เครื่องปรับอากาศ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 15 Feb 2024 12:34:45 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ร้อนเกินต้าน! แอร์ “แอลจี” ตั้งเป้ายอดขายโต 30% มั่นใจปี’67 อากาศร้อนสุดขั้ว-ค่าไฟแพงหนุนตลาด https://positioningmag.com/1462848 Thu, 15 Feb 2024 10:14:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1462848
  • “แอลจี” รุกหนักตลาด “แอร์” ตั้งเป้าเติบโต 30% ขอขึ้นเป็นอันดับ 5 เน้นเจาะกลุ่มแอร์ประหยัดพลังงานกลุ่มกลางบนขึ้นไป
  • คาดการณ์ปี 2567 แอร์ยังขายดีต่อเนื่อง จากอากาศที่ส่อแววร้อนจัดและการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า ทำให้ผู้บริโภคหันหาตัวเลือกแอร์ประหยัดพลังงานทดแทนตัวเดิม
  • ด้านภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าคาดเติบโตดับเบิลดิจิต แอลจีตั้งเป้ายอดขายรวมโต 10%
  • ตลาดเครื่องปรับอากาศน่าจะเดือดต่ออีกปีจากสภาพอากาศร้อนจัด “อำนาจ สิงหจันทร์” หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ฉายภาพตลาดแอร์ย้อนหลังในช่วงปี 2563-65 เป็นช่วงที่แอร์ชะลอการเติบโต จนกระทั่งปี 2566 แอร์กลับมาทะยานยอดขายพุ่งถึง 26.8% จากสภาพอากาศร้อนจัดเมื่อปีก่อน

    มาถึงปี 2567 อำนาจคาดว่าตลาดเครื่องปรับอากาศน่าจะเติบโตต่อได้ถึง 20% คิดเป็นมูลค่ารวม 34,300 ล้านบาท เนื่องจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ 1) อากาศร้อนจัด มีการคาดการณ์อุณหภูมิสูงสุดอาจขึ้นไปแตะ 45 องศาเซลเซียสในหน้าร้อนนี้ และ 2) ค่าไฟฟ้าแพงขึ้น ปรับเป็น 4.88 บาทต่อหน่วย

    ทั้ง 2 ปัจจัยรวมกันจะดึงดูดทั้งกลุ่มผู้บริโภคประเภทติดตั้งใหม่ให้ติดแอร์เพื่อสู้อากาศร้อน และกลุ่มผู้บริโภคเปลี่ยนแอร์เครื่องใหม่ (replacement) หันมาใช้แอร์ประหยัดพลังงานเพื่อสู้ค่าไฟแพง

    แอร์ แอลจี
    ตลาดเครื่องปรับอากาศในไทยชะลอตัวในช่วงปี 2563-65 ก่อนจะมาทะยานขึ้นในปี 2566 และแอลจีคาดว่าจะโตต่อในปี 2567

     

    แอร์ “แอลจี” ขอโตเกินตลาดที่ 30% เน้นเจาะกลุ่มกลางบน

    อำนาจกล่าวต่อว่า ด้านกลยุทธ์ของ “แอลจี” ในปีนี้จะยังคงเจาะตลาดกลุ่มกลางบนขึ้นไปและกลุ่มแอร์ประหยัดพลังงานซึ่งเป็นพอร์ตหลักของแอลจี โดยเน้นการขาย “นวัตกรรม” มากกว่าการทำสงครามราคา ขายด้วยมูลค่ามากกว่าเน้นปริมาณยูนิตขาย

    แอร์ แอลจี
    “LG DUAL COOL ELITE” (รุ่น HPQ) แอร์ระบบบานพับ 2 บาน

    ทำให้ปีนี้แอลจีรุกหนักส่งสินค้าเครื่องปรับอากาศใหม่ 5 ซีรีส์ มีไฮไลต์รุ่น “LG DUAL COOL ELITE” (รุ่น HPQ) ที่มาพร้อมฟังก์ชันนวัตกรรมใหม่ เช่น บานพับ 2 บาน สามารถเลือกส่งลมเป็นมุมตรง ลมแอร์ไม่เป่าตัว ทำให้รู้สึกสบายตัวกว่า, ระบบ Human Detection ตรวจจับหากไม่มีคนอยู่ในห้อง แอร์จะปิดเครื่องอัตโนมัติ, ระบบ Window Detection ตรวจจับหากมีการเปิดหน้าต่าง แอร์จะเร่งความร้อนขึ้น เพื่อไม่ให้เปลืองพลังงาน ช่วยประหยัดค่าไฟ

    อำนาจอธิบายว่า จากอินไซต์ผู้บริโภคของแอลจีพบว่า ผู้เลือกซื้อเครื่องปรับอากาศจะใส่ใจ 3 ปัจจัยแรกสุด คือ ประหยัดพลังงาน, ดูแลสุขอนามัย และสร้างความสบายตัวในการใช้ ทำให้การพัฒนาสินค้าของแอลจีทำมาเพื่อตอบโจทย์เหล่านี้ โดยแอร์รุ่น LG DUAL COOL ELITE ขนาด 13,000 BTU จะจำหน่ายในราคา 39,900 บาท ถือเป็นแอร์ที่บุกตลาดระดับไฮเอนด์

    แอร์ซีรีส์ใหม่ของแอลจีในปี 2567

    เป้าหมายของกลุ่มแอร์แอลจีปีนี้ ตั้งเป้าจะโต 30% สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาด คาดสร้างยอดขายได้ 2,600 ล้านบาท โดยอำนาจมองว่าลักษณะตลาดปีนี้น่าจะสอดคล้องกับพอร์ตสินค้าที่แอลจีมี นั่นคือการเติบโตจะเกิดขึ้นในกลุ่มแอร์ระดับกลางบนขึ้นไป และเน้นฟังก์ชันประหยัดพลังงาน

    ส่วนมาร์เก็ตแชร์ในตลาด ปี 2566 แอลจีมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ 5.7% เป็นอันดับ 8 ของตลาดแอร์ แต่ปี 2567 จากการเติบโตจะทำให้มาร์เก็ตแชร์ขึ้นมาเป็น 7.5% และน่าจะขยับไปอยู่อันดับ 5 สำเร็จ

     

    ยอดขายรวม “แอลจี” วางเป้าโต 10%

    สำหรับภาพรวมตลาด “เครื่องใช้ไฟฟ้า” ในปี 2567 อำนาจคาดว่าน่าจะโต “ดับเบิลดิจิต” จากปีก่อนที่มีมูลค่าตลาด 80,000 ล้านบาท (*ข้อมูลรวมเฉพาะกลุ่มแอร์ ทีวี ตู้เย็น และเครื่องซักผ้า)

    “อำนาจ สิงหจันทร์” หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด

    ส่วนเป้าหมายของ “แอลจี” วางเป้ายอดขายโต 10% มูลค่าเพิ่มเป็น 13,500 ล้านบาท โดยปัจจุบันพอร์ตเครื่องใช้ไฟฟ้าแอลจีแบ่งสัดส่วนยอดขายมาจาก 42% กลุ่มเครื่องซักผ้า 33% กลุ่มโทรทัศน์ 13% กลุ่มเครื่องปรับอากาศ และ 12% กลุ่มตู้เย็น

    ในแต่ละกลุ่มสินค้า แอลจีถือว่าเป็นอันดับ 1 แข็งแกร่งในตลาดเครื่องซักผ้า ส่วนกลุ่มทีวีเป็นแบรนด์อันดับ 1-2 ขึ้นลงผลัดกันกับคู่แข่ง ขณะที่กลุ่มตู้เย็นอยู่ในอันดับ 3-4 ทำให้ “แอร์” คือกลุ่มที่แอลจีเน้นการเติบโตสูงมาก

     

    อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติม

    ]]>
    1462848
    ‘ซัมซุง’ ขอ 3 ปีขึ้นเบอร์ 1 เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกกลุ่ม ชู ‘ดีไซน์-นวัตกรรม’ จับกลุ่มพรีเมียม https://positioningmag.com/1415452 Fri, 13 Jan 2023 07:44:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1415452 แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2022 ที่ผ่านมาจะมีวิกฤตหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะ เงินเฟ้อ แต่ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ามูลค่า 5.3 หมื่นล้านบาทก็ยังเติบโตได้ 5-6% ซึ่งก็ได้กลุ่ม พรีเมียม เป็นตัวขับเคลื่อนตลาด โดย ซัมซุง (Samsung) แบรนด์สัญชาติเกาหลีใต้ก็เห็นโอกาสในส่วนนี้ และขอสู้เพื่อขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในทุกกลุ่มสินค้าภายใน 3 ปี

    ตลาดพรีเมียมโตสวนทางแมส

    เจนนิเฟอร์ ซอง ประธานบริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2022 ที่ผ่านมาไม่ใช่ปีที่ดีนักสำหรับตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า เพราะมีทั้งปัจจัยเรื่องค่าเงิน และเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดและตัวซัมซุงเองยังคงเติบโตได้ 5-6% โดยมีสินค้าใน กลุ่มพรีเมียม เป็นตัวขับเคลื่อนตลาด เนื่องจากช่องว่างระหว่างครัวเรือนที่มีรายได้สูงและครัวเรือนที่มีรายได้น้อยกว้างขึ้น

    “สินค้ากลุ่มพรีเมียมของเราเติบโต 2 เท่าในทุกกลุ่มสินค้า เพราะตั้งแต่ COVID-19 ระบาด คนอยู่บ้านมากขึ้น เขามองว่าบ้านเป็นพื้นที่ส่วนตัวและเริ่มอยากตกแต่งบ้านใหม่ ๆ มากขึ้น แต่แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ซัมซุงที่เห็นโอกาสนี้ ดังนั้น เชื่อว่าการแข่งขันในกลุ่มสินค้าพรีเมียมจากนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย”

