บริษัทฯระบุว่า โฟล์คสวาเกนได้ผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปมาจนถึงปี 2019 และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ดําเนินการในฐานะศูนย์กระจายสินค้าที่ผลิตในโรงงานอื่น ๆ
โฆษกฯ กล่าวว่า เนื่องจากรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปมีความต้องการที่ลดลง ทำให้บริษัทฯ เผชิญหน้ากับแรงกดดันอย่างมาก บริษัทฯ จึงจําเป็นต้องเร่งพัฒนาและเปลี่ยนแปลงกระบวนการการผลิตใหม่ อีกทั้งกระแสรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมอย่างมากในไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ตามรายงานของสํานักงานพลังงานระหว่างประเทศ ระบุว่า ยอดขายรถ EV มีอัตราเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ รวมถึงในประเทศจีนที่คิดเป็น 45% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในปีนี้ ทำให้โฟล์คสวาเกนตัดสินใจประกาศขายโรงงานในซินเจียง ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับ SAIC Motor ของเซี่ยงไฮ้
นอกจากบริษัทฯ ต้องเผชิญหน้ากับการแข่งขันในตลาดรถยนต์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น การขายดังกล่าว ยังมีปัจจัยในเรื่องของการวิพากษ์วิจารณ์ของรัฐบาลสหรัฐฯ และกลุ่มสิทธิมนุษยชน ที่กล่าวหาว่ามีการบังคับใช้แรงงานและกระทําการล่วงละเมิดอื่นๆ เป็นเวลาหลายปี เช่น การกักขังกลุ่มชนกลุ่มน้อยมุสลิมอุยกูร์จํานวนมากในซินเจียง
ซึ่งจีนก็ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคนี้มาแล้วหลายครั้ง
ย้อนกลับไปในปี 2022 นักสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้เผยแพร่รายงานว่า จีนได้กระทําการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงต่อชาวมุสลิมอุยกูร์ในซินเจียง ซึ่งอาจเท่ากับการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
และในปี 2018 เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวหาว่าจีนกักขังชาวอุยกูร์อย่างน้อย 800,000 คนและสมาชิกของชนกลุ่มน้อยมุสลิมอื่นๆ ที่อาจรวมกันได้มากกว่า 2 ล้านคนในศูนย์กักกันในซินเจียง
ทำให้จีนออกมาอธิบายว่าศูนย์ดังกล่าวเป็นเพียงศูนย์ฝึกอาชีพให้กับคนและกล่าวว่าจะปิดศูนย์ดังกล่าวในปี 2019
ตั้งแต่นั้นมาโฟล์คสวาเกนต้องเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์จากนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิในการเป็นเจ้าของโรงงานในซินเจียง ต่อมาในในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ผู้บริหารของโฟล์คสวาเกนได้ออกมาโต้ว่าไม่มีการบังคับใช้แรงงานในโรงงานแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม Financial Times รายงานว่าในเดือนกันยายน มีพบว่าการตรวจสอบดังกล่าว ไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล
เมื่อถูกขอให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความของ Financial Times โฆษกของโฟล์คสวาเกน กล่าวว่า บริษัทฯได้ปฏิบัติตามข้อกําหนดทางกฎหมายในการตรวจสอบและดำเนินกิจการมาเสมอ ไม่มีครั้งใดที่นักลงทุนหรือประชาชนถูกหลอกลวงจากคำแถลงการณ์ของบริษัทฯ
