อินเดีย – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 13 Aug 2025 13:26:14 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 งานเข้าแบรนด์ดังสหรัฐฯ! หลังเกิดกระแส ‘แบน’ ในอินเดีย เพื่อตอบโต้มาตรการ ‘ภาษีทรัมป์’ https://positioningmag.com/1533439 Wed, 13 Aug 2025 07:07:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1533439 หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นภาษีสินค้าอินเดียที่ 50% เนื่องจากอินเดียยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ซึ่งนั่นได้ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลนิวเดลีกับวอชิงตัน ล่าสุด งานกำลังเข้าบรรดา บริษัทข้ามชาติสัญชาติอเมริกัน ที่กำลังเผชิญกระแสการ คว่ำบาตร ในอินเดีย หลังจากผู้นำธุรกิจและผู้สนับสนุนนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ปลุกกระแสต่อต้านสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ

อินเดียซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ถือเป็นตลาดสำคัญของแบรนด์อเมริกัน ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงขึ้น และมองสินค้านำเข้าเป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าในชีวิต ทำให้ปัจจุบัน อินเดียได้กลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของหลาย ๆ แบรนด์จากสหรัฐฯ

อาทิ WhatsApp ที่อินเดียกลายเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ใช้งานมากที่สุด หรืออย่าง Domino’s Pizza ก็มีจำนวนสาขามากที่สุดในโลกในประเทศนี้ และทุกครั้งที่ Apple Store หรือ Starbucks เปิดใหม่ก็มักมีคนต่อคิวรอแน่นเสมอ

แม้ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานว่ากระทบยอดขายโดยตรง แต่กระแสในโซเชียลมีเดียและในชีวิตจริง เริ่มหันมาสนับสนุนสินค้าท้องถิ่นและเลิกใช้สินค้าสหรัฐฯ

มานิช เชาดารี ผู้ร่วมก่อตั้ง Wow Skin Science ของอินเดีย โพสต์วิดีโอใน LinkedIn เรียกร้องให้สนับสนุนเกษตรกรและสตาร์ทอัพ พร้อมผลักดันให้ Made in India กลายเป็นกระแสระดับโลก เหมือนกับที่ประเทศเกาหลีใต้ ที่ทำให้สินค้าอาหารและผลิตภัณฑ์ด้านความงามเป็นที่นิยมทั่วโลก

“เราต่อคิวซื้อสินค้าที่มาจากอีกซีกโลก ใช้จ่ายอย่างภาคภูมิใจกับแบรนด์ที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของ ในขณะที่ผู้ผลิตในประเทศต้องพยายามดิ้นรนเพื่อให้คนในประเทศสนใจ”

ราห์ม ชาสทรี ซีอีโอ DriveU โพสต์ใน LinkedIn ว่า อินเดียควรมี Twitter, Google, YouTube, WhatsApp, Facebook เวอร์ชันของตัวเองเหมือนที่จีนมี

อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทค้าปลีกอินเดียจะสามารถแข่งขันกับแบรนด์ต่างชาติในประเทศได้ แต่การขยายสู่ตลาดโลก ยังเป็นความท้าทาย ขณะที่บริษัทไอทีรายใหญ่ของอินเดีย เช่น TCS และ Infosys กลับประสบความสำเร็จในตลาดโลก ให้บริการซอฟต์แวร์แก่ลูกค้าทั่วโลก

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีโมดีได้กล่าวในงานที่เมืองบังกาลอร์ เรียกร้องให้ชาวอินเดียพึ่งพาตนเองมากขึ้น โดยระบุว่า บริษัทเทคโนโลยีอินเดียผลิตสินค้าขายไปทั่วโลก แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่เราต้องให้ความสำคัญกับความต้องการของอินเดียก่อน

กลุ่มสวาเดสี จักรัน มันช์ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับพรรคภราติยะชนตะของโมดี ได้มีการจัดชุมนุมเล็ก ๆ ทั่วประเทศ เพื่อรณรงค์ให้ประชาชาชนแบนบแบรนด์สหรัฐฯ โดยได้จัดทำ ลิสต์รายการแบรนด์สินค้าอินเดีย เช่น สบู่ ยาสีฟัน และน้ำอัดลม ให้ผู้คนเลือกใช้แทนสินค้านำเข้า พร้อมเผยว่าบนโซเชียลมีเดีย กลุ่มได้ทำกราฟิก คว่ำบาตรเชนอาหารต่างชาติ ที่มีโลโก้แมคโดนัลด์และร้านอื่น ๆ อีกหลายแบรนด์

อย่างไรก็ตาม แม้กระแสต้านสหรัฐฯ ยังคงอยู่ แต่เทสลาก็เปิดโชว์รูมแห่งที่สองในกรุงนิวเดลีเมื่อวันจันทร์ โดยมีเจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์อินเดียและเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯ ร่วมงานเปิด

