สหพัฒน์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sun, 25 Jul 2021 12:11:59 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 วิน-วิน! ไอเดียการตลาด “กล่องสุ่ม” ลูกค้าได้คุ้ม ร้านค้าได้จัดการสต็อก https://positioningmag.com/1343962 Sat, 24 Jul 2021 15:17:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1343962 เปิดไอเดียการตลาด “กล่องสุ่ม” มิติใหม่ในการขายสินค้า มัดรวมสารพัดของในร้านขายแบบเหมาลัง แต่ร้านค้าเป็นคน ‘สุ่ม’ เลือกให้ โดยลูกค้าจะได้ซื้อในราคาสุดคุ้ม ผสมกับความตื่นเต้นเหมือนได้ชิงโชค ส่วนร้านค้าได้จัดการสต็อก หรือส่งสินค้าใหม่ให้ลูกค้าลอง เผื่อใช้ดีอาจมีการกลับมาซื้อแยกเฉพาะชิ้นได้

ช่วงนี้กระแสสินค้า “กล่องสุ่ม” กำลังมาแรง เป็นกลยุทธ์การตลาดแบบใหม่ที่ “วิน-วิน” กันทั้งลูกค้าและร้านค้า สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักกล่องสุ่มคืออะไร ไปชมตัวอย่างเหล่านี้กันเลย

“กล่องสุ่มอาหารทะเล”
แพเจริญทรัพย์ กล่องสุ่มอาหารทะเล
Photo : Facebook@PaeCharoensap

มีหลายร้านที่เปิดขายกล่องสุ่มอาหารทะเลแล้ว แต่หนึ่งในร้านที่ฮิตติดลมบนและทำการตลาดหนักคือ “แพเจริญทรัพย์ กล่องสุ่มอาหารทะเล by Kalawin” ปัจจุบันมียอดไลก์ไปกว่า 31,500 Likes ทั้งที่เพิ่งเปิดเพจเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2564

คอนเซ็ปต์ของกล่องสุ่มอาหารทะเลร้านนี้คือ ให้ลูกค้าจองในราคา 500 บาท และร้านจะจัดส่งอาหารทะเลสดไปให้ในวันถัดไป สินค้าในกล่องจะเป็นการ “สุ่ม” โดยทางร้าน ลูกค้าไม่สามารถเลือกได้

ทั้งที่เลือกไม่ได้ แต่ลูกค้าฮือฮากันมากเนื่องจากของในกล่องมีตั้งแต่ปู กุ้ง กั้ง ปลาหมึก หอยเชลล์ หอยนางรม ฯลฯ ในปริมาณที่คุ้มค่าเกิน 500 บาท ความคิดเห็นลูกค้ารีวิวถึงความ “คุ้ม” และความรู้สึกตื่นเต้นว่าจะได้สินค้าอะไรบ้าง บางครั้งอาจมีของพิเศษพรีเมียมติดมาในกล่องด้วย

 

“กล่องสุ่ม Lion

กล่องสุ่ม Lionอีกหนึ่งไอเดียกล่องสุ่มจากรายใหญ่ สินค้าในเครือ Lion ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคสารพัดแบรนด์ เช่น ผงซักฟอกเปา, ยาสีฟันซอลท์, น้ำยาล้างจานไลปอนเอฟ, สบู่ล้างมือคิเรอิคิเรอิ ฯลฯ มีการจัดกล่องสุ่ม 2 ราคาให้ซื้อเมื่อวันที่ 1-15 กรกฎาคม 2564 และจำกัดจำนวนแค่ 2,000 กล่องเท่านั้น

โดยแบ่งเป็นกล่องราคา 399 บาท จะได้สินค้ามูลค่าไม่ต่ำกว่า 900 บาท และกล่องราคา 699 บาท ได้สินค้ามูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,600 บาท

ถือเป็นกล่องสุ่มที่น่าสนใจสำหรับสายแม่บ้าน เพราะไม่ว่าจะเปิดมาได้สินค้าอะไรก็น่าจะใช้งานได้เกือบทั้งหมด ในราคาที่เหมือนได้ลดราคาประมาณ 70% เหมาะกับการซื้อมาตุนเอาไว้

 

“กล่องสุ่ม TG FONE”

TG Fone กล่องสุ่มสายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก็จัดกล่องสุ่มได้ด้วย โดยร้าน TG FONE จำหน่ายหลายราคาตั้งแต่ 199-999 บาท แต่ของในกล่องจะไม่ได้มีเฉพาะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มีการผสมสินค้าจิปาถะอื่นๆ เข้ามาด้วย ให้ความรู้สึกว่า ‘ได้หลายอย่าง’

ยกตัวอย่างจากลูกค้าที่ซื้อกล่องสุ่ม 199 บาท อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้เป็นหูฟังกับสายรัดข้อมือวัดการเต้นของหัวใจ แต่ในกล่องยังมีถุงเท้า ถาดทำน้ำแข็ง ฯลฯ ติดมาด้วย หรือกล่องสุ่ม 999 บาท มีลูกค้าที่ได้ลำโพง โทรศัพท์มือถือแบบปุ่มกด และของจิปาถะเป็นช้อนส้อม สมุดจด รองเท้าแตะ ฯลฯ ในกล่องเดียว

รีวิวจากลูกค้าชอบที่ความ ‘คุ้มค่า’ เพราะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ราคาสูงกว่ากล่อง ซึ่งเป็นเหตุผลที่ลูกค้าเลือกมาลุ้นกับการซื้อกล่องสุ่ม แทนที่จะมุ่งไปซื้อของที่ตัวเองต้องการ ส่วนของจิปาถะที่เติมมาในกล่องก็สามารถใช้ได้จริง

นอกจากร้านเหล่านี้แล้ว เรายังเห็นไอเดียการทำกล่องสุ่มอีกหลายร้าน เช่น กล่องสุ่มบิวตี้ สุ่มเครื่องสำอางหลายแบบในกล่อง กล่องสุ่มของนำเข้าเกาหลี จากร้านนำเข้าของเกาหลีทุกอย่างที่มีตั้งแต่อาหาร เครื่องสำอาง ของใช้จิปาถะ กล่องสุ่มเครื่องเขียน ในกล่องจะมีปากกา สมุด สติกเกอร์ เป็นต้น

 

ลูกค้ารู้สึกคุ้มผนวกความสนุกจากการชิงโชค

ทั้งที่ซื้อของที่ตัวเองอยากได้ไปเลยก็ได้ แต่ลูกค้าที่ยินดีซื้อกล่องสุ่มสินค้า เพราะความ “คุ้มค่า” นั่นเอง สิ่งนี้มาเป็นอันดับหนึ่งในการตัดสินใจเลือก

ตัวอย่างจากร้านที่ประสบความสำเร็จคือ ของในกล่องต้องมีมูลค่าสูงกว่าราคากล่องมาก โดยการสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าว่าจะได้คุ้ม อาจจะเป็นการการันตีมูลค่าขั้นต่ำที่จะได้ หรือให้ลูกค้าเก่า “รีวิว” สินค้าในกล่องเพื่อสร้างบรรทัดฐานไว้ก่อน

อันดับต่อมาคือ “ความสนุก” เหมือนได้ลุ้นลอตเตอรี่ แทนที่จะซื้อของลดราคาตามโปรโมชันปกติ กล่องสุ่มจะให้ความรู้สึกเหมือนชิงโชค เป็นความตื่นเต้นเล็กๆ น้อยๆ ยามเปิดกล่อง ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคุ้มราคาแน่นอนแล้ว เพียงแค่ลุ้นว่าจะเจอ ‘แจ็กพอต’ ร้านอาจให้ของพรีเมียมมา รวมถึงได้ความสนุกจากการพบสินค้าใหม่ๆ อาจจะได้ทดลองสินค้าที่ไม่เคยใช้มาก่อนด้วย

 

ร้านค้าได้จัดการสต็อก ส่งสินค้าให้ลองใช้

แล้วร้านค้าได้อะไร? นอกจากเป็นกิมมิกการตลาดไว้ดันยอดขายแล้ว เห็นได้ว่าการ ‘สุ่ม’ ทำให้ร้าน “จัดการสต็อก” ง่ายขึ้น สามารถเฉลี่ยระบายสินค้าที่มีมากออกไปได้เร็วขึ้น (แต่ถ้ามีการโละของใกล้หมดอายุมาในกล่องเป็นจำนวนมาก ต้องระวังว่าลูกค้าอาจให้รีวิวเชิงลบได้)

นอกจากนี้ ร้านค้ายังมีโอกาส “ส่งสินค้าใหม่ๆ” ของร้านให้ลูกค้าได้รู้จักและลองใช้ ลูกค้าที่กล้าซื้อสินค้าแบบกล่องสุ่ม ย่อมเป็นกลุ่มที่ประเมินแล้วว่าตนเองอุปโภคบริโภคสินค้าของร้านนั้นได้ทุกอย่างหรือส่วนใหญ่ ทำให้ลูกค้ายินดีที่จะทดลองใช้ถ้าได้สินค้าแปลกใหม่หรือแบรนด์ที่ไม่เคยรู้จักในกล่อง

เป็นไปได้ว่าลูกค้าอาจได้พบของที่ ไม่รู้มาก่อนว่าจะชอบ’ และกลับมาซื้อสินค้านั้นโดยเฉพาะที่ร้านค้า กลายเป็นการต่อยอดการขายในอนาคตได้ด้วย

]]>
1343962
“สหพัฒน์” ดึง “โตคิว” ร่วมทุนอีก 800 ล้าน ผุด HarmoniQ 2 ศรีราชา จับดีมานด์ครอบครัวญี่ปุ่น https://positioningmag.com/1311751 Tue, 29 Dec 2020 07:19:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1311751 “โตคิว” ยังขยายการลงทุนในไทย ผ่าน “โตคิว คอร์ปอเรชั่น” ร่วมลงทุนกัยสหพัฒน์อีก 800 ล้านบาท เดินหน้าขยายการลงทุนในเขตศรีราชา ผุดโครงการ HarmoniQ 2 โครงการที่อยู่อาศัยสไตล์ญี่ปุ่นใน EEC

ดึงโตคิวร่วมทุน

เครือสหพัฒน์ ผนึกกลุ่ม “โตคิว” เตรียมลงทุนเพิ่ม 800 ล้านบาท เปิดตัวโครงการ HarmoniQ 2 โครงการบ้านพักที่อยู่อาศัยในศรีราชา ร่วมกับโตคิว ต่อยอดโครงการแรกที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ตอบรับดีมานด์ลูกค้าชาวญี่ปุ่นที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยโครงการทั้งหมดมูลค่ารวมกว่า 1,700 ล้านบาท ประกอบด้วย บ้านที่อยู่อาศัย