บริษัทฯ ยังต่อสู้กับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์นั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์ในท้องถิ่นได้เพิ่มการผลิตและการขายรถยนต์ไฟฟ้า
ทำให้โฟล์คสวาเกนได้ประกาศการปรับแผนการดำเนินการบริษัทฯ เมื่อเดือนที่แล้วว่าจะมีการปิดโรงงานผลิตรถยนต์อย่างน้อย 3 แห่งในเยอรมนีและจะเลิกจ้างพนักงานหลายหมื่นคน ถือเป็นการปิดกิจการในประเทศครั้งแรกในรอบ 87 ปีของบริษัท
ที่มา : CNN
]]>สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนตุลาคม 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 37,691 คัน ลดลงจากเดือนกันยายน –36.08% ถือว่าต่ำสุดในรอบ 54 เดือน นับตั้งแต่ยกเลิกล็อกดาวน์จากการระบาด COVID-19 ในเดือนพฤษภาคม 2563 สำหรับในส่วนของยานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) มีจดทะเบียนใหม่จำนวน 6,651 คัน ลดลงจากเดือนตุลาคมปีที่แล้ว -32.19% ยอดขายยานยนต์ไฟฟ้า (BEV) 3,717 คัน ลดลง -49.73%
โดยปัจจัยหลักมาจากเศรษฐกิจของประเทศที่ยังอ่อนแอเติบโตในอัตราต่ำและหนี้ครัวเรือนสูง และการเข้มงวดในการให้กู้ซื้อรถยนต์ของสถาบันการเงิน ส่งผลให้จำนวนบัญชีผู้กู้ซื้อรถยนต์ในไตรมาส 3 มี 6,365,571 บัญชี ลดลงจากไตรมาสสอง 75,377 บัญชี หรือ -1.2% และลดลงจากไตรมาส 3 ปี 2566 จำนวน 199,655 บัญชีหรือ -3% ขณะที่จำนวนเงินหนี้รถยนต์ไตรมาส 3 อยู่ที่ 2,465,204 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 2 ที่ -2.8% และลดลง -5.8% จากไตรมาส 3 ปี 2566
ทั้งนี้ ตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา รถยนต์มียอดขาย 476,350 คัน ลดลง -26.24% เมื่อเทียบกับ 10 เดือนแรกของปี 2566 และเมื่อแยกเป็นรถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์มีจำนวน 284,304 คัน เท่ากับ 59.84% ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว 12.22%
ด้านการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปได้ 84,334 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว +5.08% แต่เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2566 ถือว่าลดลงถึง -20.23% อย่างไรก็ตาม ยอดส่งออกในเดือนตุลาคม 2566 ถือเป็นฐานที่สูง เพราะสามารถส่งออกได้ถึง 105,726 คัน ส่งผลให้ส่งออกลดลงทุกตลาด ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษคือตลาดออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง และยุโรป
โดย นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยตัวเลขประมาณการการผลิตรถยนต์ของสมาชิก กลุ่มฯ ในปี พ.ศ. 2567 ใหม่ โดยปรับเป้าผลิตรถยนต์ปี 2567 จาก 1,700,000 คันเป็น 1,500,000 คัน ลดลง 200,000 คัน โดยปรับการผลิตขายในประเทศลดลงจาก 550,000 คันเป็น 450,000 คัน และการผลิตเพื่อส่งออกลดลงจาก 1,150,000 คัน เป็น 1,050,000 คัน
]]>Daniela Cavallo ประธานสภาแรงงาน และกรรมการฝ่ายกำกับดูแลของบริษัทโฟล์คสวาเกน กล่าวว่า การปรับองค์กรในครั้งนี้หมายถึงการนําผลิตภัณฑ์ ปริมาณ กะงาน และไลน์ผลิตในส่วนงานการประกอบชิ้นส่วนทั้งหมดออกไปมากกว่าที่เคยปรับโครงสร้างองค์กรมา