Source

]]>
1533439
‘อินเดีย-เวียดนาม’ กอดคอแซง ‘จีน’ ส่งออกสมาร์ทโฟนไปสหรัฐฯ มากที่สุด! https://positioningmag.com/1531752 Thu, 31 Jul 2025 05:06:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1531752 ​​นับตั้งแต่ที่สหรัฐฯ และจีน ทำสงครามการค้ากันมานาน ทำให้หลายแบรนด์ โดยเฉพาะ สมาร์ทโฟน ได้เลือก อินเดีย เป็นประเทศใหม่สำหรับผลิตสินค้า เพื่อลดการพึ่งพาจีน จนล่าสุด ยอดส่งออกสมาร์ทโฟนไปยังสหรัฐฯ ของอินเดียได้ แซงจีน เรียบร้อยแล้ว

Canalys รายงานว่า อินเดียแซงหน้าจีน ในการเป็นผู้ส่งออกสมาร์ทโฟนไปยังสหรัฐอเมริกา โดยในไตรมาส 2/2025 สหรัฐฯ นำเข้าสมาร์ทโฟนที่ประกอบขึ้นในอินเดียคิดเป็น 44% จากที่ไตรมาส 2/2024 สหรัฐฯ นำเข้าสมาร์ทโฟนจากอินเดียในสัดส่วนเพียง 13% เท่านั้น ขณะที่ปริมาณผลิตรวมของสมาร์ทโฟนในอินเดียเพิ่มขึ้น 240% จากปีก่อน

ไม่ใช่แค่อินเดียที่แซงจีน แต่ เวียดนาม ก็เป็นอีกประเทศที่แซง โดยมีส่วนแบ่งการส่งออกสมาร์ทโฟนไปยังสหรัฐฯ ถึง 30% ขณะที่สัดส่วนการส่งออกสมาร์ทโฟนจากจีนไปสหรัฐฯ หดตัวเหลือ 25% จากปีก่อนมีสัดส่วนสูงถึง 61% โดยตัวเลขดังกล่าวได้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของซับพลายเชนการผลิตออกจากจีน ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านภาษี

ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของการจัดส่งสมาร์ทโฟนจากอินเดียมาจาก iPhone ของ Apple โดย Sanyam Chaurasia นักวิเคราะห์หลักของ Canalys กล่าวว่า นี่เป็นครั้งแรกที่อินเดียส่งออกสมาร์ทโฟนไปยังสหรัฐอเมริกามากกว่าจีน ซึ่งแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เร่งตัวขึ้น เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการค้าที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีน

มีรายงานว่า ในปีนี้ Apple ได้เร่งแผนการผลิต iPhone ในโรงงานในอินเดีย โดยเฉพาะรุ่นที่ขายในสหรัฐอเมริกา และมีเป้าหมายระระยาวในการใช้อินเดียเป็นฐานการผลิต iPhone ในสัดส่วน 1 ใน 4 ของประเทศ ภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ที่ผ่านมา ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขู่ Apple ด้วยการขึ้นภาษีเพิ่มเติมและเรียกร้องให้ Tim Cook ซีอีโอของบริษัท ผลิต iPhone ในสหรัฐฯ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มองว่า แทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะจะยิ่งทำให้ราคา iPhone ให้สูงขึ้น

Renaud Anjoran รองประธานบริหารของ Agilian Technology ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศจีน กล่าวว่า ผู้ผลิตทั่วโลกจํานวนมากได้ย้ายการประกอบขั้นสุดท้ายไปยังอินเดียมากขึ้น โดยจัดสรรกําลังการผลิตมากขึ้นในประเทศเอเชียใต้เพื่อให้บริการตลาดสหรัฐอเมริกา

ขณะที่บริษัท Agilian Technology ที่มีโรงงานในมณฑลกวางตุ้งเอง ก็กําลังปรับปรุงโรงงานในอินเดีย โดยมีแผนที่จะย้ายการผลิตบางส่วนไป โดยบริษัทคาดว่าจะเริ่มการทดลองผลิตในเร็ว ๆ นี้ก่อนที่จะเพิ่มการผลิตเต็มรูปแบบ

Source

]]>
1531752
“Tesla” ถอยดีลลงทุน “อินเดีย” คาดเพราะการเงินไม่พร้อม-ยอดขายปีนี้ไม่เปรี้ยง https://positioningmag.com/1481486 Fri, 05 Jul 2024 07:46:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1481486 เทกันไปแบบเงียบๆ สำหรับดีล “Tesla” ที่เคยจ่อลงทุนใน “อินเดีย” แต่ล่าสุดความคืบหน้าคือไม่คืบหน้า คาดเป็นเพราะบริษัทมีปัญหาด้านแหล่งเงินทุน และยอดขายปีนี้หดตัวติดต่อกันมาสองไตรมาส รัฐบาลแดนภารตะหันหนุนผู้ผลิตรถอีวีในประเทศแทน

