ไม่มีความคืบหน้า ทำให้ต้องมีการปรับองค์กรเพื่อให้บริษัทอยู่ในสถานะที่สามารถแข่งขันได้มากขึ้น ท่ามกลางการต่อต้านอย่างรุนแรงจากสภาโรงงานและสหภาพแรงงานชั้นนําของเยอรมัน

ด้าน Thomas Schäfer ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Volkswagen Passenger Cars ระบุเพิ่มเติมว่า โฟล์คสวาเกนมีแผนที่จะปิดโรงงาน 3 แห่งและลดขนาดโรงงานอื่นๆ ในเยอรมนี เนื่องจากธุรกิจไม่ได้รับรายได้เพียงพอจากการขายรถยนต์ ในขณะที่ต้นทุนพลังงาน วัสดุ และแรงงานเพิ่มขึ้น อีกทั้งโรงงานของเยอรมันมี        ประสิทธิผลไม่เพียงพอและมีราคาแพงกว่า เมื่อเทียบกับเป้าหมายของโฟล์คสวาเกนและต้นทุนค่าใช้จ่ายของคู่แข่งที่ลดน้อยลง 

นอกจากนั้นสภาโรงงานยังเผยว่า ฝ่ายบริหารของโฟล์คสวาเกนได้นําเสนอแผนหารืออย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับข้อตกลงแรงงานแยกออกมาเป็นอีกหนึ่งวาระการประชุม โดยการเจรจารอบต่อไปจะจัดขึ้นในวันพุธที่ 30 ต.ค. พร้อมกับกําหนดจะเผยแพร่ผลประกอบการรายไตรมาสล่าสุดของบริษัทฯ หลังจากที่เมื่อวันจันทร์ที่ 28 ต.ค. ที่ผ่านมา หุ้นของบริษัทปิดตลาดลดลง 0.46% 

ทั้งนี้ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์เยอรมันและยุโรปรายอื่น ๆ ก็กำลังเร่งปรับตัวเช่นเดียวกับ โฟล์คสวาเกน ที่กําลังดิ้นรนเอาตัวรอดท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และเศรษฐกิจโลกที่อ่อนตัวลง 

ที่มา : CNBC 

]]>
1496141
ปิดฉาก 87 ปี? ‘โฟล์คสวาเกน’ เล็งปิดโรงงานใน ‘เยอรมนี’ ประเทศบ้านเกิดเพื่อลดต้นทุน หลังถูกแบรนด์จีนตีตลาด https://positioningmag.com/1488662 Tue, 03 Sep 2024 15:52:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1488662 ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันตลาดรถยนต์กำลังถูก แบรนด์จีน ตีตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในฝั่งของ รถอีวี หรือ รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งทำให้การมีอยู่ของแบรนด์รถยนต์สันดาปกำลังสั่นคลอนอย่างหนัก ทั้งในฝั่งของญี่ปุ่น และยุโรป ซึ่งรวมไปถึง โฟล์คสวาเกน ที่อาจถึงขั้นต้องปิดโรงงานในประเทศบ้านเกิด

นี่อาจจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 87 ปี ของ โฟล์คสวาเกน (Volkswagen) ผู้ผลิตรถยนต์ชาวเยอรมันที่กำลังเตรียม ปิดโรงงานในประเทศ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการ ลดต้นทุน เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ในยุโรปกำลังอยู่ในสถานะวิกฤต เนื่องจากคู่แข่งใหม่ ๆ ที่กำลังตบเท้าเข้าสู่ตลาดยุโรป

“สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจยิ่งยากขึ้น และคู่แข่งรายใหม่กําลังเข้าสู่ตลาดยุโรป ในขณะที่ฐานการผลิตในเยอรมนีมีความล้าหลังในแง่ของความสามารถในการแข่งขัน เราเลยต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดในตอนนี้” โอลิเวอร์ บลูม ซีอีโอของโฟล์คสวาเกน กรุ๊ป กล่าว

ปัจจุบัน โฟล์คสวาเกนไม่ใช่แค่ต้องเผชิญกับการแข่งขันในยุโรป แต่บริษัทได้ สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีน ซึ่งเป็นตลาดที่ ทำกำไรได้มากที่สุด และแม้ว่าบริษัทได้เริ่มโครงการการ ลดต้นทุน มูลค่าหลายพันล้านยูโรตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากข้อตกลงกับสหภาพแรงงาน

