เถ้าแก่น้อย – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 08 May 2023 05:31:56 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ส่องกลยุทธ์ “เถ้าแก่น้อย” ขยายตลาดนอกจากจีนเพิ่มเติม หวังปั้นแบรนด์ให้สากลภายใน 1-2 ปี https://positioningmag.com/1429078 Sun, 07 May 2023 13:54:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1429078 หลังจากในช่วงที่ผ่านมาผู้ผลิตสาหร่ายอบกรอบชื่อดังอย่างเถ้าแก่น้อยได้ประสบปัญหาจากการแพร่ระบาดของโควิด จนต้องปรับกลยุทธ์ รวมถึงต้องประคองตัวในช่วงที่ผ่านมา แต่ในปี 2023 เราอาจได้เห็นการเติบโตของแบรนด์สาหร่ายดังกล่าวนี้อีกครั้ง รวมถึงการปลุกปั้นแบรนด์ดังกล่าวให้กลายเป็นแบรนด์ระดับโลกด้วย

ต๊อบ อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จํากัด (มหาชน) ได้กล่าวถึงก้าวย่างของบริษัทในปีที่ 20 ว่าบริษัทได้ผ่านอะไรมาเยอะมาก ตั้งแต่โควิดได้รับผลกระทบ และกลับมาเเติบโตในปี 2022 มีสัดส่วนตลาด 65%

ขณะเดียวกันเขายังชี้ว่า โชคดีที่ตอนนี้ประเทศไทยได้กลับมาเปิดประเทศหลังการแพร่ระบาดของโควิดอีกครั้ง เขาคาดว่าไทยจะมีนักท่องเที่ยวมากถึง 30 ล้านคน เขายังคาดว่าสัดส่วนยอดขายที่มาจากนักท่องเที่ยวน่าจะมากถึง 10% ด้วย

เขายังมองว่ามองนักท่องเที่ยวจีนกลับมาแค่ 30% เท่านั้น และมองว่าหลังเดือนกรกฎาคมน่าจะมียอดขายเพิ่มมากกว่านี้

ทำแบรนด์เถ้าแก่น้อยให้ฟิตและเฟิร์มขึ้น

ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิดผู้บริหารของเถ้าแก่น้อยได้กล่าวว่า ยอดขายลดลง ทำให้ต้องมาโฟกัสกับการบริหารค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกสินค้าที่ขายไม่ค่อยดี เริ่มดูช่องทางการขายต่างๆ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง

ขณะเดียวกันก่อนการแพร่ระบาดของโควิด ต๊อบ เถ้าแก่น้อย ได้เล่าว่าบริษัทมีโรงงานอยู่ 2 แห่ง แต่หลังการแพร่ระบาดของโควิดทำให้บริษัทเหลือโรงงานผลิตที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะ กำลังการผลิตดีมากขึ้น ทำให้มีการประหยัดต่อขนาด (Economy Of Scale) ส่งผลทำให้กำไรขั้นต้นของบริษัทเพิ่มมากขึ้น

เขาได้กล่าวว่าตอนนี้บริษัทวางแผนที่จะลุยผลิตภัณฑ์อื่นด้วย หลังจากที่ร่วมมือกับบริษัทไต้หวันในการผลิตชานม ขณะเดียวกันบริษัทได้ออกสินค้าใหม่คือสาหร่ายอบสไตล์เกาหลี ซึ่งผลตอบรับดีมาก และผลิตภัณฑ์ใหม่ดังกล่าวเขาเชื่อว่าเป็นตัวผลักดันกำไรกับยอดขายได้

อย่างไรก็ดีต๊อบได้เล่าว่าในการลุยผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ไม่ใช่สาหร่าย เขาบอกว่ามีโอกาสล้มเหลว แต่อยากลอง มุ่งไปสู่จุดแข็ง แต่ก็ไม่ทำอะไรเกินฝัน

นอกจากนี้อิทธิพัทธ์ยังกล่าวว่าบริษัทยังทำระบบกระจายสินค้าด้วย จากเดิมที่ใช้ DKSH และตอนนี้มีศูนย์กระจายสินค้าเองแล้ว เขาชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงแบรนด์สาหร่ายได้มากขึ้น และทำยอดขายได้มากกว่าเดิม แม้จะมีอุปสรรคอยู่บ้าง แต่เขาคาดว่า 2-3 เดือนหลังจากนี้ดีขึ้น

กลับมาเปิดเถ้าแก่น้อยแลนด์อีกรอบ แต่ใช้โมเดลใหม่

ต๊อบได้เล่าถึงการปิดสาขาเถ้าแก่น้อยแลนด์ไปจากการแพร่ระบาดของโควิด-19  แต่ตอนนี้กลับมาเปิดอีกรอบแล้วโดยใช้โมเดลธุรกิจใหม่คือเปิดสาขาพื้นที่ไม่เกิน 50 ตารางเมตร ทำให้การใช้เงินลงทุนลดลงเหลือเพียง 5 แสนบาทต่อสาขา จากเดิมที่ 2 ล้านบาทต่อสาขา โดยสาขาแรกตอนนี้อยู่ที่เอเชียทีค และคาดว่าจะเปิดได้ 5 สาขา

กลยุทธ์ในปีนี้ของบริษัทคือเปิดเถ้าแก่น้อยแลนด์เพียงแค่ 2 สาขา และกำลังดูพื้นที่ในละแวกที่มีนักท่องเที่ยวเยอะ เช่นไอคอนสยาม หรือแม้แต่สยามสแควร์ เขายังกล่าวติดตลกด้วยว่า “มองทุกวันคือโควิด จะได้ปรับตัวไปทุกๆ วัน”