    อัดสินค้าใหม่กว่า 100 รุ่น ชูความ Personalize

    เจนนิเฟอร์ กล่าวต่อว่า พฤติกรรมผู้บริโภคในกลุ่มพรีเมียมจะให้ความสำคัญกับความเป็นตัวตน ต้องการสินค้าที่ สะท้อนความเป็นตัวตน มากกว่าราคา นอกจากนี้ ต้องมีนวัตกรรมที่ทำให้เขาใช้ชีวิต ง่ายขึ้น ดังนั้น สินค้าของซัมซุงในกลุ่มพรีเมียมจะเน้น ดีไซน์สินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ นวัตกรรมทันสมัย และ การเชื่อมต่ออัจฉริยะ นอกจากนี้ ต้องตอบโจทย์ ความยั่งยืน ด้วย

    “ผู้บริโภค 70% มองว่า ถ้าสินค้าเข้าใจในตัวตนเขาจริง ๆ เขาก็จะเลือกอยู่กับแบรนด์นั้น ๆ โดยเฉพาะ Gen Z ที่ 55% ระบุว่า เขาจะซื้อของที่สะท้อนความเป็นตัวเอง นอกจากนี้ คนไทยถึง 72% มีความต้องการติดตั้งสมาร์ทโฮม”

    ในปีนี้ ซัมซุงมีแผนจะเพิ่มโปรดักส์ใหม่กว่า 100 รุ่น โดยจะเน้นไปที่กลุ่มพรีเมียม และการทำตลาดช่วง Q1-Q3 จากนี้จะเน้นที่เรื่อง ไลฟ์สไตล์ โดยสินค้าในกลุ่ม Bespoke จะขยายไปกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่น ๆ นอกเหนือจาก ตู้เย็น  อาทิ ไมโครเวฟ, เครื่องดูดฝุ่น เป็นต้น และเปลี่ยนการสื่อสารเป็น Bespoke Home เพื่อสื่อสารถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งบ้าน ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมา กลุ่มเครื่องซักผ้าและตู้เย็นเติบโต 5% กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก (เตาอบไมโครเวฟ เครื่องดูดฝุ่นและเครื่องฟอกอากาศ) เติบโต 10%

    ในส่วนของ ทีวี จะเน้น Lifestyle TV และกลุ่ม QLED, OLED เพราะในปีที่ผ่านมาจะเห็นเทรนด์อย่างชัดเจนว่าทีวีขนาด 65 นิ้วขึ้นไป เติบโตขึ้นมากแบบเห็นได้ชัดถึง 1.5 เท่า ทีวีพรีเมียมยังคงเติบโตสูง อาทิ Neo QLED เติบโตขึ้นถึง 3 เท่า เฉพาะ Neo QLED 8K เติบโตถึง 4 เท่า

    ด้าน เครื่องปรับอากาศ ที่ใช้เทคโนโลยี WindFree ซึ่งเป็นกลุ่มพรีเมียมเติบโตถึง 30% โดยปีนี้ซัมซุงเตรียมเปิดตัวไลน์อัพเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ในกลุ่ม WindFree คาดว่าจะคิดเป็น 90% ของไลน์สินค้า ครอบคลุมกลุ่มกลาง-บน พร้อมขยายระยะเวลารับประกันสูงสุดถึง 10 ปี

    เดินหน้าลุยตลาด B2B

    อีกตลาดที่จะช่วยให้ซัมซุงเติบโตก็คือ B2B ที่ปีนี้บริษัทจะเน้นมากขึ้น อาทิ โครงการบ้านและคอนโด โดยจะชูจุดเด่นเรื่อง โทเทิ่ลโซลูชั่น ที่สินค้าทั้งหมดของซัมซุงสามารถเชื่อมต่อกันได้ และสินค้าที่จะใช้เป็นตัวนำในการบุกก็คือ เครื่องปรับอากาศ เนื่องจากในปีที่ผ่านมายอดขายเครื่องปรับอากาศในกลุ่ม B2B เติบโตถึง 40% ก่อนจะตามด้วยสินค้าอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นทีวี, ตู้เย็น, เครื่องซักผ้า

    “เราเพิ่งเริ่มทำตลาด B2B แต่เรามองว่านี่คือ โอกาสสำคัญ เพราะจุดแข็งเราคือ ไลน์สินค้าที่ครบวงจร สามารถตอบสนองความต้องการได้ต่างจากคู่แข่ง โดยเฉพาะการตอบโจทย์เรื่องโทเทิ่ลโซลูชั่น”

    ขึ้นเบอร์ 1 ทุกกลุ่มสินค้าใน 3 ปี

    สำหรับเป้าหมายของซัมซุงในปี 2023 ต้องเติบโต 2 หลัก ขึ้นไป โดยมองว่าปีนี้มีปัจจัยบวกจากดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากภาค การท่องเที่ยว ทั้งจากตัวนักท่องเที่ยว เม็ดเงินที่เข้ามาช่วยให้ผู้บริโภคจับจ่ายได้ดีขึ้น รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้า คาเฟ่ และโรงแรมต่าง ๆ ลงทุนเปลี่ยนเครื่องใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้ ต้นทุนต่าง ๆ น่าจะลดลง สินค้าก็จะมีราคาดีขึ้น ทำให้ผู้บริโภคจับต้องสินค้าได้ง่ายขึ้น

    อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าคือ ไม่ใช่สินค้าหลักที่ผู้บริโภคจะใช้เงิน เพราะเนื่องจากการระบาดของ COVID-19 ทำให้ผู้บริโภคอยากใช้จ่ายไปกับการท่องเที่ยว ดังนั้น เชื่อว่ากว่าที่กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าจะกลับมาเป็นสินค้าหลักที่ผู้บริโภคเลือกใช้จ่ายคงต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปี

    “ตอนนี้คนไปเที่ยวกันเยอะเพราะเขาอั้นมานาน ดังนั้น เครื่องใช้ไฟฟ้าจากที่เคยเป็นอันดับ 1-2 สิ่งที่ผู้บริโภคเลือกใช้เงินก่อน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่”

    สำหรับเป้าหมายใน 3 ปีจากนี้ ซัมซุงต้องการขึ้นเป็นอันดับ 1 ในทุกกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า จากปัจจุบันสินค้ากลุ่มทีวี, ตู้เย็น เป็นอันดับ 1 ที่แข็งแรง และกลุ่มต่อไปที่ซัมซุงมองว่ามีโอกาสขึ้นเป็นอันดับ 1 คือ เครื่องซักผ้า ที่ปัจจุบันเป็น Top 2 ของตลาด ตามมาด้วย เครื่องปรับอากาศ ที่ปัจจุบันเป็น Top 5 ของตลาด

    ]]>
    1415452
    นักวิจัยสร้าง “สีขาวที่สุดในโลก” ช่วยสะท้อนรังสีดวงอาทิตย์ 98% ช่วยให้ห้องเย็นไม่ง้อแอร์! https://positioningmag.com/1353145 Thu, 23 Sep 2021 04:42:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1353145 ปัญหาอากาศร้อนของไทยน่าจะเป็นหนึ่งในปัญหาที่หลายคนต้องทำใจ หากไม่เปิดแอร์ก็ต้องไปฝังตัวตามห้างสรรพสินค้าเพื่อแก้ร้อน แต่ปัญหาดังกล่าวอาจจะถูกแก้ได้ด้วย ‘สีขาวที่สุดในโลก’ ที่มหาวิทยาลัย Purdue University ในสหรัฐอเมริกาใช้เวลาวิจัยและพัฒนานาน 7 ปี โดยจะช่วยให้บ้านเย็นลงจนไม่ต้องพึ่งเครื่องปรับอากาศ

    นักวิทยาศาสตร์ในหมาวิทยาลัย Purdue University ในสหรัฐอเมริกา ได้สร้าง ‘สีที่ขาวที่สุดในโลก’ โดยมันเป็นสีที่ขาวมากจนสามารถลดหรือขจัดความจำเป็นในการใช้เครื่องปรับอากาศเลยทีเดียว โดยสีขาวดังกล่าวได้ถูก Guinness World Records ว่าขาวที่สุดเท่าที่เคยมีมา

    “เมื่อเราเริ่มโครงการนี้เมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว เรามีเป้าหมายในการประหยัดพลังงานและต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” Xiulin Ruan ศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมเครื่องกลของ Purdue กล่าว

    สาเหตุที่ทำให้ได้สีที่ขาวที่สุดในโลกสามารถช่วยลดการใช้เครื่องปรับอากาศก็เพราะแสงอาทิตย์ที่สาดลงมากระทบพื้นผิวที่ทาสีขาวนี้ สีขาวดังกล่าวสามารถสะท้อนรังสีดวงอาทิตย์ได้ถึง 98.1% และสามารถปล่อยความร้อนอินฟราเรดไปได้ในขณะเดียวกัน ทำให้บ้านเย็นจนไม่ต้องใช้แอร์

    “แนวคิดคือการทำสีที่จะสะท้อนแสงอาทิตย์ออกจากอาคาร โดยมันดูดซับความร้อนจากแสงแดดได้น้อยกว่าที่ดวงอาทิตย์ปล่อยออกมา พื้นผิวที่เคลือบด้วยสีขาวนี้จึงถูกทำให้เย็นลงต่ำกว่าอุณหภูมิโดยรอบโดยไม่ต้องใช้พลังงานอะไร”

    โดยทั่วไปแล้ว สีขาวที่ใช้ทาพื้นผิวซึ่งมีขายอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน มันเพียงแค่ช่วยทำให้ข้างในห้องอุ่นขึ้น ไม่ได้ทำให้เย็นขึ้น สามารถสะท้อนแสงที่เป็นความร้อนจากดวงอาทิตย์ได้ 80 – 90% แต่ไม่สามารถทำให้พื้นผิวที่เคลือบสีนี้เย็นกว่าสภาพแวดล้อมได้ โดยหากใช้สีใหม่นี้ครอบคลุมพื้นที่หลังคาประมาณ 1,000 ตารางฟุต อาจส่งผลให้มีพลังงานความเย็น 10 กิโลวัตต์ ซึ่งมากกว่าเครื่องปรับอากาศที่ใช้ในบ้าน