“อีลอน มัสก์” เจ้าของบริษัทรถอีวี “Tesla” ยกเลิกทริปไปเยือนประเทศอินเดียเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาอย่างกะทันหัน ล่าสุดสำนักข่าว Bloomberg รายงานจากแหล่งข่าวใกล้ชิดว่า หลังจากนั้นมา มัสก์ไม่มีการติดต่อรัฐบาลอินเดียเพื่อดำเนินเรื่องการไปเยือนหรือลงทุนต่อแต่อย่างใด

แหล่งข่าวยังกล่าวด้วยว่า ทางรัฐบาลอินเดียเข้าใจว่าการถอยจากดีลการลงทุนเกิดจาก Tesla เองมีปัญหาด้านแหล่งเงินทุน จึงไม่มีแผนที่จะลงทุนฐานผลิตแห่งใหม่ในอินเดียเร็วๆ นี้

ข่าวการล่าถอยจากแผนลงทุนอินเดียเกิดขึ้นต่อเนื่องหลัง Tesla ประกาศการส่งมอบรถทั่วโลกที่หดตัวลงต่อเนื่องสองไตรมาส หลังต้องเผชิญการแข่งขันสูงจากรถอีวีแบรนด์จีน โดยไตรมาสที่ 2 ของปีนี้บริษัทส่งมอบรถไป 4.43 แสนคันทั่วโลก หดตัวลง 4.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

การส่งมอบรถที่หดตัวของบริษัทมีสาเหตุอีกส่วนหนึ่งเกิดจากรถกระบะอีวี “Cybertruck” รถรุ่นใหม่ในรอบหลายปีของ Tesla ที่ออกวางจำหน่ายแล้วและได้รับความสนใจล้นหลาม แต่ไม่สามารถส่งมอบให้ลูกค้าได้ตามกำหนดเดิมที่จะต้องส่งมอบเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยบริษัทเองก็ไม่ได้แจ้งเหตุผลที่แน่ชัดกับลูกค้า

  • “อินเดีย” – “อินโดนีเซีย” มาแรงในหมู่นักลงทุน หลังปัจจัย “โครงสร้างประชากร” มีผลสำคัญต่อการตัดสินใจ
  • ประเมิน ‘BYD’ จะแซง ‘Tesla’ ขึ้นเบอร์ 1 ตลาดรถอีวีได้อีกครั้งในปีนี้

สัญญาณความสนใจของอีลอน มัสก์ต่อการลงทุนในอินเดียก่อนหน้านี้ เกิดจากนโยบายของอินเดียที่จะลดภาษีให้บริษัทผู้ผลิตรถอีวีต่างชาติหากเข้ามาลงทุนในประเทศเป็นมูลค่าอย่างน้อย 4.15 หมื่นล้านรูปี (ประมาณ 1.82 หมื่นล้านบาท) และดำเนินการผลิตได้ภายใน 3 ปีหลังเริ่มลงทุน

อย่างไรก็ดี แม้ Tesla จะถอยทัพไปแล้ว แต่ทางอินเดียไม่ได้สูญเสียมากนักเพราะรัฐบาลต้องการจะเน้นสนับสนุนผู้ผลิตรถอีวีภายในประเทศมากกว่าอยู่แล้ว นำโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ “Tata Motors” และ “Mahindra & Mahindra”

ตลาดรถอีวีในอินเดียถือว่ายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นมากๆ เพราะรถยนต์ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรีคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1.3% ของตลาดรถอินเดียเมื่อปี 2023 ตามข้อมูลของ BloombergNEF เนื่องจากผู้บริโภคส่วนมากยังลังเลที่จะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า จากค่าใช้จ่ายการซื้อรถที่สูงกว่ารถสันดาปและในอินเดียยังหาสถานีชาร์จไฟฟ้าได้ยาก

ที่มา: The Economics Times, CNBC, Robb Report

]]>
1481486
‘อินเดีย’ ขอ 5 ปี! ผงาดเป็น Top 5 ประเทศผู้ผลิตชิปของโลก https://positioningmag.com/1466715 Tue, 19 Mar 2024 02:30:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1466715 ตอนนี้หลายประเทศพยายามที่จะดันอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ หรือ ชิป มากขึ้น หลังจากที่เคยเอาแต่พึ่งพาจีน ขณะที่ อินเดีย ที่ปัจจุบันกลายเป็นประเทศที่บริษัทไอทีหลายรายย้ายมาใช้เป็นฐานการผลิต ทำให้อินเดียมีความหวังที่จะขึ้นเป็นประเทศ Top 5 ของโลกด้านการผลิตชิป

Ashwini Vaishnaw รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีสารสนเทศ รถไฟ และการสื่อสาร ของอินเดีย ประกาศว่า อินเดียต้องการเป็น 1 ใน 5 ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของโลกในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยจากการรายงานของ เทรนด์ฟอร์ซ ระบุว่า ปัจจุบัน 5 ประเทศที่ผลิตชิปได้มากที่สุดของโลก ได้แก่

  • ไต้หวัน (46%)
  • จีน (26%)
  • เกาหลีใต้ (12%)
  • สหรัฐอเมริกา (6%)
  • ญี่ปุ่น (2%)