เมื่อพื้นที่ของเถ้าแก่น้อยแลนด์เล็กลง ทางร้านจะขายแบรนด์เถ้าแก่น้อย หรือ House Brand ของบริษัทเท่านั้น อะไรที่ทัวร์ชอบจะทำ House Brand ส่วนสินค้าอื่นที่เอามาขายประกอบด้วยจะลดจำนวนลง ทำให้กำไรของเถ้าแก่น้อยแลนด์เพิ่มมากขึ้น

ปัจจุบันลูกค้าชาวต่างชาติที่มาเถ้าแก่น้อยแลนด์ เช่น มาเลเซีย ไต้หวัน อินโด รวมถึงเกาหลีใต้ เขาชี้ว่าลูกค้าอาเซียนถือเป็นลูกค้าหลักไปแล้ว ขณะที่ลูกค้าชาวจีนยังมีสัดส่วนแค่ 20% เท่านั้น และคาดว่าในปีนี้เถ้าแก่น้อยแลนด์จะมีรายได้ต่อเดือนราวๆ 2 ล้านบาทต่อสาขา

ขณะเดียวกันเขาก็ชี้ว่า อาจเปิดมุมขายสินค้าของเถ้าแก่น้อยตามแลนด์มาร์กจุดท่องเที่ยวต่างๆ ในรูปแบบเล็กลงมา เน้นกลยุทธ์เน้นป่าล้อมเมือง ใช้งบลงทุนน้อยลง แต่ได้กำไรมากขึ้น

บริษัทยังมีแผนเตรียมลุยผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ไม่ใช่สาหร่ายอบกรอบอีกด้วย

เจาะตลาดต่างประเทศนอกจากจีนเพิ่มเติม

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเถ้าแก่น้อยได้กล่าวว่า ยอดขายในสหรัฐอเมริกาในปีที่ผ่านมาเติบโตราวๆ 70% เขามองว่าปีนี้ยังเติบโตต่อได้ และบริษัทในสหรัฐอเมริกาตอนนี้มีกำไรแล้ว จากเดิมที่ขาดทุนช่วงโควิด ขณะที่ในประเทศจีนตอนนี้ได้แก้ปัญหาที่พบในช่วงที่ผ่านมาไปแล้ว ทั้งการเปลี่ยน Distributor และปัญหาอื่น

ในแผนการลุยต่างประเทศ (Go Board) ตอนนี้เถ้าแก่น้อยมีขายใน 50 ประเทศ เขาชี้ว่า 10 ประเทศมียอดขายมากกว่า 100 ล้านบาท

ต๊อบกล่าวว่ากลยุทธ์แต่ละประเทศนั้นจะแตกต่างไป เช่น ในสหรัฐอเมริกาเขาเน้นมาก โดยเฉพาะการกระจายสินค้า ขณะที่มาเลเซียขายดีมาก เริ่มใส่งบลงทุนไปบ้างแล้ว ขณะที่ประเทศจีนนั้นมีการไลฟ์ขายสินค้าต่อครั้งมียอดขาย 8-9 ล้านบาท บางครั้ง 10 ล้านบาทด้วยซ้ำ

นอกจากนี้ต๊อบยังมองว่ายอดขายในจีนจะเติบโตกว่านี้ ซึ่งช่วงก่อนหน้านี้อยู่ที่ราว 2,000 ล้านบาท จนการแพร่ระบาดของโควิดทำให้ยอดขายต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ไม่เพียงเท่านี้ ในการเจาะตลาดจีนครั้งใหม่มีการซื้อข้อมูลจาก AC Nielsen รวมถึงจะซื้อข้อมูลในประเทศอื่น เพื่อที่จะเจาะกลุ่มลูกค้าได้ถูกจุด

เขากล่าวว่าล่าสุดตอนนี้ยอดขายอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท และจะกลับไปสู่ยอดขาย 2,000 ล้านบาทที่มีกำไรที่ดีขึ้นและเขายังเสริมอีกว่า ยุโรป แคนาดา และ เวียดนาม มียอดขายดีมากขึ้น และจะทำให้มีการเจาะตลาดหรือแม้แต่ลงทุนเพิ่มเติมหลังจากนี้

ขณะเดียวกันเขาก็มีแผนว่าหลังจากนี้อาจไปตั้งโรงงานนอกประเทศ และอาจหาพาร์ตเนอร์ เพื่อทำให้ยอดขายสินค้ามากขึ้นสำหรับประเทศที่มียอดขายดีมาก

เปรยเตรียมปั้นเถ้าแก่น้อยให้เป็นแบรนด์ระดับโลกภายใน 1-2 ปี

ต๊อบยังกล่าวถึงแผนการที่จะทำให้แบรนด์เถ้าแก่น้อยเป็นแบรนด์ระดับโลก (Go Global) นอกจากนี้ยังมีแผนการที่จะบริหารบริษัทให้เป็นบริษัทระดับโลก โดยดูว่าบริษัทระดับโลกเป็นยังไง ดำเนินงานเช่นไร เพื่อที่จะยกระดับบริษัทขึ้นไป

นอกจากนี้ในเรื่องของแบรนด์เถ้าแก่น้อยที่จะปั้นให้เป็นแบรนด์ระดับโลกได้นั้น เขาให้เปรียบเทียบว่าเพราะทุกวันนี้เหมือนขายแบรนด์เถ้าแก่น้อยไปด้วย ตอนนี้มีพรีเซ็นเตอร์ต่างประเทศ เขากล่าวว่าในการปั้นแบรนด์เถ้าแก่น้อยให้เป็นแบรนด์ระดับโลกอาจต้องใช้แบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลกมากขึ้น รวมถึงแคมเปญการตลาดที่ใหญ่กว่าเดิม ซึ่งคาดว่าจะทำภายใน 1-2 ปีนี้ แต่เขาได้อุบว่าแบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลกที่ดูไว้อยู่คือใคร