    Xiulin Ruan ศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัย Purdue

    สำหรับสิ่งที่ทำให้สีขาวที่สุดในโลก และสามารถสะท้อนความร้อนได้ดีเป็นเพราะสารเคมีที่เรียกว่า Barium Sulfate (แบเรียมซัลเฟต) ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้สำหรับการผลิตการดาษภาพถ่าย และใช้ในเครื่องสำอางที่ต้องการสีขาว โดยสารตัวนี้สามารถสะท้อนแสงได้จริง ซึ่งหมายความว่าสีต้องขาวมากจริง ๆ โดยอนุภาคในแบเรียมซัลเฟตที่มีความเข้มข้นสูง ทำให้สีกระจายแสงได้กว้างมาก เพราะมีส่วนทำให้เกิดการสะท้อนแสงสูงสุด

    การทดลองสาธิตสีขาวที่สุดในโลกนี้ในพื้นที่กลางแจ้งพบว่า มันสามารถรักษาพื้นผิวให้เย็นกว่าสภาพแวดล้อมโดยรอบได้ โดยตอนกลางคืนอยู่ที่ 19 องศาฟาเรนไฮต์ และตอนกลางวันช่วงแดดจ้าอยู่ที่ 8 องศาฟาเรนไฮต์ โดยการทดสอบประสิทธิภาพของสีขาวนี้ในช่วงฤดูหนาว ในขณะที่อุณหภูมิในสภาพแวดล้อม 43 องศาฟาเรนไฮต์ สีสามารถลดอุณหภูมิได้ 18 องศาฟาเรนไฮต์

    มีการจดสิทธิบัตรการค้นพบครั้งนี้ภายใต้ชื่อ Purdue Research Foundation Office of Technology Commercialization โดยทางนักวิจัยจาก Purdue ได้ร่วมมือกับบริษัทแห่งหนึ่งเพื่อนำสีขาวพิเศษนี้ออกสู่ตลาดในอนาคต

    Source

    ]]>
    1353145
    จากอู่ต่อเรือและ “เครื่องบิน” สู่ “แอร์” ทำความเย็นในบ้านของ “Mitsubishi Heavy Duty” https://positioningmag.com/1327586 Thu, 24 Jun 2021 03:00:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1327586

    พื้นฐานสำคัญของ “เครื่องปรับอากาศ” คือการมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ช่วยให้แอร์เย็นเร็ว ทนทาน และประหยัดไฟ หนึ่งในแบรนด์ที่มีนวัตกรรมทรงประสิทธิภาพของโลกแห่งเครื่องปรับอากาศก็คือ Mitsubishi Heavy Duty เพราะบริษัทอายุมากกว่าร้อยปีนี้ไม่ได้มีแค่ “แอร์” แต่เติบโตมาจากการทำอุตสาหกรรมหนักอย่างอู่ต่อเรือจนถึงเครื่องบิน ทำให้เทคโนโลยีล้ำสมัยถูกถ่ายทอดมาสู่บ้านพักอาศัยด้วย

    Mitsubishi Heavy Duty เป็นชื่อที่คุ้นหูคนไทยจากโลโก้บนเครื่องปรับอากาศ แต่น้อยคนที่จะรู้ว่า ต้นทางของบริษัทนี้ไม่ได้มีแค่แอร์ และมีรากฐานก่อตั้งมานานนับศตวรรษ

    แอร์แบรนด์นี้มีจุดเริ่มต้นมาจากบริษัท Mitsubishi Heavy Industries หรือ MHI ซึ่งก่อตั้งขึ้นในญี่ปุ่นเมื่อปีพ.ศ.2427 ย้อนไปไกลถึงยุคที่ญี่ปุ่นอยู่ระหว่างเปลี่ยนผ่านจากระบอบโชกุนช่วงปฏิรูปเมจิ โดยผูู้ก่อตั้งคือ “ยาตาโร อิวาซากิ” เป็นซามูไรคนหนึ่งในยุคนั้น และเป็นผู้ก่อร่างสร้างความเข้มแข็งทางธุรกิจและคอนเน็กชันจนสามารถขยายการค้าได้อย่างกว้างขวาง

    ยุคเริ่มแรกของบริษัทนี้ทำธุรกิจชิปปิ้งทางทะเล แต่จุดพลิกผันเกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อบริษัทได้เป็นคู่ค้ากับรัฐบาลญี่ปุ่นเพื่อขนส่งอาวุธ เปิดโอกาสให้ Mitsubishi เริ่มขยายไปทำอู่ต่อเรือ เหมืองแร่ ธนาคาร จนมาเปลี่ยนชื่อเป็น Mitsubishi Heavy Industries ในปีพ.ศ.2477 และยิ่งขยายอุตสาหกรรมไปอีกมาก จนถึงปัจจุบันพอร์ตสินค้าของ MHI มีมากกว่า 700 ประเภท

    ส่วนแบรนด์ Mitsubishi Heavy Duty นั้นเป็นแบรนด์ที่ใช้กับเครื่องปรับอากาศ โดยมีการตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทยผ่านการร่วมทุนกับ กลุ่มบริษัท มหาจักร ของคนไทย เริ่มจากทางมหาจักรเป็นผู้นำเข้าเครื่องปรับอากาศในรถยนต์ และมีสายสัมพันธ์กันจนก่อตั้งโรงงานผลิตแอร์ Mitsubishi Heavy Industries – Mahajak Air Conditioners หรือ MACO ขึ้นที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง เมื่อปี พ.ศ.2531 โรงงานแห่งนี้สามารถผลิตได้ทั้งแอร์บ้านและแอร์โรงงาน-อาคาร มีผลงานผลิตสะสมไปแล้วมากกว่า 28 ล้านเครื่อง


    บริษัทนวัตกรรมขั้นสูงถ่ายทอดสู่ “แอร์” ในบ้าน

    ดังที่กล่าวไปว่าจุดเริ่มต้นของ MHI มาจากธุรกิจชิปปิ้ง ขยายสู่อุตสาหกรรมหนัก ซึ่งครอบคลุมไปถึงอู่ต่อเรือ เครื่องบิน แม้กระทั่งฐานปล่อยยานอวกาศ อุตสาหกรรมเหล่านี้ต้องอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูง มีความแม่นยำ และทนทาน ทำให้ MHI มีการลงทุนศูนย์กลางการวิจัยและนวัตกรรม และมีตำแหน่ง “ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี” หรือ CTO เพื่อวางวิสัยทัศน์การพัฒนานวัตกรรมทั้งองค์กร

    ผลงานอุตสาหกรรมหนักที่เราอาจไม่เคยทราบว่า MHI มีส่วนร่วม เช่น เครื่องบิน Boeing 787 หรือรุ่น “ดรีมไลเนอร์” ซึ่งทางญี่ปุ่นมีส่วนร่วมในการพัฒนาเครื่องบินรุ่นนี้ถึง 35% ช่วยพัฒนานวัตกรรมวัสดุคอมโพสิทสำหรับกล่องปีกเครื่องบิน (Wing Box) ให้มีน้ำหนักเบาขึ้นถึง 20% นอกจากนี้ MHI ยังมีการพัฒนาเครื่องบินเจ็ทแบรนด์ของตนเองคือ Mitsubishi Regional Jet หรือ MRJ ขนาด 70-90 ที่นั่งด้วย

    การลงทุนในนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องและมีองค์ความรู้เทคโนโลยีระดับสูง ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่า เมื่อ MHI หันมาผลิตสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน องค์ความรู้จะถูกนำมาปรับใช้และทำให้สินค้ามีประสิทธิภาพและทนทาน


    FUYU Series “แอร์” แรงลมเครื่องบินเจ็ท

    เครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ของ Mitsubishi Heavy Duty ที่นำเทคโนโลยีแบบเครื่องบินมาใช้คือเครื่องปรับอากาศ ZSXS Super Deluxe Inverter – FUYU Series เพราะมีฟีเจอร์เด่นคือ

    1.เทคโนโลยี Jet Flow ออกแบบช่องลมแบบเครื่องบินเจ็ท ส่งลมได้ไกลสุดถึง 17 เมตร ไม่ต้องห่วงเรื่องลมแอร์ไปไม่ถึง

    2.Hi Power ส่งลมด้วยพลังสูง เย็นเร็วตามอุณหภูมิที่กำหนดภายใน 15 นาที

    3.ระบบ 3D Auto กระจายลมเย็นทั่วทุกมุมห้อง หมดปัญหาเรื่องห้องไม่เย็นในบางจุด

    4.Allergen Clear Filter แผ่นฟอกอากาศที่มีคุณสมบัติดักจับและต่อต้านสารก่อภูมิแพ้

    5.Nano Air Filter สามารถกรองฝุ่น PM2.5 ควันพิษ เข้ากับยุคนี้ที่ปัญหาฝุ่นมีมากขึ้น