เมื่อเดือนที่แล้ว บริษัทได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์ส่วนต่างของกำไรถึง 2 ครั้งในเวลาไม่ถึง 3 เดือน เนื่องจากผลการ ดําเนินงานที่ลดลงเกินกว่าที่คาดไว้จากแผนกรถยนต์ส่วนบุคคล และในเดือนกันยายน บริษัทฯ ได้แจ้งเตือนพนักงานเกี่ยวกับการปิดโรงงาน และการยกเลิกข้อตกลงแรงงานจํานวนมาก รวมถึงข้อตกลงกับพนักงานที่มีตําแหน่งผู้เชี่ยวชาญหรือตําแหน่งหัวหน้างาน คนงานชั่วคราว และพนักงานฝึกงาน
ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ให้การคุ้มครองแรงงานชาวเยอรมันมาตั้งแต่ปี 1994 ส่งผลให้พนักงานนับหมื่นคนตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะตกงาน โดยมาตรการลดรายจ่ายครั้งใหญ่นี้ เกิดขึ้นหลังจากที่การเจรจากับสหภาพแรงงานก่อนหน้านี้ไม่มีความคืบหน้า ทำให้ต้องมีการปรับองค์กรเพื่อให้บริษัทอยู่ในสถานะที่สามารถแข่งขันได้มากขึ้น ท่ามกลางการต่อต้านอย่างรุนแรงจากสภาโรงงานและสหภาพแรงงานชั้นนําของเยอรมัน
ด้าน Thomas Schäfer ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Volkswagen Passenger Cars ระบุเพิ่มเติมว่า โฟล์คสวาเกนมีแผนที่จะปิดโรงงาน 3 แห่งและลดขนาดโรงงานอื่นๆ ในเยอรมนี เนื่องจากธุรกิจไม่ได้รับรายได้เพียงพอจากการขายรถยนต์ ในขณะที่ต้นทุนพลังงาน วัสดุ และแรงงานเพิ่มขึ้น อีกทั้งโรงงานของเยอรมันมี ประสิทธิผลไม่เพียงพอและมีราคาแพงกว่า เมื่อเทียบกับเป้าหมายของโฟล์คสวาเกนและต้นทุนค่าใช้จ่ายของคู่แข่งที่ลดน้อยลง
นอกจากนั้นสภาโรงงานยังเผยว่า ฝ่ายบริหารของโฟล์คสวาเกนได้นําเสนอแผนหารืออย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับข้อตกลงแรงงานแยกออกมาเป็นอีกหนึ่งวาระการประชุม โดยการเจรจารอบต่อไปจะจัดขึ้นในวันพุธที่ 30 ต.ค. พร้อมกับกําหนดจะเผยแพร่ผลประกอบการรายไตรมาสล่าสุดของบริษัทฯ หลังจากที่เมื่อวันจันทร์ที่ 28 ต.ค. ที่ผ่านมา หุ้นของบริษัทปิดตลาดลดลง 0.46%
ทั้งนี้ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์เยอรมันและยุโรปรายอื่น ๆ ก็กำลังเร่งปรับตัวเช่นเดียวกับ โฟล์คสวาเกน ที่กําลังดิ้นรนเอาตัวรอดท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และเศรษฐกิจโลกที่อ่อนตัวลง
ที่มา : CNBC
]]>นี่อาจจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 87 ปี ของ โฟล์คสวาเกน (Volkswagen) ผู้ผลิตรถยนต์ชาวเยอรมันที่กำลังเตรียม ปิดโรงงานในประเทศ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการ ลดต้นทุน เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ในยุโรปกำลังอยู่ในสถานะวิกฤต เนื่องจากคู่แข่งใหม่ ๆ ที่กำลังตบเท้าเข้าสู่ตลาดยุโรป
“สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจยิ่งยากขึ้น และคู่แข่งรายใหม่กําลังเข้าสู่ตลาดยุโรป ในขณะที่ฐานการผลิตในเยอรมนีมีความล้าหลังในแง่ของความสามารถในการแข่งขัน เราเลยต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดในตอนนี้” โอลิเวอร์ บลูม ซีอีโอของโฟล์คสวาเกน กรุ๊ป กล่าว
ปัจจุบัน โฟล์คสวาเกนไม่ใช่แค่ต้องเผชิญกับการแข่งขันในยุโรป แต่บริษัทได้ สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีน ซึ่งเป็นตลาดที่ ทำกำไรได้มากที่สุด และแม้ว่าบริษัทได้เริ่มโครงการการ ลดต้นทุน มูลค่าหลายพันล้านยูโรตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากข้อตกลงกับสหภาพแรงงาน