เขาได้กล่าวเสริมว่า “สร้างแบรนด์ก็ต้องสร้างไป ขายของก็ส่วนขายของ” ซึ่งแผนดังกล่าวนั้นเพิ่มเติมจากกลยุทธ์เดิมที่ใช้นั่นคือไอดอลมาร์เก็ตติ้ง 

ขณะที่แบรนด์เถ้าแก่น้อยเดินทางมา 20 ปีแล้วนั้น ต๊อบมองว่าเป็นแบรนด์คนรุ่นใหม่ไฟแรง มีความสุขุมมากขึ้น เขามองว่าเทรนด์การตลาดเปลี่ยนแปลงไปตลอด และพยายามปรับตัวทุกวัน รวมถึงาต้องตามลูกค้าให้ทัน แต่เขาย้ำว่าอย่าตามเทรนด์มากเกินไป แต่ดูว่าผู้บริโภคต้องการอะไรมากกว่า คิดแคมเปญแล้วต้องปรับแคมเปญด้วยและต้องยืดหยุ่น

ผู้บริหารสูงสุดของเถ้าแก่น้อยยังมองมองว่าแบรนด์ต้องหาสตอรี่ใหม่ๆ และแบรนด์ต้องมีความวัยรุ่นตลอด ผู้บริโภคมีหลายกลุ่มมากขึ้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครคนใดคนนึง ซึ่งล่าสุดแบรนด์สาหร่ายรายดังกล่าวได้เลือก 3 แบรนด์แอมบาสเดอร์ ไม่ว่าจะเป็น กลัฟ คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์ และ ซี พฤกษ์ พานิช รวมถึง นุนิว ชวรินทร์ เพริศพิริยะวงศ์

ต๊อบยังมองว่าบริษัทอายุครบ 20 ปีตอบโจทย์ทั้งผู้บริโภค ทั้งพนักงาน และผู้ที่เกี่ยวข้อง เขามองว่า 10 ปีหลังจากนี้เถ้าแก่น้อยจะต้องเติบโตทั้งยอดชายและกำไร 2 หลักทุกปี ด้วยแนวคิด Work Togerther Win Together เขายังกล่าวเสริมอีกว่าพยายามผลักดันให้เป็นแบรนด์เถ้าแก่น้อยเป็นหนึ่งในแบรนด์ไทยที่ออกไปโตเมืองนอก เหมือนกับการส่งออก Soft Power ของไทยด้วย

3 แบรนด์แอมบาสเดอร์ของเถ้าแก่น้อย – กลัฟ คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์ และ ซี พฤกษ์ พานิช รวมถึง นุนิว ชวรินทร์ เพริศพิริยะวงศ์

เรื่องอื่นๆ หลังจากนี้

ผู้บริหารสูงสุดของเถ้าแก่น้อยยังกล่าวว่า บริษัทต้องดูในเรื่อง ESG รวมถึงกลยุทธ์โครงการลดก๊าซเรือนกระจก เพราะแบรนด์ระดับโลกเริ่มนำสิ่งเหล่านี้มาใช้มากขึ้นตอนนี้เห็นผลชัดสุดคือบริษัทได้ติดโซลาร์เซลล์ ซึ่งลดค่าไฟฟ้าได้ราวๆ 20% นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนลดความสิ้นเปลืองแต่ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น

ขณะเดียวกันบริษัทก็ได้จับมือกับ SCG ในการทำ Packaging ผลิตภัณฑ์แบบใหม่ที่รักษ์โลกมากขึ้น แต่ตอนนี้ค่อย ๆ ทำไป มีผลิตภัณฑ์ออกมาเพื่อให้เห็นว่ามีแนวโน้มทำได้ ถ้าขายดีก็จะทำต่อไป

ในเรื่องของการซื้อกิจการอื่นนั้น เขากล่าวว่ามีโอกาสซื้อกิจการซื้อได้ก็ซื้อ ถ้าราคาสมเหตุสมผล

นอกจากนี้เขายังกล่าวว่าบริษัทยังไม่ได้ปรับราคาสินค้าขึ้นเลยด้วยซ้ำ แต่จะใช้วิธีออกสินค้าใหม่แล้วปรับราคาไปเลย ยกเว้นสินค้าเก่า แต่บริษัทอาจต้องปรับราคาบ้างถ้าหากต้นทุนนั้นเพิ่มสูงขึ้น

]]>
1429078
จัสท์ดริ้งค์ เร่งเสริมทัพ ส่ง “กาแฟลาเต้” ย้ำจุดยืนเดิม ตัวจริงรสชาติออริจินอลจากไต้หวัน https://positioningmag.com/1335475 Wed, 09 Jun 2021 04:00:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1335475
มาสร้างสีสันให้คนไทยอีกแล้ว! ชานมกระบอก JustDrink ออกรสใหม่ “กาแฟลาเต้” ย้ำจุดยืนความเป็น “ตัวจริง” รสชาติออริจินอลจากไต้หวัน ขยายฐานไปสู่คนรักกาแฟ พร้อมสร้างสีสันในตลาด สร้างกลุ่มแฟนคลับแบรนด์ใหม่ในพอร์ตของ “เถ้าแก่น้อย”