กลุ่มโตคิว เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในญี่ปุ่น มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 98 ปี ทั้งในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน โรงแรม การก่อสร้างขนาดใหญ่ ระบบขนส่งมวลชนทั้งรถบัส และรถไฟ โดยหลักทรัพย์ของกลุ่มโตคิว (Tokyu Corporation) ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น มีมูลค่าตลาดประมาณ 230,000 ล้านบาท

harmoniq residence sriracha

วิชัย กุลสมภพ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า

“แม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวในปีนี้ ซึ่งนับเป็นวิบากกรรมทั่วโลก แต่เราเชื่อมั่นในโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่ยังมีศักยภาพและความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC ที่มีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง ทั้งนี้เราคาดการณ์ว่าภาคอสังหาฯ ไทยจะรีบาวน์กลับมาอีกครั้ง ดังนั้น เครือสหพัฒน์ จึงเตรียมแผนขยายการลงทุน เดินหน้าโครงการต่างๆ ซึ่งจะเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว”

จับกลุ่มครอบครัวญี่ปุ่น

โปรเจกต์ HarmoniQ 2 เป็นการขยายการลงทุนเพิ่มเติมอีกกว่า 800 ล้านบาท เพื่อเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยให้กับชาวญี่ปุ่น บนพื้นที่กว่ารวมกว่า 50 ไร่ในอำเภอ ศรีราชาจังหวัด ชลบุรี โดยคาดว่าจะเปิดให้ชมห้องตัวอย่างได้ในเดือนเมษายน ปี 2564

harmoniq residence sriracha

โครงการนี้จะเป็นบ้านสำหรับครอบครัวชาวญี่ปุ่นอย่างแท้จริง ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความเหมาะสม สะดวกสบาย โดยคำนึงถึงการใช้ชีวิตของชาวญี่ปุ่นที่ต้องปรับสภาพแวดล้อมจากญี่ปุ่นมาอยู่ที่ศรีราชา

  • การออกแบบพื้นที่ใช้สอย : รวบรวมความรู้ด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของญี่ปุ่นเข้าด้วยกัน โดย Tokyu Corporation ซึ่งมีความรู้ในด้านการวางผังเมือง และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศญี่ปุ่น โดดเด่นด้วยบรรยากาศผ่อนคลายสำหรับครอบครัว ให้ความสำคัญกับการปรับตัวของผู้อยู่อาศัย

harmoniq residence sriracha

  • ครบครัน สะดวกสบาย ใส่ใจคุณภาพชีวิต : สำหรับโครงการนี้นอกเหนือจากการเพิ่มเติมบ้านพักอีกกว่า 140 หลัง โครงการยังมีการขยายส่วนต่อทั้งส่วนกลาง และสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ๆ อาทิ สนามเทนนิส, สนามบาสเกตบอล, พื้นที่ทำกิจกรรมเอาต์ดอร์ เป็นต้น รวมถึงขยาย Club House ที่ตอบโจทย์ทุกกิจกรรมด้วยคาเฟ่, โรงยิม, ห้องสมุด, ห้องสำหรับเด็ก, ห้องเก็บเสียง, ห้องประชุม และสตูดิโอบัลเลต์

harmoniq residence sriracha

  • สภาพแวดล้อมใกล้เคียง : มีโรงเรียนสำหรับชาวญี่ปุ่นอยู่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโครงการ ด้วยความใส่ใจในการศึกษาและความปลอดภัยในการเดินทางไปโรงเรียน ตัวโครงการยังอยู่ติดกับโรงเรียนญี่ปุ่นศรีราชา และโรงเรียนอนุบาล Oisca ซึ่งอยู่ติดกับตัวโครงการจนเด็กๆ สามารถเดินไปโรงเรียนได้โดยไม่ต้องก้าวออกนอกเขตหมู่บ้าน นอกจากนี้ ยังมีสถานพยาบาล แหล่งพักผ่อนหย่อนใจ รวมถึง ใกล้เคียง Community Mall J-Park Nihonmura Sriracha และรักษาความปลอดภัยโดย Secom บริษัท Security อันดับหนึ่งจากญี่ปุ่นอีกด้วย

การขยายการลงทุนของโครงการอสังหาฯ ใน “ศรีราชา” เป็นการตอกย้ำศักยภาพของอำเภอนี้ในชลบุรีว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งอุตสาหกรรม” ที่น่าจับตามองในเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC เฉพาะที่ศรีราชาขณะนี้มีนิคมอุตสาหกรรมกว่า 10 แห่ง และจำนวนโรงงาน มีโรงงานทั้งสิ้นกว่า 1,300 แห่ง

โดยญี่ปุ่นเป็นชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมายาวนานโดยเฉพาะในพื้นที่ศรีราชา ซึ่งในปัจจุบันมีชาวญี่ปุ่นพักอาศัยอยู่กว่า 10,000 คน และมีสมาคมธุรกิจญี่ปุ่นอยู่กว่า 20 แห่ง ดังนั้น EEC จึงเป็นทำเลศักยภาพอีกแห่งหนึ่งสำหรับตลาดที่อยู่อาศัยในไทย ที่จะสามารถตอบรับดีมานด์ชาวต่างชาติและชาวไทยได้

]]>
1311751
พลิกสูตร “สหพัฒน์” จัดงานเเฟร์ออนไลน์ ครั้งเเรกรอบ 24 ปี “เอาเงินค่าเช่าที่ มาอัดโปรโมชั่น” https://positioningmag.com/1284615 Mon, 22 Jun 2020 15:42:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1284615 ก่อนจะเกิดการเเพร่ระบาดของ COVID-19 เชื่อว่าหลายคนตั้งตารอจะไปเดินงานเเฟร์เพื่อเลือกซื้อสินค้าลดราคาและหาดีลพิเศษมากมาย โดยเฉพาะงานใหญ่ประจำปีอย่างสหกรุ๊ปแฟร์ซึ่งจัดขึ้นมายาวนานกว่า 2 ทศวรรษเเล้ว

แต่ในปีนี้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น การจัดงานที่มีผู้คนนับหมื่นไปรวมตัวกัน เป็นเรื่องที่ต้องหลีกเลี่ยง เเบรนด์ต่างๆ เเละฝ่ายผู้จัดต้องสรรหาหนทางใหม่ เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เมื่อการซื้อของออนไลน์ได้กลายเป็น New Normal แห่งวงการค้าปลีก

COVID-19 จึงเป็นเหมือนตัวเร่งให้เครือสหพัฒน์ต้องปรับตัวมาจัดสหกรุ๊ปแฟร์ออนไลน์ครั้งแรกในปีที่ 24 ด้วยเเคมเปญ #ช้อปหยุดโลก

ด้วยจุดเด่นของงานแฟร์ คือการได้ลองของจริง มีให้เลือกหลากหลายและราคาถูก รวมถึงเป็นเเหล่งการเกิดดีลธุรกิจต่างๆ การจัดสหกรุ๊ปแฟร์แบบออนไลน์ครั้งนี้ จึงไม่ง่ายนักและมีความท้าทายอยู่มาก แต่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี

สหกรุ๊ปแฟร์ออนไลน์ครั้งนี้ จะเป็นโมเดลการทดลองขายสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านทางออนไลน์ของเรา

ธรรมรัตน์ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานจัดงานสหกรุ๊ปแฟร์ออนไลน์กล่าว

เอาเงินค่าเช่าที่…มาอัดโปรโมชั่น

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำห้เครือสหพัฒน์ตัดสินใจเปลี่ยนรูปแบบการจัดงานในปีนี้มาเป็นสหกรุ๊ปแฟร์ออนไลน์โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-5 กรกฎาคม 2563 จับมือกับ 3 แพลตฟอร์ม

E-Marketplace รายใหญ่อย่าง Lazada , Shopee เเละ JD Central นำสินค้ากว่า 100 แบรนด์ รวม 2 หมื่นรายการ พร้อมมีเว็บไซต์ sahagroupfair.com เป็นเว็บที่รวบรวมโปรโมชั่น ถ่ายทอดสดกิจกรรมต่างๆ และเชื่อมไปยังแพลตฟอร์มนั้นๆ

การจัดงานเเฟร์ปกติกับการจัดทางออนไลน์ สเกลมันไม่เท่ากันอยู่เเล้ว เราต้องยอมรับสถานการณ์ โดยปีนี้วางเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 100 ล้านบาท ถือว่าลดลง 50% เมื่อเทียบกับการจัดงานสหกรุ๊ปแฟร์เเบบปกติในปีท่ี่ผ่านมา ที่สร้างรายได้สะพัดราว 200 ล้านบาท

ธรรมรัตน์ ไม่ได้เปิดเผยถึงงบประมาณในการจัดงานครั้งนี้ แต่ระบุว่า การจัดงานในรูปออนไลน์ไม่ต้องเสียค่าเช่าที่” และทางสหพัฒน์ก็มีการพัฒนาด้านออนไลน์ตลอด ดังนั้นต้นทุนจึงน้อยกว่าการจัดงานเเฟร์ปกติ อีกทั้งยังมีการขายเเบบ 24 ชั่วโมงซึ่งน่าจะเป็นการเพิ่มยอดขายได้

โดยจะมีการนำเงินส่วนที่เหลือมาใช้ในการอัดโปรโมชั่น เพื่อดึงดูดผู้บริโภคให้สั่งของออนไลน์มากขึ้น รวมถึงให้เปอร์เซ็นต์ส่วนเเบ่งกับแพลตฟอร์ม E-Marketplace ที่เข้าร่วมทั้ง 3 เจ้าให้มีการเสนอดีลพิเศษต่างๆ ให้กับลูกค้าด้วย อย่างการส่งฟรี ให้คูปองส่วนลด มี Flash Sale เป็นต้น

ในช่วงมาตรการล็อกดาวน์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ของเครือสหพัฒน์ มีอัตราการเติบโตถึง 300% แต่เมื่อเทียบกับยอดขายทางออฟไลน์แล้ว ก็ยังคงมีสัดส่วนน้อย โดยปัจจุบันการขายออนไลน์มีสัดส่วนในยอดขายทั้งหมดที่ 20% อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ตั้งเป้าการเติบโตเพิ่มขึ้นเท่าตัวในอนาคต  ดังนั้นสหกรุ๊ปแฟร์ออนไลน์จึงเป็นก้าวเเรกที่สำคัญในการต่อยอดเเละปรับตัวครั้งนี้

ภาพบรรยากาศงานสหกรุ๊ป เเฟร์ ครั้งที่ 23 ในปี 2019 ก่อนที่ปีนี้จะมีการปรับมาจัดทางออนไลน์ เนื่องจากสถานการณ์การเเพร่ระบาดของ COVID-19

ให้ส่วนลดเเลกกับการรอคอย

คอนเซ็ปต์หลักๆ ของสหกรุ๊ปแฟร์ยังคงเหมือนเดิม เพียงแต่ผู้คนเปลี่ยนจากการเดินดูซื้อของ ไปเป็นการใช้นิ้วคลิกเลือกซื้อแล้วรอรับที่บ้าน

ด้วยเหตุนี้ ไฮไลต์สำคัญจึงเป็นการให้ส่วนลดที่มากกว่าปกติ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มกับการรอคอยเเละคุ้มกับค่าจัดส่ง 