อย่างไรก็ตาม บริษัทจําเป็นต้อง ยุติข้อตกลงการคุ้มครองการจ้างงาน ซึ่งเป็นโครงการความมั่นคงในการทํางานที่มีมาตั้งแต่ปี 1994 เพื่อให้แน่ใจว่า การปรับโครงสร้างที่จําเป็นอย่างเร่งด่วนเพื่อ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันที่มากขึ้นในระยะสั้น
ซึ่งนั่นอาจนำไปสู่ความขัดแย้งกับสหภาพแรงงาน โดยปัจจุบันบริษัทมีพนักงานประมาณ 3 แสนคนในเยอรมนี คิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนพนักงานทั้งหมดทั่วโลก
แน่นอนว่าการปิดโรงงานของโฟล์คสวาเกน จะส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในเยอรมนี เพราะนั่นหมายถึงการสูญเสียงาน รวมถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น ซึ่งนั่นทำให้บริษัททำได้แค่ให้พนักงานเกษียณก่อนกำหนดและลาออกโดยสมัครใจเท่านั้น
“สถานการณ์ตึงเครียดอย่างยิ่งและไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยมาตรการลดต้นทุนง่าย ๆ นี่คือเหตุผลที่เราต้องการเริ่มการสนทนากับตัวแทนพนักงานโดยเร็วที่สุดเพื่อสํารวจความเป็นไปได้ในการปรับโครงสร้างแบรนด์อย่างยั่งยืน” โอลิเวอร์ ทิ้งท้าย
]]>จากปัญหาดังกล่าวส่งผลให้ มาเลเซีย ได้แซงหน้าไทยขึ้นเป็น ตลาดรถยนต์รายใหญ่อันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซีย โดยมาเลเซียสามารถทำยอดขายได้ดีกว่าไทยต่อเนื่องถึง 3 ไตรมาสติดต่อกัน จนถึงเดือนมกราคม-มีนาคม 2567 ขณะที่ยอดขายรถยนต์ของไทยปรับตัว ลดลง 25% ในไตรมาสแรก
จากข้อมูลของสมาคมยานยนต์แห่งมาเลเซีย รายงานว่า ยอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้น +5% ในไตรมาสแรกจากปีก่อนหน้าเป็น 202,245 คัน หลังจากที่ปี 2566 เติบโตขึ้น +11% เป็นจำนวน 799,731 คัน หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดรถยนต์ของมาเลเซียเติบโตก็คือ การยกเว้นภาษีการขายสำหรับรถยนต์ที่ผลิตในประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ส่งผลให้แบรนด์รถยนต์ของชาติอย่าง Perodua และ Proton ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 60%
สำหรับมาตรการยกเว้นภาษีนั้นเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงปี 2563 ที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 และสิ้นสุดลงในช่วงกลางปี 2565 แต่ยอดขายรถยนต์ที่ได้รับการยกเว้นภาษีตามคำสั่งซื้อก่อนหน้านั้นส่งผลดีต่อตัวเลขในปี 2567 อีกทั้งยังมีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่หลายรุ่น รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าที่มีการแข่งขันกันสูง ก็ยิ่งช่วยกระตุ้นยอดขาย
อย่างไรก็ตาม สมาคมยานยนต์แห่งมาเลเซียคาดว่ายอดขายรถยนต์รวมจะ ลดลง 7.5% ในปีนี้ แม้ว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดและรถอีวีคาดว่าจะเติบโตก็ตาม เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคอาจชะลอตัวลง เพราะความกังวลเกี่ยวกับ ค่าครองชีพที่สูง และอัตราภาษีบริการที่สูงขึ้นสำหรับบริการบางอย่าง เช่น การซ่อมแซมและบำรุงรักษายานยนต์
