สตรีมมิ่ง – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 25 Sep 2025 05:07:52 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ลือ! ‘Netflix’ อาจร่วมวงซื้อค่าย ‘Warner Bros.’ เจ้าของลิขสิทธิ์ดังอย่าง Harry Potter และจักรวาล DC https://positioningmag.com/1539471 Wed, 24 Sep 2025 13:23:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1539471 อุตสาหกรรมบันเทิงฮอลลีวูดกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เนื่องจากมีบริษัทใหญ่ ๆ ถูกซื้อ ควบรวมกิจการ และจัดโครงสร้างใหม่อย่างรวดเร็ว ล่าสุดก็ถึงคิวของ Warner Bros. Discovery หนึ่งในสตูดิโอที่มีชื่อเสียงที่สุดของฮอลลีวูด ว่ามีหลายบริษัทที่สนใจจะยื่นซื้อ รวมถึงยักษ์ใหญ่ในตลาดสตรีมมิ่งอย่าง Netflix

ตามรายงานของ Puck News ที่อ้างอิงแหล่งข่าวในวงในฮอลลีวูด ได้เปิดเผยว่า Netflix กำลังพิจารณาการยื่นข้อเสนอซื้อ Warner Bros. Discovery ซึ่งปัจจุบันมี เดวิด ซาสลาฟ (David Zaslav) เป็น CEO คนปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันจากทั้งฝั่งของ Netflix และ Warner Bros. Discovery ถึงข่าวลือดังกล่าว

ไม่ใช่แค่ Netflix เท่านั้นที่สนใจจะซื้อ Warner Bros. Discovery เพราะเมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีรายงานว่า เดวิด เอลลิสัน (David Ellison) เจ้าของ Skydance Media ซึ่งเป็นลูกชายของมหาเศรษฐี แลร์รี เอลลิสัน (Larry Ellison) ผู้ร่วมก่อตั้ง Oracle ก็ต้องการซื้อสตูดิโอนี้เช่นกัน โดยก่อนหน้านี้ เอลลิสัน เพิ่งทำข้อตกลงมูลค่า 8 พันล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อ Paramount Global เสร็จสิ้น แสดงให้เห็นว่าเขามีทั้งทรัพยากรและความทะเยอทะยานที่จะขยายต่อไป

อย่างไรก็ตาม การเข้าซื้อ Warner Bros. Discovery อาจไม่ได้ง่ายนัก เพราะผู้เชี่ยวชาญมองว่า ดีลดังกล่าวอาจเจออุปสรรคด้านกฎระเบียบ โดยเฉพาะกฎหายต่อต้านการผูกขาด เพราะ Warner Bros. Discovery เองมีแพลตฟอร์มสตีมมิ่งอย่าง HBO Max

ทั้งนี้ หนึ่งในปัจจัยที่อาจทำให้ Warner Bros. Discovery อาจต้องพิจารณาขายกิจการ มาจาก หนี้สินสะสม ของบริษัท โดยหลังจากที่ WarnerMedia ของ AT&T ควบรวมกับ Discovery ในปี 2022 ทำให้ Warner Bros. Discovery แบกรับภาระหนี้สินจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันมีรายงานว่าหนี้สินรวมอยู่ที่ประมาณ 35,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ณ ไตรมาส 2 ปี 2025) ทำให้บริษัทต้องหาทางลดหนี้อย่างเร่งด่วนเพื่อเสริมความมั่นคงทางการเงิน

นอกจากนี้ ธุรกิจสตรีมมิ่งก็มีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น จากผู้เล่นจำนวนมากในตลาด เช่น Netflix, Disney+, Amazon Prime Video, และ Apple TV+ ขณะเดียวกัน ธุรกิจหลักเดิมอย่างช่องเคเบิลทีวี (เช่น CNN, Discovery Channel) กำลังเผชิญกับยอดผู้ชมที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ Warner Bros. Discovery กำลังพิจารณา เพื่อให้ธุรกิจสตูดิโอและสตรีมมิงที่กำลังเติบโตสามารถแยกตัวจากภาระหนี้สินของธุรกิจทีวีดั้งเดิม    ซึ่งจะทำให้แต่ละส่วนมีความยืดหยุ่นและน่าสนใจสำหรับนักลงทุนมากขึ้น

สำหรับ Warner Bros. Discovery ถือเป็นหนึ่งในสตูดิโอที่เก่าแก่และได้รับการยกย่องที่สุดของฮอลลีวูด ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ได้ผลิตภาพยนตร์คลาสสิกจากทุกยุคของประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ แต่ถ้าหาก Netflix ซื้อ Warner Bros. จริง แฟน ๆ เองก็มีความกังวลว่าภาพยนตร์อาจจะไม่เข้าฉายโรงฯ และไปสู่การสตรีมมิ่งโดยตรง

Source / Source

]]>
1539471
เสียพรีเมียร์ลีกแล้วไง! ‘ทรู’ ฉก ‘BeIN’ สู้กลับ ‘เอไอเอส’ ดูบอล 9 ลีก 15 ถ้วย ราคา 199 บาท https://positioningmag.com/1532042 Fri, 01 Aug 2025 09:36:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1532042 อย่างที่หลายคนรู้กัน ว่าตลอดช่วง 20 ปี ที่ผ่านมา ผู้ที่ได้ลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกมากที่สุดก็คือ True Visions โดยได้ลิขสิทธิ์ตั้งแต่ฤดูกาล 2007-2008 มาจนถึง 2012-2013 มีเพียงฤดูกาล 2013-2016 ที่เสียลิขสิทธิ์ให้กับ บริษัท เคเบิลไทยโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) จำกัด หรือ CTH และฤดูกาล 2016-2019 ให้กับ beIN Sports แต่สุดท้าย ทรูก็ร่วมเป็นพันธมิตรในการถ่ายทอดสด 

นับจากนั้น True Visions ก็กลับมาได้ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกลากยาวต่อเนื่องตั้งแต่ฤดูกาล 2019-2022 จนถึงฤดูกาลปี 2022-2025 จนมาฤดูกาล 2025-2026 ไปจนถึง 2030-2031 เป็นอีกครั้งที่ True Visions เสียลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกไป เพราะมองว่า ไม่คุ้ม ที่จะลงทุนในราคา 19,000 ล้านบาท โดยบริษัทที่ได้ลิขสิทธิ์ไปในครั้งนี้ก็คือ JAS หรือ บมจ. จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล ที่มีแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอย่าง MonoMax

แต่การเสียลิขสิทธิ์ไปครั้งนี้ ไม่เหมือนกับ 2 ครั้งก่อน เพราะผู้ที่ได้ไปคือ JAS ซึ่ง AIS เพิ่งเข้าซื้อหุ้นใน บริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ 3BB ในเครือ JAS ดังนั้น ในเมื่อ JAS ได้ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกไป AIS (เอไอเอส) จึงถูกมองว่าต้องได้ถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกแบบนอน และก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ 

ซึ่งหลายคนจะเห็นแล้วว่า หลังจากที่ AIS มีพรีเมียร์ลีกในมือ ก็รุกหนักเพื่อโกยลูกค้าใหม่เข้าค่าย โดยให้ดูฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในราคา 199 บาทต่อเดือน และ 1,999 บาทต่อปี หากเป็นลูกค้า AIS จากราคาเต็ม 299 บาทต่อเดือน และ 2,999 บาทต่อปี