    6.Self Clean Operation ฟังก์ชั่นไล่ความชื้นในคอยล์เย็น ลดการเกิดเชื้อราของแอร์

    7.Allergen Clear Operation ระบบทำลายเชื้อโรคและต่อต้านสารก่อภูมิแพ้

    แอร์รุ่น FUYU Series ยังเป็น อินเวอร์เตอร์แท้ทั้งระบบ ช่วยประหยัดไฟได้จริง โดยได้รับรองประหยัดไฟเบอร์ 5 สูงสุด สามดาว ประสิทธิภาพอินเวอร์เตอร์เกิดจากการใช้ แผงวงจรอัจฉริยะ PAM ควบคุมความเร็วรอบของคอมเพรสเซอร์และมอเตอร์ เป็น คอมเพรสเซอร์กระแสตรง DC เปลี่ยนความเร็วรอบการทำงานสัมพันธ์กับอุณหภูมิในห้องได้ มี วาล์วอิเล็กทรอนิกส์ EEV ควบคุมอัตราการไหลของสารทำความเย็นให้เหมาะสมที่สุด สุดท้ายคือใช้ มอเตอร์กระแสตรง ทำให้การคุมความเร็วรอบแม่นยำ พร้อมอีกความสามารถที่ทำให้ Fuyu Series โดดเด่นเรื่องการประหยัดไฟเป็นอย่างมาก ด้วย Motion Sensor ที่คอยจับความเคลื่อนไหวภายในห้อง และทำการปรับอุณหภูมิ ระดับพัดลมและโหมดการทำงานโดยอัตโนมัติ ซึ่งสามารถตั้งค่าให้เครื่องเข้าสู่โหมด Stand by หรือปิดอัตโนมัติเมื่อไม่มีคนอยู่ภายในห้องก็ได้เช่นกัน

    ที่สำคัญแอร์รุ่น FUYU Series จาก Mitsubishi Heavy Duty ยังเงียบเพียง 19 เดซิเบล ซึ่งเบากว่าเสียงกระซิบของคน และการันตีรางวัลด้านงานดีไซน์จากเวที A’Design Award ประเทศอิตาลี เหมาะกับการติดตั้งภายในบ้าน พร้อมสู้ความร้อนด้วยนวัตกรรมที่สั่งสมนานนับศตวรรษจาก MHI ประเทศญี่ปุ่น และการรับประกันยาวนาน 5 ปี อุ่นใจตลอดการใช้งาน

    ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมของ Mitsubishi Heavy Duty ได้ที่  www.mitsuheavythai.com และ https://www.facebook.com/MitsubishiHeavyDutyThailand

    ]]>
    1327586
    ชำแหละ “ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า” 2.5 แสนล้าน : ใครรุ่ง – ใครร่วง ปี 2019 https://positioningmag.com/1235537 Thu, 20 Jun 2019 10:59:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1235537 ภาพ : facebook.com/PowerMall

    ถือเป็นข่าวดีสำหรับตลาดเครื่อใช้ไฟฟ้ามูลค่า 2.5 แสนล้านเลยก็ว่าได้ เมื่อสถานการณ์ในช่วงครึ่งปีแรก 2019 ภาพรวมมีการเติบโตราว 3% ถือเป็นตัวเลขที่ดีที่สุดในรอบ 3 ปี หลังจากที่ก่อนหน้านี้มักจะโต 1 – 2% เท่านั้น

    แต่อย่างไรก็ตาม ใช้ว่าทุกหมวดสินค้าจะได้รับ “ข่าวดี” เหมือนกันหมด เพราะบางกลุ่มสินค้ายังคงต้องค้นหา Turning Point เพื่อทำให้ยอดขายกลับมาเติบโตอีกครั้ง ทั้งหมดทั้งมวลจักรกฤษณ์ กีรติโชคชัยกุล” Chief Business Officer – Specialty Business บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ประเมินให้ Positioning ฟังดังต่อไปนี้

    “จักรกฤษณ์ กีรติโชคชัยกุล” Chief Business Officer – Specialty Business บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด

    ตลาดเครื่องปรับอากาศ กลับมา “Cool” อีกครั้ง

    ย้อนกลับไปในปี 2016 ถือเป็นปีที่ดีที่สุดของตลาดเครื่องปรับอากาศ เพราะตลาดที่ร้อนกระตุ้นให้ผู้บริโภคต้องหาตัวช่วยคลายร้อน ขณะเดียวกันรุ่น inverter หรือประหยัดพลังงานก็เลือกทำราคาขายถูกลงทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น จนหลายฝ่ายประเมินว่า เครื่องปรับอากาศนี่จะเป็นดาวเด่นที่ทำให้ภาพรวมของตลาดเครื่อใช้ไฟฟ้าเติบโตได้

    แต่ในปีถัดมาภาพเหล่านั้นกลับไม่เกิดขึ้น เพราะแทนที่อากาศจะร้อนแต่ฝนกลับเทลงมาตั้งแต่ต้นปี ลากยาวไปจนหน้าร้อนซึ่งเป็นช่วงที่เครื่องปรับอากาศขายดีที่สุด จนสุดท้ายปีนั้นภาพรวมหดลงไปราว 20 – 30% และในปี 2018 สถานการณ์เดียวกันก็เกิดขึ้นอากาศไม่ร้อนเหมือนที่เคย ตัวเลขจึงอยู่ในภาวะแดนลบอีกครั้ง

    สำหรับครึ่งปีแรก 2019จักรกฤษณ์ บอกว่า ตลาดเครื่องปรับอากาศเติบโตถึง 30% สาเหตุหลักๆ มาจากอากาศที่ร้อน และผู้เล่นในตลาดต่างขนสินค้าออกมาประชันกันอย่างคึกคัก คาดว่าทั้งปีการเติบโตคงอยู่ราว 30%

    Smartphone 20,000 บาท คือราคาที่ขายดี

    อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ตลาดเติบโตคือ “Smartphoneเซ็กเมนต์ใหญ่ที่สุด ซึ่งขณะนี้ทุกแบรนด์ต่างประครองการเติบโตให้เป็นแบบออร์แกนิก ส่วนจุดขายยังคงชูเรื่อง กล้องมาเป็นตัวนำ และราคาที่ขายดีที่สุดคือ 20,000 บาท

    โดยกลุ่มแบรนด์ที่เข้ามากระตุ้นนอกเหนือจาก Samsung เปิดตัว Galaxy S10 ราคา 31,900 บาท ยังมีกลุ่มแบรนด์จีนทั้ง Huawei ที่มีรุ่น P30 กับจุดขายซูม 30 เท่าราคา 31,990 บาท และ OPPO ที่ตั้งเป้ารุกตลาดพรีเมียมมากขึ้น ไม่กี่วันก่อนหน้านี้เพิ่งเปิดตัว Reno 10x Zoom ราคา 28,990 บาท ชูซูมขั้นสุดถึง 60 เท่าด้วยซอฟต์แวร์

    ส่วนตลาด Smartphone จะกลับมาโตหวือหวาในระดับ 30% เหมือนก่อนหน้านี้ไหม? คงต้องรอให้ 5G เปิดใช้อย่างเป็นทางการเสียก่อน

    TV เติบโตอีกครั้ง จอใหญ่กลายเป็นความหวัง

    กลุ่ม TV กลายเป็นอีกกลุ่มที่เติบโตได้ดี ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะพบเจอความท้าทายไปบ้าง แต่ปีที่ผ่านมาได้ฟุตบอลโลกมาช่วยไว้ ส่วนครึ่งปีแรกกลับมาเติบโตราว 10% ตลาดรวมราว 30,000 ล้านบาท แม้จะไม่มีการแข่งขันกีฬามาช่วย

    สาเหตุหลักคือการที่ทีวีจอใหญ่ในกลุ่ม 4K ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคมากขึ้น ตัวอย่างเช่นยอดขายของเพาเวอร์ มอลล์กว่า 40% มาจากขนาด 65 – 70 นิ้ว

    แนวโน้มในปี 2019 จะเติมโตได้มากแค่ไหนคงต้องลุ้นจากการทำตลาดของทีวี 8K” ที่เริ่มทำตลาดกันอย่างคึกคักทั้ง Samsung, LG และล่าสุด Hisense แบรนด์จากจีนก็กำลังจะเปิดตัวในเร็วๆ นี้เช่นกัน

    Notebook พลิกแก้เกมจนชนะ Tablet

    ก่อนหน้านี้ตลาด Notebook ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการเข้ามาของ Tablet จนถูกมองว่าจะสามารถเข้ามาทดแทนกันได้เลยทีเดียว ซึ่งกลวิธีแก้เกมของบรรดาค่าย Notebook ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จึงต่างยกเครื่องกันยกใหญ่

    ทั้งปรับดีไซน์ให้ทันสมัย ลดขนาดเครื่องให้เล็กลงมีน้ำหนักเบาพกง่าย ชิปประมวลผลมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและทรงพลังมากยิ่งขึ้น พร้อมกับจอ OLED และ 240Hz ที่มีขอบจอที่เล็กลง ทั้ง Acer – HP – ASUS

    ขณะเดียวกันก็มุ่งไปจับกลุ่ม Gaming ซึ่งมีราคาที่สูงกว่าเฉลี่ย 20 – 30% บางสูงมากกว่า 50% จนในที่ก็ทำให้ผู้บริโภครู้ว่า Tablet ไม่สามารถทำแทนได้ทุกอย่าง ตลาดจึงกลับมาเติบโต 5 – 10% โดยในส่วนของเพาเวอร์ มอลล์ราคาที่ขายดีเฉลี่ย 20,000 บาท

    รูป : Facebook Acer Thailand

    กล้อง Digital ถ้าอยากเติบโตต้องกระตุ้น Want

    อย่างไรก็ตาม มีขึ้นก็ต้องมีลง ถ้าไม่นับตลาดเครื่องเสียงวิดีโอที่กำลังติดตัวแดงกันอยู่ ตลาดกล้อง Digital” คือส่วนที่น่าห่วงมากที่สุด เพราะตกลงถึง 30% ซึ่งจักรกฤษณ์บอกว่าจากที่คุยกับผู้ประกอบการรายหนึ่งพบเมืองไทยติดลบมากที่สุดในเอเชีย

    หากยังจำกันได้เมื่อ 10 ปีก่อนตลาดกล้อง Digital เคยมีมูลค่า 14,000 – 15,000 ล้านบาท ผ่านการขับเลื่อนด้วย “กล้อง Compact” แต่หลังจากการเกิดของ Smartphone ที่มาพร้อมกับกล้องที่ใช้งานได้ดีไม่แพ้กัน ภาพรวมตลาดจึงหดตัวก่อนที่ 4 – 5 ปีที่ผ่านมา