อย่างไรก็ตาม บริษัทจําเป็นต้อง ยุติข้อตกลงการคุ้มครองการจ้างงาน ซึ่งเป็นโครงการความมั่นคงในการทํางานที่มีมาตั้งแต่ปี 1994 เพื่อให้แน่ใจว่า การปรับโครงสร้างที่จําเป็นอย่างเร่งด่วนเพื่อ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันที่มากขึ้นในระยะสั้น

ซึ่งนั่นอาจนำไปสู่ความขัดแย้งกับสหภาพแรงงาน โดยปัจจุบันบริษัทมีพนักงานประมาณ 3 แสนคนในเยอรมนี คิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนพนักงานทั้งหมดทั่วโลก

แน่นอนว่าการปิดโรงงานของโฟล์คสวาเกน จะส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในเยอรมนี เพราะนั่นหมายถึงการสูญเสียงาน รวมถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น ซึ่งนั่นทำให้บริษัททำได้แค่ให้พนักงานเกษียณก่อนกำหนดและลาออกโดยสมัครใจเท่านั้น

“สถานการณ์ตึงเครียดอย่างยิ่งและไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยมาตรการลดต้นทุนง่าย ๆ นี่คือเหตุผลที่เราต้องการเริ่มการสนทนากับตัวแทนพนักงานโดยเร็วที่สุดเพื่อสํารวจความเป็นไปได้ในการปรับโครงสร้างแบรนด์อย่างยั่งยืน” โอลิเวอร์ ทิ้งท้าย

bloomberg

]]>
1488662
‘มาเลเซีย’ แซง ‘ไทย’ ขึ้นแท่นตลาดรถยนต์เบอร์ 2 ของภูมิภาค หลังแบงก์คุมเข้มปล่อยสินเชื่อ https://positioningmag.com/1473902 Thu, 16 May 2024 03:12:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1473902 หลังสัญญาณหนี้เสีย-หนี้ค้างชำระพุ่งไม่หยุด ทั้ง บ้าน-รถยนต์ ส่งผลให้ ธนาคาร คุมเข้มปล่อยสินเชื่อ ทำให้ตลาดรถยนต์ไทยช่วงไตรมาสแรกหดตัวถึง 25% ส่งผลให้ไทย ไม่ใช่ประเทศที่มีขนาดตลาดรถยนต์ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาคอีกต่อไป

จากปัญหาดังกล่าวส่งผลให้ มาเลเซีย ได้แซงหน้าไทยขึ้นเป็น ตลาดรถยนต์รายใหญ่อันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซีย โดยมาเลเซียสามารถทำยอดขายได้ดีกว่าไทยต่อเนื่องถึง 3 ไตรมาสติดต่อกัน จนถึงเดือนมกราคม-มีนาคม 2567 ขณะที่ยอดขายรถยนต์ของไทยปรับตัว ลดลง 25% ในไตรมาสแรก

จากข้อมูลของสมาคมยานยนต์แห่งมาเลเซีย รายงานว่า ยอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้น +5% ในไตรมาสแรกจากปีก่อนหน้าเป็น 202,245 คัน หลังจากที่ปี 2566 เติบโตขึ้น +11% เป็นจำนวน 799,731 คัน หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดรถยนต์ของมาเลเซียเติบโตก็คือ การยกเว้นภาษีการขายสำหรับรถยนต์ที่ผลิตในประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ส่งผลให้แบรนด์รถยนต์ของชาติอย่าง Perodua และ Proton ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 60%

สำหรับมาตรการยกเว้นภาษีนั้นเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงปี 2563 ที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 และสิ้นสุดลงในช่วงกลางปี ​​2565 แต่ยอดขายรถยนต์ที่ได้รับการยกเว้นภาษีตามคำสั่งซื้อก่อนหน้านั้นส่งผลดีต่อตัวเลขในปี 2567 อีกทั้งยังมีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่หลายรุ่น รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าที่มีการแข่งขันกันสูง ก็ยิ่งช่วยกระตุ้นยอดขาย

อย่างไรก็ตาม สมาคมยานยนต์แห่งมาเลเซียคาดว่ายอดขายรถยนต์รวมจะ ลดลง 7.5% ในปีนี้ แม้ว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดและรถอีวีคาดว่าจะเติบโตก็ตาม เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคอาจชะลอตัวลง เพราะความกังวลเกี่ยวกับ ค่าครองชีพที่สูง และอัตราภาษีบริการที่สูงขึ้นสำหรับบริการบางอย่าง เช่น การซ่อมแซมและบำรุงรักษายานยนต์