หลังจากที่ความตึงเครียดของสหรัฐฯ – จีนไม่มีสัญญาณว่าจะสิ้นสุดลงในเร็ววัน ทำให้หลายบริษัท โดยเฉพาะบริษัทไอทีต้องการลดการพึ่งพาจีน ทำให้อินเดียกลายเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์ไปเต็ม ๆ โดยล่าสุด ควอลคอมม์ (Qualcomm) บริษัทชิปยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ได้เปิดศูนย์ออกแบบใหม่ในเมืองเจนไน โดยโรงงานจะเน้นการออกแบบเทคโนโลยีไร้สายและสร้างงาน 1600 ตำแหน่งในประเทศ

“อุตสาหกรรมชิปเป็นตลาดที่ซับซ้อนมาก และเราคิดว่าในอีกห้าปีข้างหน้า เราจะเป็น Top 5 ประเทศเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำของโลก เนื่องจากมั่นใจว่าอินเดียเป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้” Ashwini Vaishnaw กล่าว

นอกจากการลงทุนของควอลคอมม์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา อินเดียพึ่งเปิดตัวโรงงานเซมิคอนดักเตอร์ 3 แห่ง หนึ่งในโรงงานเหล่านั้นเป็นการร่วมทุนระหว่าง Tata Electronics และบริษัท PowerChip Semiconductor Manufacturing Corp. ของไต้หวัน โดยมีเป้าหมายคือการสร้างชิปเซมิคอนดักเตอร์ตัวแรกของอินเดียภายในปี 2026

ทั้งนี้ Ashwini Vaishnaw คาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกจะมีมูลค่าถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ ภายใน 7 ปีข้างหน้า และบริษัททั่วโลกกำลังมองว่าอินเดียเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการตัดสินใจลงทุนครั้งต่อไป และตอนนี้รัฐบาลกำลังตรวจสอบข้อเสนอการลงทุนด้านเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศรวมมูลค่ากว่า 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์

Source

]]>
1466715
‘อินเดีย’ บรรลุข้อตกลงการค้าเสรีกับ ‘เอฟตา’ คาดดึงเงินลงทุนมูลค่า 1 แสนล้านดอลลาร์ พร้อมสร้างงาน 1 พันล้านตำแหน่ง https://positioningmag.com/1465872 Mon, 11 Mar 2024 06:33:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1465872 มีการคาดการณ์ว่า อินเดีย จะเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดในโลก โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จะขยายตัว 6.5% ในปี 2567-2568 ขณะที่การขยายตัวของ GDP ในปี 2566-2567 ซึ่งเป็นปีงบประมาณปัจจุบันนั้น แข็งแกร่งที่ 6.9%

อินเดีย ปัจจุบันเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก ล่าสุด ได้ลงนามข้อตกลงการค้าเสรีหรือการยกเลิกภาษีส่วนใหญ่กับประเทศสมาชิกสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป หรือ เอฟตา (EFTA) ซึ่งจะประกอบด้วย สวิตเซอร์แลนด์ ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ และลิกเตนสไตน์

Piyush Goyal รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมของอินเดีย คาดว่า การค้าเสรีนี้จะกระตุ้นการส่งออกที่สำคัญในด้านบริการไอที บริการทางธุรกิจ บริการภาพและเสียง โดยประเทศสมาชิกเอฟตาจะลงทุน 1 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 3.6 ล้านล้านบาท) ในอินเดียตลอดระยะเวลา 15 ปีข้างหน้า และคาดว่าจะช่วยสร้างงานได้ 1 พันล้านตำแหน่ง

นอกจากนี้ ข้อตกลงดังกล่าวยังประกอบด้วยข้อกำหนดสำหรับการยอมรับร่วมกันในการให้บริการทางวิชาชีพ เช่น การพยาบาล นักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาต และสถาปนิก

ทั้งนี้ ดีลระหว่างอินเดียและเอฟตานั้นมีการ เจรจากันมานานถึง 16 ปี ก่อนจะบรรลุข้อตกลง และถือเป็น ครั้งแรกที่มาพร้อมข้อผูกมัดการลงทุนจากภาคเอกชน โดยอินเดียถือเป็นหนึ่งในตลาดเป้าหมายของกลุ่มเอฟตาที่ต้องการกระจายการลงทุนกับประชากร 1,400 ล้านคน อีกทั้งยังช่วยให้เอฟตาเข้าถึงตลาดอาหารแปรรูป เครื่องดื่ม และเครื่องจักรได้ง่ายขึ้นด้วย

Source

]]>
1465872
“อินเดีย” ออกกฎเครื่องมือ “AI” ทุกประเภทต้องขออนุญาตจากรัฐก่อนให้สาธารณะทดสอบใช้งาน https://positioningmag.com/1465047 Mon, 04 Mar 2024 12:57:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1465047 เครื่องมือ AI ให้คำตอบผิดๆ ถูกๆ กับผู้ใช้งานจนรัฐบาล “อินเดีย” ฉุนจัด ออกกฎหมายใหม่ให้บริษัทไอทีทุกเจ้าที่ต้องการนำเครื่องมือ AI ทุกประเภทมาทดสอบใช้งานกับสาธารณะต้องได้รับอนุญาตจากรัฐบาลก่อน