    ก่อนจะหาจุด Turning Point ด้วยการออกกล้อง Mirrorless” ที่มาพร้อมคุณสมบัติน้ำหนักเบา แต่สามารถถ่ายได้คมชัดเหมือนกล้อง DSLR ซึ่งช่วยกระตุ้นให้ตลาดขึ้นไปถึงหลักหมื่นล้านบาทก่อนจะถูกประเมินว่าจะมีมูลค่าลดเหลือ 7,000 ล้านบาทในปี 2019

    สาเหตุที่ทำให้ตลาดกล้องดูเงียบเหงา เป็นเพราะแบรนด์ในตลาดไม่ค่อยจัดกิจกรรมหรือกระตุ้นสักเท่าไหร่นัก ผู้บริโภคมาซื้อกล้องเพราะจำเป็นต้องใช้งาน หรือ Need แต่ละเลยที่จะกระตุ้น Want ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตลาดกลับมาเติบโต โดยต้องชี้ให้เห็นความแตกต่างและประโยชน์ที่มากว่ากล้องรูปแบบอื่นๆ

    เพาเวอร์ มอลล์เตรียมบุกออนไลน์เต็มตัว

    ทั้งนี้ทั้งนั้นภาพรวมของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในปี 2019 เชื่อว่าจะเติบโตราว 3% โดยเทรนด์ที่มาแรงในตอนนี้คือ IoT และ AI ที่มาพร้อมกับโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับเรียบร้อย โดยเฉพาะความเร็วของอินเทอร์เน็ต นอกเหนือจากราคาที่ต่างจากรุ่นปรกติประมาณ 10 – 15% ฟากแบรนด์เองก็ออกสินค้าพร้อมกับสร้างการรับรู้ในเรื่องของประโยชน์แก่ผู้บริโภคมากขึ้น

    ด้านยอดขายของเพาเวอร์ มอลล์ครึ่งปีแรกโต 9% มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 5% อันเป็นผลจากการวาง Direction ที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง 3 – 4 ปี โดยเน้นให้ความสำคัญทั้งด้านเทรนด์สินค้าที่ทันสมัย และการให้บริการที่ดีแก่ลูกค้าทั้งก่อนและหลังการขาย โดยกลุ่มที่ขายดีอยู่ในเซ็กเมนต์พรีเมียม ทั้งปีคาดว่าจะเติบโตราว 5%

    ขณะเดียวกันเทรนด์ออนไลน์ที่ผู้บริโภคหันไปซื้อสินค้าในช่องทางนี้มากขึ้น และแบรนด์เองก็ชอบไปจับมือกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เพื่อเข้าให้ถึงพฤติกรรมของลูกค้า แต่ จักรกฤษณ์บอกว่าไม่กระทบกับเพาเวอร์ มอลล์เนื่องจากส่วนใหญ่สาขาทั้งหมดที่มี 10 แห่งอยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่งไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเดินทางลูกค้า

    และทางเพาเวอร์ มอลล์เองก็ปรับตัวโดยการฝึกพนักงานให้เชี่ยวชาญในการแนะนำสินค้า และทำโปรโมชั่นไม่ด้อยกว่าออนไลน์ แต่ทั้งนี้ก็วางแผนรุกออนไลน์ด้วยเช่นกัน เพื่อทำให้เป็น Omni Channel วางแผนเปิดตัวเร็วๆ นี้.

    ]]> 1235537 อากาศที่ว่าร้อน ยังสู้ “สมรภูมิเครื่องปรับอากาศ” ไม่ได้! “ไมเดีย” แบรนด์จากจีนโหมโรงตลาด ฮึดสู้ชิงบัลลังก์แบรนด์ญี่ปุ่น https://positioningmag.com/1220429 Mon, 18 Mar 2019 09:53:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1220429 แม้ช่วง 2-3 ปีมานี้ อากาศในหน้าร้อนจะไม่ร้อนเหมือนเช่นเคย ฝนเทมาตั้งแต่ต้นปี จนทำให้ตลาดเครื่องปรับอากาศที่ต้องพึ่งอากาศร้อนจัดๆ ถึงจะขายดี และเคยเป็นดาวเด่นของกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า เพราะโตแซงหน้าสินค้าชนิดอื่นแบบไม่เห็นฝุ่น ต้องกุมขมับด้วยยอดขายติดลบกันถ้วนหน้า ปีที่ผ่านมาติดลบถึง 8.3%

    ทว่าอย่างไรเสียเมืองไทยก็ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองร้อน ดังนั้นตลาดเครื่องปรับอากาศยังไม่ถึงทางตันง่ายๆ อย่างแน่นอน เพราะใจความสำคัญอยู่ที่อัตราการเข้าถึงเครื่องปรับอากาศ วันนี้มีเพียง 18% เมื่อเทียบกับทีวีและตู้เย็นที่มีเกือบทุกบ้าน อัตราการครอบครองเกือบ 90% อีกทั้งแต่ละปีกว่า 50% ของยอดขายยังมาจากกลุ่มที่ซื้อเครื่องใหม่ ไม่ใช่เปลี่ยนทดแทนเครื่องเดิม

    ทำให้สมรภูมินี้กลายเป็น Red Ocean ที่มีถึง 71 แบรนด์กำลังฟาดฟันกันอยู่ หากๆ หลักยังถูกยึดครองด้วยแบรนด์ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ โดยปีที่ผ่านมาเครื่องปรับอากาศมีมูลค่า 23,000 ล้านบาท และในแง่จำนวน 2 ล้านเครื่องมิตซูบิชิเป็นเจ้าตลาดด้วยส่วนแบ่ง 25% รองลงมาไดกิ้น 20% และพานาโซนิค 15%

    ถึงจะกลายเป็น Red Ocean ไปแล้ว แต่เหตุผลที่กล่าวไปข้างต้นทำให้ตลาดเครื่องปรับอากาศ ยังคงมีกลิ่นที่หอม หวนชวนให้แบรนด์ที่ไม่กลัวการแข่งขันที่รุนแรง กระโดดเข้ามาอยู่เรื่อยๆ อย่างล่าสุดไมเดีย (Midea) แบรนด์เครื่องปรับอากาศเบอร์สองในเมืองจีน พกความมั่นใจมาเต็มขั้นประกาศลุกขึ้นมาโหมโรงทำตลาด พร้อมกับความหวังจะขึ้น “Top 3” ภายในปี 2022 ด้วยส่วนแบ่ง 13% นั้นคือการไปชิงบัลลังก์จากแบรนด์ญี่ปุ่น เฉพาะปี 2019 ต้องการโตอีก 74%

    จากเป้าหมายที่วางไว้ต้องบอกว่า ไมเดียคงต้องทำการบ้านอย่างหนักพอสมควร แม้เข้ามาในเมืองไทยได้เกือบ 10 ปีแล้ว แต่ยังมีส่วนแบ่งจนถึงปัจจุบันเพียง 2.2% โดยไมเดียให้เหตุผลที่ยังมีส่วนแบ่งไม่ได้มากนัก เพราะก่อนหน้านี้ใช้วิธีขายผ่านดิสทริบิวเตอร์ และไม่ได้โปรโมตอะไรมากนัก

    อีกทั้งราคายังสู้แบรนด์ที่เข้ามาปักหลักก่อนหน้านี้ไม่ได้ เพราะติดภาษีนำเข้าที่สูงถึง 20% ก่อนที่ 2-3 ปีที่ผ่านมาอัตราภาษีจะทยอยลดลงจนถึง 5% ในปัจจุบัน เมื่อราคาพอฟัดพอเหวี่ยงกับแบรนด์อื่นๆ แล้ว ประกอบกับก่อนหน้านี้ไมเดียกรุ๊ป บริษัทแม่ได้ใช้เงิน 473 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการเข้าซื้อหุ้น 80.1% ในเข้าซื้อกิจการเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในครัวเรือนของโตชิบา คอร์ปอเรชัน พร้อมกับได้สิทธิ์ใช้แบรนด์โตชิบา สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเป็นเวลา 40 ปี

    การซื้อในครั้งนี้ได้ทำให้ไมเดียได้ถือหุ้น 49% ในโตชิบา ไทยแลนด์ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำหน้าที่จัดจำหน่ายสินค้าในเมืองไทยด้วย ซึ่งติดปีกให้กับไมเดียในทันที เพราะโตชิบาอยู่ในตลาดมานานถึง 50 ปี จึงมีความเข้าใจพฤติกรรมและวิธีทำตลาดเป็นอย่างดี ดังนั้นตั้งแต่ซื้อหุ้นในปี 2016 ไมเดียก็เริ่มใช้โตชิบาในการกระจายสินค้า ใช้ศูนย์บริการสินค้าร่วมกัน 145 แห่งทั่วประเทศ และทำตลาดให้ด้วย

    จริงๆ แล้วโตชิบาก็มีเครื่องปรับอากาศเป็นของตัวเองอยู่เหมือนกัน จึงถือว่าซ้ำกับไมเดียที่ต้องการทำตลาดเครื่องปรับอากาศเป็นสินค้าหลัก นอกเหนือจากเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กและเครื่องครัวที่เริ่มทำตลาดบ้างแล้ว แต่ทางไมเดียก็บอกว่าจะไม่ซ้อนกัน เพราะโตชิบาจะทำตลาดในรุ่นกลางบน ส่วนไมเดียจะทำตลาดในรุ่นกลางล่าง

    ซึ่งจากเป้าหมายที่วางไว้ Top 3 หมายความว่า ไมเดียจะไปชิงบัลลังก์ของแบรนด์ญี่ปุ่น โดยอาวุธหลักที่จะถูกใช้ในการต่อกรคือราคา รุ่นที่มีสเปกใกล้เคียงกับคู่แข่งจะขายถูกกว่าประมาณ 10-20% ส่วนรุ่นที่มีราคาเท่ากันก็จะอัดฟังก์ชันที่มากกว่า