นอกจากนี้ เอไอเอสยังใช้พรีเมียร์ลีกในการจับลูกค้าที่ไม่เคยเข้าถึงมาก่อนอย่าง กลุ่มร้านอาหารและสถานบันเทิง ที่มีกว่า 50,000 ร้านทั่วไทย ด้วยแพ็กเกจพรีเมียร์ลีกสำหรับผู้ประกอบการในราคา 2,800 บาท/เดือน พร้อมสิทธิ์รับชมพรีเมียร์ลีก และเอมิเรตส์ เอฟเอ คัพ ครบทุกแมตช์ 

ในขณะที่ดูเหมือนทรูจะเพลี่ยงพล้ำที่เสียพรีเมียร์ลีกไปให้คู่แข่งอย่าง AIS แถมยังอัดโปรฯ หวังดึงลูกค้าย้ายค่ายรัว ๆ โดยอันดับแรกที่ทำเลยก็คือ จัดโปรโมชันให้ลูกค้าทรูที่สมัครดูพรีเมียร์ลีกได้ผ่าน Monomax ได้ในราคา 199 บาท โดยไม่ต้องย้ายค่าย เพราะทรูลดราคาให้เองเลย 

แน่นอนว่าโปรฯ ดังกล่าวจัดได้ไม่นานก็ต้องยกเลิกไป เพราะ JAS ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีดังกล่าวทันที พร้อมกัส่งหนังสือแจ้งไปยังทรู เพื่อให้ยุติการเผยแพร่โปรโมชันดังกล่าวในทันที

แต่ล่าสุด ทางทรูก็แก้เกมโดยการฉก BeIN Sports มาเป็น Exclusive Partner พร้อมออกแพ็กเกจใหม่ NOW FOOTBALL ดูฟุตบอลสด 9 ลีก 15 ถ้วย อาทิ UEFA Champions League, UEFA Europa League, UEFA Conference League, La Liga และ Calcio Serie A เป็นต้น ในราคา 199 สำหรับลูกค้าทรู และราคา 259 บาท สำหรับลูกค้าทั่วไป

ซึ่งนั่นทำให้ AIS ต้องยกเลิกแพ็กเกจดูบอลราคา 299 บาทต่อเดือน ที่รวมเอา BeIN Sports Connect ออกไป แปลว่า AIS จากเดิมที่เก็บลิขสิทธิ์ฟุตบอลครบทุกถ้วย ทุกลีก ตอนนี้เลยเหลือเพียงพรีเมียร์ลีก และฟุตบอลถ้วยในอังกฤษอย่าง FA cup, Carabao Cup (แต่ก็เป็นลีกที่ได้รับความนิยมสูงสุดในไทย)

นอกจากนี้ ทางทรูยังปรับแพ็กเกจใหม่ของทรูวิชั่นส์ จากเดิมที่แบ่งตามแวร์ลู่ของคอนเทนต์ ให้เข้าใจง่ายขึ้น โดยเป็นการแบ่งชัดระหว่างแพ็กเกจบันเทิงกับกีฬา แถมทำราคา ถูกลง ได้แก่

  • NOW ENT : ดูได้เฉพาะคอนเทนต์บันเทิงทั้งหมด (ละคร ซีรีส์ ภาพยนตร์ วิดีโอสั้น สารคดี) โดยมี 3 ราคา ได้แก่ 99 บาท (ดูได้เฉพาะบนมือถือ 1 จอ) 199 บาท (1 จอบนทุกอุปกรณ์ พร้อมแอป IQIYI) และ 299 บาท (ดูพร้อมกัน 2 จอบนทุกอุปกรณ์พร้อมแอปเอเซียสุดฮิต IQIYI, WeTV และ VIU) 
  • NOW FOOTBALL : ดูเฉพาะฟุตบอลสด 9 ลีก 15 ถ้วย มากที่สุดในไทย พร้อมพากย์สดด้วยนักพากย์ระดับแถวหน้าของประเทศ ราคา 199 สำหรับลูกค้าทรู และราคา 259 บาท สำหรับลูกค้าทั่วไป (ดูได้ 1 จอบนทุกอุปกรณ์) 
  • NOW SPORTS : ดูได้ทครบทุกกีฬา สด ครบ กีฬามันส์มากกว่า 11,000 แมตช์ ราคา 699 บาท (ดูได้ 1 จอบนทุกอุปกรณ์)
  • NOW MAX : มัดรวมทุกแพ็กราคา 1,599 บาท (ดูพร้อมกันสูงสุด 4 จอบนทุกอุปกรณ์)

องอาจ ประภากมล หัวหน้าสายงานทรูวิชั่นส์ และมีเดีย บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น ยอมรับว่า แม้จะไม่ได้คว้าลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก แต่ทางทรูวิชั่นส์ได้ใช้งบลงทุนด้านคอนเทนต์ เพิ่มขึ้น 20% และมองว่าการแข่งขันในปัจจุบันเน้นที่ความ Exclusive ของคอนเทนต์ ซึ่งในฝั่งของกีฬา ทรูมั่นใจว่ามีความ กว้าง ที่สุดครบทุกหมวดหมู่

ในส่วนของคอนเทนต์บันเทิง ก็จะมีภาพยนตร์ใหม่ ๆ ที่เป็น Exclusive อย่างน้อยเดือนละ 1 เรื่อง หรือในกลุ่มอนิเมชั่นก็จะมีบางเรื่องที่ ฉายพร้อมญี่ปุ่น นอกจากนี้ ยังมีการลงทุน 200 ล้านบาทในการผลิต ออริจินอลคอนเทนต์ ของตัวเอง รวมแล้ว ในฝั่งคอนเทนต์บันเทิงของทรูวิชั่นส์นาวมีกว่า 2,000 รายการ รวมเวลากว่า 30,000 ชั่วโมง

จากการปรับทัพใหม่ในครั้งนี้ ทาง องอาจ วางเป้าหมายไว้ว่าจะสร้างการเติบโตของจำนวนผู้ใช้ 50% ภายในปีนี้ จากปัจจุบันมีฐานลูกค้า 1.2 ล้านราย โดยเชื่อมั่นว่า จุดแข็งของทรูวิชั่นส์นาวคือ ความหลากหลาย และ ความคุ้นเคยของผู้ใช้ ที่ทำให้ลูกค้าจะไม่ ย้ายค่ายง่าย ๆ

เรียกได้ว่ารอบนี้ ทรูแก้เกมมาดีเลยทีเดียว ทั้งการฉกเอา BeIN Sports มาอยู่ในมือ ทั้งการจัดแพ็กเกจใหม่ให้เข้าใจง่ายขึ้น คงต้องรอดูว่า AIS จะมีอะไรออกมาอีกหรือไม่ หรือสงครามสตรีมมิ่งของทั้ง 2 ค่ายจะยุติลงแต่เพียงเท่านี้ ต้องติดตาม

]]>
1532042
ค่ายไหนดี? ‘AIS Play’ หรือ ‘TrueVisions Now’ เทียบกันชัด ๆ ใครเสิร์ฟคอนเทนต์โดนใจที่สุด https://positioningmag.com/1522902 Thu, 22 May 2025 09:05:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1522902 นับตั้งแต่ที่ JAS หรือ บมจ. จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล คว้าลิขสิทธิ์ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2025-2028 ด้วยการลงทุนกว่า 19,000 ล้านบาท หลายคนก็น่าจะเดาได้ว่า บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จํากัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส (AIS) น่าจะเข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ในการถ่าย ทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก แล้ว TRUE ที่ไม่มีพรีเมียร์ลีก ยังน่าเป็นสมัครสมาชิกอยู่ไหม หากเทียบกับเอไอเอส?