สำนักข่าว Reuters รายงานว่า เมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศของอินเดียประกาศให้เครื่องมือ AI ทุกประเภทที่จะนำมาใช้งานบนโลกอินเทอร์เน็ตอินเดีย จะต้องได้รับอนุญาตจากรัฐบาลอินเดียก่อนเท่านั้น เครื่องมือดังกล่าวนั้นรวมทั้งโมเดล AI, โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs), ซอฟต์แวร์ที่ใช้ Generetive AI หรือระบบอัลกอริธึมใดๆ ที่ยังอยู่ในขั้นตอนทดลอง

หลายประเทศบนโลกนี้กำลังเร่งร่างกฎหมายเพื่อกำกับควบคุมการใช้ “AI” หรือปัญญาประดิษฐ์ที่กำลังเป็นนวัตกรรมใหม่มาแรง โดยเฉพาะอินเดียที่ถือเป็นตลาดเติบโตสูงของบริษัทไอที

น่าสนใจว่ากฎใหม่ของอินเดียเกิดขึ้นภายในหนึ่งสัปดาห์ หลังจากหนึ่งในคณะรัฐมนตรีของอินเดียเข้าไปทดลองใช้งานเครื่องมือ “Gemini” ของ Google ซึ่งเป็นเครื่องมือแชตบอต AI เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2024 เมื่อป้อนคำถามถึงประวัติของ “นเรนทรา โมดี” นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของอินเดีย หนึ่งในข้อมูลคำตอบของ Gemini ที่ส่งมาให้ระบุว่านายกฯ โมดีถูกกล่าวหาว่าเป็นคนมีบุคลิกแบบ “ฟาสซิสต์”

วันต่อมา Google รีบออกมาจัดการปัญหาและระบุว่า เครื่องมือ Gemini ‘อาจจะเชื่อไม่ได้เสมอไป’ โดยเฉพาะในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปัจจุบันและการเมือง

หลังจากนั้น “ราจีฟ จันทรเสกขาร์” รัฐมนตรีกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศของอินเดีย รีบออกมาโต้ผ่านบัญชีโซเชียลมีเดีย X ส่วนตัวทันทีว่า “ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์มนั้นมีข้อบังคับทางกฎหมาย ‘ขอโทษที ข้อมูลเชื่อถือไม่ได้’ ไม่ใช่ข้อยกเว้นทางกฎหมาย”

“ดาต้า AI วิ่งตรงจากแล็บเข้าสู่อินเทอร์เน็ตสาธารณะโดยไม่มีการกลั่นกรองหรือการทดสอบอะไรเลย แล้วพอถูกจับได้คาหนังคาเขา พวกเขาก็แค่บอกว่าขอโทษที พอดีข้อมูลเชื่อถือไม่ได้” จันทรเสกขาร์กล่าว

เขายังวิพากษ์วิจารณ์ด้วยว่า อินเดียไม่ควรจะเป็นสถานที่ทดลองให้กับแพลตฟอร์มเหล่านี้ โดยเฉพาะเมื่อเครื่องมือ AI ถูกตั้งข้อสงสัยไปทั่วโลกว่ากำลังให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เต็มไปด้วยอคติ และให้ข้อมูลที่ไม่มีที่มาที่ไปแก่ผู้ใช้งาน

  • ย้ายด้วย! ‘Google’ เตรียมใช้ ‘อินเดีย’ เป็นฐานผลิตสมาร์ทโฟน Pixel ภายในไตรมาส 2
  • ‘อินเดีย’ มั่นใจ 3 ปีแซง ‘ญี่ปุ่น’ ขึ้นแท่นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก

ในการออกกฎใหม่ให้บริษัทไอทีต้องนำเครื่องมือ AI มาขออนุญาตรัฐก่อนออกใช้งานกับสาธารณะ รัฐบาลอินเดียยังร้องขอให้แพลตฟอร์มต่างๆ ดูแลให้แน่ใจว่าเครื่องมือ AI ของพวกเขา “ต้องไม่เป็นภัยต่อความโปร่งใสของกระบวนการเลือกตั้ง” เนื่องจากการเลือกตั้งทั่วไปของอินเดียกำลังจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนนี้ ซึ่งพรรคชาตินิยมฮินดู ภารติยะ ชนะตะ หรือบีเจพี คาดหวังว่าจะได้รับชัยชนะอีกครั้ง