ชานม ฉุน ชุ่ย เฮอ “JustDrink” (จัสท์ดริ้งค์) ส่งตรงรสชาติออริจินอลจากไต้หวัน เข้ามาเปิดจำหน่ายในไทยครั้งแรกเมื่อปลายปีก่อน สร้างปรากฏการณ์ขายดีจนเกลี้ยงชั้นวาง ทำยอดขายให้กับ “เถ้าแก่น้อย” ทะลุ 100 ล้านบาทแล้ว และยังคงเป็นเทรนด์ขาขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกเดือน

หลังผ่านความสำเร็จของ “ชานม” รสชาติเปิดตัวของ JustDrink แบรนด์ชานมกระบอกยอดฮิตพร้อมเปิดตัวรสชาติที่สองด้วยรส “กาแฟลาเต้” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรสชาติที่คนไทยรอคอย และเป็นรสชาติอันดับ 1 ในหมวดกาแฟของ JustDrink ไต้หวัน การนำเข้ารสกาแฟลาเต้ครั้งนี้จึงคาดว่าจะมาเขย่าตลาดไทยอีกครั้งหนึ่ง

โดยจุดขายของรสกาแฟลาเต้ JustDrink ยังคงเน้นย้ำความเป็น “ออริจินอล” ใช้สูตรรสชาติและวัตถุดิบหลักกาแฟนำเข้าจากไต้หวัน 100% ให้รสกาแฟที่ไม่หนักหรือเบาเกินไป พร้อมกลิ่นกาแฟหอมนุ่มละมุน สามารถดื่มได้ทั้งวัน การันตีว่าเป็นรสชาติที่ถูกปาก จากความนิยมของชาวไทยที่ไปท่องเที่ยวไต้หวันมักหาซื้อรสชาตินี้กลับมาฝากเพื่อนและครอบครัว แต่วันนี้เถ้าแก่น้อยพร้อมนำรสกาแฟลาเต้บินตรงมาถึงประเทศไทยแล้วในทุกสาขา 7-Eleven

กลยุทธ์การออกสินค้าใหม่ครั้งนี้ยังทำให้แบรนด์ JustDrink สามารถขยายฐานลูกค้าได้ดีขึ้นด้วย เพราะจากรสชาติแรกเป็นนมพาสเจอไรซ์รส “ชานม” เหมาะกับผู้ที่รักการดื่มชา ส่วนรสชาติที่สองเป็น “กาแฟลาเต้” ถูกใจกลุ่มคอกาแฟ ทำให้เข้าถึงผู้บริโภคได้กว้างขึ้น

นอกจากชานมและกาแฟลาเต้ที่เป็นรสชาติกรุยทางให้กับตลาดไทยแล้ว ชานมกระบอกแบรนด์ต้นฉบับที่ไต้หวันยังมีรสชาติหลากหลายที่มีให้คนไทยได้ลิ้มลองกัน โดยทาง บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) ยังเคยแย้มแผนธุรกิจไว้ว่า อาจมีการเพิ่มรสชาติของ JustDrink อีกประมาณ 4-5 รสชาติ พร้อมกับกิจกรรมการตลาดให้ได้ติดตามกันอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น การทยอยเปิดตัวทีละรสชาติจะทำให้แฟนๆ ที่ชื่นชอบชานมกระบอกคอยติดตามเพื่อรอการเปิดตัวสินค้าใหม่ และทำให้แบรนด์มีจังหวะสร้างสีสันได้อย่างต่อเนื่อง มีโอกาสกระตุ้นตลาด สร้างการจดจำให้แบรนด์แข็งแรงขึ้น


สำหรับใครที่ไม่อยากพลาดโอกาสลองชิมรสชาติออริจินอลส่งตรงจากไต้หวัน สามารถหาซื้อได้ที่ 7-Eleven ทุกสาขา พิเศษ! ช่วงนี้จัดโปรโมชั่น เพียงซื้อรสชาติใดก็ได้ 2 ขวด ราคา 59 บาท (จากปกติ 70 บาท) ที่ 7-Eleven ทุกสาขา จะซื้อที่ร้านหรือจะสั่งผ่าน 7-Eleven Delivery ก็สะดวก สั่งได้เลยที่ลิงค์นี้ กาแฟลาเต้ คลิก >> https://7eleventh.page.link/XxvS ชานม คลิก>> https://7eleventh.page.link/xinQ และสามารถกดติดตามความเคลื่อนไหวของแบรนด์ได้ที่ Facebook Page ของ JustDrink Thailand เพื่อที่จะไม่พลาดการเปิดตัวรสชาติใหม่จาก “JustDrink” ในอนาคต!

]]>
1335475
ชานม JUSTDRINK กู้ชีพ! “เถ้าแก่น้อย” พลิกฟื้นทำกำไร 55 ล้าน จากขาดทุน 20 ล้าน https://positioningmag.com/1331784 Wed, 12 May 2021 09:16:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1331784 เถ้าแก่น้อยเปิดลประกอบการ ไตรมาส 1 ปี 2564 สามารถทำกำไรสุทธิที่ 55.9 ล้านบาท ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขาดทุน 20 ล้าน จากการควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น เร่งกระจายความเสี่ยงกลุ่ม Non-Seaweed พร้อมได้ชานมไต้หวัน “จัสท์ ดริ้งค์” ช่วยเพิ่มยอดขาย

พลิกสถานการณ์ กลับมามีกำไร

บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKN ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2564 ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้ามีรายได้จากการขาย 919.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.2% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีปัจจัยจากตลาดในประเทศที่มีรายได้ 388.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.7% จากไตรมาสก่อนหน้า

ในไตรมาสนี้มีกำไรสุทธิ 55.9 ล้านบาท ถือว่าเป็นตัวเลขที่ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีผลขาดทุนสุทธิ 20.9 ล้านบาท