สำหรับสินค้าในสหกรุ๊ปแฟร์ออนไลน์ จะเเบ่งออกเป็น 7 หมวด ได้เเก่ Fashion, Lingerie, Health & Beauty, Baby & Toddler, Household, Grocery และ Services & Education โดยมีสินค้ามาจำหน่ายกว่า 100 แบรนด์ กว่า 20,000 SKU อย่าง วาโก้ บีเอสซี แอร์โรว์ ลาคอสท์ แอล (ELLE) เอราวอน กี ลาโรช อองฟองต์ แอ็บซอร์บา ฟาร์มเฮ้าส์ มาม่า มองต์เฟลอ ริชเชส ซื่อสัตย์ เอสเซ้นต์ เปา ซิสเท็มมา คิเรอิคิเรอิ โชกุบุสซึ วาเซดะบุนกะ ซึ่งสินค้า 7 หมวดนี้ จะมีทั้งสินค้านวัตกรรม สินค้าใหม่ สินค้าขายดี และสินค้า Clearance ที่นำมาลดพิเศษสูงสุดถึง 80% ตลอด 24 ชั่วโมง

นอกจากการจำหน่ายสินค้าแบบ B2C ให้กับผู้สนใจทั่วไปแล้ว จะมีการจำหน่ายแบบ B2B ให้กับร้านค้าทั่วไป ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ และผู้ที่ซื้อสินค้าไปจำหน่ายต่อในราคาพิเศษ 

ในเว็บจะมีการไลฟ์สดช่วง Flash Sale และการแจกคูปองส่วนลดเพื่อนำไปลดเพิ่มใน LAZADA SHOPEE และ JD CENTRAL ซึ่งทุกบิลที่ซื้อสามารถนำมากรอกข้อมูลชิงรางวัลในเว็บ กว่า 3,000 รางวัล รวมกว่า 9 แสนบาท สำหรับผู้ที่ต้องการสั่งซื้อล่วงหน้าจะเปิดให้มีพรีออเดอร์ (PRE SALES) สินค้าใหม่ในวันที่ 27 มิถุนายน – 1 กรกฎาคม 2020 เฉพาะที่ LAZADA พร้อมทั้งจะมีการรับสมัครสมาชิกและสะสมคะแนน His & Her ด้วย 

“ในทุกปีๆ สิ่งที่ลูกค้าคาดหวังจะมาดูในสหกรุ๊ปแฟร์ คือกิจกรรมเเละนวัตกรรมต่างๆ ซึ่งในเว็บจะยังคงมีกิจกรรมที่สร้างสีสัน เเต่เราจะทำให้พิเศษกว่าเดิม เพราะเป็นการเเสดงทางออนไลน์ โดยจะมีการจัดแฟชั่นโชว์ เวิร์กช็อปเเต่งหน้า กิจกรรมจากดาราและเซเลบริตี้ รวมไปถึงการรับสมัครงาน” 

ส่วนสินค้าไฮไลต์ที่จะมาเปิดตัวในปีนี้ จะเน้นไปด้าน Wealthness การดูเเลสุขภาพและนวัตกรรมใหม่ อย่าง นวัตกรรมผ้ายับยั้งเชื้อไวรัส ที่ได้ทำการทดสอบกับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H3N2 ซึ่งสามารถซักและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ รวมไปถึงกางเกงในอนามัยรุ่นใหม่จากวาโก้ หน้ากากจากแอร์โรว์

ด้านเครื่องสำอางจะมีการเปิดตัวคอลเลกชั่นใหม่ arty professional x snoopy ส่วนโรงเรียนสอนภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นวาเซดะ จะมีการจัดคอร์สสอนออนไลน์เต็มรูปแบบ ขณะที่เเบรนด์ “มาม่า” จะมีการเปิดตัวข้าวต้มคัพ รสปลาทรงเครื่อง และเเบรนด์ฟาร์มเฮ้าส์จะมีโปรโมชั่นพิเศษเเละการจัดส่งให้ถึงบ้าน

อีกหนึ่งจุดเด่นของ “สหกรุ๊ปแฟร์ออนไลน์” คือการ “Cash Back เเละสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษ” จากสถาบันการเงินและกองทุน 11 แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Bank) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTC) บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด และกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เพื่อให้ส่วนลดเงินสดและเครดิตเงินคืนสำหรับการซื้อแบบ B2C และให้สินเชื่อพิเศษสำหรับการซื้อแบบ B2B ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง

โดยมีดีลที่น่าสนใจ ยกตัวอย่างเช่น เสนอวงเงินกู้ตั้งเเต่ 2 เเสน- 20 ล้านบาทเพื่อซื้อของในงานด้วยดอกเบี้ยต่ำ ผ่อนนาน 7-10 ปี การใช้บัตรเครดิตเพื่อรับ Cash Back สูงสุด 30% หรือการสะสมเเต้ม ใช้คะเเนนทำยอดซื้อ เเละรับ E-coupon เป็นต้น (โดยรายละเอียดจะเเตกต่างไปตามเงื่อนไขของธนาคารที่เข้าร่วม)

โจทย์ยากของ “สหพัฒน์” 

ธุรกิจยามนี้ ทุกเเบรนด์ต่างหันมาขายออนไลน์กันอย่างเต็มที่ ปรับรับ New Normal ของผู้บริโภค แต่ความท้าทายของแบรนด์ในเครือสหพัฒน์ คือ ยังมีสินค้าจำนวนมากที่ยังไม่เหมาะกับขายผ่านช่องทางออนไลน์ อย่างพวกสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีขนาดใหญ่ ค่าขนส่งเเพง หรือสินค้าประเภทที่ซื้อเเล้วต้องใช้ทันที สินค้าที่ลูกค้าอยากไปเดินช้อปปิ้งเเล้วได้กลับบ้านเลย

“มันเป็นโจทย์ยากในการปรับตัวมาขายออนไลน์ของเรา แต่สหพัฒน์ก็พยายามทำให้ดีขึ้น อย่างเรื่องการจัดส่งเราจะพยายามพัฒนาไปสู่การส่งเเบบวันเดียวถึง เสื้อผ้าก็ต้องทำให้มีไซส์มาตรฐาน มั่นใจว่ากดสั่งได้แม้ไม่ได้ลอง”

ขณะที่สิ่งที่ยังน่ากังวลคือ “กำลังซื้อ” ที่เพิ่งจะฟิ้นตัวอย่างช้าๆ เเม้จะมียอดขายทางออนไลน์จะมาช่วยบ้างเเต่ยังมีสัดส่วนน้อย โดยหลังจากปลดล็อกเเล้วกำลังซื้อก็เริ่มดีขึ้น โดยคาดว่าจะกลับมาได้เท่าช่วงก่อน COVID-19 ได้ภายในปีนี้

“ผมมองว่าคนไทยยังระมัดระวังในการจับจ่ายอยู่ และสิ่งที่น่าห่วงคือต้องรอดูภาวะการว่างงานหลังจากนี้ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อกำลังซื้อ และจะฉุดให้ภาวะเศรษฐกิจหดตัวลากยาวต่อไปอีก” ธรรมรัตน์กล่าว

โดยคาดว่ายอดขายในส่วนของ ไอ.ซี.ซี.ฯ ปีนี้น่าจะติดลบ 10% จากเดิมตั้งเป้าหมายที่จะเติบโต 5% เนื่องจากในช่วงที่มีมาตรการล็อกดาวน์กำลังซื้อลดลงไปถึง 90% ซ้ำเติมจากก่อนล็อกดาวน์ที่ลดลงไป 10% แล้ว แม้ในช่วงคลายล็อกกำลังซื้อจะกลับมา 90% แล้วก็ตาม

ด้านการลงทุนกับพาร์ตเนอร์ต่างชาตินั้น ตามที่เคยมีการจับมือกับค้าปลีกญี่ปุ่นชื่อดังอย่าง “ดอง กิโฮเต้” (Don Quijote) และร้านขายสินค้าแบรนด์เนมมือสอง “Komehyo” ในช่วงที่ผ่านมา ปีนี้จะมีโอกาสจับมือกับพาร์ตเนอร์ใหม่ๆ หรือไม่นั้น

พิภพ โชควัฒนา กรรมการบริษัทและกรรมการบริหาร บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ตอบว่า แบรนด์ในเครือยังมีการพิจารณาการลงทุนอยู่ แต่ด้วยความสะไม่ดวกในการประสานงานช่วงนี้ ทำให้การเซ็นสัญญาใหม่อาจจะน้อยลง เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมองว่าหากสถานการณ์คลี่คลาย ปีหน้าก็เป็นโอกาสอันดี

“เศรษฐกิจของประเทศไทยน่าจะกลับมามีสัญญาณที่ดีขึ้นในช่วงปลายปีนี้ กลุ่มเสื้อผ้าที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตในประจำวันยังขายได้ เเต่กลุ่มเสื้อผ้าเเฟชั่นน้อยลง จึงต้องทำธุรกิจเเบบตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด ในช่วงนี้ธุรกิจด้านอาหารก็น่าสนใจ ซึ่งเราก็กำลังดูๆ ไว้อยู่”

เเบรนด์วาโก้ หันมาผลิตหน้ากากาอนามัย ในช่วง COVID-19

สำหรับนโยบายของ “เครือสหพัฒน์” ในช่วงเวลานี้ ธรรมรัตน์บอกว่าหลักๆ จะเเบ่งได้ดังนี้

  • การออกสินค้าใหม่ ต้องทบทวนใหม่ เช่นปกติเคยออก 3-4 คอลเลกชั่นต่อไตรมาส ก็จะมีการปรับลดลงตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และไม่ให้เเย่งยอดขายกันเอง
  • ช่องทางการขาย ดูว่าเหมาะกับการขายออนไลน์หรือออฟไลน์ เจาะตลาดที่มีความต้องการจริงๆ
  • ระบายสต็อกสินค้า ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากมาตรการล็อกดาวน์ โดยเฉพาะสินค้าเเฟชั่นที่ยังมีค้างสต็อกอยู่ จากเดิมที่เคยคาดว่าจะใช้เวลา 1 ปี ตอนนี้อาจจะต้องใช้เวลาระบายสต็อกถึง 2 ปี
  • บุกตลาดออนไลน์ เป็นหนึ่งในนโยบายดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นของบริษัท ซึ่งการจัดสหกรุ๊ปแฟร์ออนไลน์จะเป็นการเปิดทางสู่การพัฒนาในยุค E-commerce เเม้ว่าตอนนี้สัดส่วนขายออนไลน์ของสหพัฒน์ยังอยู่ที่ 20% แต่เป้าหมายเพิ่มยอดขายออนไลน์ใน 5 ปี (2019-2023) ตั้งใจว่าทำรายได้ให้ถึง 5,000 ล้านบาท

 