King of Sports ที่ไม่มี พรีเมียร์ลีก

ตำแหน่ง King of Sports ที่ TrueVisions มักจะย้ำอยู่เสมอ ไม่ได้หมายถึงแค่การมี พรีเมียร์ลีก แต่หมายถึง ความหลากหลายของกีฬาด้วย ไม่ว่าจะเป็นลีกลาลีกา, บุนเดสลีกา, ลีกซาอุฯ, ลีกสหรัฐฯ, รวมถึงรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก, ยูโรป้าลีก ส่วนกีฬาอื่น ๆ ก็มีครบ ทั้ง NFL, NBA,F1, มอเตอร์สปอร์ต, เทนนิส, กอล์ฟ, UFC, MLB ฯลฯ เป็นต้น และมีความเป็นไปได้ที่ True Visons จะคว้าสิทธิ์ ไทยลีก ในปีนี้

ดังนั้น แม้ว่า True Visons ในวันที่เสียพรีเมียร์ลีกไป จึงยังคงมองว่าตัวเองเป็น King of Sports อยู่ แต่ก็ต้องยอมรับว่า แม้ว่าจะมีรายการกีฬาแทบจะทั้งโลกมัดรวมไว้แล้ว แต่รายการที่มีผู้ชมมากที่สุด และถูกพูดถึงมากที่สุดในไทย อย่างไรก็ยังเป็นพรีเมียร์ลีก ดังนั้น เอไอเอส ถือว่ายังชิงความได้เปรียบอยู่

TrueVisions เน้นลงทุนผลิตและซื้อคอนเทนต์เอง

แน่นอนว่าการเสียพรีเมียร์ลีกไป ย่อมส่งผลกับ จำนวนสมาชิก โดยเฉพาะแฟนพรีเมียร์ลีกที่ไหลออกไป แต่จะมากน้อยแค่ไหนคงต้องรอดดูกัน อย่างไรก็ตาม เราปฏิเสธไม่ได้ว่า แม้หมวดหมู่กีฬาจะได้รับความนิยมแค่ไหน แต่ก็ยัง น้อยกว่าบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ ละคร การ์ตูน รวมถึงรายการวาไรตี้ ที่คนดูมากกว่ากีฬาอยู่แล้ว

ซึ่ง TrueVisons ก็นำงบที่เคยใช้กับพรีเมียร์ลีกมาลงทุนกับคอนเทนต์บันเทิง ทำให้คอนเทนต์ที่เป็น เอ็กซ์คลูซีฟ หรือ ออริจินอล ดูเหมือนจะเปรียบกว่า โดยมีภาพยนตร์ และซีรีส์ที่เป็นเอ็กซ์คลูซีฟ รวมถึงมีรูปแบบคอนเทนต์ที่หลากหลายกว่า เช่น ซีรีส์ในรูปแบบวิดีโอสั้นแนวตั้ง

AIS Play เน้นจับมือพาร์ทเนอร์

ในฝั่งของ AIS Play แม้จะเคยทำออริจินอลของตัวเองบ้าง แต่ปัจจุบันทางแพลตฟอร์มไม่ได้เน้นอีกต่อไป แต่จะกลยุทธ์ จับมือพาร์ทเนอร์ แทนที่จะผลิตคอนเทนต์เอง เพราะมองว่าตัวเองไม่ได้ถนัด ดังนั้น AIS Play จึงมี แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งแทบทุกรายเป็นพาร์ทเนอร์ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งไทย เอเชีย และตะวันตก ไม่ว่าจะเป็น Netflix, Max, Prime Video, Disney+ Hotstar, iQiYi, Viu, WeTV, Mono Max เป็นต้น

ส่วนฝั่ง TrueVisions เองก็มีพาร์ทเนอร์แพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ได้แก่ Max, iQiYi, Viu, WeTV ซึ่งมีมากไม่เท่า AIS Play แต่ก็มีเอ็กซ์คลูซีฟคอนเทนต์ และออริจินอลคอนเทนต์ของตัวเอง ดังนั้น จะเห็นว่าทั้ง TrueVisions และ AIS Play ต่างก็มีกลยุทธ์ที่ต่างกัน

ราคา อีกปัจจัยสำคัญในการเลือก

สำหรับ TrueVision จะมีให้เลือก 4 แพ็กเกจหลัก ได้แก่

  • TrueVisions NOW POP: ราคา 119 บาทต่อเดือน แพ็กเกจเน้นคอนเทนต์ไทย เช่น ซีรีส์ ภาพยนตร์ และกีฬาไทย
  • TrueVisions NOW PLUS: ราคา 249 บาทต่อเดือน แพ็กเกจสำหรับคอซีรีส์ไทย จีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น,    อนิเมะ และกีฬาดัง เช่น F1, ฟุตบอลลีก และถ้วยยุโรปชั้นนำ และชมฟรีซีรีส์ดังจากแอปฯ IQIYI
  • TrueVisions NOW PRIME: ราคา 449 บาทต่อเดือน รับชมภาพยนตร์ วาไรตี้ สารคดี กีฬาดังระดับโลก MOTO GP, NBA, NFL สามารถดูซีรีส์จีน และอนิเมะจากแอปฯ IQIYI และ We TV
  • TrueVisions NOW MAX: ราคา 2,155 บาทต่อเดือน ดูฟรีแพลตฟอร์มพาร์ทเนอร์ดัง ได้แก่ IQIYI, We TV, MAX, VIU

ส่วนฝั่ง AIS Play มีให้เลือก 5 แพ็กเกจหลัก ได้แก่

  • Play Family: ราคา 119 บาทต่อเดือน ชมช่องพรีเมียมคุณภาพ เช่น Mono29 Plus, Warner TV, Cartoon Network เป็นต้น
  • Play Asian: ราคา 159 บาทต่อเดือน สามารถรับชม 3 แพลตฟอร์มดังฝั่งเอเชีย ได้แก่ IQIYI, We TV และ VIU นอกเหนือจากช่องพรีเมียม
  • Play Premium: ราคา 199 บาทต่อเดือน แพ็กเกจสำหรับคอกีฬา โดยนอกจากช่องกีฬาพรีเมียม ยังรับชมกีฬาจาก beIN Sports ด้วย
  • Play Premium Plus: ราคา 299 บาทต่อเดือน แพ็กเกจสำหรับคอภาพยนตร์และซีรีส์ มัดรวม 5 แพลตฟอร์ม ได้แก่ Prime Video, MAX, IQIYI, We TV, และ VIU
  • Play Ultimate: ราคา 999 บาทต่อเดือน ดูหนัง และ ซีรีส์ จาก 6 แพลตฟอร์ม ได้แก่ NETFLIX, Max, Disney+ Hotstar, iQIYI, Viu และ WeTV

อย่างไรก็ตาม AIS ยังไม่มีการเปิดเผยถึงแพ็กเกจ พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2025-2026 แต่มีการคาดการณ์ว่าราคาอยู่ที่ 329 บาท โดยสามารถดูได้ครบ 380 แมตช์ และได้ดูเอฟเอคัพอีกด้วย