ที่มา: Reuters, Economic Times

]]>
1465047
Disney รวมธุรกิจในอินเดียเข้ากับกิจการของ Mukesh Ambani มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของแดนภารตะ คาดมูลค่าบริษัทใหม่ใหญ่ถึง 3 แสนล้านบาท https://positioningmag.com/1464458 Thu, 29 Feb 2024 08:48:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1464458 Walt Disney ประกาศรวมกิจการสื่อในประเทศอินเดียกับ Reliance อาณาจักรธุรกิจของ Mukesh Ambani มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของแดนภารตะ คาดมูลค่าบริษัทใหม่ใหญ่ถึง 3 แสนล้านบาท สาเหตุสำคัญมาจากการแข่งขันในธุรกิจสื่อดุเดือดมากขึ้น และใช้เงินมหาศาลเพื่อที่จะแย่งชิงผู้ชม

Walt Disney ประกาศรวมกิจการสื่อในประเทศอินเดียกับ Reliance อาณาจักรธุรกิจของ Mukesh Ambani มหาเศรษฐีเบอร์ 1 ชาวอินเดีย ซึ่งจะทำให้ขนาดบริษัทใหม่หลังควบรวมกิจการกันแล้วนั้นจะใหญ่มากถึง 8,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราวๆ 300,000 ล้านบาท และขึ้นเป็นผู้เล่นรายใหญ่ด้านความบันเทิงในอินเดียทันที

หลังจากการควบรวมกิจการแล้วนั้น Reliance จะถือหุ้นราวๆ 63.16% ขณะที่ทางฝั่ง Disney จะถือหุ้นอีก 36.84%

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ Disney เลือกที่จะควบรวมกิจการกับธุรกิจสื่อของ Reliance เนื่องจากการแข่งขันในธุรกิจสื่อเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการส่งสัญญาณจาก Sony ที่ประกาศควบรวมกิจการกับ Zee ซึ่งเป็นผู้เล่นสื่อรายใหญ่ของอินเดียอีกราย แม้ว่าดีลดังกล่าวในท้ายที่สุดจะล่มลงไป แต่ก็ทำให้เกิดแรงกดดันต่อผู้เล่นไม่น้อย

การควบรวมกิจการดังกล่าวจะทำให้ธุรกิจใหม่นั้นเป็นผู้นำด้านความบันเทิงในอินเดีย เนื่องจากคอนเทนต์ในมือไม่ว่าจะเป็นละคร กีฬา และมีช่องโทรทัศน์รวมกันมากถึง 120 ช่อง ถือว่าหลากหลายกว่าคู่แข่งรายสำคัญอย่าง Sony หรือแม้แต่ Zee

ไม่ใช่แค่ธุรกิจสื่อในประเทศอินเดียเท่านั้น แต่การรุกเข้ามาของแพลตฟอร์มอย่าง Netflix เองก็ถือเป็นแรงกดดันที่เร่งทำให้ Disney ต้องนำธุรกิจไปควบรวมกับธุรกิจสื่อของ Reliance

ก่อนหน้านี้ Disney ได้เสียลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด Cricket รายการสำคัญให้กับ Reliance มาแล้ว จนส่งผลทำให้ปริมาณผู้ชม Hotstar ในประเทศอินเดียลดลงทันที

นอกจากนี้มูลค่ากิจการธุรกิจสื่อในประเทศอินเดีย จากเดิมที่ Disney เคยซื้อกิจการ Fox ซึ่งรวมถึงธุรกิจในอินเดียเคยมีมูลค่าสูงสุดมากถึง 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงการซื้อกิจการ ปัจจุบันลดลงเหลือแค่ราวๆ 3,000 ล้านเหรียญเท่านั้น

Bob Iger ซึ่งเป็น CEO ของ Disney กล่าวถึงดีลดังกล่าวว่า อินเดียถือเป็นตลาดที่มีประชากรมากที่สุดในโลก และเรารู้สึกตื่นเต้นสำหรับโอกาสในการร่วมทุนระหว่างกันนี้จะมอบผลตอบแทนระยะยาวให้กับบริษัท

การที่ Disney ควบรวมกิจการยังลดความเสี่ยงที่บริษัทใช้เงินมหาศาลเพื่อแย่งชิงตลาดผู้ชมในอินเดีย ซึ่งมีความเสี่ยงว่าบริษัทอาจสูญเสียความสามารถแข่งขันได้ในระยะยาว

ที่มา – Disney, Reuters, Al Jazeera

]]>
1464458
ย้ายด้วย! ‘Google’ เตรียมใช้ ‘อินเดีย’ เป็นฐานผลิตสมาร์ทโฟน Pixel ภายในไตรมาส 2 https://positioningmag.com/1463754 Fri, 23 Feb 2024 04:43:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1463754 บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายรายของสหรัฐฯ พยายามที่จะกระจายซัพพลายเชนของตัวเองออกจากจีน เนื่องจากปัญหาความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีน ทำให้ อินเดีย กลายเป็นประเทศที่เนื้อหอมสุด ๆ โดยล่าสุด Google ก็เตรียมขยายฐานการผลิตสมาร์ทโฟน Pixel ในอินเดียภายในไตรมาส 2 ของปี