]]>
1284615
ถอดแนวคิด “เสี่ยใหญ่ สหพัฒน์” : COVID-19 สาหัสกว่าต้มยำกุ้ง 10 เท่า พ่นพิษธุรกิจ และชีวิต https://positioningmag.com/1280185 Mon, 25 May 2020 13:50:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1280185 เสี่ยใหญ่สหพัฒน์ ย้ำ COVID-19 ส่งผลกระทบหนักหนาสาหัสกว่าวิกฤติต้มยำกุ้ง 10 เท่า เพราะพ่นพิษใส่หมดทั้งธุรกิจและชีวิตคนไม่เลือกหน้า แนะทางออกฟื้นเศรษฐกิจไทย พร้อมเร่งปรับตัวสู้วิกฤต

หนักกว่าต้มยำกุ้ง 10 เท่า

บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ กล่าวถึงสถานการณ์ COVID-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลกและไทยในขณะนี้ว่า

“วิกฤตจาก COVID-19 ครั้งนี้มีความรุนแรงมากกว่าวิกฤตยุคต้มยำกุ้งในอดีตมากกว่า 10 เท่า เนื่องจากวิกฤตต้มยำกุ้งส่งผลกระทบเฉพาะภาคธุรกิจ บริษัทต่างๆ ของเอกชน ขณะที่ COVID-19 ส่งผลกระทบไปหมดทั่วโลกทั้งภาคธุรกิจ บริษัท ภาครัฐบาล ประชาชน และที่สำคัญกระทบต่อชีวิตด้วย หากควบคุมไม่ดีจะพังกันไปหมด”

อย่างไรก็ตาม จากปัญหา COVID-19 ที่เกิดขึ้นนี้ โอกาสที่ประเทศไทยจะกลับมาดีขึ้นหรือเหมือนเดิมนั้นจะเร็วหรือช้าก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งเรื่องการเมืองก็มีส่วน หากมีการเปลี่ยนแปลงทีมเศรษฐกิจใหม่ก็จะทำให้ทุกอย่างสะดุดอีก ซึ่งตัวเองมองว่าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ทำดีแล้ว เดินถูกทางแล้วในการแก้ไขปัญหาต่างๆ

“ตัวอย่างเช่นในเรื่องของการใช้นโยบาย 4.0 ตรงนี้ทำให้เรื่องการแจกเงินให้กับคนกว่า 14 ล้านคน เป็นไปด้วยความรวดเร็ว ผ่านเทคโนโลยีต่างๆ และการใช้บิ๊กดาต้าเข้ามาช่วยด้วยทำให้ช่วยลดความเดือดร้อนของคนได้เร็วขึ้น หากเป็นการเอาเงินเข้าแบงก์แบบปกติ หรือมารับด้วยตัวเองคงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปี เป็นต้น”

ขณะที่ในเรื่องของค่าเงินบาทนั้น หากรักษาค่าเงินบาทอยู่ในระดับที่ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐก็อาจจะใช้เวลา 1 ปี หรือถ้าค่าเงินเท่ากับช่วงนี้ก็อาจจะต้องใช้เวลาถึง 3 ปีก็เป็นไปได้

รวมไปถึงปัญหาความขัดแย้งของมหาอำนาจเศรษฐกิจของโลก อย่างเช่น อเมริกากับจีน จะมีความรุนแรงมากขึ้น

กำไรสหพัฒน์หล่น 20%

หากมองถึงธุรกิจของเครือสหพัฒน์เองกับวิกฤต COVID-19 ครั้งนี้ก็ต้องยอมรับว่า ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับคนอื่นๆ แต่เรามีหลายธุรกิจ บางกลุ่มก็มียอดขายที่ตกลงมาก เช่น เท็กซ์ไทล พวกเสื้อผ้า รองเท้า แฟชั่น เครื่องหนัง เป็นต้น แต่ส่วนที่ไปได้ดีก็พวก อาหาร ของใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นต้น ซึ่งโดยรวมแล้วสิ่งนั้นดีสิ่งนี้ไม่ดี ก็ทำให้รายได้รวมของทั้งเครือยังตกประมาณ 10-20% ส่วนกำไรก็ตกประมาณ 20%

สาเหตุหลักเพราะเรามีการลงทุนในธุรกิจที่หลากหลายจึงสามารถที่จะประคองตัวได้ รวมทั้งนับตั้งแต่วิกฤตต้มย้ำกุ้งเป็นต้นมา เครือสหพัฒน์ได้ปรับแนวทางด้านการลงทุนใหม่โดยจะเน้นไปที่การใช้เงินตัวเองในการลงทุนมากขึ้น ลดการพึ่งพาเงินกู้จากสถาบันการเงินลง ให้ลงทุนภายใต้ความสามารถของตัวเอง มีมากก็ลงทุนมาก มีน้อยก็ลงทุนน้อย จึงทำให้เราไม่เดือดร้อนมากนัก จากเดิมที่ก่อนหน้าวิกฤติต้มยำกุ้งมีการกู้เงินจากสถาบันการเงินมาก จึงทำให้สถานะทางการเงินตอนนี้ยังพอมีความสามารถในการพยุงธุรกิจโดยรวมไปได้อย่างน้อยอีก 1 ปี

“สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ คือปัญหาว่า COVID-19 จะจบลงเมื่อไรไม่มีใครรู้ แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นมาแล้วก็ถือเป็นบทเรียนที่ดีเพราะทำให้ทุกคนได้หันมามองตัวเอง เพราะถ้าหากใครที่มีความอึดมาก มีความสามารถมากก็จะต่อสู้ได้ และก็เป็นโอกาสในการเดินหน้าต่อไปได้ด้วย หากมองในมุมของประเทศไทย ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีเหมือนกัน เพราะเมื่อก่อนหน้านี้ต่างชาติหลายประเทศอาจจะมองประเทศไทยเป็นประเทศที่ยังไม่พัฒนามาก ยังไม่ล้ำสมัย แต่จากปัญหาโควิดที่เกิดขึ้น ทำให้เขารู้จักเราในมุมมองที่ดีมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องสาธารณสุขที่เราสามารถรับมือกับ COVID-19 ได้ดี จะทำให้เรากลายเป็นศูนย์กลางในอาเซียนได้ และโควิดทำให้หลายๆ อย่างในไทยต้องทำการเซตซีโรกันใหม่”

โอกาสของประเทศไทย

พร้อมกับให้ความเห็นว่า จากนี้คงมีแนวโน้มของธุรกิจข้ามชาติขนาดใหญ่ที่อาจจะถอนการลงทุนจากจีนโดยเฉพาะทุนจากอเมริกา อีกทั้งจีนเองก็มีความเข้มแข็งมากขึ้นในภาคการผลิตอุตสาหกรรม การพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ จึงไม่ค่อยสนใจอุตสาหกรรมจากต่างประเทศมากนัก

ตรงนี้ก็ถือเป็นโอกาสของประเทศไทยเราที่จะตอบรับกับสถานการณ์นี้ได้อย่างไร ในการเตรียมรับมือกับธุรกิจที่จะย้ายฐานการผลิตออกจากจีนมาที่ไทยได้ หลายโครงการที่รัฐบาลทำมาก็ดี เช่น EEC หรือโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศภาคตะวันออก

การทำธุรกิจในยุคจากนี้ไป เป้าหมายสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าจะสร้างการเติบโตด้านรายได้มากกว่าปีที่ผ่านมามากน้อยเท่าไร แต่ต้องคำนึงว่าจะทำธุรกิจอย่างไรให้มีความมั่นคงมากกว่า ซึ่งเครือสหพัฒน์เองก็ต้องปรับแนวทางการลงทุน โดยธุรกิจอะไรก็ตามที่มีโอกาส มีทางออกก็จะขยายตัวต่อไป เช่น กลุ่มอาหาร กลุ่มสินค้าส่วนตัวในชีวิตประจำวัน หรือกลุ่มสินค้าที่ส่งออก แต่ในส่วนของธุรกิจที่ไม่มีทางออกหรือมีปัญหาในตลาดก็จะลดความสำคัญหรือลดขนาดธุรกิจลง เช่น แฟชั่น เครื่องสำอาง เสื้อผ้า เป็นต้น

ส่วนแนวนโยบายการลงทุนของเครือสหพัฒน์จากนี้จะขึ้นอยู่กับโอกาสมากกว่า ส่วนออนไลน์ถือว่าน่าสนใจ ตลาดเติบโตมากเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป

Source

]]>
1280185
“มาม่าคัพ” ดัมพ์ราคาเหลือ 10 บาทครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ไวรัสดันตลาดแตะ 2.2 หมื่นล้าน https://positioningmag.com/1277943 Mon, 11 May 2020 16:15:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1277943 “สหพัฒน์” เพิ่มกำลังการผลิตมาม่าอีก 30% พร้อมกับจัดโปรโมชั่นลดราคามาม่าคัพแบบถ้วยเหลือ 10 บาท เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ลุ้นตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแตะ 22,000 ล้านบาท หรือโตพรวด 16%

ล็อกดาวน์ กักตัวดันมาม่าโต

การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในไทย ส่งผลให้เกิดมาตรการล็อกดาวน์ และคนไทยเองก็ต้องกักตัวอยู่บ้าน เพื่อลดการแพร่ระบาดให้มากที่สุด ซึ่งการล็อกดาวน์ในครั้งนี้ ทำให้ได้เห็นภาพผู้คนกักตุนอาหาร ซึ่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็เป็นสินค้ายอดนิยมที่คนไทยกักตุนกันอย่างมาก

ปัจจุบันตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีมูลค่า 19,000 ล้านบาท จากเหตุการณ์ล็อกดาวน์ทำให้ตลาดโตขึ้น 5.8% มีการคาดการณ์ว่าปีนี้อาจจะได้เห็นตลาดโตขึ้นไปถึง 16% หรือแตะ 22,000 ล้านบาทได้

เวทิต โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า

“จากสถานการณ์ COVID-19 ส่งผลให้ภาพรวมของสหพัฒน์ในเรื่องของแผนลงทุนใหญ่ๆ ในปีนี้ต้องชะลอออกไป เอางบเก็บไว้ก่อน แต่ในส่วนของคลังสินค้า อีคอมเมิร์ซ และโลจิสติกส์ยังคงเดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง โดยเฉพาะคลังสินค้าใหญ่ที่มีแผนเปลี่ยนไปใช้คลังที่มีพื้นที่ใหญ่ขึ้นที่ศรีราชานั้นจะเป็นไปตามแผนเดิมที่จะเปลี่ยนในปี 2564”

ขณะที่อีคอมเมิร์ซจะเห็นภาพชัดเจนในช่วง COVID-19 ว่ามียอดสั่งซื้อเข้ามาเติบโตเป็น 100% จึงต้องมีการปรับปรุงระบบ พัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงเปลี่ยนคลังสินค้าของอีคอมเมิร์ซจากพื้นที่ร่มเกล้ามาที่พื้นที่พระราม 3 ในไตรมาส 3 นี้

ตั้งทีม New Normal รับการทำงานที่เปลี่ยนไป

สหพัฒน์ยังตั้งทีม New Nomal เพื่อตั้งรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้น เพื่อกำหนดเป็นกลยุทธ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลัง COVID-19 จบลง โดยระหว่างนี้เราจะยังอยู่ในช่วงระวังกันอีกเป็นปี แม้สถานการณ์จะเริ่มดีขึ้น แต่ก็ยังไม่คล่องตัวก่อนเข้าสู่ New Normal ในเฟสถัดไป

รวมถึงได้เพิ่มกำลังผลิตของมาม่าอีก 30% เพื่อรับกับความต้องการของผู้บริโภค ได้เข้าร่วมโครงการพาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชน เพื่อช่วยเหลือและลดค่าครองชีพของประชาชนที่กำลังได้รับผลกระทบจากวิกฤต COVID-19 โดยนำสินค้าหลายแบรนด์เข้าร่วมโครงการ เช่น ผงซักฟอก เปา, ไฮคลาส, โชกุบุสซึ นิสชิน และ มาม่า เป็นต้น

ได้ปรับลดราคา “มาม่าคัพ” ทุกรสชาติ จากราคา 13 บาท เหลือ 10 บาท ตั้งแต่วันที่ 1-31 พฤษภาคม 2563 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของมาม่าคัพที่มีการลดราคา

ลุ้นตลาดแตะ 22,000 ล้านครั้งแรก!

สำหรับภาพรวมตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมูลค่า 19,000 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมามีการเติบโต 8% แบ่งเป็น แบบซองโต 20% และแบบคัพโต 10% โดยในส่วนของแบบซอง มาม่ามีแชร์ 48% ขณะที่แบบคัพ มาม่ามีแชร์ 55%

โดย 2 เดือนที่ผ่านมานี้มาม่าได้เพิ่มกำลังผลิตอีกกว่า 30% จากปกติกำลังการผลิตอยู่ที่ 4 ล้านชิ้นต่อวัน รองรับความต้องการของผู้บริโภคที่มีมากขึ้น

เวทิตเสริมว่า ในเดือนเมษายนยอดขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังเติบโตมากกว่าปกติ แต่น้อยกว่าเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่วนสถานการณ์หลังจากนี้ตอบยากว่าจะเติบโตได้มากแค่ไหน แต่เชื่อว่าตลอดทั้งปีนี้มีโอกาสที่จะได้เห็นตัวเลขรวมถึง 22,000 ล้านบาท ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสำหรับตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศไทย

Source

]]>
1277943
เปิดแล้ว! Komehyo “แบรนด์เนมมือสอง” จากญี่ปุ่น กวาดคนไทยกระเป๋าหนักช้อปคนละ 2-3 แสนบาท https://positioningmag.com/1255391 Fri, 29 Nov 2019 09:58:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1255391
  • Komehyo จับมือ สหพัฒน์ เปิดร้านรับซื้อ-ขายกระเป๋าและนาฬิกาแบรนด์เนมมือสอง สาขาแรกที่เซ็นทรัลเวิลด์
  • วางเป้าภายใน 3 ปีมี 3-4 สาขา ยอดขาย 300-400 ล้านบาทต่อปี
  • เปิดพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยช้อปแบรนด์เนมมือสองในสาขาที่ญี่ปุ่นปีละ 400-500 ล้านเยน ใช้จ่าย 2-3 แสนบาทต่อคนต่อครั้ง
  • สินค้ายอดฮิตของคนไทย กระเป๋า Hermes และนาฬิกา Patek Philippe
  • หลังจากประกาศร่วมก่อตั้ง บริษัท สหโคเมเฮียว จำกัด มาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 และเริ่มเปิดศูนย์รับซื้อสินค้าในไทยที่ตึกสยามพิวรรธน์เมื่อ 6 เดือนก่อน ในที่สุดร้าน Komehyo (โคเมเฮียว) สาขาแรกในประเทศไทยได้ฤกษ์เปิดร้านขายอย่างเป็นทางการแล้วที่ชั้น 2 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ รวมสินค้าเบื้องต้น 1,000 กว่าชิ้น ทั้งกระเป๋าและนาฬิกาแบรนด์เนมขนมาจัดแสดงในร้านและบนหน้าเว็บไซต์

    โดย “วิชัย กุลสมภพ” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง เปิดเผยว่าฝั่งสหพัฒน์เป็นผู้สนใจ ‘จีบ’ ให้ Komehyo ยอมมาเปิดร้านที่ประเทศไทย เพราะทราบว่าคนไทยไปช้อปในร้านที่ญี่ปุ่นจำนวนมาก และ Komehyo เองเป็นร้านที่ได้รับการยอมรับ จากประวัติก่อตั้งยาวนาน 70 ปีและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของญี่ปุ่น มีขั้นตอนการรับซื้อและขายชัดเจน โปร่งใส เสียภาษีตรงไปตรงมา

    Komehyo-แบรนด์เนมมือสอง-01
    บรรยากาศภายในร้าน Komehyo

    “ตอนแรกเขาไม่มั่นใจเพราะกลัวไม่มีคนนำของมาขายให้ แต่เราบอกว่า ตลาดไทยพัฒนาไปมากแล้ว คนไทยเดี๋ยวนี้รู้จักขายมากกว่าเก็บไว้แล้วไม่ได้ใช้” วิชัยกล่าวถึงเบื้องหลังดีล

     

    บริษัทแม่ฮุบ Brand off Tokyo แล้ว

    ฝ่าย “ทาคุจิ อิชิฮาร่า” ประธาน บริษัท โคเมเฮียว จำกัด กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่แบรนด์ Komehyo เข้ามาเปิดหน้าร้านนอกญี่ปุ่น โดยก่อนหน้านี้เคยเปิดสาขาที่ฮ่องกงแต่เป็นศูนย์รับซื้อขายส่ง ไม่มีหน้าร้าน และมี 2 สาขาที่ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ แต่เป็นดีลร่วมทุนที่ใช้ชื่อแบรนด์ท้องถิ่นของบริษัทจีน ทำให้ไทยเป็นแห่งแรกที่เข้ามาพร้อมแบรนด์ตนเอง

    Komehyo-แบรนด์เนมมือสอง-management-team
    (จากซ้าย) “วิชัย กุลสมภพ” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง, “ทาคุจิ อิชิฮาร่า” ประธาน บริษัท โคเมเฮียว จำกัด และ “ฮิเดโอะ ทาเคโอะ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหโคเมเฮียว จำกัด

    ในญี่ปุ่นนั้น ธุรกิจของ Komehyo ทำเงินปีละกว่า 45,000 ล้านเยน เป็นบริษัทซื้อขายสินค้าแบรนด์เนมมือสองอันดับ 1 ของประเทศ มีมาร์เก็ตแชร์ 18% จากมูลค่าตลาดของมือสองในญี่ปุ่นปีละ 2.5 แสนล้านเยน

    แต่เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นอยู่ในช่วงประชากรลดลง ทำให้บริษัทต้อง หาลู่ทางเติบโตนอกประเทศ จึงตอบรับดีลจากสหพัฒน์ โดยในญี่ปุ่นปัจจุบันมี 39 สาขา และกำลังจะเปิดเพิ่ม 3 สาขาภายในสิ้นปีนี้ แต่ที่จะเปิดเพิ่มนั้นเป็น “ศูนย์รับซื้อ”

    ขณะที่ต่างประเทศมีโอกาสเป็นช่องทางจำหน่ายแทน อย่างในไทยจะมีสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่นด้วย แต่จะเน้นรับซื้อภายในประเทศมากกว่าเพราะการนำเข้าจากญี่ปุ่นจะต้องเสียภาษีเพิ่ม 5% ทำให้ราคาสูงขึ้น

    ปัจจุบันร้านมีศูนย์รับซื้อที่อาคารสยามพิวรรธน์ ผู้สนใจขายต้องนัดหมายทางเว็บไซต์ก่อนนำสินค้าเข้าไปเสนอขาย

    นอกจากนี้ Komehyo เพิ่งเทกโอเวอร์ร้าน Brand off Tokyo คู่แข่งร้านขายสินค้าแบรนด์เนมมือสอง เนื่องจากร้านนี้แม้จะมีสาขาในญี่ปุ่นเพียง 8 สาขา แต่มีสาขาต่างประเทศทั้งไต้หวัน ฮ่องกง และไทยด้วย จะเป็นช่องทางให้ Komehyo ขยายไปต่างประเทศได้เร็วขึ้น

     

    คนไทยช้อปเก่ง ซื้อแบรนด์เนมญี่ปุ่นปีละ 400-500 ล้านเยน

    ด้านเป้าหมายในไทย “ฮิเดโอะ ทาเคโอะ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหโคเมเฮียว จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าปีหน้าทำยอดขาย 54 ล้านบาท และภายในปี 2565 จะขยายเพิ่มเป็น 3-4 สาขา ทำให้มียอดขายแตะ 300-400 ล้านบาท จากมูลค่าตลาดแบรนด์เนมมือสองไทยที่บริษัทประเมินว่าอยู่ที่ราว 2,000-3,000 ล้านบาท

    Komehyo-แบรนด์เนมมือสอง-watches
    สินค้าในร้านจะแบ่งเกรดตามสภาพ ยกตัวอย่างนาฬิกาข้อมือ เกรด N = ไม่เคยใช้งาน / เกรด S = เคยลองใส่เท่านั้น / เกรด A = ไม่มีรอยขีดข่วนเด่นชัด / เกรด B = มีรอยขึดข่วนเห็นชัด

    เป็นตัวเลขที่สูงขึ้น 3 เท่า หากเปรียบเทียบกับข้อมูลของ Komehyo ว่า คนไทยเข้าไปช้อปในสาขาที่ญี่ปุ่นรวมเป็นเงินปีละ 400-500 ล้านเยน (ประมาณ 110-138 ล้านบาท) และในสัดส่วนผู้ซื้อ 15% ของร้าน Komehyo ที่เป็นชาวต่างชาติ คนไทยถือเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่อันดับ 2 รองจากชาวจีน โดยมีสัดส่วน 20-30% ในกลุ่มผู้ซื้อต่างชาติทั้งหมด สถิตินี้เป็นสิ่งที่ทำให้การเปิดสาขาไทยน่าสนใจ

     

    ช้อปครั้งละ 2-3 แสนบาท Hermes – Patek แบรนด์ในดวงใจ

    ทาเคโอะกล่าวด้วยว่า พฤติกรรมผู้บริโภคไทย แม้จำนวนคนไม่เยอะเท่าชาวจีนแต่แต่ละคน “จ่ายหนัก” เพราะถ้าคิดการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครั้งจะสูงถึง 2-3 แสนบาท!!