สรุปฝั่ง AIS Play จะมีแพ็กเกจให้เลือกระหว่าง บันเทิง กับ กีฬา ไปเลย และไม่ได้เน้นการซื้อคอนเทนต์มาป้อนลงแพลตฟอร์ม แต่ใช้การ จับมือกับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ส่วนฝั่ง TrueVisions จะเป็นการ มัดรวมความบันเทิงและกีฬา และหา คอนเทนต์เอ็กซ์คลูซีฟ มาป้อนลงในแพลตฟอร์มของตัวเอง ก็ลองพิจารณาดูกัน ว่าแพ็กเกจไหน คุ้มค่ากับไลฟ์สไตล์ของตัวเองมากที่สุด

]]>
1522902
จัดไปอีกเจ้า! “Max” จ่อเข้ม “ห้ามแชร์พาสเวิร์ด” สตรีมมิ่งใหญ่รายที่สามที่ใช้นโยบายนี้ https://positioningmag.com/1465508 Thu, 07 Mar 2024 09:04:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1465508 สตรีมมิ่งดัง “Max” (ชื่อเดิม: HBO Max) เตรียมออกกฎ “ห้ามแชร์พาสเวิร์ด” ช่วงปลายปีนี้ กลายเป็นสตรีมมิ่งรายที่สามที่ใช้นโยบายนี้ต่อจาก Netflix และ Disney+

เจบี พาร์เรตต์ หัวหน้าแผนกสตรีมมิ่งและเกม Warner Bros. Discovery บริษัทแม่ของบริการสตรีมมิ่ง “Max” ประกาศแผนเตรียมออกนโยบาย “ห้ามแชร์พาสเวิร์ด” ช่วงปลายปี 2024 โดยยังไม่บอกรายละเอียดกฎเกณฑ์ แต่จะทยอยใช้นโยบายนี้เป็นวงกว้างขึ้นภายในปี 2025

“Max” จึงนับได้ว่าเป็นบริการสตรีมมิ่งเจ้าที่สามแล้วที่ออกกฎห้ามแชร์พาสเวิร์ด หลังจากหัวหอกหลัก “Netflix” ที่เริ่มนโยบายนี้ไว้ตั้งแต่ปี 2023 เป็นเจ้าแรกที่สร้างแรงสะเทือนในวงการ

ขณะที่ “Disney+ และ Hulu” เป็นค่ายสตรีมมิ่งเจ้าที่สองที่มีแผนใช้นโยบายนี้แล้ว โดยทาง Disney เริ่มส่งอีเมลหาลูกค้าตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า บริษัทกำลังจะเปลี่ยนเงื่อนไขการให้บริการ และการให้ข้อมูลล็อกอินกับผู้อื่นที่ไม่ได้อยู่ในครัวเรือนเดียวกันจะถือเป็นการละเมิดใช้งานตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2024

ความเคลื่อนไหวเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะเจ้าของแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งต่างเผชิญตลาดที่มีคู่แข่งมากขึ้น จนทำให้การเพิ่มจำนวนสมาชิกตามปกติทำได้ยาก พวกเขาจึงหาทางออกด้วยการบีบให้ลูกค้าต้องเลือกว่าบริการสตรีมมิ่งเจ้าไหนที่ต้องการใช้งานมากที่สุดและจ่ายได้

Netflix ซึ่งเป็นเจ้าแรกที่กล้าเสี่ยงก่อนเผชิญกับความผันผวนในช่วงแรก แต่ยอดผู้สมัครสมาชิกก็ถีบตัวกลับขึ้นมาได้ พิสูจน์ว่าการออกกฎห้ามแชร์พาสเวิร์ดกลายเป็นผลดีต่อ Netflix จริงๆ

สำหรับ Disney+ ยังไม่มีปัญหาการเพิ่มจำนวนสมาชิกมากนัก แต่ที่หนักคือปัญหา “การทำกำไร” ทาง “บ็อบ ไอเกอร์” ซีอีโอของ Disney เคยคาดการณ์ไว้ว่าสตรีมมิ่งน่าจะเริ่มทำกำไรได้จริงภายในปี 2024 บริษัทจึงต้องหานโยบายต่างๆ เพื่อทำให้เป้าหมายนี้เกิดขึ้นจริง นอกจากการห้ามแชร์พาสเวิร์ดแล้ว Disney ยังออกแพ็กเกจเทียร์ใหม่ “แพ็กเกจแบบมีโฆษณาคั่น” มาช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจง่ายขึ้นด้วย

ขณะที่ทาง Max ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาเมื่อ “Warner Bros.” ควบรวมกิจการกับ “Discovery” ทำให้บริการสตรีมมิ่ง HBO Max กับ Discovery+ ได้รวมกิจการเช่นกัน แม้ว่าแฟนคลับของ HBO Max จะไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ แต่การรวมกันนี้ทำให้ Warner Bros. Discovery สร้างผลกำไรจากธุรกิจสตรีมมิ่งสำเร็จ

คอนเทนต์ของ HBO Max นั้นมีหลายเรื่องที่เป็นคอนเทนต์สุดฮิต ตั้งแต่ซีรีส์อย่าง Game of Thrones และภาคแยก House of the Dragon รวมถึงซีรีส์ The Last of Us คอนเทนต์เหล่านี้ถูกนำไปปล่อยดูฟรี/ดาวน์โหลดเถื่อนติดอันดับต้นๆ ของโลก สะท้อนให้เห็นคอนเทนต์ระดับแม่เหล็กที่น่าจะเป็นตัวสร้างดีมานด์ให้ผู้ใช้ใหม่ยอมสมัครสมาชิกเข้ามาชม แม้ว่าจะไม่สามารถแชร์พาสเวิร์ดกันได้แล้วก็ตาม

Source

]]>
1465508
ลือ! ซีอีโอของ ‘Warner Bros. Discovery’ ซุ่มคุยกับซีอีโอ ‘Paramount’ เกี่ยวกับการ ‘ควบรวมกิจการ’ https://positioningmag.com/1456705 Thu, 21 Dec 2023 07:31:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1456705 ต้องยอมรับว่านับตั้งแต่การมาของแพลตฟอร์ม วิดีโอสตรีมมิ่ง ที่ทำให้วงการสื่อเปลี่ยนเเปลงไป ค่ายผู้ผลิตสื่อรายใหญ่ก็ต้องลงสู่ตลาดสตรีมมิ่ง ท่ามการการแข่งขันที่ดุเดือด โดยล่าสุด สื่อได้ออกข่าวว่าผู้บริหารระดับสูงของของค่าย ‘Warner Bros. Discovery’ ได้ไปเจรจากับค่าย ‘Paramount’ เกี่ยวกับการ ‘ควบรวมกิจการ’

CNN ได้รายงานว่า David Zaslav ซีอีโอของ Warner Bros. Discovery ได้พบกับ Bob Bakish ซีอีโอของ Paramount Global เมื่อวันอังคารที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา ณ สำนักงานใหญ่ของ Paramount ในไทม์สแควร์ นิวยอร์กซิตี้ เพื่อพูดคุยถึงความเป็นไปได้ในการควบรวมกิจการระหว่างทั้งสองบริษัท อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 บริษัทปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวดังกล่าว