    เฮนรี เฉิน ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศประจำภูมิภาคอาเซียน บริษัท ไมเดีย เรซิเดนท์เชียล แอร์ คอนดิชันเนอร์ โอเวอร์ซี เซลส์ คอมพานี ประเทศจีน และ โทนี่ หลิว ผู้จัดการอาวุโส กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศ ประจำประเทศไทย บอกว่า ที่รุกหนักเครื่องปรับอากาศ แม้ไมเดียจะมีสินค้าชนิดอื่นๆ อีกมากมาย เป็นเพราะกลุ่มเครื่องปรับอากาศถือเป็นสินค้าหลักของไมเดียกรุ๊ป จากยอดขายของทั้งกรุ๊ปเฉพาะไตรมาส 1-3 มียอดขายทั้งสิ้น 995.5 พันล้านบาท

    เฮนรี เฉิน (ซ้าย) – โทนี่ หลิว (ขวา)

    โดยไมเดียต้องการให้เมืองไทยเป็นตลาดหลักในภูมิภาค ปีนี้ต้องการผลักดันให้ยอดขายในอาเซียนเติบโต 30% แม้ปัจจุบันจะมีเพียงส่วนแบ่ง 2.2% ถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งกัมพูชาที่มีส่วนแบ่งตลาดถึง 19%, มาเลเซีย 14%, ลาว 7.1% และเมียนมาร์ 6.7% เป็นต้น แต่เมืองไทยยังมีโอกาสอีกมากจาก 3 ปัจจัย คือ

    1. เมืองไทยยังมีโอกาสเติบโตได้สูง ปี 2019 เชื่อว่าตลาดจะกลับมาเติบโต 5-10% ที่สำคัญยอดขาย 2 ล้านเครื่องถือว่ามากที่สุดในอาเซียน ที่มียอดขายรวมกันปีละ 10 ล้านเครื่อง
    2. เทรนด์ของตลาดที่เมืองไทยเหมือนกับประเทศที่พัฒนาแล้ว คือนิยมใช้อินเวอร์เตอร์ที่ได้กลายมาเป็นสัดส่วนหลักกว่า 50-60% แล้ว ซึ่งสินค้าที่เปิดตัวในปีนี้ทั้ง 5 รุ่น 20 SKU ก็จะเป็นอินเวอร์เตอร์ทั้งหมด
    3. คนไทยให้ความเชื่อมั่นกับสินค้าแบรนด์จีนมากขึ้น เห็นได้จากยอดขายของกลุ่มสมาร์ทโฟน ที่แบรนด์จีนเบียดขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดแล้ว
    4. เทรนด์ที่เกิดขึ้นในเมืองไทย จะมีอิทธิพลกับประเทศเพื่อนบ้านค่อนข้างมาก

    แม้ส่วนแบ่งตลาดยังมีน้อย แต่ความทะเยอทะยานของไมเดียมีมากกว่านั้นเยอะ ซึ่งไมเดียก็ยังมีการบ้านหลักอยู่ 2 ข้อคือ 1. แม้แบรนด์จีนจะเป็นที่ยอมรับของคนไทย สินค้าหลายตัวทำได้ดีโดยเฉพาะสมาร์ทโฟน แต่การทำตลาดก็ยังต้องค่อยเป็นค่อยไปเร่งรีบไม่ได้ เพราะยังไม่ได้เป็นที่ตอบรับเหมือนกับแบรนด์ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ และ 2. การมาทีหลังต้องวิ่งให้เร็วกว่า

    การวิ่งให้เร็วกว่าของไมเดียมาจากการอัดงบการตลาด 12% ของยอดขาย รวมไปถึงได้อีก 5% จากบริษัทแม่มาช่วยในการทำสื่อ 360 องศา โดยต่อไปวางแผนที่จะมีพรีเซ็นเตอร์” และจะต้องเป็นตัวท็อปของวงการ เพื่อสร้างการรับรู้เป็นวงกว้าง แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องทำ เพราะฐานรากในเมืองไทยยังไม่ได้แข็งเกร่งขนาดนั้น สิ่งที่ไมเดียจะต้องเร่งทำในตอนนี้ คือ การเจาะเข้าไปหาดีลเลอร์ และช่างที่ติดตั้ง

    ต้องบอกว่า ดีลเลอร์และช่างติดตั้งถือเป็นตัวแปรสำคัญในการทำตลาดเครื่องปรับอากาศ เพราะถึงเวลาที่ผู้บริโภคจะซื้อเครื่องปรับอาหาศเครื่องใหม่สักเครื่อง จะมองจากแบรนด์ ราคา และฟังก์ชันการใช้งานก็ตาม แต่พอไปซื้อจริงๆ ก็ยังต้องให้ร้านหรือช่างแนะนำอยู่ดี โดยไมเดียได้ออกแอปพลิเคชั่นเพื่อเป็นข้อมูลในการติดตั้งสินค้า และจัดอบรมช่วงปัจจุบันรวมกันกว่า 2,500 คนแล้ว

    รวมไปถึงการพาทั้งดีลเลอร์และช่างติดตั้ง บินลัดฟ้าไปดูโรงงานถึงประเทศจีน เพื่อสร้างความมั่นใจในสินค้า ดังเช่นล่าสุดเมื่อวันที่ 14-16 มีนาคมที่ผ่านมา ไมเดียได้พาคณะสื่อมวลชนกว่า 20 สื่อ รวมถึง Positioningmag บุกไปดูโรงงานที่เมืองซุนเต๋อ มณฑลกวางตุ้ง ซึ่งสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่นี่

    โดยโรงงานที่ไมเดียพาไปดูนั้นมีพื้นที่กว่า 170,000 ตารางเมตร เป็น 1 ใน 6 โรงงานที่ผลิตเครื่องปรับอากาศของไมเดียทั่วโลก เฉพาะที่นี่มีกำลังการผลิต 6 ล้านเครื่อง ช่วง 2 ปีต่อจากนี้สินค้ากว่า 90% ที่วางขายในเมืองไทยจะถูกผลิตจากโรงงานแห่งนี้ และยังไม่มีแผนที่จะผลิตเองในเมืองไทย เพราะต้องใช้เงินลงทุนที่สูง

    อย่างโรงงานแห่งนี้มีการผลิตที่ทันสมัย ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมด สามารถเช็ตสถานะการทำงานได้จากหน้าจอในห้องควบคุมได้เลย ทั้งกำลังการผลิต คำนวณวัตถุดิบที่เหลืออยู่ สามารถระบุได้เลยว่าพนักงงานในโรงงานแต่ละคนมีหน้าที่อะไร โดยใช้แรงงานหลักเป็นหุ่นยนต์ที่มีกว่า 800 ตัว สามารถทดแทนแรงงานคนกว่า 24,000 คน

    สำหรับไมเดีย กรุ๊ป” คือ บริษัท ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ของจีน ซึ่งมีไลน์การผลิตครอบคลุมทุกประเภทสินค้า มีอายุ 50 ปีแล้ว ปัจจุบันมีโรงงานผลิต 18 แห่งในจีน และอีก 15 แห่งในต่างประเทศ มีพนักงานราว 1.3 แสนคนทั่วโลก มีการส่งออกสินค้าไปมากกว่า 200 ประเทศ 

    ไมเดีย กรุ๊ปถูกจัดอันดับโดยนิตยสาร Fortune Global 500 ประจำปี 2018 ให้เป็นบริษัทที่มีรายได้จากการประกอบการสูงสุดลำดับที่ 323 ของโลก ทั้งยังถูกจัดอันดับโดยนิตยสาร Forbes Global 2000 ประจำปี 2018 ให้เป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกลำดับที่ 245 ในด้านรายได้ กำไร ทรัพย์สิน และมูลค่าทางการตลาด นอกจากนี้ยังถูกจัดให้อยู่ลำดับที่ 138 ภายในรายงานประจำปีด้านแบรนด์ทรงคุณค่าที่สุดของโลก ประจำปี 2019 โดย Brand Finance.

    ]]>
    1220429
    แอร์ยอดตก อากาศไม่ร้อนพอ Midea แบรนด์จีน หลังคว้าโตชิบาเสริมทัพ หวังดันยอดโต 74% https://positioningmag.com/1203424 Mon, 17 Dec 2018 08:30:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1203424 Thanatkit

    เกือบ 10 ปีที่ ไมด้า Midea (ไมเดีย) แบรนด์เครื่องปรับอากาศจากแดนมังกร เข้ามาทำตลาดในไทย ผ่านการตั้งดิสทริบิวเตอร์ในการทำตลาด แม้ว่าปี 2014 บริษัทแม่เข้ามาลุยเอง แต่ Midea ครองส่วนแบ่งตลาดเพียง 2.2% เท่านั้น

    มีสาเหตุราคา Midea ทำได้ไม่ดีพอ เพราะถึงจะมีช่วงราคาวางขายเพียง 10,000 – 25,000 บาท แต่จากภาษีนำเข้าที่สูงถึง 30% เมื่อเทียบกับแบรนด์จีน 4 แบรนด์ ที่ทำตลาดเครื่องปรับอากาศอยู่ตอนนี้ ราคา Midea ถือว่าสูงกว่า

    แต่จากการที่ปีนี้ภาษีได้ลดลงเหลือ 5% จะทำให้ Midea เชื่อว่าจะสามารถแข่งขันได้ดีขึ้น เพราะมีแผนที่จะปรับราคาลง ขณะนี้ Midea ครองเบอร์ 2 ในกลุ่มแบรนด์จีน เป็นรองเพียงไฮเออร์

    สถานการณ์ในเมืองไทยถือว่าแตกต่างจากประเทศบ้านเกิดเป็นอย่างมาก เพราะในจีน Midea มีส่วนแบ่งการตลาดของเครื่องปรับอากาศกลุ่มใช้ภายในบ้าน 28% โดยเป็นเบอร์ 2 ของตลาด และส่งออก 24% เบอร์หนึ่ง และสำหรับเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ครองส่วนแบ่ง 11.5% และส่งออกมากเป็นอันดับหนึ่งด้วยสัดส่วน 20%