    โดยแบรนด์ในดวงใจที่คนไทยชื่นชอบจากทั้งหมด 35 แบรนด์ที่ร้านรับซื้อขาย หากเป็นกลุ่มกระเป๋า ได้แก่ 1.Hermes (โดยเฉพาะรุ่น Berkin และ Kelly) 2.Chanel และ 3.Louis Vuitton ส่วนนาฬิกาข้อมือ ได้แก่ 1.Patek Philippe 2.Rolex และ 3.Audemars Piguet

    สินค้าที่แพงที่สุดที่มีขายในขณะนี้ นาฬิกาข้อมือ Patek Philippe Aquanaut Travel Time ราคาขาย 1.8 ล้านบาท

    สินค้าที่โชว์ในร้านส่วนใหญ่จึงเป็นของที่ตรงกับความชอบคนไทย และอยู่ในช่วงราคาหลักหมื่นถึงแสนเป็นหลัก แต่ถ้าดูในเว็บไซต์จะพบสินค้าหลักพันบาทให้เลือกเช่นกัน

     

    ใช้ดาต้าเบสให้ราคาตลาด

    เมื่อถามว่า Komehyo จะให้ราคารับซื้อดีกว่าร้านมือสองอื่นๆ หรือโรงรับจำนำหรือไม่ ทาเคโอะตอบว่า ‘บอกยาก’ แต่ร้านจะให้ราคาเหมาะสมตามราคาตลาดโลก ใช้ราคาเดียวกับญี่ปุ่น โดยบริษัทมีจุดเด่นด้วยดาต้าเบสการรับซื้อในญี่ปุ่นปีละ 1.6 ล้านชิ้น และมีการติดตามราคาประมูลของแบรนด์เนม ทำให้รู้การขึ้นลงของราคาตลาด

    “ของบางชิ้นถ้าเป็นที่ต้องการในตลาด หายาก บางครั้งได้ราคาดีกว่าตอนซื้อมือหนึ่ง แต่ถ้าเป็นของทั่วไปและอยู่ในสภาพไม่ดีนัก ราคาจะอยู่ที่ 20-30% ของราคามือหนึ่ง” ทาเคโอะกล่าว “และของบางอย่างคนไม่รู้จัก ประเมินราคาไม่ถูก แต่เราเชื่อว่าเรารู้จักทุกแบรนด์ทุกรุ่น”

     

    ]]>
    1255391
    สหพัฒน์ฯ ดึง Komehyo แบรนด์เนมมือสองจากญี่ปุ่น เปิดสาขาแรกที่ ZEN แล้ว https://positioningmag.com/1254405 Thu, 21 Nov 2019 07:55:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1254405 นักช้อปเตรียมเฮกันได้แล้ว ในที่สุดร้าน Komehyo เป็นร้านขายสินค้าแบรนด์เนมมือสองจากประเทศญี่ปุ่นได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วที่ห้างสรรพสินค้า ZEN 

    หลังจากที่มีการมีการประกาศว่า Komehyo (โคเมเฮียว) จะบุกตลาดประเทศไทยเมื่อปี 2018 ก็ดูเหมือนว่าจะสร้างเสียงฮือฮาอยู่ไม่น้อย โดยได้ประกาศลงนามสัญญาความร่วมมือกับบริษัท สหพัฒนาอินเตอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) จดทะเบียนตั้งบริษัท สหโคเมเฮียว จำกัด ขึ้นในประเทศไทย

    ในตอนแรก Komehyo ได้เปิดเพียงแค่จุดรับซื้อสินค้าเท่านั้น ยังไม่มีหน้าร้าน แต่ล่าสุดได้ประกาศเปิดเป็น Flagship Store แห่งแรกที่ห้างสรรพสินค้า ZEN ชั้น 2 อย่างเป็นทางการ

    งานนี้แฟนพันธุ์แท้สินค้าแบรนด์เนมมือสองไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปช้อปไกลถึงญี่ปุ่นแล้ว ซึ่งนอกจากจะได้ช้อปสินค้ามือสองแล้ว ที่ Komehyo ยังมีบริการรับซื้อสินค้าแบรนด์เนมสภาพดีอีกด้วย 

    ]]>
    1254405
    รู้จัก “Brainwake Café” ร้านกาแฟเล็กๆ ที่กลุ่มสัมมากร-สหพัฒน์ฯ ยังต้องเข้าถือหุ้น https://positioningmag.com/1250917 Thu, 24 Oct 2019 16:34:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1250917 จากร้านกาแฟเล็กๆ บนถนนสุขุมวิท 33 เพิ่มเมนูอาหารสไตล์คอมฟอร์ตฟู้ด ทั้งอาหารไทย และอาหารอินเตอร์ จนได้รับการตอบรับดี ตั้งแต่ปี 2547 ปัจจุบันขยายสาไปแล้ว 8 สาขา

    ร้านเล็กๆ ที่แบรนด์ไม่เล็กต้องขอจอยด้วย

    จากศักยภาพที่โดดเด่น ทำให้ขยายปีกออกสู่ต่างประเทศ พร้อมเพิ่มทุนเป็น 150 ล้านบาท โดยมีกลุ่มสัมมากร และกลุ่มสหพัฒน์ฯ ได้เข้ามาร่วมถือหุ้น ถือว่าไม่ธรรมดาสำหรับร้านกาแฟที่ชื่อว่า “เบรนเวค คาเฟ่” (Brainwake Café)

    แม้จะร้างลาจากวงการการเมืองมาแล้วหลายปี ก้าวเข้าสู่วงการนักธุรกิจแบบเต็มตัว อย่าง “นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ” ก็ยังไม่ทิ้งฝีมือด้านการบริหาร กับการนั่งตำแหน่ง ประธานกรรมการ เบรนเวค กรุ๊ป สามารถนำพาธุรกิจเตะตานักลงทุนรายใหญ่ระดับประเทศ อย่าง กลุ่มสัมมากร และกลุ่มสหพัฒน์ฯ ได้เข้ามาร่วมถือหุ้น

    โดยมีสัดส่วนการถือหุ้น คือ กลุ่มสัมมากร 19% กลุ่มสหพัฒน์ฯ 13% ในขณะที่นายสุรนันทน์ถือหุ้น 20% ที่เหลือเป็นผู้ถือหุ้นชาวญี่ปุ่น และผู้ถือหุ้นคนไทยอีกกว่า 70 คน ซึ่งการเข้ามาของกลุ่มทุนใหญ่ในครั้งนี้ เนื่องจากเห็นช่องทางการลงทุนในแบรนด์ร้านอาหารที่ยังไม่ใหญ่มากแต่มีศักยภาพที่จะเติบโต

    โดยที่กลุ่มสัมมากรซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทำให้เรามีช่องทางในการหาทำเลที่เหมาะสม เพื่อขยายสาขาเพิ่ม พร้อมนำ เบรนเวค คาเฟ่ ไปเปิดในคอมมูนิตี้มอลล์ “สัมมากร เพลส” รวมถึง เพิ่มปริมาณการซัพพลายเบเกอรี่ให้ร้าน ลอว์สัน 108 ที่บริหารงานโดยกลุ่มสหพัฒน์ฯ

    ขยายสาขา พร้อมกับส่งเบเกอรี่ให้ร้านใหญ่ๆ

    สำหรับร้าน “เบรนเวค คาเฟ่ (Brainwake Café)” เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2557 ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้นเพียง 2 ล้านบาท โดยสาขาแรกเปิดบนที่ดินบ้านของตัวเอง บริเวณถนนสุขุมวิท 33 มีเมนูอาหารสไตล์คอมฟอร์ตฟู้ด ทั้งอาหารไทย และอาหารอินเตอร์ ซึ่งได้การตอบรับที่ดีมาก มีลูกค้าชาวญี่ปุ่น ยุโรป และคนไทย มาใช้บริการเป็นจำนวนมาก

    หลังจากเปิดสาขาแรกได้ 2 ปี จึงได้มาเปิดสาขาทองหล่อ เป็นแห่งที่ 2 โดยเป็นคาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่น ที่มีไลน์เบเกอรี่ที่คิดค้นสูตรและทำโดยเชฟชาวญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นจุดเด่นและเป็นซิกเนเจอร์ของเบรนเวค และเพื่อให้ได้เบเกอรี่ที่มีรสชาติและมาตรฐานเดียวกันทุกสาขา จึงใช้ที่นี่เป็น “Bakery Lab” สำหรับผลิตเบเกอรี่และเค้ก เพื่อส่งไปยังสาขาอื่นๆ ที่ปัจจุบันมียอดขายรวมกันวันละประมาณ 3,000 ชิ้น โดยมีกำลังการผลิตได้สูงสุดได้ถึงวันละ 9,000 ชิ้น

    ห้องผลิตเบเกอรี่สไตล์ญี่ปุ่น

    ปัจจุบันเบรนเวค คาเฟ่ มีทั้งหมด 8 สาขาที่เป็นร้านขนาดใหญ่ที่มีอาหารและเครื่องดื่ม คือ สาขาสุขุมวิท 33, สาขาทองหล่อ, สาขามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, สาขาจี ทาวเวอร์, สาขามติชนอคาเดมี (เป็นครัวกลางที่ผลิตอาหารเพื่อส่งไปที่สาขาอื่นๆ), สาขาสัมมากร, สาขาโรงแรมชามา ซอยนานา, สาขาบางซื่อจังชั่น และอีก 1 สาขาที่เป็น “เบรนเวค คาเฟ่ แอนด์ เบเกอรี่” คือ สาขาลิโด้ คอนเน็คท์ ที่มีเฉพาะเบเกอรี่และเครื่องดื่ม นอกจากนี้ยังได้ซัพพลายเบเกอรี่ให้ร้านสะดวกซื้อ ลอว์สัน 108 (Lawson 108) อีก 20 สาขา

    นอกจากนี้ เบรนเวค กรุ๊ป ยังได้ร่วมกับ Lichen International Group ผู้นำด้านธุรกิจอาหารจากประเทศไต้หวัน เปิดร้านก๋วยเตี๋ยว “Mei Wei Wan” (เม่ย เว้ย หว่าน) สูตรไต้หวันดั้งเดิมสาขาแรกที่ ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ ที่เปิดให้บริการไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยมีแผนที่จะเปิดอีก 3 – 5 สาขา ภายในปี 2020

    “แม้สภาพเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างถดถอย แต่ในปีนี้ เบรนเวค กรุ๊ป มีรายได้เติบโตเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน จาก 43 ล้านบาท เป็น 52 ล้านบาท และคาดว่าในปีหน้าจะมีรายได้แตะ 100 ล้านบาท โดยมีแผนที่จะขยายสาขาเบรนเวค คาเฟ่ ในพื้นที่กรุงเทพฯ และจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยว ไม่น้อยกว่า 3 สาขา อาทิ เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา ขณะที่ร้าน “เบรนเวค คาเฟ่ แอนด์ เบเกอรี่” ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 8 – 10 สาขา โดยเน้นโลเคชั่นที่เป็นอาคารสำนักงานใหญ่ๆ พร้อมซัพพลายเบเกอรี่ให้ร้านสะดวกซื้อ ลอว์สัน 108 เพิ่มเป็น 50 สาขา รวมถึงความร่วมมือที่จะซัพพลายเบเกอรี่ให้กับทาง Gourmet Market ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”

    สำหรับแผนการบริหารธุรกิจในอีก 3 – 5 ปีข้างหน้า บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายสาขา เบรนเวค คาเฟ่ ในประเทศให้ได้ 20 สาขา และมีแผนที่จะขยายสาขาไปยังต่างประเทศอีก 3 – 5 แห่ง เพื่อสร้างให้แบรนด์ไทยติดตลาดต่างประเทศ อาทิ สิงคโปร์ โตเกียว ไทเป ซิดนีย์ เมลเบิร์น และนิวยอร์ก โดยมีแผนที่จะนำบริษัทฯ เข้าตลาดหลักทรัพย์ภายใน 3 ปีจากนี้.