ส่วนไทยที่ครองตำแหน่งเบอร์ 2 มานานกำลังอยู่ในช่วงขาลง โดยเริ่มเห็นสัญญาณตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีที่แล้ว เนื่องจากปัญหา หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น ส่งผลให้ธนาคารคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อทั้งบ้านและรถยนต์ เพราะกังวลถึงปัญหาหนี้เสีย โดยจากข้อมูลเครดิตบูโรรายงานว่า ในช่วงปี 2566 ไทยมีปัญหาหนี้เสียสินเชื่อรถยนต์ 2.3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น +28% จากปี 2565
ด้าน อินโดนีเซีย ช่วงไตรมาสแรกตลาดหดตัว 24% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อ โดยในปี 2566 ตลาดหดตัว 4% มียอดสะสมกว่า 1 ล้านคัน ซึ่งถือว่าน้อยกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาดของ COVID-19 ที่ 3 หมื่นคัน
ส่วนยอดขายรถยนต์ใน เวียดนาม ลดลง 16% ในไตรมาสแรก เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศซบเซาตั้งแต่ปีที่แล้ว และแม้ว่าความต้องการจะพุ่งสูงขึ้นในเดือนธันวาคมก่อนที่การลดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสำหรับรถยนต์ที่ผลิตในประเทศจะหมดอายุ แต่ตัวเลขยอดขายกลับลดลงเมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์
ในขณะเดียวกัน ตัวเลขใน ฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น +13% ในไตรมาสแรก ซึ่งสูงที่สุดใน 5 ประเทศ หลังจากที่อัตราเงินเฟ้อลดลงเหลือประมาณ 4% ในช่วงปลายปี 2566
]]>Nikkei Asia รายงานข่าวว่า นิสสัน (Nissan) และ ฮอนด้า (Honda) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น ได้พิจารณาเตรียมลดกำลังการผลิตในประเทศจีน โดยสาเหตุสำคัญคือผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นต้องดิ้นรนเพื่อไล่ตามการแข่งขันรถยนต์ไฟฟ้ากับผู้ผลิตแดนมังกร
โดย Nissan จะเริ่มพูดคุยกับบริษัทร่วมทุนในท้องถิ่นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เพื่อลดกำลังการผลิตในจีนสูงสุดถึง 30% ขณะที่ Honda นั้นจะลดกำลังการผลิตราวๆ 20% กำลังการผลิตที่ลดลงจะทำให้ Nissan เหลือจำนวนรถยนต์ที่ผลิตในจีนเหลือแค่ 1.6 ล้านคันต่อปี ซึ่งผลิตในโรงงาน 8 แห่งทั่วประเทศจีน ขณะที่ Honda จะเหลือแค่ 1.2 ล้านคันต่อปีเท่านั้น
ในปี 2023 ที่ผ่านมา ปริมาณการผลิตรถยนต์ของ Nissan ในประเทศจีนลดลง 24% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เหลือ แค่ 793,000 คันเท่านั้น ซึ่งตัวเลขดังกล่าวนั้นถือเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดครั้งแรกในรอบ 14 ปีของบริษัทอีกด้วย
ในช่วงทศวรรษ 2000 ผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นหลายรายได้เริ่มให้ความสำคัญกับการผลิตและการขายรถยนต์ในจีนแผ่นดินใหญ่ผ่านการร่วมทุนกับบริษัทในแดนมังกร เพื่อตอบสนองต่อคำขอของรัฐบาลจีนที่ขอให้ช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ
รถยนต์ญี่ปุ่นได้รับความนิยมในหมู่ชาวจีนเนื่องจากมีคุณภาพสูง ในช่วงปี 2020 ผู้ผลิตจากญี่ปุ่นได้ครองตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลซึ่งมีสัดส่วนมากถึง 20% แต่อย่างไรก็ดีเมื่อเวลาผ่านไป บริษัทในประเทศจีนหลายรายได้หันมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นซึ่งเราจะเห็นได้จากหลากหลายแบรนด์