    ไมด้า เชื่อว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะธุรกิจเครื่องปรับอากาศ กลับไม่เติบโตตามเศรษฐกิจที่เติบโตประมาณ 4.1% โดยติดลบ 9.8% ปัจจัยหลัก คืออากาศไม่ร้อนตามที่คาดการณ์ในช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา และผู้บริโภคใช้จ่ายเงินไปกับปัจจัยที่จำเป็นด้านอื่นๆ ทำให้ติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 แล้ว

    แทนที่ภาพรวมตลาดจะติดลบ แต่ Midea คาดว่าจะเติบโต 54% ส่วนหนึ่งเพราะปีนี้ “โตชิบา ไทยแลนด์” ได้เข้ามาดูแลแบรนด์ Midea อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งในเรื่องทีมบริหาร การดูแลจัดการทีม รวมถึงบริการหลังการขายที่ใช้ศูนย์บริการเดียวกับโตชิบา รวมถึงให้การรับประกันเพิ่มเป็น 7 ปี ต่างจากแบรนด์อื่นๆ ให้ 5 ปี

    การเข้ามาดูแลของ “โตชิบา” เกิดจากดีลที่ประกาศเมื่อเดือนเมษายน ปี 2016 โดย “ไมเดียกรุ๊ป” เข้าซื้อกิจการเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในครัวเรือนจากบริษัท โตชิบา คอร์ปอเรชัน ประเทศญี่ปุ่น โดยรับสิทธิ์การใช้เครื่องหมายการค้า “โตชิบา” เป็นเวลา 40 ปี

    เมื่อปีนี้เป็นไปด้วยดี Midea จึงวางแผนบุกปีหน้าทันที โดยตั้งเป้าเติบโตถึง 74% มาจากกลยุทธ์ 2 ส่วนหลักได้แก่ ข้อแรกการออกสินค้าใหม่ที่เน้นเป็น อินเวอร์เตอร์” ทั้งหมดเพราะผู้บริโภคเริ่มสนใจซื้อมากขึ้น จากราคาที่ไม่ได้ต่างจากรุ่นธรรมดาเพียง 20-30% แต่ประหยัดไฟได้มากกว่า โดยจะส่งเข้าสู่ตลาด 20 รุ่น 5 ซีรีส์

    ข้อสอง ทุ่มทุนด้านการตลาดโดยวางแผนจะใช้งบมากกว่า 12% ของรายได้ในการสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์ โดยเน้นที่จุดแสดงสินค้าที่ด้านหน้าและภายในร้าน กิจกรรมส่งเสริมการขาย การสร้างแบรนด์ผ่านสื่อ above the line การฝึกอบรมพนักงานขายและช่างเทคนิค รวมถึงแพลตฟอร์มการให้บริการซึ่งใช้ศูนย์บริการเดียวกับโตชิบา

    ไบรอัน จ้าว (ขวา)

    ไบรอัน จ้าว ประธาน บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด กล่าวว่า

    “Midea ตั้งเป้าเติบโตถึง 74% เพราะเชื่อว่าปีหน้าตลาดเครื่องปรับอากาศจะกลับมาเติบโต 1% หลังจากติดลบ 2 ปี ติดเพราะทิศทางของ GDP ประเทศเริ่มฟื้นตัว จะส่งผลให้ภาคอสังหาริมทรัพย์เติบโตตามไปด้วย ซึ่งกลุ่มนี้จะเข้ามาขับเคลื่อน เนื่องจากเห็นหลายรายเริ่มอัดโปรแถมเครื่องปรับอากาศเป็น 2 เครื่องจากปรกติให้เครื่องเดียวเท่านั้น”

    ความฝันของ Midea ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น ยังตั้งเป้าติด TOP 3 ภายใน 5 ปี ซึ่งจะเป็นการเข้ามาแทนที่ มิตซูบิชิ, ไดกิ้น และพานาโซนิค ที่รั้งตำแแหน่งอยู่ Midea วางแผนว่า ปีหน้าจะเน้นเรื่องผลิตภัณฑ์และการทำการตลาด ตั้งเป้ามีมาร์เก็ตแชร์เพิ่มเป็น 4.5%

    ปี 2020 เน้นการสร้างช่องทางการจัดจำหน่ายให้มีครอบคลุมเพิ่มส่วนแบ่งเป็น 7%, ปี 2021 สร้างการรับรู้ และความเชื่อมั่นในแบรนด์ ส่วนแบ่ง 9% และ ปี 2022 วางแผนจัดหาผลิตภัณฑ์ใหม่ บริหารช่องทางการจัดจำหน่าย รวมไปถึงการทำกิจกรรมการตลาด การส่งเสริมการขาย และการสร้างแบรนด์ ตั้งเป้ามีมาร์เก็ตแชร์เพิ่มเป็น13%

    สำหรับ “ไมเดีย กรุ๊ป” คือบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ของจีน ก่อตั้งมา 50 ปี ปัจจุบันมีโรงงานผลิต 18 แห่งในจีน และอีก 15 แห่งในต่างประเทศ มีพนักงานราว 1.3 แสนคนทั่วโลก โดยในปี 2017 สามารถสร้างรายได้ถึง 3.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.2 ล้านล้านบาท.

    ]]>
    1203424
    ตลาดเดือดปุด ขายแอร์ยุคใหม่ต้องใช้พรีเซ็นเตอร์ https://positioningmag.com/1162041 Sat, 17 Mar 2018 07:52:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1162041 เทคโนโลยีแอร์ล้ำยุค พูดไปก็เท่านั้น หาพรีเซ็นเตอร์เด็ดให้คนจำแบรนด์ได้ดีกว่า น่าจะเป็นคำตอบที่ตรงที่สุดของเครื่องปรับอากาศแทบทุกแบรนด์ในตลาดไทย ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับเมืองร้อนแบบประเทศไทยเรานี้ ทั้งที่ควรจริงเครื่องปรับอากาศหรือแอร์ควรจะขายได้ด้วยตัวเองมันเอง แต่หลาย ๆ แบรนด์ก็เลือกที่จะใช้พรีเซ็นเตอร์เป็นดารา นักร้อง หรือคนดังที่เป็นที่นิยมในระดับต้น ๆ ณ ช่วงเวลาที่ปล่อยโฆษณาออกมา ซึ่งพรีเซ็นเตอร์นั้นก็ส่งผลให้เครื่องปรับอากาศบางแบรนด์ประสบผลสำเร็จสมกับที่ทุ่มทุนใช้พรีเซ็นเตอร์เลยทีเดียว

    เรามาเริ่มย้อนดูกันก่อนว่าแต่ละแบรนด์ของเครื่องปรับอากาศไทย ใช้พรีเซ็นเตอร์คนไหนกันมาแล้วบ้าง

    Mitsubishi มิตซูบิชิ

    • ครอบครัวโกสิยพงษ์ พ.ศ. 2551
    • โป๊ป ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ พ.ศ. 2558-2561

    Samsung ซัมซุง

    • อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ พ.ศ. 2553
    • แอฟ ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ และ สงกรานต์ เตชะณรงค์ พ.ศ. 2556
    • ชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ต พ.ศ. 2560

    LG แอลจี

    • ชาคริต แย้มนาม และ วุ้นเส้น วิริฒิพา ภักดีประสงค์ พ.ศ. 2557
    • ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ พ.ศ. 2560

    Daikin ไดกิ้น

    • ณเดชณ์ คูกิมิยะ พ.ศ. 2558

    Panasonic พานาโซนิค

    • ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์ พ.ศ. 2555
    • แต้ว ณฐพร เตมีรักษ์ และ นาย ณภัทร เสียงสมบุญ พ.ศ. 2560

    Sharp ชาร์ป

    • เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา พ.ศ. 2557

    Haier ไฮเออร์

    • บอย ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ พ.ศ. 2561

    Carrier แคเรียร์

    • ชาคริต แย้มนาม พ.ศ. 2554
    • อิศรา กิจนิตย์ชีว์ หรือ ทอม Room39 พ.ศ. 2561

    จากแต่ก่อนที่ทางตลาดเครื่องปรับอากาศต่างห้ำหั่นกันผ่านลูกเล่นของตัวผลิตภัณฑ์เอง เช่น ดักจับฝุ่นละอองในอากาศ สั่งงานด้วยเสียง เป็นต้น

    ตอนนี้พร้อมใจกันหันมาใช้พรีเซ็นเตอร์ เป็นตัวแทนส่งไปในสนามรบเพิ่ม อย่างเครื่องปรับอากาศของ Haier (ไฮเออร์) คว้าตัว บอย ปกรณ์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับทางเครื่องปรับอากาศเป็นครั้งแรกเนื่องจากอยากใช้กระแสการเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ใหม่ ควบคู่กับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่จาก Haier (ไฮเออร์)

    บางแบรนด์ยังคงเลือกไว้วางใจใช้พรีเซ็นเตอร์คนเดิมอย่างต่อเนื่องหลายปีติดกัน เพราะได้ผลตอบรับในด้านยอดขายที่ดีจากการใช้พรีเซ็นเตอร์คนเดิม อย่าง Daikin (ไดกิ้น) ที่พรีเซ็นเตอร์ยังเป็นพระเอกดังอย่าง ณเดชน์ คูกิมิยะ และ Mitsubichi (มิตซูบิชิ) ที่มีพรีเซ็นเตอร์เป็นพระเอกดังจากทางช่องเดียวกันอย่าง โป๊ป ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ ซึ่งดูเหมือนว่านอกจากเครื่องปรับอากาศและโฆษณาที่นำโดยพรีเซ็นเตอร์จะทำงานร่วมกันในการช่วยขายผลิตภัณฑ์ให้แต่แบรนด์แล้ว กระแสของตัวพรีเซ็นเตอร์เองในช่วงเวลาที่โฆษณาออนแอร์อยู่ก็เป็นหนึ่งภาพจำ ทำให้ผู้คนจำภาพเครื่องปรับอากาศนั้น ๆ ได้ดียิ่งขึ้น