    Source

    ]]>
    1250917
    ยุทธศาสตร์ “โก ดิจิทัล” สหกรุ๊ป ผนึกคู่ค้า-แพลตฟอร์ม สร้าง Ecosystem ลุยอีคอมเมิร์ซ https://positioningmag.com/1236879 Sun, 30 Jun 2019 23:05:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1236879 ตั้งแต่ 5 ปีก่อน เสี่ยใหญ่เครือสหพัฒน์บุณยสิทธิ์ โชควัฒนาที่ปัจจุบันวัย 82 ปี แต่ได้ให้วิสัยทัศน์สหกรุ๊ปองค์กรอายุกว่า 7 ทศวรรษ ต้อง Go Digital โดยกำหนดให้ ไอ.ซี.ซี. เป็นแพลตฟอร์มและสร้าง Ecosystem ให้ธุรกิจในเครืออยู่ร่วมกับคู่ค้าทั้งหมด

    ดร.สุรัตน์ วงศ์รัตนภัสสร กรรมการ บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาเกิดปรากฏการณ์ Disruption ในหลายอุตสาหกรรม รวมทั้งกลุ่มแฟชั่น พฤติกรรมลูกค้าหันมาช้อปออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ตลาดสินค้าแฟชั่นและเครื่องสำอางแข่งขันรุนแรง

    การปรับตัวของเครือสหพัฒน์ รวมทั้ง ไอ.ซี.ซี. จึงต้อง Go Digital ปรับโครงสร้างภายในให้มีแผนก “อีคอมเมิร์ซ เชื่อมโยงกว่า 100 แบรนด์ของไอ.ซี.ซี. เข้าด้วยกัน รวมทั้งสินค้านอกเครือ ซึ่งเปรียบเป็นแพลตฟอร์มกลางให้ใช้งานร่วมกัน

    พร้อมเชื่อมต่อกับระบบโลจิสติกส์ กับ ไทเกอร์ ดิสทริบิวชั่น ย่านสุวรรณภูมิ พื้นที่ 73,000 ตร.ม. เป็นคลังสินค้าใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ลงทุนโดย สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง หรือ SPI และบริษัทในเครือมูลค่ากว่า 2,800 ล้านบาท เชื่อมระบบโลจิสติกส์กับพาร์ตเนอร์รายอื่นๆ ทั้งกลุ่มค้าปลีก ทีวีช้อปปิ้ง และมาร์เก็ตเพลสต่างๆ ให้อยู่ใน Ecosystem เดียวกัน

    His&Her หัวหอกเชื่อมฐานข้อมูล

    การสร้าง Ecosystem ของกลุ่มสหกรุ๊ป จะใช้ His&Her ระบบบัตรสมาชิกของเครือสหพัฒน์ ปัจจุบันมีฐานสมาชิก 2.7 ล้านคน เป็นหัวหอกเชื่อมฐานข้อมูลกับทุกบริษัทเครือสหพัฒน์ ที่มีผู้ตามผ่านโซเชียลมีเดีย ทั้งไลน์ออฟฟิศเชียล เฟซบุ๊ก รวม 20 ล้านราย

    รวมทั้งเป็นพาร์ทเนอร์กับแพลตฟอร์มต่างๆ ที่ทำไปแล้วคือ Rabbit Rewards โปรแกรมสะสมคะแนนของบัตร Rabbit ซึ่งฐานสมาชิกกว่า 10 ล้านราย ปลายปีนี้จะเชื่อมข้อมูลกับ True You ระบบสิทธิประโยชน์ลูกค้าของกลุ่มทรู มีสมาชิกกว่า 13 ล้านราย

    พร้อมทั้งร่วมมือกับห้างสรรพสินค้าโตคิว และโตคิว แฮนด์ ร้านค้าในกลุ่มโคคิวประเทศญี่ปุ่น ที่มีกว่า 50 สาขาในญี่ปุ่น รวมทั้งโรงแรมกลุ่มโตคิวกว่า 40 แห่งในญี่ปุ่น ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์และข้อเสนอพิเศษ ลดราคาสินค้าและราคาที่พัก สำหรับบัตรสมาชิก His&Her ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งในไทยและญี่ปุ่น

    ระบบสมาชิกบัตร His&Her คือ การทำ CRM แลกเปลี่ยนลูกค้าระหว่างเครือสหกรุ๊ปกับพันธมิตร เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าแบบรายบุคคล พร้อมกันนี้ได้ปรับภาพลักษณ์ร้าน His&Her ที่ปัจจุบันมี 80 สาขา ด้วยการเปิดช็อป Unman Store ร้านค้าอัจฉริยะไร้พนักงาน เริ่ม 1 แห่งที่ เทอร์มินอล 21 ใช้เงินลงทุน 10 ล้านบาท และเพิ่มร้านกาแฟ Brainwake Cafe โดย His&Her จะปรับเป็นร้านค้าไลฟ์สไตล์ มีสินค้านวัตกรรม 70% เป็นพื้นที่ใช้เทคโนโลยีสร้างประสบการณ์ให้ผู้บริโภค

    การสร้าง Ecosystem ของไอ.ซี.ซี. วันนี้จะเป็นพื้นฐานให้เติบโตได้ในช่วง 3 ปีจากนี้ ราว 10% แต่หากไม่ทำวันนี้ธุรกิจอาจไม่โต ช่วง 2 ปีที่ผ่านมายอดขายออนไลน์เติบโต 200% หรือเป็นสัดส่วน 4% ของรายได้ ไอ.ซี.ซี. วางเป้าหมาย 3 ปี เพิ่มเป็น 10% จากการเชื่อม Ecosystem เข้ากับพันธมิตรทุกราย

    ดึงร้านค้าสร้างซัพพลายเชนอีคอมเมิร์ซ

    ปัจจุบันสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) ยังไม่ถูก “เทคโนโลยี ดิสรัปชั่น” อย่างรวดเร็ว เหมือนอุตสาหกรรมอื่นๆ เพราะเป็นสินค้าที่มีน้ำหนักมาก การส่งออนไลน์อาจไม่คุ้ม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีสัญญาณให้เห็นว่า พฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มช้อปออนไลน์สินค้า FMCG มากขึ้น

    เวทิต โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) SPC กล่าวว่า สหพัฒน์ได้เตรียมพร้อมรับมืออีคอมมิร์ซในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ด้วยการทำระบบเชื่อมต่อกับพันธมิตรสร้างระบบซัพพลายเชนอีคอมเมิร์ซ โดย “โมเดิร์นเทรด” ทุกราย มีระบบอีคอมเมิร์ซพร้อมอยู่แล้ว จึงทำงานร่วมกันได้ทันที

    ส่วน ร้านค้าดั้งเดิม ได้ให้ทีมงานเข้าไปพูดคุยกับร้านค้ารวมทั้งอบรมวิธีการทำงาน เพื่อสร้างระบบซัพพลายเชนเข้าด้วยกัน โดยร้านค้าดั้งเดิมจะสามารถรับคำสั่งซื้อและไปส่งสินค้าในพื้นที่ใกล้เคียง ถือเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ที่เป็นเครือข่ายระบบส่ง Last mile delivery ที่เปิดกว้างทำงานกับพันธมิตรทุกราย เพราะโลกอนาคตเป็นโลกที่ต้องเชื่อมต่อกันทั้งหมด

    ]]>
    1236879
    สหพัฒน์ปรับตัวอย่างไรท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเร็วจี๋ธุรกิจแฟชั่น https://positioningmag.com/1236853 Sat, 29 Jun 2019 01:55:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1236853 เป็นประจำทุกปีที่ในงานสหกรุ๊ปแฟร์จะจัดให้มีช่วงนักวิเคราะห์ นักลงทุนพบกลุ่มสหพัฒน์ซึ่งหลักๆ จะนำบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกมาเปิดเผยถึงทิศทางธุรกิจ ทั้งอาหารและแฟชั่น

    แต่หนึ่งในไฮไลต์ที่น่าจับตามองคือกลุ่มแฟชั่นก่อนเมื่อวานนี้บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา” ประธานเครือสหพัฒน์ ได้ออกมาเปิดเผยถึงภาพรวมเครือสหพัฒน์ครึ่งปีแรกโตเล็กน้อย สินค้ากลุ่มอาหารและอุปโภคบริโภคยังเติบโตดี ส่วนสินค้าแฟชั่นหดตัว โดยมีอัตราการเติบโตลดลงเมื่อเทียบกับกลุ่มอาหารที่ขยับขึ้นมาเป็นพอร์ตรายได้หลักเมื่อ 2 ปีก่อน

    ดังนั้นในช่วงของนักวิเคราะห์ นักลงทุนพบกลุ่มสหพัฒน์ ครั้งที่ 11 ปี 2562” Positioning จึงสรุปมาให้ดูว่าสินค้าแฟชั่น กำลังปรับตัวเพื่อรับความท้าทายอย่างไรบ้าง

    แค่ตลาดแมสไม่พอวาโก้ลุยเจาะเซ็กเมนต์ ปีนี้เตรียมเข็นชุดชั้นในออกกำลังกาย

    เริ่มด้วยบริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน)” ซึ่งปีหน้ากำลังจะมีอายุ 50 ปีแล้ว บุญดี อำนวยสกุล ประธานกรรมการบริการและกรรมการระบุว่า ที่ผ่านวาโก้รั้งตำแหน่งผู้นำในตลาดชุดชั้นในสตรีมาโดยตลอด ปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดราว 40%

    ท่ามกลางความท้าทายจากตลาดชุดชั้นในสตรีในประเทศ ที่ยังคงเป็นตลาดที่มีการแข่งขันกันสูงอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านคุณภาพของสินค้าและบริการรูปแบบดีไซน์ ราคา ช่องทางการจัดจำหน่าย และกิจกรรมส่งเสริมการขาย

    วาโก้เองก็ปรับตัวเรื่อยมาโดยเฉพาะในด้านสินค้าใหม่ๆ ซึ่งพัฒนามาจากฐานข้อมูลสรีระของผู้หญิงไทยนับล้านคนมากว่า 38 ปี โดยวาโก้จะเน้นเจาะตลาดลงย่อยในเซ็กเมนต์มากขึ้น เพื่อขยายตลาดไม่อยู่ในแมสอย่างเดียว ปีที่ผ่านมาจึงได้ออก “Smart Size” เปลี่ยนจากวัดรอบออกมาแบ่งเป็นไซต์ S M และ L “Travel Bra” ยกทรงสำหรับคนที่ขอบท่องเที่ยว เนื้อผ้าระบายเหงื่อได้ดี และใช้ยางพารามาทำเป็นโครง