แม้จะยังไม่มีการยืนยันว่าทั้งสองบริษัทจะตกลงควบรวมกิจการกัน แต่หลายคนมองว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากทั้งสองบริษัทจะควบรวมกัน เพราะการควบรวมนี้อาจอาจทำให้อุตสาหกรรมสื่อพลิกผันได้อีกครั้ง ขณะที่ Paramount ก็ต้องการพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อความอยู่รอดในปัจจุบัน

เพราะต้องยอมรับว่า การแข่งขันในอุตสาหกรรมคอนเทนต์ในยุคสตรีมมิ่งนั้นสูงขึ้นเรื่อย ๆ และยังต้องใช้เงินมหาศาล เพราะต้องแข่งทั้งผู้เล่นที่แข็งแกร่งมาก ๆ อย่าง Netflix และ Disney ขณะที่ปัจจุบันทั้งสองบริษัทเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญในสภาพแวดล้อมของสื่อที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เรตติ้งทีวีลดลงเนื่องจากลูกค้ายกเลิกบริการเคเบิลทีวีมากขึ้น ส่วนตลาดโฆษณากำลังเปลี่ยนไปสู่การสตรีม นอกจากนี้ ต้นทุนการสร้างคอนเทนต์ก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ 

ดังนั้น หากทั้งสองบริษัทควบรวมกัน Warner Bros. Discovery ก็จะได้แพลตฟอร์มของ Paramount+ มาเสริมแกร่งให้กับบริการสตรีมมิ่งอย่าง HBO ขณะเดียวกัน Paramount ก็จะได้ช่องทางการขายในต่างประเทศเพื่อส่งเสริมแฟรนไชส์ต่าง ๆ ของค่าย

“ฉันคิดว่ามันบ่งบอกถึงความตื่นตระหนก เพราะอุตสาหกรรมนี้กำลังเผชิญกับอนาคตที่ท้าทายอย่างยิ่ง พวกเขาจะพยายามทำให้ตัวเองใหญ่ขึ้นเพื่อแข่งขันในตลาดสตรีมมิ่ง” Rich Greenfield นักวิเคราะห์อุตสาหกรรม ผู้ร่วมก่อตั้ง LightShed Partners กล่าว

อย่างไรก็ตาม Warner Bros. Discovery จะไม่สามารถทำธุรกรรมกับ Paramount หรือหน่วยงานอื่นใดได้ในขณะนี้ จนกว่ากฎหมายภาษีอากรที่ห้ามไม่ให้บริษัทเข้าซื้อกิจการหรือการควบรวมกิจการเพิ่มเติมจนกว่าจะหลังเดือนเมษายน 2024 เนื่องจาก WarnerMedia เพิ่งซื้อ Discovery ไปเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมาในมูลค่า 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ปัจจุบัน Warner Bros. Discovery มีมูลค่าอยู่ที่ราว 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วน Paramount มีมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ทางบริษัทกำลังเผชิญกับภาระหนี้ ทำให้อยู่ภายใต้ความกดดันที่จะหาพาร์ตเนอร์ด้านกลยุทธ์หรือผู้ซื้อกิจการต่อ ดังนั้น อาจต้องรอดูว่าทั้งสองบริษัทจะตกลงควบรวมกิจการกันได้หรือไม่

]]>
1456705
กางแผน ‘MONO’ หลัง AIS เข้าซื้อ 3BB และการดันรายได้ MONOMAX แซงช่อง MONO 29 https://positioningmag.com/1452160 Thu, 16 Nov 2023 10:56:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1452160 อย่างที่หลายคนรู้ก็คือ เอไอเอส (AIS) ได้เข้าซื้อกิจการของ 3BB และนอกจากสมาชิกของ 3BB แล้ว อีกสิ่งที่พ่วงตามไปด้วยก็คือ คอนเทนต์จาก MONOMAX ที่ร่วมกันทำ 3BB GIGATV ดังนั้น ในวันที่ 3BB เปลี่ยนเจ้าของ และธุรกิจทีวีดิจิทัลที่เป็นขาลง บริษัท โมโน เน็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MONO จะเดินหน้าอย่างไรต่อไป

มั่นใจเอไอเอสช่วยดันลูกค้าเพิ่ม 20%

ปฐมพงศ์ สิรชัยรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โมโน เน็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MONO เล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นความร่วมมือของ MONOMAX กับ 3BB จนเกิดเป็น 3BB GIGATV ว่า 3BB อยากได้อาปู้ (ARPU) Average Revenue Per User หรือ รายได้เฉลี่ยของผู้ให้บริการต่อลูกค้าหนึ่งคนเพิ่ม เลยได้ MONOMAX เข้ามาพ่วงเพื่อหารายได้ร่วมกัน

ซึ่งจุดแข็งของ 3BB นั้นคือ ต่างจังหวัด โดยคิดเป็นถึง 70% ของลูกค้า ซึ่งคอนเทนต์ของ MONOMAX ตรงใจกับคนต่างจังหวัด เพราะเป็น พากย์ไทย 100% ไม่เหมือนคนเมืองหรือวัยรุ่นที่อ่านซับฯ ได้

“กลายเป็นว่า HBO ไม่ใช่คอนเทนต์นำอย่างที่ 3BB คิด แต่เป็น MONOMAX”

ปฐมพงศ์ เชื่อว่า การที่ 3BB กลายเป็นส่วนหนึ่งของเอไอเอส จะช่วยเพิ่มจำนวนสมาชิกได้ประมาณ 20% เพราะในปีหน้าบริการ MONOMAX จะบัลเดิลไปกับกล่อง AIS Play จากเดิมที่เริ่มทดลองให้บริการการร่วมกันเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2022 ส่งผลให้ลูกค้าเพิ่มขึ้นประมาณ 5% ปัจจุบัน MONOMAX มีสมาชิกประมาณ 8.6 แสนราย

“ตอนที่เราอยู่กับ 3BB เราไม่เคยทำงานร่วมกับเอไอเอสเลย เพราะเขาถือว่าเราเป็นพันธมิตรกับคู่แข่ง” ปฐมพงศ์ กล่าว

ทีวีกลับมาไม่ได้แล้ว

ในยุคนี้ธุรกิจทีวีมีแต่จะถดถอยลง เพราะผู้บริโภคยุคใหม่ดูทีวีน้อยลง โดยมีการประเมินว่า การรับชมทั่วโลกจะลดลง 10% ทุกปี ขณะที่รายได้จาก โฆษณาลดลง 4-12% ทุกปี ในส่วนช่อง MONO 29 ยอดรับชมลดลงใกล้เคียงกันที่ 10% ทุกปี และนับตั้งแต่ปี 2023 คาดว่ารายได้โฆษณาลดลง 15-20% หรือเฉลี่ยลดลง 4% ต่อปี

กลับกัน การเติบโตของบริการสตรีมมิ่งยังสูงขึ้น โดยจากการประเมินของ กสทช. พบว่ามูลค่าตลาด OTT ในปี 2022 อยู่ที่ 14,600 ล้านบาท มีผู้ใช้บริการกว่า 22 ล้านครัวเรือน ที่ใช้บริการ เติบโต 26.15% และปีนี้คาดว่าจำนวนครัวเรือนจะเติบโต 36.19% ส่วนมูลค่าตลาดคาดว่าจะเติบโต 20% และภายในปี 2024-2025 จะเติบโตเฉลี่ย 33% ต่อปี ขณะที่การสมัครบริการ OTT แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายเฉลี่ยที่ 4-5 แอปต่อครัวเรือน ส่วนการสมัครแบบเสียค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ 2-4 แอปต่อครัวเรือน