ปัจจัยสำคัญมาจากการบริหารจัดการต้นทุนทั้งด้านการผลิต และการจัดจำหน่าย ส่งผลทำให้มีต้นทุนการจัดจำหน่ายในไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 97.9 ล้านบาท ลดลง 14.3% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนหน้า ยังคงปรับการใช้งบประมาณค่าใช้จ่ายขาย และการตลาดให้สัมพันธ์กับยอดขาย และเป็นไปตามสถานการณ์

รวมถึงการมียอดขายที่เพิ่มขึ้น โปรดักต์ฮีโร่คงหนีไม่พ้น “ชานมไต้หวัน Chun Cui He (ฉุน ชุ่ย เฮอ)” ที่เถ้าแก่น้อยนำเข้ามาผลิตมในไทยภายใต้ชื่อ “JUSTDRINK (จัสท์ ดริ้งค์)” ได้เปิดตัวเมื่อช่วงกลางเดือนธันวาคม 2563 สร้างปรากฏการณ์ขาดตลาดไปอยู่พักใหญ่ เพราะสาวกชานมคนไทยได้ตามล่าหาในเซเว่นฯ ทั่วไทย

อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN กล่าวว่า

“ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2564 แม้ชะลอตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แม้มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 เข้ามากดดัน บริษัทฯ สามารถสร้างการเติบโตจากการขยายตลาดของสินค้าใหม่ ได้แก่ นมพาสเจอร์ไรส์รสชานม “จัสท์ ดริ้งค์” ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค และสามารถกระจายสินค้ามากขึ้นในช่องทางร้านสะดวกซื้อเป็น 12,000 สาขา ณ ปลายเดือนมีนาคม 2564 จากเดิมที่มี 6,000 สาขา ณ ปลายปี 2563 สามารถชดเชยยอดขายจากตลาดต่างประเทศบางส่วนที่ชะลอตัว สำหรับตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดต่างประเทศหลัก มียอดขายลดลง และได้รับผลกระทบปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ได้เตรียมปรับกลยุทธ์ใหม่เพื่อเจาะตลาดจีนให้ดียิ่งขึ้น”

กระจายความเสี่ยงสู่กลุ่ม Non-Seaweed

สำหรับแนวโน้มภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง เถ้าแก่น้อยเตรียมแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ (NPD) เพื่อเพิ่มยอดขายนอกจากกลุ่มสาหร่าย (Non-Seaweed) คาดว่าจะมีการออกผลิตภัณฑ์นมพาสเจอร์ไรส์จัสท์ ดริ้งค์ รสชาติใหม่ในเร็วๆ นี้

พร้อมทั้งอยู่ระหว่างร่วมมือกับพันธมิตรพัฒนาผลิตภัณฑ์ Plant-Based และศึกษาการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกัญชง ส่วนตลาดต่างประเทศคาดว่าจะเห็นการสั่งสินค้าจากเอเย่นต์เพิ่มขึ้น และปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่ลดลงในครึ่งปีหลัง

“เรามุ่งเน้นการบริหารจัดการต้นทุน ราคาวัตถุดิบ (สาหร่าย) ต้นทุนการผลิตระยะยาว เพื่อรักษาอัตรากำไรขั้นต้น พร้อมทั้งรักษากระแสเงินสดเพื่อปันผลให้ผู้ถือหุ้นต่อเนื่อง และเพียงพอสำหรับแผนขยายการลงทุนในอนาคต”

]]>
1331784
เปิดเบื้องหลังบิ๊กดีล ‘ฉุน ชุ่ย เฮอ’ เมื่อ ‘เถ้าแก่น้อย’ ขอลุยชานมไต้หวัน JUSTDRINK https://positioningmag.com/1310218 Mon, 14 Dec 2020 13:39:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1310218 หากพูดถึงชื่อของ ‘สาหร่ายเถ้าแก่น้อย’ เชื่อว่าในไทยคงไม่มีใครไม่รู้จัก แม้ปีนี้จะได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ที่ทำให้รายได้หายไปกว่า 10% แต่บริษัทก็ส่งไม้ตายช่วงปลายปีด้วยการคว้าเอาชานมไต้หวันเจ้าดังระดับ Top 3 อย่าง ‘Chun Cui He (ฉุน ชุ่ย เฮอ)’ มาขายในไทยภายใต้ชื่อ ‘JUSTDRINK (จัสท์ดริ้งค์)’ โดยกระแสตอบรับดีขนาดที่ลงเมื่อไหร่หมดเมื่อนั้น ซึ่ง Positioning ได้คุยกับ ‘ต๊อบ อิทธิพัทธ์  พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน)’ ถึงเบื้องหลังดีลดังกล่าว และเป้าหมายจากนี้ของบริษัทที่มี JUSTDRINK เป็นพระเอกใหม่

ต๊อบ อิทธิพัทธ์  พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน)

จาก ‘ขนมขบเคี้ยว’ สู่ ‘นมพร้อมดื่ม’