Google วางแผนที่จะเริ่มผลิตสมาร์ทโฟน Pixel ในอินเดียภายในไตรมาส 2 นี้ โดยจะเริ่มผลิต Pixel 8 Pro ในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน ตามด้วยการผลิต Pixel 8 ประมาณกลางปี ​​2024 ซึ่งแผนการขยายฐานการผลิตในอินเดียนั้นไม่ได้มีแค่เหตุผลด้านปัญหาความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนเท่านั้น แต่ตลาดสมาร์ทโฟนอินเดียก็ยังน่าสนใจอีกด้วย หาก Google ต้องการไปให้ถึงเป้าหมายที่จะมียอดขายกว่า 10 ล้านเครื่องในปีนี้

ในปีที่ผ่านมา ตลาดสมาร์ทโฟนของอินเดียรักษาเสถียรภาพด้วยยอดจัดส่งโดยรวม 148.6 ล้านเครื่อง ลดลงเล็กน้อย -2% ตามข้อมูลของบริษัทวิจัย Canalys โดย Samsung ยังรักษาตำแหน่งผู้นำในไตรมาสที่ 4 ปี 2023 ด้วยส่วนแบ่งตลาด 20% มียอดจัดส่ง 7.6 ล้านเครื่อง ส่วน Xiaomi เป็นเบอร์ 2 ด้วยยอดจัดส่ง 7.2 ล้านเครื่อง ตามมาด้วย Vivo ครองตำแหน่งที่ 3 ด้วยยอดจัดส่ง 7 ล้านเครื่อง

นอกจากนี้ ตามรายงานของ Counterpoint Research ระบุว่า ในปี 2023 อินเดียกลายเป็น ตลาดสมาร์ทโฟนอันดับ 5 ของโลก ที่มียอดขาย iPhone เกิน 10 ล้านเครื่องในปีเดียว ทำให้อินเดียกลายเป็นตลาดสำคัญสำหรับ Apple โดย Tim Cook CEO ของ Apple เคยกล่าวไว้ว่า “อินเดียเป็นตัวแทนของโอกาสอันยิ่งใหญ่”

ที่ผ่านมา อินเดียได้เสนอสิ่งจูงใจแก่บริษัทต่าง ๆ ในการจัดตั้งโรงงานผลิตในประเทศ โดยมีบริษัทไอทีดัง ๆ อย่าง Dell, HP และ Lenovo เป็นหนึ่งใน 27 บริษัทที่ได้รับการอนุมัติเมื่อเดือนพฤศจิกายนให้ผลิตฮาร์ดแวร์เทคโนโลยีในอินเดียภายใต้โครงการจูงใจที่เชื่อมโยงกับการผลิต

Source

]]>
1463754
ประธาน Xiaomi อินเดีย ชี้ “รัฐบาลตรวจสอบบริษัทจีนอย่างหนัก ทำให้ซัพพลายเออร์ไม่กล้าตั้งฐานการผลิตในแดนภารตะ” https://positioningmag.com/1462276 Sun, 11 Feb 2024 17:07:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1462276 เสี่ยวหมี่ (Xiaomi) ผู้ผลิตสินค้าไอทีจากจีน ยังต้องดิ้นรนในตลาดอินเดียต่อเนื่อง โดยประธาน Xiaomi อินเดีย ชี้ว่า การที่รัฐบาลอินเดียตรวจสอบบริษัทจีนอย่างหนัก ส่งผลทำให้ซัพพลายเออร์ไม่กล้าตั้งฐานการผลิตในแดนภารตะ แม้ว่าจะมีความต้องการที่จะใช้ชิ้นส่วนผลิตในประเทศเพิ่มมากขึ้นก็ตาม

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวโดยอ้างอิงเอกสารที่เกี่ยวข้องว่าเสี่ยวหมี่ (Xiaomi) ผู้ผลิตสินค้าไอทีจากประเทศจีน ที่กำลังดิ้นรนอย่างหนักในอินเดียชี้ว่าการที่รัฐบาลได้ตรวจสอบบริษัทจีนอย่างหนัก ส่งผลทำให้ซัพพลายเออร์ของบริษัทรู้สึกไม่สบายใจ และไม่กล้าที่จะตั้งฐานการผลิตในประเทศ

Muralikrishnan B. ซึ่งเป็นประธานของ Xiaomi อินเดีย ได้ตอบจดหมายของรัฐมนตรีกระทรวงไอทีของอินเดียว่าจะทำอย่างไรที่ผู้ผลิตสินค้าไอทีรายนี้จะใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศอินเดีย ซึ่งเขาชี้ว่าบริษัทที่เป็นซัพพลายเออร์นั้นไม่กล้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศ เนื่องจากไม่สบายใจกับมาตรการของรัฐบาลอินเดีย

ประธานของ Xiaomi อินเดียยังกล่าวเสริมว่า “รัฐบาลอินเดียจำเป็นต้องดำเนินการเกี่ยวกับมาตรการสร้างความมั่นใจ เพื่อสนับสนุนให้ซัพพลายเออร์ที่ผลิตชิ้นส่วนของโทรศัพท์นั้นสร้างโรงงานในประเทศ”