รายได้ MONO MAX จะแซง MONO 29 ในปีหน้า

ในช่วง 9 เดือนแรก บริษัทมีรายได้รวม 1,387 ล้านบาท แบ่งเป็นทีวีดิจิทัล 795 ล้านบาท ตามด้วยแพลตฟอร์ม MONOMAX มีรายได้ 400 ล้านบาท และอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ปฐมพงศ์ คาดว่า MONOMAX จะทำรายได้แซงหน้า MONO 29 ภายในไตรมาส 2 ปี 2024 โดยจุดแข็งของ MONOMAX คือ พากย์ไทย 100% และ คอนเทนต์จีน นอกจากนี้มีคอนเทนต์จาก อินเดีย บ้าง ส่วนใหญ่เป็นแนวแอ็คชั่น

“ทีวีมาชัวร์แล้ว คนอาจไม่ดูมากไปกว่านี้ แต่สตรีมมิ่งยังโตได้อีก ทีวีต้องลงทุนเยอะ ซับซ้อน แต่สตรีมมิ่งซับซ้อนน้อยกว่า โอกาสทำกำไรมากกว่า ซึ่งพฤติกกรรมผู้บริโภคต่างจาก 8 ปีก่อนที่เราพึ่งเริ่ม ตอนนั้นเขาจ่ายเงินยากมาก ตอนนี้เขายอมจ่าย แต่ตอนนี้ผู้เล่นมีหลายราย เราจะดึงเงินให้เขามาจ่ายอย่างไรคือความท้าทาย”

อัดงบคอนเทนต์ 1,200 ล้านบาท

การจะดันรายได้ของ MONOMAX และรักษารายได้ MONO 29 ก็คือ คอนเทนต์ โดยวางงบไว้ 1,200 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 3 ส่วนเท่า ๆ กัน คือ

  • ผลิตออริจินอลคอนเทนต์ (ปีละ 8-12 เรื่อง)
  • คอนเทนต์สำหรับ MONO29 (ภาพยนตร์ฮอลลีวูด 5-8 เรื่อง/เดือน)
  • คอนเทนต์สำหรับ MONOMAX (ปัจจุบันมี 3,000 เรื่อง)

โดยในส่วนของ MONO29 ช่วงไพรม์ไทม์ของช่อง (6 โมงเย็นถึง 4 ทุ่ม) จะยังฉายภาพยนตร์ฮอลลีวูด และปีหน้าจะโฟกัสที่รายการข่าวและวาไรตี้มากขึ้น นอกจากนี้ หลังจากที่ทดลองนำซีรีส์จีนที่ลงในแพลตฟอร์ม MONOMAX มาฉายในช่วงกลางวันก็ได้รับการตอบรับที่ดี อีกทั้งยังช่วยเพิ่มยอดผู้ใช้งานใน MONOMAX อีกทางด้วย

สำหรับจำนวนสมาชิก MONOMAX ปีหน้า ปฐมพงศ์ คาดว่าจะทะลุ 1 ล้านราย และเพิ่มเป็น 2-2.85 ล้านรายภายในปี 2025

]]>
1452160
ตี้แตกอีกหนึ่ง! ‘Disney+’ เตรียมออกระบบป้องกันการแชร์รหัสผ่านตามรอย ‘Netflix’ https://positioningmag.com/1440492 Thu, 10 Aug 2023 02:35:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1440492 หลังจากที่ เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) ผู้นำในตลาดวิดีโอสตรีมมิ่งของโลกได้ออกมาตรการห้าม แชร์รหัสผ่าน จนทำให้จำนวนผู้ใช้ช่วง Q2/2023 เพิ่มขึ้นถึง 5.9 ล้านราย ทำให้สตรีมมิ่งรายใหญ่อย่าง ดิสนีย์พลัส (Disney+) ก็ขอเดินตามรอยรุ่นพี่ เตรียมออกมาตรการห้ามแชร์รหัสผ่านบ้าง

Bob Iger ซีอีโอ ดิสนีย์ กล่าวว่า บริษัทกำลังสำรวจการแชร์บัญชีของผู้ใช้และจะให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายที่จะ ควบคุมการแชร์รหัสผ่านของผู้ใช้ ในปลายปีนี้ ก่อนที่จะออกมาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่านภายในปี 2024 อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้เปิดเผยว่าจะใช้วิธีใดเพื่อลดการใช้บัญชีร่วมกัน

“แน่นอนว่าเราเชื่อว่ามาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่านจะส่งผลต่อการเติบโตของสมาชิกแน่นอน แต่เราไม่ได้คาดเดาได้ว่าจะเป็นในทางไหน”

โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นด้วยเหตุผลที่เหมือนกับบริการสตรีมมิ่งรายอื่น ๆ ก็คือ เพิ่มกำไร เพราะนอกจากมาตรการดังกล่าวแล้ว บริการสตรีมมิ่งหลายรายพยายามลดค่าใช้จ่ายในการผลิตคอนเทนต์ รวมถึงการออกแพ็กเกจราคาถูกลงโดยเพิ่มโฆษณาเข้ามา ซึ่งปัจจุบัน ดิสนีย์กำลังทำทั้งหมด

นอกจากนี้ ดิสนีย์ยัง ขึ้นราคา บริการสตรีมมิ่งเกือบทั้งหมด โดยแพลตฟอร์ม Disney+ แบบไม่มีโฆษณาจะมีราคา 13.99 ดอลลาร์ต่อเดือน (ราว 490 บาท) เพิ่มขึ้น 27% ส่วน Hulu เพิ่มขึ้นเป็น 17.99 ดอลลาร์ต่อเดือน (ราว 630 บาท) เพิ่มขึ้น 20% ส่วนแพ็คเกจโฆษณาของทั้ง 2 บริการยังมีราคาเท่าเดิม ส่วนค่าบริการรายเดือนในไทยมีการปรับเป็น 289 บาท และรายปีปรับเป็น 2,290 บาท ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิถุนายที่ผ่านมา

ทั้งนี้ Netflix ถือเป็นผู้บุกเบิกในการออกมาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่าน เนื่องจากพบว่ามากกว่า 100 ล้านครัวเรือนหรือประมาณ 43% ของฐานผู้ใช้ทั่วโลกใช้บัญชีร่วมกัน และด้วยเหตุนี้ได้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการลงทุนในคอนเทนต์ใหม่ ๆ ซึ่งหลังจากที่ Netflix ออกมาตรการดังกล่าว ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้ในช่วง Q2/2023 เพิ่มขึ้น 5.9 ล้านราย

Source

]]>
1440492
สะเทือนวงการ! ‘นักแสดงฮอลลีวูด’ กว่า 1.6 แสนคน หยุดงานประท้วงในรอบ 60 ปี คาดยืดเยื้อถึงสิ้นปี https://positioningmag.com/1437784 Fri, 14 Jul 2023 04:45:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1437784 ย้อนไปปี 2523 เคยมีเหตุการณ์ที่ นักแสดงฮอลลีวูดหยุดงานประท้วง 60 ปีผ่านไป เกิดการหยุดงานประท้วงอีกครั้ง ตามรอยการหยุดงานประท้วงของ นักเขียนบท เนื่องจากไม่สามารถเจรจากับสตูดิโอยักษ์ใหญ่และบริการสตรีมมิ่งได้