    ในปีนี้เตรียมต่อยอดไปทำชุดชั้นในสำหรับออกกำลังกาย ด้วยเห็นว่ายุคนี้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพ ซึ่งออกกำลังกายมากขึ้นและนอกจากเรื่องสินค้าแล้ว ได้ปรับตัวเข้าสู่การเป็นศูนย์กลางการบริหารจัดการ Supply Chain ให้กับสินค้าแบรนด์ Wacoal ทั่วโลก โดยร่วมมือกับ Wacoal Corp ประเทศญี่ปุ่น จัดตั้งบริษัทเพื่อผลิตวัตถุดิบสำหรับชุดชั้นในสตรี

    ด้านออนไลน์เทรนด์ที่พลาดไม่ได้วาโก้มีการตั้งทีมขึ้นมาดูแลโดยเฉพาะเพื่อดูแลช่องทางขายตั้งแต่สินค้า การออกแบบให้เหมาะสมกับฐานลูกค้าที่ซื้อในช่องทางนี้ โดยปีที่ผ่านมาเติบโต 80% ปีนี้ตั้งเป้าไม่น้อยกว่า 1 เท่าตัว เชื่อว่าในอนาคตยอดขายจากออนไลน์จะมีบทบาทสำคัญต่อยอดขายทั้งหมด

    รายได้และกำไร บริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน)

    • ปี 2015 รายได้ 4,141.40 ล้านบาท กำไร 334.37 ล้านบาท
    • ปี 2016 รายได้ 4,313.43 ล้านบาท กำไร 310.95 ล้านบาท
    • ปี 2017 รายได้ 4,546.55 ล้านบาท กำไร 324.67 ล้านบาท
    • ปี 2018 รายได้ 4,881.39 ล้านบาท กำไร 355.76 ล้านบาท

    ธนูลักษณ์หนีฟาสต์แฟชั่น ไปสู่ Supply Chain

    การเติบโตของแบรนด์ฟาสต์แฟชั่น รวมไปถึงการที่ผู้บริโภคยุคนี้หันมาเป็นเจ้าของธุรกิจเสื้อผ้า โดยขายผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ สะเทือนต่อบริษัท ธนูลักษณ์ จำกัด (มหาชน)” ซึ่งมีธุรกิจหลักขายเสื้อผ้าแฟชั่นทั้งผู้หญิง และผู้ชาย โดยมีแบรนด์หลักคือ ARROW – Guy Laroche เป็นต้น

    สุชาติ ลายลักษณ์ศิริ รองกรรมการผู้จัดการ ระบุว่า การบริหารงานได้ปรับไปสู่กรอบใหญ่ๆ 2 กรอบ คือการเปลี่ยนการวัดผลใหม่ และการเข้าสู่ยุคดิจิทัล โดยช่วง 3 ปีมานี้ได้ตั้งฝ่ายใหม่ขึ้นมา เพื่อทำให้คนในองค์ในเครื่องมือดิจิทัลให้ดียิ่งขึ้น และเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคได้อย่างถ่องแท้

    ปีที่ผ่านมามีการจับมือกับพีทีที โกลบอล เคมิคอลบริษัทภายใต้เครือ ปตท. ในโครงการลดกระบวนการเกิดขยะ โดยนำขยะพลาสติกที่เก็บได้จากทะเลมาผลิตเป็นเสื้อเชิ้ต ARROW โดยเสื้อ 1 ตัวทำมาจากขวด 12 ขวด

    ส่วนในแง่ของธุรกิจได้แตกไลน์ออกไปยูนิฟอร์มพนักงาน ซึ่งเป็นการตัดแบบวัดตัว ไม่ใช่ผลิตแบบสำเร็จออกมา โดยการทำแบบนี้ช่วยให้เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น ขณะเดียวกันผลกระทบจากฟาสแฟชั่น ทำให้บริษัทได้ปรับตัวเองไปเป็น Supply Chain

    โดยพัฒนาสินค้า ร่วมกับลูกค้าตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยนำเสนอและพัฒนา วัตถุดิบ รวมทั้งออกแบบสินค้ำ เพื่อตอบสนองต้องการของลูกค้า และทันต่อกระแสแฟชั่นที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

    รายได้และกำไร บริษัท ธนูลักษณ์ จำกัด (มหาชน)

    • ปี 2015 รายได้ 2,227.74 ล้านบาท กำไร 173.20 ล้านบาท
    • ปี 2016 รายได้ 2,133.49 ล้านบาท กำไร 205.31 ล้านบาท
    • ปี 2017 รายได้ 2,002.72 ล้านบาท กำไร 152.11 ล้านบาท
    • ปี 2018 รายได้ 2,227.74 ล้านบาท กำไร 195.52 ล้านบาท

    นิวซิตี้ (กรุงเทพฯ)” แตกไลน์สินค้าลดการพึ่งพาถุงน่อง

    การมีสินค้าอย่างเดียวไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่ต้องมีความหลากหลาย เพื่อกระจายความเสี่ยง ดังนั้นช่วง 7 – 8 ปีที่ผ่านมา บริษัท นิวซิตี้ (กรุงเทพฯ) จำกัด (มหาชน)” ได้ปรับไลน์สินค้าจากเดิมที่รายได้หลักมาจากเป็นถุงน่องแบรนด์เชอรีลอน ไปสู่สินค้าอื่นๆ มากขึ้น

    พิภพ โชควัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริการและกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า แต่ก่อนถุงน่องคิดเป็นรายได้หลักกว่า 80 – 90% แต่สินค้าชนิดนี้มีขึ้นมีลงตามธุรกิจปรกติจึงได้เพิ่มสินค้าอื่นๆ จนวันนี้ลดลงเหลือ 50% ซึ่งได้ขยายไปสู่ชุดชั้นในสปอร์ตแวร์โดยปีที่ผ่านมาเติบโต 20 – 40% รวมไปถึงขยายไปสู่ธุรกิจเครื่องสำอาง

    ปีนี้เตรียมออกชุดว่ายน้ำและรองเท้าสตรีในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะเดียวกันเตรียมทำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเป็นของตัวเอง เพื่อสร้างพื้นที่ของตัวเอง รับมีกับการเปลี่ยนแปลง

    รายได้และกำไร บริษัท นิวซิตี้ (กรุงเทพฯ) จำกัด (มหาชน)

    • ปี 2015 รายได้ 641.10 ล้านบาท กำไร 10.80 ล้านบาท
    • ปี 2016 รายได้ 673.27 ล้านบาท กำไร 14.52 ล้านบาท
    • ปี 2017 รายได้ 655.14 ล้านบาท กำไร 15.23 ล้านบาท
    • ปี 2018 รายได้ 681.90 ล้านบาท กำไร 19.09 ล้านบาท

    โอ ซี ซีตั้งความหวังร้านตัดผม Easy Cut จะติด Top 10 ของวัยรุ่น

    ถึงตลาดเครื่องสำอางจะมีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี สวนทางกับธุรกิจอื่นที่อยู่ในภาวะไม่คงที่ แต่ ธีรดา อำพันวงษ์ กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริการ บริษัท โอ ซี ซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยที่ผันผวนส่งผลกระทบกำลังซื้อที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งการมีแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาทั้งรายเล็กและรายใหญ่ ก็ส่งผลเช่นกัน

    โอ ซี ซี เองก็ต้องปรับตัวเยอะมา โดยเฉพาะการลงในเทคโนโลยีเพื่อนำ Big Data มาใช้งาน แต่การจะใช้จริงๆ ก็ถือเป็นความท้าทายอยู่เหมือนกัน

    โดยนอกเหนือจากสินค้าหลักอย่าง คัฟเวอร์มาร์ค (Covermark) และ Shiseido Professional ตัวโอ ซี ซี เองได้ปรับตัวเข้าหาคนรุ่นใหม่โดยเปิดธุรกิจการให้บริการตัดแต่งทรงผมภายใต้แบรนด์ Easy Cut เน้นความสะดวกรวดเร็ว โดยตั้งอยู่ในบริการในย่านรถไฟใต้ดิน ห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

    แม่ทัพใหญ่โอ ซี ซี ตั้งความหวังถึงขนาดให้ Easy Cut ติด 1 ใน 10 ร้านที่วัยรุ่นต้องไปตัดผม ขณะเดียวกันได้มองหาลู่ทางของธุรกิจใหม่ๆ โดยมองจากทิศทางตลาดเป็นหลัก ซึ่งวันดีคืนดีอาจจะไปเข้าร่วมกับสตาร์อัพที่ไม่ได้อยู่ในธุรกิจเครื่องสำอางและแฟชั่นก็ได้

    รายได้และกำไร บริษัท โอ ซี ซี จำกัด (มหาชน)

    • ปี 2015 รายได้ 1,455.45 ล้านบาท กำไร 82.88 ล้านบาท
    • ปี 2016 รายได้ 1,417.50 ล้านบาท กำไร 70.79 ล้านบาท
    • ปี 2017 รายได้ 1,404.71 ล้านบาท กำไร 63.25 ล้านบาท
    • ปี 2018 รายได้ 1,470.89 ล้านบาท กำไร 169.09 ล้านบาท

    เอส แอนด์ เจ กระจายความเสี่ยงด้วยการออกเครื่องสำอางฮาลาลและวีแกน”

    บริษัท เอส แอนด์ เจ อินเตอร์เนชั่นแนล เอนเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน)” เป็นอีกหนึ่งธุรกิจของเครือสหพัฒน์ ที่อยู่ในกลุ่มเครื่องสำอาง แต่บริษัทนี้จะทำหน้าที่รับจ้างผลิตเครื่องสำอางเป็นหลัก

    ครอบคลุมตั้งแต่ขั้นตอนการวิจัยและพัฒนา ซึ่งมีนักวิจัยกว่า 200 คน การออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ การผลิตสินค้าด้วยเครื่องจักร ตลอดจนออกแบบแนวคิดทางธุรกิจ พร้อมทั้งกลยุทธ์ทางการตลาดให้กับลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ

    ธีรศักดิ์ วิกิตเศรษฐ์ กรรมการผู้จัดการ ความท้าทายของเอส แอนด์ เจ ในตอนนี้คือภาวะตลาดโลกที่ไม่แน่นอน เพราะลูกค้าส่วนหนึ่งอยู่ต่างประเทศ เพื่อรับมือทีมจึงต้องหาลูกค้าใหม่ๆ โดยมุ่งไปที่กลุ่มยุโรปมากขึ้น

    ส่วนทีมเองก็ต้องทีทักษะใหม่ๆ โดยเฉพาะความรู้เรื่องด้านดิจิทัล ด้านโรงงานเตรียมนำหุ่นยนต์มาลดต้นทุน รวมไปถึงระบบเชื่อมโยงข้อมูล เพื่อให้แม่นยำและทันตลอดเวลา

    ขณะเดียวกันก็เตรียมออกสินค้าใหม่ๆ โดยเน้นสกินแคร์ ที่เป็นเครื่องสำอางแบบฮาลาลและวีแกน ซึ่งนี่เป็นถึงในวิธีกระจายความเสี่ยง.

    ]]>
    1236853