ส่วนไทยที่ครองตำแหน่งเบอร์ 2 มานานกำลังอยู่ในช่วงขาลง โดยเริ่มเห็นสัญญาณตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีที่แล้ว เนื่องจากปัญหา หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น ส่งผลให้ธนาคารคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อทั้งบ้านและรถยนต์ เพราะกังวลถึงปัญหาหนี้เสีย โดยจากข้อมูลเครดิตบูโรรายงานว่า ในช่วงปี 2566 ไทยมีปัญหาหนี้เสียสินเชื่อรถยนต์ 2.3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น +28% จากปี 2565

ด้าน อินโดนีเซีย ช่วงไตรมาสแรกตลาดหดตัว 24% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อ โดยในปี 2566 ตลาดหดตัว 4% มียอดสะสมกว่า 1 ล้านคัน ซึ่งถือว่าน้อยกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาดของ COVID-19 ที่ 3 หมื่นคัน

ส่วนยอดขายรถยนต์ใน เวียดนาม ลดลง 16% ในไตรมาสแรก เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศซบเซาตั้งแต่ปีที่แล้ว และแม้ว่าความต้องการจะพุ่งสูงขึ้นในเดือนธันวาคมก่อนที่การลดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสำหรับรถยนต์ที่ผลิตในประเทศจะหมดอายุ แต่ตัวเลขยอดขายกลับลดลงเมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์

ในขณะเดียวกัน ตัวเลขใน ฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น +13% ในไตรมาสแรก ซึ่งสูงที่สุดใน 5 ประเทศ หลังจากที่อัตราเงินเฟ้อลดลงเหลือประมาณ 4% ในช่วงปลายปี 2566

Source

]]>
1473902
Nissan และ Honda พิจารณาลดกำลังการผลิตรถยนต์ในจีน หลังผู้ผลิตในแดนมังกรแข่งขันดุเดือดมากขึ้น https://positioningmag.com/1466084 Tue, 12 Mar 2024 17:29:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1466084 ‘นิสสัน’ และ ‘ฮอนด้า’ ผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่น ได้พิจารณาลดกำลังการผลิตรถยนต์ในจีน หลังเจอแรงกดดันจากผู้ผลิตในประเทศหลายรายจากการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามรถยนต์ไฟฟ้าจากหลายแบรนด์

Nikkei Asia รายงานข่าวว่า นิสสัน (Nissan) และ ฮอนด้า (Honda) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น ได้พิจารณาเตรียมลดกำลังการผลิตในประเทศจีน โดยสาเหตุสำคัญคือผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นต้องดิ้นรนเพื่อไล่ตามการแข่งขันรถยนต์ไฟฟ้ากับผู้ผลิตแดนมังกร

โดย Nissan จะเริ่มพูดคุยกับบริษัทร่วมทุนในท้องถิ่นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เพื่อลดกำลังการผลิตในจีนสูงสุดถึง 30% ขณะที่ Honda นั้นจะลดกำลังการผลิตราวๆ 20% กำลังการผลิตที่ลดลงจะทำให้ Nissan เหลือจำนวนรถยนต์ที่ผลิตในจีนเหลือแค่ 1.6 ล้านคันต่อปี ซึ่งผลิตในโรงงาน 8 แห่งทั่วประเทศจีน ขณะที่ Honda จะเหลือแค่ 1.2 ล้านคันต่อปีเท่านั้น

ในปี 2023 ที่ผ่านมา ปริมาณการผลิตรถยนต์ของ Nissan ในประเทศจีนลดลง 24% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เหลือ แค่ 793,000 คันเท่านั้น ซึ่งตัวเลขดังกล่าวนั้นถือเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดครั้งแรกในรอบ 14 ปีของบริษัทอีกด้วย

ในช่วงทศวรรษ 2000 ผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นหลายรายได้เริ่มให้ความสำคัญกับการผลิตและการขายรถยนต์ในจีนแผ่นดินใหญ่ผ่านการร่วมทุนกับบริษัทในแดนมังกร เพื่อตอบสนองต่อคำขอของรัฐบาลจีนที่ขอให้ช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ

รถยนต์ญี่ปุ่นได้รับความนิยมในหมู่ชาวจีนเนื่องจากมีคุณภาพสูง ในช่วงปี 2020 ผู้ผลิตจากญี่ปุ่นได้ครองตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลซึ่งมีสัดส่วนมากถึง 20% แต่อย่างไรก็ดีเมื่อเวลาผ่านไป บริษัทในประเทศจีนหลายรายได้หันมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นซึ่งเราจะเห็นได้จากหลากหลายแบรนด์

ขณะที่ผู้ผลิตจากญี่ปุ่นเองนั้นไม่สามารถที่จะไล่ตามเทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของผู้ผลิตในประเทศจีนได้ นอกจากนี้ยังรวมถึงการแข่งขันทางด้านราคา หรือแม้แต่การเพิ่มลูกเล่นต่างๆ เข้ามา เพื่อดึงดูดลูกค้า

จีนยังมีผู้เล่นหน้าใหม่ที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไม่ว่าจะเป็น Nio หรือ Xpeng หรือแม้แต่ผู้ผลิตสินค้าไอทีอย่าง Xiaomi ที่ลงมาลุยตลาดดังกล่าว รวมถึง Huawei เองก็ได้ร่วมทุนกับผู้ผลิตยานยนต์ในประเทศจีนก็มีแผนที่จะออกรถยนต์ไฟฟ้ามาสู่ท้องถนนให้ได้เช่นกัน

นอกจากนี้ยอดขายรถไฟฟ้าในประเทศจีนชะลอตัวลง แบรนด์จีนหลายแห่งยิ่งต้องแข่งขันเพิ่มมากขึ้น ก็ยิ่งสร้างแรงกดดันให้กับผู้ผลิตรถยนต์จากแดนอาทิตย์อุทัยเพิ่มมากขึ้น จนทำให้ท้ายที่สุดต้องมีการปรับลดการผลิต

]]>
1466084
Toyota ยังเป็นเบอร์ 1 ยอดขายรถยนต์มากสุด แซงแชมป์เก่า Volkswagen เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน https://positioningmag.com/1437023 Tue, 30 Jan 2024 07:45:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1437023 ‘โตโยต้า’ ได้แจ้งจำนวนยอดขายรถยนต์ของบริษัทนั้นมากถึง 11.2 ล้านคันทั่วโลก ทำให้บริษัทยังเป็นเบอร์ 1 ของผู้ผลิตรถยนต์ และยังแซงแชมป์เก่าจากเยอรมันอย่าง Volkswagen เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน แต่ในปีนี้บริษัทอาจประสบปัญหายอดขายลดลงหลังบริษัทลูกเผชิญเรื่องอื้อฉาวด้านความปลอดภัย

Toyota ผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่น ได้แจ้งยอดขายรถยนต์ของบริษัทและบริษัทลูกในปี 2023 ที่ผ่านมาทั่วโลกมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา นอกจากนี้ยอดขายรถยนต์ยังแซงหน้าคู่แข่งจากเยอรมันอย่าง Volkswagen เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน

ยอดขายรถยนต์ของบริษัทและบริษัทลูกในปี 2023 ที่ผ่านมาของ Toyota เติบโต 7.2% อยู่ที่ 11.2 ล้านคัน และมีรถที่ผลิตได้ทั้งหมด 11.5 ล้านคัน ซึ่งจำนวนดังกล่าวมากกว่าคู่แข่งจากเยอรมันอย่าง Volkswagen ซึ่งมียอดขายทั้งหมด 9.2 ล้านคัน

ถ้าหากนับแค่ Toyota อย่างเดียว ในปี 2023 ที่ผ่านมาบริษัทผลิตรถยนต์ได้ 10.3 ล้านคัน

โดยผู้ผลิตรถยนต์รายดังกล่าวนั้นผลิตรถยนต์ไฮบริดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของรถยนต์ที่ผลิตได้ทั้งหมด ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่ 104,018 คันคิดเป็นสัดส่วนแค่ 1% เท่านั้น

ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นรายนี้ผ่านสถานการณ์ Supply Chain หยุดชะงักในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ชิปขาดแคลน จนทำให้ Toyota ต้องปรับลดการผลิตมาแล้วในปี 2021 และยังรวมถึงการฟื้นตัวของความต้องการรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่ยุโรป

อย่างไรก็ดีภายในปี 2024 นี้บริษัทลูกอย่าง Daihatsu อาจผลิตรถยนต์ได้ลดลง หลังจากบริษัทเผชิญเรื่องอื้อฉาวด้านความปลอดภัยในรถยนต์ 64 รุ่น จนทำให้บริษัทต้องลดการผลิตลง 25%