ขณะที่ผู้ผลิตจากญี่ปุ่นเองนั้นไม่สามารถที่จะไล่ตามเทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของผู้ผลิตในประเทศจีนได้ นอกจากนี้ยังรวมถึงการแข่งขันทางด้านราคา หรือแม้แต่การเพิ่มลูกเล่นต่างๆ เข้ามา เพื่อดึงดูดลูกค้า
จีนยังมีผู้เล่นหน้าใหม่ที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไม่ว่าจะเป็น Nio หรือ Xpeng หรือแม้แต่ผู้ผลิตสินค้าไอทีอย่าง Xiaomi ที่ลงมาลุยตลาดดังกล่าว รวมถึง Huawei เองก็ได้ร่วมทุนกับผู้ผลิตยานยนต์ในประเทศจีนก็มีแผนที่จะออกรถยนต์ไฟฟ้ามาสู่ท้องถนนให้ได้เช่นกัน
นอกจากนี้ยอดขายรถไฟฟ้าในประเทศจีนชะลอตัวลง แบรนด์จีนหลายแห่งยิ่งต้องแข่งขันเพิ่มมากขึ้น ก็ยิ่งสร้างแรงกดดันให้กับผู้ผลิตรถยนต์จากแดนอาทิตย์อุทัยเพิ่มมากขึ้น จนทำให้ท้ายที่สุดต้องมีการปรับลดการผลิต
]]>Toyota ผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่น ได้แจ้งยอดขายรถยนต์ของบริษัทและบริษัทลูกในปี 2023 ที่ผ่านมาทั่วโลกมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา นอกจากนี้ยอดขายรถยนต์ยังแซงหน้าคู่แข่งจากเยอรมันอย่าง Volkswagen เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน
ยอดขายรถยนต์ของบริษัทและบริษัทลูกในปี 2023 ที่ผ่านมาของ Toyota เติบโต 7.2% อยู่ที่ 11.2 ล้านคัน และมีรถที่ผลิตได้ทั้งหมด 11.5 ล้านคัน ซึ่งจำนวนดังกล่าวมากกว่าคู่แข่งจากเยอรมันอย่าง Volkswagen ซึ่งมียอดขายทั้งหมด 9.2 ล้านคัน
ถ้าหากนับแค่ Toyota อย่างเดียว ในปี 2023 ที่ผ่านมาบริษัทผลิตรถยนต์ได้ 10.3 ล้านคัน
โดยผู้ผลิตรถยนต์รายดังกล่าวนั้นผลิตรถยนต์ไฮบริดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของรถยนต์ที่ผลิตได้ทั้งหมด ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่ 104,018 คันคิดเป็นสัดส่วนแค่ 1% เท่านั้น
ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นรายนี้ผ่านสถานการณ์ Supply Chain หยุดชะงักในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ชิปขาดแคลน จนทำให้ Toyota ต้องปรับลดการผลิตมาแล้วในปี 2021 และยังรวมถึงการฟื้นตัวของความต้องการรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่ยุโรป
อย่างไรก็ดีภายในปี 2024 นี้บริษัทลูกอย่าง Daihatsu อาจผลิตรถยนต์ได้ลดลง หลังจากบริษัทเผชิญเรื่องอื้อฉาวด้านความปลอดภัยในรถยนต์ 64 รุ่น จนทำให้บริษัทต้องลดการผลิตลง 25%
]]>ผลประกอบการของ โตโยต้า ในช่วงไตรมาส 1 ตามปีงบการเงิน 2023 อยู่ที่ 10.5 ล้านล้านเยน เติบโต +24.2% โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน (operating profit) 1.12 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้น +94% และกำไรสุทธิ (net profit) อยู่ที่ 1.31 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้น +78%
โดยโตโยต้า สามารถขายรถยนต์ได้ 2.53 ล้านคัน โดย 34% ของยอดขายเป็น รถยนต์หรู ทั้งแบรนด์โตโยต้าและเล็กซัสที่น่าสนใจคือ รถไฮบริดและรถพลังงานไฟฟ้าอื่น ๆ มียอดขายถึง 29,000 คัน เพิ่มขึ้นจาก 4,000 คัน ที่จำหน่ายในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