เข้าสู่ปีที่ 16 แล้วสำหรับสาหร่าย ‘เถ้าแก่น้อย’ ที่ปัจจุบันได้ขยายตลาดไปกว่า 40 ประเทศทั่วโลก แต่เพราะพิษ COVID-19 ทำให้บริษัทต้องหา ‘เทรนด์ใหม่’ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ‘มิสเตอร์เหลียง เจีย หมิง’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไต้หวัน บิฟิโด ฟู้ด (Taiwan Bifido Foods Inc) เจ้าของชานมสุดฮิตในไต้หวัน ‘ฉุน ชุ่ย เฮอ’ ต้องการขยายตลาดไปต่างประเทศ ซึ่งมิสเตอร์เหลียงเป็นแฟนสาหร่ายเถ้าแก่น้อย ทำให้ดีลระหว่างเถ้าแก่น้อยและชานมฉุน ชุ่ย เฮอถือกำเนิดขึ้นภายใต้แบรนด์ ‘จัสท์ดริ้งค์’ ซึ่งไทยถือเป็นแหล่งผลิตนอกไต้หวันประเทศแรก จากเดิมที่ส่งออกไปประเทศฮ่องกงและสิงคโปร์

“เรารู้จักแบรนด์เขามาประมาณ 2 – 3 ปี แต่ตอนนั้นเขายังไม่มีแผนจะขยายตลาดไปต่างประเทศ จนเมื่อเขาต้องการขยายไปประเทศอื่น ๆ เขาก็นึกถึงเราเพราะเขาเป็นแฟนสาหร่ายและพอเขารู้ว่าเราก็ชอบเขา เขาก็พร้อมเจอเรา ซึ่งดีลนี้ทำให้เราได้เข้ามาทำตลาดนมพร้อมดื่มเป็นครั้งแรก

เหลียง เจีย หมิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไต้หวัน บิฟิโด ฟู้ด (Taiwan Bifido Foods Inc) (ซ้าย) อิทธิพัทธ์  พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) (ขวา)

วางเป้ายอดขาย 1.5 แสนขวด/วัน

สำหรับความร่วมมือของเถ้าแก่น้อยและฉุน ชุ่ย เฮอนั้น ทางแบรนด์ชานม ฉุน ชุ่ย เฮอจะให้สิทธิประเทศไทยในการตั้งโรงงานผลิตโดยให้สูตรและแบรนด์ พร้อมกับร่วมลงทุน 50% โดยเถ้าแก่น้อยจะจ่ายค่ารอยัลตี้ฟรีแก่ฉุน ชุ่ย เฮอ และหากตลาดประเทศไทยประสบความสำเร็จ สเต็ปต่อไปเริ่มขยายไปในต่างประเทศ

ซึ่งตั้งแต่ทดลองขายเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนโดยผลิตสินค้าที่ 30,000 ขวด/วัน กระจายในเซเว่นฯ 6,000 สาขา หรือเฉลี่ยที่ 5 – 6 ขวด/สาขา ซึ่ง ของหมดไม่พอขายทุกวัน ดังนั้น ทางบริษัทกำลังขยายการผลิตให้ได้ 100,000 – 150,000 ขวด/วัน ภายในไตรมาส 2 ปีหน้า เพื่อจะกระจายสินค้าไปที่เซเว่นครบ 12,500 สาขา ดังนั้น คาดว่าในปีหน้าสินค้าจะมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 1.5 แสนขวด/วัน และถ้ามียอดเกิน 2 แสนขวดเมื่อไหร่จะขยับไปสเต็ปถัดไป

“จุดที่ทำให้ฉุน ชุ่ย เฮอเป็นพันธมิตรกับเราคือ เรามีฐานลูกค้าในเอเชียที่แข็งแรง ดังนั้นเราจะเป็นเกตเวย์สำคัญในการกระจายสินค้าในอนาคต ซึ่งในช่วง 1 – 2 ปีแรกจะเป็นการทดลองตลาดว่าผลตอบรับดีแค่ไหน ถ้ายอดขายมีมากขึ้นจะขยับไปสเต็ปถัดไปคือ ขยายตลาดไปประเทศอื่น ๆ”

จัสท์ดริ้งค์น้องใหม่ที่มีสาขามากสุด

ตลาดชานมเป็นตลาดที่ใหญ่มาก โดยในเอเชียมีมูลค่าถึง 1 แสนล้านบาท และคาดว่าอีก 5 ปีจะโตเป็น 2 แสนล้านบาท ส่วนตลาดชานมในไทยมีมูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาทเติบโตประมาณ 2 หลักต่อเนื่องทุกปี ขณะที่ตลาด ‘นมพร้อมดื่ม’ มีมูลค่าประมาณ 6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น ‘นมพาสเจอร์ไรซ์’ ประมาณ 16,000 ล้านบาท ซึ่งตลาดดังกล่าวจะเป็นตลาดที่จัสท์ดริ้งค์จะเข้าไปแข่งขัน เนื่องจากจัสท์ดริ้งค์จะเน้นขายผ่านร้านสะดวกซื้อไม่เหมือนกับแบรนด์ชานมอื่น ๆ ที่มีสาขาของตัวเอง ซึ่งบริษัทมองว่ายัง มีโอกาส เพราะตลาดนมพาสเจอร์ไรซ์ไม่ค่อยโตเนื่องจากไม่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ

“เรามองว่าเราอยู่คนละตลาดกับแบรนด์ชานมแบบชงสดที่ราคาตั้งแต่ 25 บาทจนถึงหลักร้อยบาท เพราะเราขายในเซเว่น ดังนั้นคู่แข่งเราคือ นมพาสเจอร์ไรซ์ อาทิ แบรนด์เมจิ ดัชมิลค์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรสชาติทั่วไปไม่ใช่ชานม ส่วนรสชานมจะเป็นตลาดนิช เช่น แบรนด์ของเซเว่นเอง ดังนั้น เราเห็นว่ามีโอกาสเติบโตอย่างมาก”