]]>
1437023
‘โตโยต้า’ ฟาดกำไร Q1 กว่า 1.1 ล้านล้านเยน โต 94% พร้อมเร่งหาทาง “ลดต้นทุนรถอีวี” แข่งจีน! https://positioningmag.com/1439557 Wed, 02 Aug 2023 06:25:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1439557 ขึ้นแท่นเป็นค่ายรถยนต์ที่มี ยอดขายอันดับ 1 ยืนยาว 4 ปีซ้อน โดยล่าสุด โตโยต้า (Toyota) ได้รายงานผลประกอบการ ไตรมาส 1 ตามปีงบการเงิน 2023 (เมษายน-มิถุนายน) โดยผลกำไรเติบโตเกือบ 2 เท่า และที่น่าสนใจคือ รถยนต์ไฮบริด ที่มีการเติบโตจากหลักพันไปเป็นหลักหมื่น

ผลประกอบการของ โตโยต้า ในช่วงไตรมาส 1 ตามปีงบการเงิน 2023 อยู่ที่ 10.5 ล้านล้านเยน เติบโต +24.2% โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน (operating profit) 1.12 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้น +94% และกำไรสุทธิ (net profit) อยู่ที่ 1.31 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้น +78%

โดยโตโยต้า สามารถขายรถยนต์ได้ 2.53 ล้านคัน โดย 34% ของยอดขายเป็น รถยนต์หรู ทั้งแบรนด์โตโยต้าและเล็กซัสที่น่าสนใจคือ รถไฮบริดและรถพลังงานไฟฟ้าอื่น ๆ มียอดขายถึง 29,000 คัน เพิ่มขึ้นจาก 4,000 คั ที่จำหน่ายในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

โตโยต้า ระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้ผลประกอบการและยอดขายของบริษัทเติบโตนั้นเป็นเพราะปัญหาขาดแคลนชิปที่ลดลง ขณะที่ยอดขายของบริษัทก็เติบโตในทุกภูมิภาคทั่วโลก นอกจากนี้ ราคาของรถยนต์ในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรปก็มีราคาดีขึ้น รวมถึงปัจจัยหนุนจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงทำให้รายได้ในหน่วยเงินเยนสูงขึ้น

โดยหากแยกเป็นแต่ละภูมิภาคพบว่า ผลประกอบการใน ญี่ปุ่น นั้นยังแข็งแกร่ง โดยมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปีก่อนหน้าเป็น 7 แสนล้านเยน คิดเป็นกว่า 60% ของกำไรจากการดำเนินงานทั้งหมด ส่วนในตลาด อเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นตลาดหลักอีกแห่งก็มีความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภค เนื่องจากผลกระทบของการขาดแคลนชิปหลังการระบาดใหญ่ลดลง

Koji Sato ที่เข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารต่อจาก Akio Toyoda เมื่อต้นปีนี้ เคยยอมรับว่า โตโยต้าล้าหลังในด้านรถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้น บริษัทจะต้อง ตามให้ทัน โดยบริษัทจะต้องทำงานในเชิงรุกมากขึ้น ซึ่งล่าสุด โตโยต้าได้ประกาศว่าจะ เสริมสร้างการพัฒนาเทคโนโลยี EV ในประเทศจีน โดยตั้งเป้าที่จะ ลดต้นทุนการผลิตรถอีวีลงอย่างมาก รวมถึงการพัฒนาฐานซัพพลายเออร์ในท้องถิ่นเพื่อให้สามารถแข่งขันได้มากขึ้น

โดยตลาดรถอีวีในจีนมีการแข่งขันสูงมาก จากเดิมที่เคยมองว่าเป็นโอกาสของผู้เล่นต่างประเทศ แต่ปัจจุบันกลับมีค่ายรถยนต์ในประเทศเกิดใหม่จำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีการดัมพ์ราคาจาก เทสลา (Tesla) ที่กำลังทำให้เกิดการแข่งราคาอย่างหนักในตลาด

สำหรับผลประกอบการในปีงบประมาณนี้ โตโยต้าคาดว่าจะมีรายได้รวม 38 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้น +2.3% ส่วนกำไรสุทธิ (net profit) อยู่ที่ 2.58 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้น +5.2% ส่วนรายได้จากการดำเนินงาน (operating income) อยู่ที่ 3 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้น +10.1%