นอกจากนี้ Xiaomi เองยังดิ้นรนด้วยการยื่นฟ้องรัฐบาลอินเดียเพื่อที่จะลดภาษีนำเข้าชิ้นส่วนสำหรับประกอบโทรศัพท์มือถือ โดยชี้ว่าเพื่อที่จะเพิ่มสามารถในการแข่งขันมากยิ่งขึ้น

บริษัทจีนประสบปัญหาในการตีตลาดประเทศอินเดีย เนื่องจากความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศบริเวณพรมแดน ส่งผลทำให้รัฐบาลอินเดียประกาศข้อระเบียบต่างๆ ที่ส่งผลทำให้บริษัทจากจีนดำเนินธุรกิจได้ยากมากขึ้น ซึ่ง Xiaomi เองเป็นอีกบริษัทที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว

สำหรับผู้นำตลาดโทรศัพท์มือถือในประเทศอินเดียนั้นเป็น Samsung ที่มีส่วนแบ่งการตลาดในอินเดียเป็นอันดับ 1 ครองส่วนแบ่งมากถึง 20% รองลงมาคือ Xiaomi ที่ 16% จึงทำให้บริษัทต้องหาทางในการดึงส่วนแบ่งทางการตลาดกลับมา โดยในเดือนกรกฎาคมของปี 2023 ที่ผ่านมา บริษัทได้เตรียมเจาะตลาดอินเดียเพิ่มมากขึ้น แม้ว่า 2 ประเทศนี้จะมีความขัดแย้งก็ตาม

ไม่ใช่แค่ Xiaomi ที่พบปัญหาความยากลำบาก แม้แต่บริษัทคู่แข่งรายสำคัญอย่าง Vivo ก็ประสบปัญหาที่ว่าเช่นกัน ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลอินเดียกล่าวหาว่าบริษัทละเมิดกฎระเบียบด้านวีซ่าเข้าประเทศ และยังรวมถึงการยักยอกเงินมากถึง 13,000 ล้านเหรียญสหรัฐออกนอกประเทศ

]]>
1462276
‘อินเดีย’ มั่นใจ 3 ปีแซง ‘ญี่ปุ่น’ ขึ้นแท่นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก https://positioningmag.com/1460966 Tue, 30 Jan 2024 11:23:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1460966 หากพูดถึงประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วในปัจจุบันคงหนีไม่พ้น อินเดีย ด้วยจำนวนประชากรที่ใหญ่ที่สุดของโลก และการตบเท้าของหลายบริษัทที่ต้องการลดการพึ่งพา จีน ส่งผลให้อินเดียเชื่อมั่นว่าภายใน 3 ปีจะขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก

กระทรวงการคลังอินเดีย คาดว่าภายในปี 2570 อินเดียอาจกลายเป็น ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสามของโลก ด้วยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) มูลค่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ โดยทางกระทรวงการคลังคาดว่าปีงบประมาณ 2567 (เริ่มในวันที่ 1 เมษายนและสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม) เศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะเติบโตที่หรือสูงกว่า 7% และถ้าสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย GDP อินเดียจะเติบโต 7% ติดต่อกัน 3 ปี โดยปัจจุบัน GDP ของประเทศอยู่ที่ 3.7 ล้านล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ วี อนันทา นาเกสวารัน หัวหน้าที่ปรึกษาเศรษฐกิจของอินเดีย กล่าวว่า การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางกายภาพและดิจิทัลช่วยเพิ่มด้านอุปทานและการผลิต ด้วยเหตุนี้การเติบโตของ GDP ที่แท้จริงน่าจะเข้าใกล้ 7% ในปีงบประมาณ 2568 และเป้าหมายใหญ่ของรัฐบาลคือ การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วภายในปี 2590

“ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตของอินเดียคือความแข็งแกร่งที่เห็นในอุปสงค์ภายในประเทศ ทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน มีต้นกำเนิดมาจากการปฏิรูปและมาตรการที่รัฐบาลดำเนินการในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา”

ทั้งนี้ จากข้อมูลของ Goldman Sachs รายงานว่า อินเดียมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกภายในปี 2618 โดยจะ ก้าวข้ามสหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน อินเดียมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก ตามหลังสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และเยอรมนี ตามลำดับ

ปัจจุบัน ดัชนี Nifty 50 ของอินเดียเติบโตมากกว่า 20% โดยในเดือนนี้ดัชนีทะลุ 22,000 เป็นครั้งแรก พร้อมแซงหน้าฮ่องกงเป็นตลาดหุ้นใหญ่อันดับ 4 ของโลก จากปัจจัยเม็ดเงินไหลเข้าประเทศ และเศรษฐกิจเติบโตสูง นอกจากนี้ นักลงทุนกำลังลุ้นว่าธนาคารกลางอินเดียจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ซึ่งน่าจะช่วยยกระดับตลาดหุ้นและกระตุ้นการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจให้สูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง

Source

]]>
1460966