โตโยต้า ระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้ผลประกอบการและยอดขายของบริษัทเติบโตนั้นเป็นเพราะปัญหาขาดแคลนชิปที่ลดลง ขณะที่ยอดขายของบริษัทก็เติบโตในทุกภูมิภาคทั่วโลก นอกจากนี้ ราคาของรถยนต์ในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรปก็มีราคาดีขึ้น รวมถึงปัจจัยหนุนจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงทำให้รายได้ในหน่วยเงินเยนสูงขึ้น
โดยหากแยกเป็นแต่ละภูมิภาคพบว่า ผลประกอบการใน ญี่ปุ่น นั้นยังแข็งแกร่ง โดยมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปีก่อนหน้าเป็น 7 แสนล้านเยน คิดเป็นกว่า 60% ของกำไรจากการดำเนินงานทั้งหมด ส่วนในตลาด อเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นตลาดหลักอีกแห่งก็มีความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภค เนื่องจากผลกระทบของการขาดแคลนชิปหลังการระบาดใหญ่ลดลง
Koji Sato ที่เข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารต่อจาก Akio Toyoda เมื่อต้นปีนี้ เคยยอมรับว่า โตโยต้าล้าหลังในด้านรถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้น บริษัทจะต้อง ตามให้ทัน โดยบริษัทจะต้องทำงานในเชิงรุกมากขึ้น ซึ่งล่าสุด โตโยต้าได้ประกาศว่าจะ เสริมสร้างการพัฒนาเทคโนโลยี EV ในประเทศจีน โดยตั้งเป้าที่จะ ลดต้นทุนการผลิตรถอีวีลงอย่างมาก รวมถึงการพัฒนาฐานซัพพลายเออร์ในท้องถิ่นเพื่อให้สามารถแข่งขันได้มากขึ้น
โดยตลาดรถอีวีในจีนมีการแข่งขันสูงมาก จากเดิมที่เคยมองว่าเป็นโอกาสของผู้เล่นต่างประเทศ แต่ปัจจุบันกลับมีค่ายรถยนต์ในประเทศเกิดใหม่จำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีการดัมพ์ราคาจาก เทสลา (Tesla) ที่กำลังทำให้เกิดการแข่งราคาอย่างหนักในตลาด
สำหรับผลประกอบการในปีงบประมาณนี้ โตโยต้าคาดว่าจะมีรายได้รวม 38 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้น +2.3% ส่วนกำไรสุทธิ (net profit) อยู่ที่ 2.58 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้น +5.2% ส่วนรายได้จากการดำเนินงาน (operating income) อยู่ที่ 3 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้น +10.1%
ทั้งนี้ หุ้นของโตโยต้า ที่เคยเพิ่มขึ้น 1.15% ก่อนการประกาศผลประกอบการ และหลังจากที่รายงานผลกำไรทำให้หุ้นปิดเพิ่ม 2.5% ที่ 2,445.5 เยน
]]>รัฐบาลจีนเตรียมออกมาตรการให้ประชาชนซื้อรถยนต์ไฟฟ้ากับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น เนื่องจาก 2 ภาคอุตสาหกรรมนั้นมีบริษัทจีนที่ผลิตสินค้าดังกล่าวเป็นจำนวนมาก โดยมาตรการดังกล่าวนี้รัฐบาลจีนได้เข็นออกมานั้นเพื่อที่จะกระตุ้นภาคเศรษฐกิจหลังจากที่ตัวเลขการเติบโตนั้นแย่กว่าที่คาดไว้
มาตรการดังกล่าวตามเมืองต่างๆ ของประเทศจีนนั้น รัฐบาลท้องถิ่นไม่ต่ำกว่า 13 มณฑลได้สนับสนุนให้มีการซื้อรถยนต์คันที่สอง นอกจากนี้ยังสนับสนุนการขายรถยนต์มือสอง นอกจากนี้ยังสนับสนุนมาตรการซื้อรถยนต์ที่ไม่ใช้เครื่องยนต์สันดาป เช่น รถยนต์ไฟฟ้า ฯลฯ ยาวไปจนถึงปี 2027
ขณะเดียวกันมาตรการดังกล่าวนี้ออกมาเพื่อป้องกันการตัดราคา หลีกเลี่ยงไม่ให้รัฐบาลท้องถิ่นของจีนต้องออกมาตรการปกป้องแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ หลังหลายเดือนที่ผ่านมามีสงครามตัดราคารถยนต์ไฟฟ้า หลายแบรนด์ในจีนรวมถึงแบรนด์ยุโรปได้ลดราคาตาม Tesla ลงมาเพื่อที่จะดึงดูดลูกค้า จนท้ายที่สุดต้องมีการเซ็นสัญญาสงบศึก