นักแสดงฮอลลีวูด ประมาณ 160,000 คน ที่อยู่ในสหภาพแรงงาน SAG-AFTRA ได้ประท้วง นัดหยุดงาน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี ที่สมาชิกของสมาคมหยุดงานผลิตภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ประท้วงหยุดงานนับตั้งแต่ปี 2523 โดยมีสาเหตุมาจาก 4 ปัญหาหลัก

  • ความเท่าเทียมกันทางรายได้
  • ค่าตอบแทนจากการนำผลงานไปใช้ซ้ำ (residual)
  • การกำกับดูแลการใช้ปัญญาประดิษฐ์
  • ลดภาระของนักแสดงที่ต้องอัดเทปส่งไปออดิชั่นเอง

SAG-AFTRA ระบุว่า สัญญาปัจจุบันนั้นถือว่าล้าหลังเมื่อเทียบกับวิวัฒนาการของธุรกิจสื่อ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนตอนของซีรีส์ที่ลดลง, การเว้นช่วงระหว่างซีซั่นที่นานขึ้น, การมาของสตรีมมิ่งที่ทำให้คอนเทนต์ถูกฉายซ้ำ ๆ ขณะที่ส่วนแบ่งรายได้ของนักแสดงจะได้เพิ่มจากยอดขาย โฆษณา กับยอดขาย DVD ดังนั้น สมาคมจึงต้องการเรียกร้องให้เพิ่มค่าตอบแทน และสวัสดิการณ์อื่น ๆ เช่น สิทธิด้านสุขภาพ, แผนเงินบำนาญหลังเกษียณ

โดย SAG-AFTRA ประเมินว่า สมาชิกกว่าครึ่ง จากทั้งหมด 171,000 คน เคยไม่ได้รับเงินจากการแสดงเลยในบางปี และมีเพียง 5-15% เท่านั้นที่มีรายได้มากพอ ทำประกันสุขภาพ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 26,470 ดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ การต้องอัดเทปส่งไปออดิชั่นเองก็ต้องใช้เงินสูงถึงประมาณ 250 ดอลลาร์ เลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ฝ่ายเจรจากันไม่ลงตัวในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้อง ค่าตอบแทนที่เหมาะสม โดย Fran Drescher ประธานสหภาพแรงงาน SAG-AFTRA กล่าวว่า ข้อเสนอของผู้บริหารสตูดิโอนั้น ดูหมิ่นและไม่สุภาพ ขณะที่ ตัวแทนฝ่ายสตูดิโอ ก็กล่าวหาว่า ฝ่ายสหภาพเดินออกจากการเจรจา แม้ว่าพวกเขาเสนอ เพิ่มผลตอบแทนครั้งประวัติศาสตร์ รวมถึงสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ให้แล้ว

“แทนที่จะเจรจากันต่อไป SAG-AFTRA ทำให้เราอยู่ในทางที่จะสร้างผลกระทบทางการเงินให้กับคนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์อีกหลายพันคนทำ” แถลงจาก Alliance of Motion Picture and Television Producers (AMPTP)

ไม่ใช่แค่เหล่าสมาชิก SAG-AFTRA ที่หยุดงานประท้วง แต่ช่วง 2 เดือนก่อนหน้านี้เหล่า นักเขียนบท ที่อยู่ใน  สมาคมนักเขียนแห่งอเมริกากว่า 11,000 คน ซึ่งการนัดหยุดงานดังกล่าว ได้ส่งผลกระทบต่อการผลิตภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ต้องชะงักตัวลง โดยเฉพาะในส่วนของสตูดิโอใหญ่ และยังไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจนในการยุติการประท้วงดังกล่าว แต่มีการประมาณการว่า การหยุดงานประท้วงของนักแสดงและนักเขียนบท อาจยืดเยื้อไปตลอดไปจนถึง สิ้นปี

Source

]]>
1437784
‘เอไอเอส’ ดึง ‘HBO’ คัมแบ็ก! เสริมแกร่งพอร์ตคอนเทนต์ รับเทรนด์วิดีโอสตรีมมิ่งที่กำลังเติบโต https://positioningmag.com/1430829 Thu, 18 May 2023 10:00:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1430829

สร้างเซอร์ไพรส์ให้กับตลาดและลูกค้าไปตั้งแต่ช่วงต้นเดือนเมษายน เมื่อ เอไอเอส (AIS) ได้เป็นพันธมิตรกับ เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) พร้อมจัดแพ็คเกจรายเดือน ล่าสุด เอไอเอสก็ได้อีกแพลตฟอร์มระดับโลกอย่าง เอชบีโอ (HBO) กลับเข้ามาสู่มืออีกครั้ง ซึ่งจะยิ่งเสริมแกร่งคอนเทนต์ให้กับเอไอเอส


ดึง HBO กลับบ้าน AIS อีกครั้ง

ย้อนไปปี 2560 ใครที่ใช้บริการ AIS Play บริการบันเทิงเต็มรูปแบบของเอไอเอสน่าจะคุ้นเคยกับช่อง HBO แต่ในปี 2563 ช่อง HBO ก็หมดสัญญาไป จนมาปี 2566 นี้ เอไอเอสก็ได้พา HBO กลับมาให้บริการอีกครั้ง และครั้งนี้พิเศษกว่าเดิม เพราะนอกจากแพลตฟอร์ม HBO Go แล้วยังมีอีก 5 ช่องเอ็กซ์คลูซีฟ ได้แก่ HBO, HBO Signature, HBO HITS, HBO Family และ Cinemax

การที่เอไอเอส ได้ HBO เข้ามาเป็นพันธมิตรใหม่อีกราย ทำให้เอไอเอสแทบจะกวาดแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่ให้บริการในไทยครบทุกรายแล้ว เพราะก่อนหน้านี้เอไอเอสก็พึ่งได้ Netflix เข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา หรืออีกแพลตฟอร์มระดับโลกอย่าง Disney+ Hotstar นอกจากนี้ ไม่ว่าจะ IQIYI, VIU, WeTV หรือช่องกีฬาอย่าง beIN Sports ก็เป็นพาร์ทเนอร์กับเอไอเอสทั้งหมด ตอนนี้คงจะเหลือเพียง Prime Video แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งของ Amazon ที่พึ่งทำตลาดในไทยไปไม่นานมานี้เท่านั้น

 


ทำไมคอนเทนต์ถึงสำคัญ?

ปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าทั่วไป บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ AIS อธิบายว่า การแข่งขันของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไม่ว่าจะเป็น 5G หรืออินเตอร์เน็ตบ้าน คอนเทนต์ ได้กลายเป็น ส่วนเสริม และกลายเป็นเรื่องปกติถ้าไม่มีแปลว่าแปลก

ขณะที่เทรนด์ของไทยและทั่วโลก การใช้งานแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งก็ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยจากจำนวนผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต 71 ล้านคนในไทย มีผู้ใช้งานแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งถึง 25.15 ล้านราย คิดเป็น 38% มีมูลค่าจับจ่ายราว 12,341 ล้านบาท เติบโต 14.4% และมียอดใช้จ่ายเฉลี่ย 1,291 บาท/คน/ปี เติบโต 8.26%

นอกจากนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าการว่า คอนเทนต์เอนเตอร์เทนต์เมนต์ เป็นตัวขับเคลื่อนในการใช้งานอินเตอร์เน็ต โดยปัจจุบัน ค่าเฉลี่ยการใช้โมบายดาต้าทั่วไปเฉลี่ยที่ 22-24 GB ส่วนกลุ่มที่ใช้งานหนัก ๆ จะเกิน 40 GB ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการรับชมวิดีโอ

ดังนั้น การเป็นพาร์ทเนอร์กับแพลตฟอร์มคอนเทนต์ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของเอไอเอส คือ นำเสนอโครงข่ายที่ดีคอนเทนต์ที่ดีให้กับลูกค้า ปัจจุบัน 5G ของเอไอเอสครอบคลุมพื้นที่กว่า 87%

“เราร่วมงานกับทุกคอนเทนต์พาร์ทเนอร์เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงคอนเทนต์คุณภาพ แต่ไม่จำเป็นว่าเราต้องเป็นเจ้าของคอนเทนต์ แต่เป็นพาร์ทเนอร์กับคนที่มีคอนเทนต์ โดยการเติบโตไปของเราจะอยู่บนพื้นฐานของอีโคซิสเต็มส์ที่ร่วมกับนี่พาร์ทเนอร์


AIS Play ยิ่งแกร่ง

การได้ HBO เข้ามา ทำให้ตอบโจทย์ลูกค้าสาวก DC, Harry Potter, ซีรีส์ Game of Thrones และ คอนเทนต์คุณภาพจากค่าย Warner Bros. อีกมากมาย บอกเลยว่าห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง ยิ่งลูกค้า AIS ทั้งในระบบเติมเงิน และรายเดือน รวมถึงลูกค้า AIS Fibre สามารถสมัครแพ็กเกจราคาพิเศษเริ่มต้นเพียง 99 บาท/เดือน นาน 3 เดือน (จากนั้นจะคิดค่าบริการตามปกติ 149 บาท/ เดือน) เพียงกด USSD *888# โทรออก

นอกจากนี้ ยังมีแพ็คเกจรายปี 999 บาท เพียงกด USSD *888*1#โทรออก ตั้งแต่วันนี้ถึง 15 กรกฎาคม 2566 เท่านั้น สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับราคาและรายละเอียดแพ็กเกจ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ AIS PLAY https://www.ais.th/play/hbo.html และ HBO GO

]]>
1430829
ซีรีส์ “เกาหลี” ที่ Netflix จะลงทุนกว่า 8.5 หมื่นล้าน ตั้งเป้าเพื่อตอบโจทย์ผู้ชม “ทั่วโลก” ไม่ใช่แค่เอเชีย https://positioningmag.com/1430360 Fri, 12 May 2023 09:06:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1430360 Netflix ประกาศมาก่อนหน้านี้ว่า ในอีก 4 ปีข้างหน้าจะมีการลงทุนซีรีส์-หนัง “เกาหลี” อีก 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 8.5 หมื่นล้านบาท โดยทั้งหมดจะเน้นการเจาะตลาดผู้ชม “ทั่วโลก” ไม่ใช่แค่ในเอเชียเท่านั้น จากผลสำเร็จของคอนเทนต์เกาหลีที่สามารถเข้าถึงใจผู้ชมทั่วโลกได้

Don Kang รองประธาน Netflix ด้านคอนเทนต์เกาหลี เปิดเผยกับ CNBC ว่า แผนการลงทุนคอนเทนต์เกาหลีอีก 2,500 ล้านเหรียญใน 4 ปีนั้น จะทำให้เกาหลีมีคอนเทนต์ประเภทที่ไม่ใช่เรื่องแต่ง (non-fiction) เช่น รายการวาไรตี้ เพิ่มเป็นเท่าตัว จากที่เคยมี 4 เรื่องในปี 2022 ปีนี้จะมี 8 เรื่อง

ในจำนวนนี้รวมถึงเรียลลิตี้โชว์ที่ออกฉายไปแล้วต้นปีนี้อย่าง “Physical 100” ที่รวบรวมผู้เข้าแข่งขันมาแข่งกันผ่านด่านที่ท้าทายต่อกำลังร่างกาย

“ผมคิดว่านั่นจะเป็นรายการวาไรตี้รายการแรกที่ได้คนดูในระดับโลก ทำให้ผู้ชมรู้สึกตื่นเต้น” Kang กล่าว ปกติแล้วรายการวาไรตี้ของเกาหลีจะไม่ค่อยได้รับความนิยมนักนอกประเทศเกาหลีและกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก แต่ปรากฏว่า Physical 100 สำเร็จในการดึงคนดูนอกทวีป เป็นสัญญาณบวกในการกรุยทางต่อ

Physical 100 ขึ้นสู่อันดับ 1 รายการที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษที่ได้รับความนิยมมากที่สุดประจำสัปดาห์ เป็นเวลาสองสัปดาห์ต่อเนื่อง ซึ่งก่อนหน้านี้รายการวาไรตี้เกาหลีที่มีคนดูระดับโลกก็เคยมีให้เห็นบ้างแล้วในปี 2022 เมื่อรายการเรียลลิตี้จับคู่เดตอย่าง Single’s Inferno ขึ้นมาอยู่ใน 10 อันดับแรกของโลกเมื่อปีก่อน

 

คอนเทนต์ “เกาหลี” ไปสู่ระดับโลก

Kang กล่าวว่า ตนเคยทำงานด้านการจัดจำหน่ายคอนเทนต์เกาหลีในระดับโลกมาก่อนที่จะเข้าร่วมงานกับ Netflix ในปี 2018 เขามองว่า ก่อนหน้านี้คอนเทนต์เกาหลีที่ได้รับความนิยมจะเป็นประเภทโรแมนติกคอมเมดี้ และมักจะได้รับความนิยมในประเทศใกล้เคียงเท่านั้น เช่น ญี่ปุ่น ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะไกลกว่านี้ก็จะเริ่มมีความแตกต่างทางวัฒนธรรม

แต่ Netflix ลงทุนสูงกับการพากย์เสียงและใส่คำบรรยายที่ทำให้เข้ากับบริบทท้องถิ่นได้ดีขึ้น ทำให้ลดกำแพงภาษาลงได้และ “เปลี่ยนโลกให้แตกต่าง” เขากล่าว

squid game
Squid Game คอนเทนต์เกาหลีที่ได้รับความนิยมระดับโลก

“คุณไม่ควรปรามาสรสนิยมที่หลากหลายของผู้คนรอบโลก” Kang กล่าว และยกตัวอย่างถึง “Squid Game” ที่ Netflix เลือกเปลี่ยนชื่อเรื่องให้เหมาะกับสากลมากขึ้น

ในปีนี้คอนเทนต์ “เกาหลี” ของ Netflix ก็จะสร้างความแตกต่างหลากหลายให้มากกว่าแค่คอนเทนต์โรแมนติกด้วย โดยจะมีคอนเทนต์แนวดราม่า วันสิ้นโลก เสียดสีสังคม และแน่นอนว่าต้องมีรายการวาไรตี้

Kang มองว่า “เกาหลี” มีศักยภาพในการร้อยเรียงเรื่องราวที่สื่อสารวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองได้ แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกที่เชื่อมต่อกับผู้ชมในระดับโลกได้เช่นกัน

“เมื่อคนเกาหลีชื่นชอบคอนเทนต์นั้นๆ มันก็มีโอกาสมาก มากๆ ทีเดียวที่คนทั่วโลกจะชื่นชอบเช่นเดียวกัน” Kang กล่าวปิดท้าย

Source

]]>
1430360