    เห็นได้ชัดว่า เหตุผลที่ต้องเลือกใช้พรีเซ็นเตอร์มาเป็นอีกหนึ่งนักรบหลักในการต่อสู้ทางการตลาดกับแบรนด์คู่แข่ง มีด้วยกันหลายเหตุผล เพราะตัวพรีเซ็นเตอร์นั้นจะช่วยชูโรงและอธิบายลูกเล่นข้อดีต่าง ๆ ของตัวเครื่องปรับอากาศได้ดียิ่งขึ้น เรียกง่าย ๆ ว่าเพิ่มความน่าสนใจให้กับสินค้านั่นเอง

    อีกทั้งตัวพรีเซ็นเตอร์ที่มีความน่าเชื่อถือเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็จะส่งผลไปยังผลิตภัณฑ์และแบรนด์ให้มีความเชื่อถือด้วย

    นอกจากนี้นอกจากฝ่ายแบรนด์จะได้ผลประโยชน์หลักในการขายสินค้าของตนแล้ว ตัวพรีเซ็นเตอร์เอง ก็มีพื้นที่สื่อให้ผู้คนได้เห็นตลอดเหมือนกัน

    เรียกได้ว่าได้ผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย อย่างเช่น มิตซูบิชิ ที่มี โป๊ป ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ เป็นพรีเซ็นเตอร์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ก็เป็นภาพที่แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของแบรนด์เครื่องปรับอากาศที่เลือกใช้พรีเซ็นเตอร์และเป็นพรีเซ็นเตอร์ที่เหมาะสมกับหลาย ๆ ด้าน

    ยิ่งตอนนี้อย่างตอนนี้กระแสท่านหมื่นจากละครดังบุพเพสันนิวาสก็ส่งผลให้คนไทยให้ความสนใจกับ โป๊ป ธนวรรธน์ มากขึ้น ตัวโฆษณาของ Mitsubichi (มิตซูบิชิ) เองที่มีโป๊ปแสดงนำก็ทำให้ผู้คนให้ความสนใจเข้าชมเป็นจำนวนมาก ทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลายมากขึ้น

    ช่วงเบรกโฆษณาของละครดังสะเทือนอโยธยาอย่าง บุพเพสันนิวาส ตอนนี้ ไม่ใช่แคร์ มิตซูบิชิ ส่งโฆษณาของที่ โป๊ป หรือ พี่หมื่นคนดัง มาออกอากาศอย่างถี่ยิบ และไม่ได้จำกัดแค่เครื่องปรับอากาศ แต่รวมถึงสินค้าประเภทอื่น ๆ ที่โป๊ปรับเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับทั้งแบรนด์ภายใต้แนวคิด เราคิดจากชีวิตคุณ

    หรือแม้กระทั่ง Panasonic (พานาโซนิค) ที่ใช้นางเอกเรตติ้งดีอย่าง แต้ว ณฐพร เตมีรักษ์ ร่วมกับพระเอกดาวรุ่งอย่าง นาย ณภัทร เสียงสมบุญ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์คู่กัน ก็เพื่อดึงดูดให้ผู้คนมาสนใจชมสินค้ามากขึ้น แต่ก็ดูเหมือนว่าจะได้ผลในช่วงแรก เพราะกระแสละครของทั้งคู่จบไปค่อนข้างเร็วจึงเหลือแค่บางกลุ่มเท่านั้นที่ติดตามอยู่

    ฉะนั้นจังหวะหรือทิศทางของกระแสก่อนจะเลือกพรีเซ็นเตอร์ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เรียกง่าย ๆ ว่าพรีเซ็นเตอร์เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ไปเลยก็ได้

    เพราะเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ที่เมื่อแบรนด์ตัดสินใจเลือกใครมาเป็นพรีเซ็นเตอร์แล้ว ภาพลักษณ์ของพรีเซ็นเตอร์จึงเท่ากับภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ด้วย.

    ]]>
    1162041
    “โตชิบา” แอร์ที่ให้มากกว่าความเย็น แต่ต้องรักษ์โลกไปด้วย https://positioningmag.com/1095036 Mon, 20 Jun 2016 10:41:02 +0000 http://positioningmag.com/?p=1095036 ยิ่งโลกร้อนมากขึ้นเท่าไหร่ อากาศในบ้านเมืองเราก็ยิ่งร้อนขึ้นเท่านั้น เครื่องปรับอากาศ หรือ Air conditioner กลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทุกบ้านไม่สามารถหลีกหนีไปได้ไปแล้ว เพราะเป็นตัวช่วยที่ดีที่ช่วยสร้างอากาศเย็นให้แก่เรา แต่หารู้ไม่ว่าแอร์ในยุคปัจจุบันนี้ ไม่ได้มีคุณสมบัติเพียงแค่ทำความเย็นอีกต่อไปแล้วเท่านั้น แต่แอร์บ้านทุกวันนี้ออกแบบมาให้ตอบสนองความต้องการเรามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ ความเย็น การประหยัดพลังงาน และการรักษาสุขภาพ ไปจนถึงเรื่องการถนอมผิวของผู้ใช้ ซึ่งเรามาดูกันว่าเทคโนโลยีของแอร์ในตอนนี้ไปถึงไหนกันแล้ว

    “โตชิบา” แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาอยู่เสมอ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค และให้ก้าวทันต่อเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปอยู่ตลอด ในส่วนของเครื่องปรับอากาศ โตชิบาได้เปิดตัว Air Inverter รุ่นใหม่ในปีนี้ กับรุ่น Daiseikai

    20160620-toshiba-02

    แน่นอนว่าต้องชูจุดเด่นด้วยระบบ Inverter ที่เป็นเทรนด์ของตลาดโลกในตอนนี้ แต่รุ่นนี้ได้มาพร้อมกับคุณสมบัติที่เรียกว่าค่ายอื่นไม่สามารถเทียบได้อย่างแน่นอน ด้วยจุดเด่นที่ 3 เย็น เย็นเร็ว ด้วยพัดลมขนาดใหญ่ขึ้น 15% มากกว่าไปกว่านั้น บานสวิงใหญ่ขึ้น ทำให้ส่งลมกระจายออกไปได้ไกลถึง 17 เมตร เย็นเงียบ เพราะลดรอบการทำงานของพัดลมทำงานด้วยเสียงต่ำที่สุดเพียง 19 dB และเย็นนาน ด้วยเทคโนโลยี Magic Coil ใช้สารเคลือบ Aqua Resin ป้องกันการเกาะติดของฝุ่นละออง

    ความสำคัญของระบบ Inverter ที่ทำให้ผู้บริโภคอย่างเราๆ ต้องหลงรักมันก็คือ Inverter สามารถควบคุมระบบความเย็นของแอร์ให้คงที่ ไม่ทำให้เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวเย็น และสามารถประหยัดพลังงานได้มากถึง 50% แถมยังไม่มีเสียงรบกวนจากการทำงานของแอร์ให้กวนใจ

    20160620-toshiba-03

    สาเหตุที่ทำให้ระบบ Inverter ของแอร์รุ่นนี้มีความเย็นคงที่นั้น เพราะมีการเพิ่มพื้นที่หน้าสัมผัสท่อทองแดงมากขึ้น ทำให้ทำความเย็นได้รวดเร็ว และยังไร้เสียงรบกวน ลดการเกิดกระแสไฟฟ้ากระชากในตัวอุปกรณ์ จึงมั่นใจว่าไม่เกิดอันตรายอย่างแน่นอน

    20160620-toshiba-04

    สำหรับจุดเด่นที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของแอร์รุ่นนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็น “แอร์รักษ์โลก” เลยก็ว่าได้ เพราะมีระบบฟอกอากาศ Plasma Ion ที่ช่วยกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ดักจับฝุ่น และเชื้อโรคต่างๆ พร้อมทั้งมีระบบ Self-Cleaning ที่จะเป็นตัวช่วยในการลดการเกิดกลิ่นอับในเครื่องปรับอากาศหลังการใช้งาน เพราะในแอร์ทั่วไป เมื่อเราใช้งานไปนานๆ จะมีกลิ่นอับเกิดขึ้น ทำให้ไม่สะดวกสบายในการพักผ่อน นอกจากจะทำให้สดชื่นอยู่ตลอดเวลาแล้ว ยังช่วยถนอมผิวของผู้ใช้ไม่ให้แห้งอีกด้วย ด้วยระบบ Ionizer

    20160620-toshiba-05

    และในส่วนของการ “ดีไซน์” ที่จะช่วยทำให้ห้องดูมีมิติมากขึ้น รุ่นนี้มาพร้อมด้วยรูปแบบโมเดิร์น โค้งมน มีคลาส เรียบง่าย ดูสวยงาม สามารถติดตั้งเหนือผ้าม่าน หรือหน้าต่างได้ ที่สำคัญอะไหล่ทุกชิ้นแข็งแรงทนทาน รับประกันคอมเพรสเซอร์นานถึง 7 ปี

    เมื่อขึ้นชื่อว่าแอร์ Inverter แล้วคงหนีไม่พ้นในเรื่องของการประหยัดพลังงาน เพราะโตชิบาด้ยืนยันความประหยัดและประสิทธิภาพการทำงานด้วยค่า SEER ที่สูงถึง 24.36 จึงมั่นใจได้ในเรื่องของการประหยัดพลังงานอย่างแน่นอน

    คุณสมบัติที่กล่าวมานั้นเรียกว่า Air Inverter ของโตชิบาสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างครบถ้วนจริงๆ ออกแบบมานอกจากจะสร้างความเย็นให้แก่ผู้บริโภคแล้ว สร้างความสุขอีกด้วย สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งยังประหยัดพลังงาน ประหยัดไฟ สบายกระเป๋าไปอีกเยอะ

    ]]>
    1095036