นอกจากนี้ในแถลงการณ์ที่แยกออกมาอีกชิ้นนั้น รัฐบาลจีนได้สนับสนุนการขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มมากขึ้น โดยสนับสนุนให้ประชาชนซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ประเภทที่เน้นการใช้นวัตกรรมมากขึ้น ขณะเดียวกันก็จะสนับสนุนให้บริษัทในประเทศผลิตสินค้าประเภทนี้มากขึ้น
แม้ว่าในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา GDP ของจีนจะเติบโตมากถึง 6.3% แต่ถ้าหากเทียบต่อไตรมาสแล้ว การเติบโตของเศรษฐกิจจีนเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนเติบโตแค่ 0.8% เท่านั้น ทำให้นักวิเคราะห์ของหลากหลายสถาบันการเงินมองว่าเศรษฐกิจจีนอาจหมดแรงขับเคลื่อนแล้วด้วยซ้ำ
มาตรการดังกล่าวของจีนต้องการที่จะให้สิทธิประโยชน์กับผู้ผลิตสินค้าที่มีนวัตกรรมมากขึ้น ซึ่งสินค้าทั้ง 2 ประเภทข้างต้นถือว่าอยู่ในหมวดสินค้ามีนวัตกรรม หลังจากในช่วงที่ผ่านมาประเทศจีนขึ้นชื่อว่าเป็นผู้รับผลิตสินค้าให้กับผู้ผลิตรายอื่นจนได้ฉายาว่าโรงงานผลิตของโลกนั่นเอง และรัฐบาลพยายามผลักดันสินค้าที่มี Value Added เพิ่มมากขึ้น
ที่มา – China Daily, Reuters
]]>โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ทั่วโลกในเดือนกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้น 10.3% จากปีที่แล้ว เป็น 773,271 คัน ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในเดือนนี้ โดยมีปัจจัยหนุนจากยอดขายในประเทศดีดตัวขึ้น นอกจากนี้ปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ก็เริ่มดีขึ้น
โดย ยอดขายในญี่ปุ่นพุ่งขึ้น 53.2% เป็น 155,840 คัน หลังจากที่ลดลงอย่างหนักในปีที่แล้วเนื่องจากการขาดแคลนชิ้นส่วนและผลกระทบจากข้อจำกัดที่เกี่ยวข้องกับการระบาดของ COVID-19 ส่วน ยอดขายรถยนต์ในต่างประเทศปรับตัวขึ้น 3.0% แตะที่ 617,431 คัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ ยอดขายในจีนเพิ่มขึ้น 0.9% โดยได้แรงหนุนจากการเปิดตัวรถยนต์โตโยต้ารุ่นใหม่ ๆ
ในส่วนของภาคการผลิตรถยนต์ภายในประเทศปรับตัวขึ้น 11.2% แตะ 281,521 คัน ส่งผลให้ยอดการผลิตรถยนต์ทั่วโลกของโตโยต้าพุ่งขึ้น 2% แตะที่ 755,839 คัน แม้วว่าการผลิตในต่างประเทศของโตโยต้าลดลง 2.7% เหลือ 474,318 คัน เนื่องจากการผลิตในจีนลดลง 14.1% ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม แม้จะมียอดขายสูงเป็นประวัติการณ์ แต่โตโยต้ายังเจอกับปัญหาการส่งมอบรถยนต์ที่ล่าช้า เนื่องจากข้อจำกัดในการผลิตซึ่งเกิดจากการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ โดยเฉพาะการส่งมอบในญี่ปุ่นมีความล่าช้าเป็นพิเศษ เนื่องจากผลิตโมเดลระดับไฮเอนด์ที่มีฟังก์ชันขั้นสูงซึ่งต้องอาศัยชิปจำนวนมาก
ทั้งนี้ โตโยต้าได้ปรับลดเป้าหมายการผลิตรถยนต์ทั่วโลกสำหรับปีงบการเงินที่สิ้นสุดในเดือนมี.ค. 2023 ลงสู่ระดับ 9.1 ล้านคัน จากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 9.2 ล้านคัน เนื่องจากผลกระทบของปัญหาขาดแคลนชิป ขณะที่เป้าหมายการผลิตในเดือนมีนาคม โตโยต้าวางเป้าที่จะผลิตรถยนต์ให้ได้ 900,000 คัน
]]>