ทั้งนี้ หุ้นของโตโยต้า ที่เคยเพิ่มขึ้น 1.15% ก่อนการประกาศผลประกอบการ และหลังจากที่รายงานผลกำไรทำให้หุ้นปิดเพิ่ม 2.5% ที่ 2,445.5 เยน

reuters / japantoday

]]>
1439557
จีนเตรียมกระตุ้นให้ประชาชนซื้อรถยนต์ไฟฟ้ากับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น เพื่อฟื้นเศรษฐกิจกลับมาโตอีกรอบ https://positioningmag.com/1438663 Sun, 23 Jul 2023 06:41:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1438663 รัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนอีกครั้ง โดยล่าสุดมีมาตรการให้ประชาชนซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ หรือแม้แต่รถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากตัวเลขค้าปลีกในประเทศจีนเติบโตลดลงเหลือเพียงแค่ 3.1% ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา 

รัฐบาลจีนเตรียมออกมาตรการให้ประชาชนซื้อรถยนต์ไฟฟ้ากับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น เนื่องจาก 2 ภาคอุตสาหกรรมนั้นมีบริษัทจีนที่ผลิตสินค้าดังกล่าวเป็นจำนวนมาก โดยมาตรการดังกล่าวนี้รัฐบาลจีนได้เข็นออกมานั้นเพื่อที่จะกระตุ้นภาคเศรษฐกิจหลังจากที่ตัวเลขการเติบโตนั้นแย่กว่าที่คาดไว้

มาตรการดังกล่าวตามเมืองต่างๆ ของประเทศจีนนั้น รัฐบาลท้องถิ่นไม่ต่ำกว่า 13 มณฑลได้สนับสนุนให้มีการซื้อรถยนต์คันที่สอง นอกจากนี้ยังสนับสนุนการขายรถยนต์มือสอง นอกจากนี้ยังสนับสนุนมาตรการซื้อรถยนต์ที่ไม่ใช้เครื่องยนต์สันดาป เช่น รถยนต์ไฟฟ้า ฯลฯ ยาวไปจนถึงปี 2027

ขณะเดียวกันมาตรการดังกล่าวนี้ออกมาเพื่อป้องกันการตัดราคา หลีกเลี่ยงไม่ให้รัฐบาลท้องถิ่นของจีนต้องออกมาตรการปกป้องแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ หลังหลายเดือนที่ผ่านมามีสงครามตัดราคารถยนต์ไฟฟ้า หลายแบรนด์ในจีนรวมถึงแบรนด์ยุโรปได้ลดราคาตาม Tesla ลงมาเพื่อที่จะดึงดูดลูกค้า จนท้ายที่สุดต้องมีการเซ็นสัญญาสงบศึก

นอกจากนี้ในแถลงการณ์ที่แยกออกมาอีกชิ้นนั้น รัฐบาลจีนได้สนับสนุนการขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มมากขึ้น โดยสนับสนุนให้ประชาชนซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ประเภทที่เน้นการใช้นวัตกรรมมากขึ้น ขณะเดียวกันก็จะสนับสนุนให้บริษัทในประเทศผลิตสินค้าประเภทนี้มากขึ้น

แม้ว่าในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา GDP ของจีนจะเติบโตมากถึง 6.3% แต่ถ้าหากเทียบต่อไตรมาสแล้ว การเติบโตของเศรษฐกิจจีนเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนเติบโตแค่ 0.8% เท่านั้น ทำให้นักวิเคราะห์ของหลากหลายสถาบันการเงินมองว่าเศรษฐกิจจีนอาจหมดแรงขับเคลื่อนแล้วด้วยซ้ำ

มาตรการดังกล่าวของจีนต้องการที่จะให้สิทธิประโยชน์กับผู้ผลิตสินค้าที่มีนวัตกรรมมากขึ้น ซึ่งสินค้าทั้ง 2 ประเภทข้างต้นถือว่าอยู่ในหมวดสินค้ามีนวัตกรรม หลังจากในช่วงที่ผ่านมาประเทศจีนขึ้นชื่อว่าเป็นผู้รับผลิตสินค้าให้กับผู้ผลิตรายอื่นจนได้ฉายาว่าโรงงานผลิตของโลกนั่นเอง และรัฐบาลพยายามผลักดันสินค้าที่มี Value Added เพิ่มมากขึ้น

ที่มา – China Daily, Reuters

]]>
1438663