ชานมเยียวยาทุกสิ่ง

บริษัทวางงบการตลาดไว้ที่ 10% ของยอดขาย ซึ่งในปีแรกตั้งเป้ายอดขายราว 200 – 300 ล้านบาท หรือราว 2% ในตลาดนมพาสเจอร์ไรซ์ โดยบริษัทจะเน้นการสื่อสารทุกช่องทางเพราะต้องการสื่อสารกับคนไทยทั้งประเทศ โดยโพสิชั่นตัวเองให้เป็น ‘นมที่ดื่มได้ทุกวัน’ ด้วยจุดแข็งของรสชาติที่ ‘ไม่หนักหรือเบาเกินไป’ และจะใช้คีย์เวิร์ด ‘ชานมเยียวยาได้ทุกสิ่ง’ มาเป็นจุดแข็งทางการตลาดที่จะสื่อสาร คือไม่ว่าอารมณ์ไหนก็เยียวยาได้ทุกสิ่ง แถมช่วยแก้ความคิดถึงไต้หวันได้ด้วย

เพอร์เซ็ปชั่นของคนไทยยังมองว่านมเป็นอาหารเช้าหรือดื่มแทนมื้ออาหาร แต่เราต้องการเป็นเครื่องดื่มที่ดื่มได้ทุกวันตลอดวัน เป็นชานมที่เยียวยาทุกสิ่งจริง ๆ ไม่ใช่แค่ผู้บริโภค แต่เยียวยาทั้งผมและเถ้าแก่น้อย ผมเชื่อว่าตัวนี้จะเป็นตัวที่มาเยียวยาตลาดทัวร์ลิสต์ในปีหน้าของบริษัท มากอบกู้เอกราชของเถ้าแก่น้อยในไทย และปีหน้าเราจะมีสินค้าและนวัตกรรมใหม่ ๆ อีกเยอะ และนี่จะเป็น Quick Win ของเรา”

ลุยกลยุทธ์ 3 Go ปั้นรายได้หมื่นล้าน

ตั้งแต่เจอ COVID-19 ทำให้บริษัทต้องสร้างตัวเองใหม่ผ่าน 3 กลยุทธ์ ‘3 Go’ ได้แก่

1. Go Firm การทำให้องค์กรเฟิร์ม และปรับตัวอย่างรวดเร็ว โดยบริษัทได้เริ่มปรับจำนวนพนักงานให้สอดคล้องกับกำลังการผลิต รวมถึงตัดเถ้าแก่น้อยแลนด์จาก 19 สาขาเหลือ 5 สาขา ซึ่งทำให้บริษัทแม้รายได้จะลดลงประมาณ 10 – 15% ใน 3 ไตรมาสที่ผ่านมา แต่ยังสามารถมีกำไรเท่ากับปีที่แล้วได้

2. Go Broad ขยายสินค้าให้กว้าง ไม่ได้มีแค่สาหร่ายอบกรอบเพียงอย่างเดียว โดยชานมจัสท์ดริ้งค์เป็นจุดเริ่มต้น โดยในปีหน้านอกจากจะมีรสชาติใหม่ ๆ แล้ว บริษัทยังมีแผนเพิ่มสินค้าใหม่ ๆ ที่มาจากนวัตกรรมจากบริษัทเอง รวมถึงการหาพันธมิตรอื่น ๆ โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากสินค้าอื่น ๆ จาก 10% ให้เป็น 20 – 30% ภายใน 5 ปีจากนี้

3. Go Global คิดในระดับโลก มองโอกาสในตลาดโลก โดยปัจจุบันเถ้าแก่น้อยมีรายได้จากต่างประเทศถึง 60% เฉพาะตลาดสาหร่ายยังเติบโตได้อีกมาก เพราะประเทศไทยทานสาหร่ายเฉลี่ย 15 แผ่น/คน/ปี ส่วนจีนยังไม่ถึง 1 แผ่น ขณะที่ตลาดอเมริกาก็ได้รับการตอบรับอย่างดีมีอัตราการเติบโตถึง 100%

“จากนี้เราต้องมองว่ามันจะมีวิกฤตทุกปี แม้ไม่มี COVID-19 ก็อาจจะมีอื่น ๆ ซึ่งตอนนี้เราไม่ได้มีแค่ตัวเองเหมือนตอนเริ่ม แต่มีพนักงาน มีซัพพลายเออร์ ถ้าเราเพลี่ยงพล้ำ แปลว่าคนอื่น ๆ ด้วย

ทั้งนี้ เถ้าแก่น้อยตั้งเป้าทำรายได้จาก 5,000 ล้านบาทเป็น 10,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี โดยไม่จำกัดตัวเองแค่ ‘สาหร่าย’ และใช้จุดแข็งด้าน ‘Food Innovation’ เพื่อทำให้สินค้าของบริษัทมี ‘Value Added’ ในราคาที่จับต้องได้ เมื่อก่อนเคยแมสแค่ไหน จากนี้ไปต้องแมสกว่าเดิม

]]>
1310218
“เถ้าแก่น้อย” เปิดงบไตรมาส 1/63 รายได้ลดลง 13.3% แต่กำไรเพิ่มขึ้น หลังออเดอร์จากจีนดีขึ้น https://positioningmag.com/1278151 Tue, 12 May 2020 11:04:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1278151 เถ้าแก่น้อยเปิดผลประกอบการไตรมาส 1/2563 มีรายได้ 1,110 ล้านบาท ลดลง 13.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน จากผลกระทบการแพร่ระบาด COVID-19 แต่มีกำไรสุทธิ 85.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน หลังควบคุมต้นทุนการผลิต และค่าใช้จ่ายต่างๆ

ขณะที่ไตรมาส 2/2563 แนวโน้มยอดสั่งซื้อจีนเริ่มดีขึ้น พร้อมปรับแผนการตลาด ลุยขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เพิ่มทางเลือกแก่ผู้บริโภค

อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN กล่าวว่า 

“ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2563 มีรายได้รวม 1,110 ล้านบาท ลดลง 13.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งกระทบกับยอดขายในกลุ่มประเทศต่างๆ โดยเฉพาะการขายผ่านผู้แทนจำหน่ายในประเทศจีน และตลาดนักท่องเที่ยว”

ขณะเดียวกันมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 85.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีการควบคุมต้นทุนทั้งด้านการผลิต และการจัดจำหน่าย รวมถึงยอดขายของบริษัทในเครือที่สหรัฐอเมริกามีอัตราการเติบโต และลดผลขาดทุนลงอย่างชัดเจน

ตั้งแต่เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ยอดคำสั่งซื้อจากประเทศจีนเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัส COVID-19 เริ่มคลี่คลาย การกระจายสินค้าเข้าสู่ช่องทางการจัดจำหน่ายในมณฑลต่างๆ ของจีนทำได้ดีขึ้น และคาดการณ์ว่าส่งผลดีต่อเนื่องกับการดำเนินงานไตรมาส 2/2563

ปัจจุบันบริษัทฯ ได้ปรับเปลี่ยนการจัดประเภทสินค้า เพื่อให้มีทิศทางและการเติบโตที่ชัดเจน โดยจัดประเภทกลุ่มขนมขบเคี้ยวเป็น กลุ่ม ได้แก่

1. กลุ่มผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวที่ทำจากพืชเป็นหลัก (Plant based snack)

2. กลุ่มขนมขบเคี้ยวมุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าสินค้า (Premium Snack) อาทิสาหร่ายทอดเทมปุระไข่เค็ม 

3. กลุ่มผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวประเภทโปรตีนสูง (Protein Snack) รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารเสริม (Supplement)

]]>
1278151
อ่านกลยุทธ์ “ไอดอล มาร์เก็ตติ้ง” เถ้าแก่น้อย จาก F4 สู่ BNK48 และ เซฮุน EXO https://positioningmag.com/1247554 Wed, 25 Sep 2019 10:07:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1247554 ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลยุทธ์ ไอดอล มาร์เก็ตติ้ง (Idol Marketing) ด้วยการดึงศิลปิน ดารามาเป็นพรีเซ็นเตอร์นั้นมีมาช้านาน แต่ก็ใช่ว่าจะทำปังหรือดังได้ทุกแบรนด์

อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิต จัดจำหน่ายและทำการตลาดสาหร่ายแปรรูปแบรนด์ “เถ้าแก่น้อย” กล่าวว่า เพราะหนึ่งในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเถ้าแก่น้อย คือ “วัยรุ่นคนรุ่นใหม่” จึงเลือกกลยุทธ์ Idol Marketing” เพื่อเข้าถึงและสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย

ไอดอลที่เลือกมาเป็นพรีเซ็นเตอร์คนล่าสุด คือ เซฮุน แห่งวง EXO ที่กลายเป็น Key Man ของการพา “เถ้าแก่น้อย” ติดท็อปเทรนด์โลก

“เราทำการบ้านเยอะมาก โจทย์ของเราคือ ต้องการไอดอลที่มีคาแร็กเตอร์สนุกสนาน เฟรนด์ลี่ เท่และน่ารักอยู่ในคนคนเดียวได้ เปรียบเหมือนตัวแทนแบรนด์ ที่สำคัญคือต้องเป็นขวัญใจชาวไทย และเป็นที่รู้จักในระดับโลก”

คำตอบมาลงตัวที่ เซฮุน ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 17 ล้านคนทั่วโลก หนึ่งในสมาชิกวง EXO ที่เป็นศิลปินวงดนตรีสัญชาติเกาหลี เป็นที่รู้จักระดับโลก มีแฟนคลับหลาย 10 ล้านคนทั่วโลก และถูกจัดอันดับให้เป็นที่สุดของกลุ่มคนผู้มีชื่อเสียงในการจัดอันดับผู้ทรงอิทธิพลในเกาหลี โดยนิตยสาร ฟอร์บส์ ในปี 2014 อีกด้วย

จาก F4 สู่ BNK48 และ เซฮุน EXO

เถ้าแก่น้อยใช้กลยุทธ์ Idol Marketing” เชื่อมต่อระหว่างแบรนด์ไปยังไอดอล และไอดอลไปยังผู้บริโภค เพื่อสร้างการรับรู้ ให้เข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นคนรุ่นใหม่ ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของแบรนด์ เรียกว่าเป็นผู้นำเทรนด์ Idol Marketing การใช้ไอดอลแต่ละคนให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์และเป้าหมาย จะต้องวางกลยุทธ์ให้ตอบโจทย์การตลาด

F4” ปูทางตลาดจีน : แคมเปญ “เถ้าแก่น้อย บิ๊กโรล” เมื่อเดือน มี.ค. 2562 ได้ใช้ 4 หนุ่ม “F4” มากระตุ้นตลาดสาหร่ายไทยและจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่และมีศักยภาพโตสูง เหมาะกับการดันยอดขายของ “บิ๊กโรล” ซึ่งเป็น Core Product ของแบรนด์ให้เติบโต

BNK48 แตกไลน์ผลิตภัณฑ์ รุกตลาดสแน็กปลาหมึก : เดือน เม.ย. 2562 เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “เถ้าแก่น้อย ทินเท็น” ปลาหมึกไข่เค็มครั้งแรกในเมืองไทย ด้วยการพัฒนาสินค้าที่มีนวัตกรรม และนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในกระบวนการผลิต โดยมี 6 สาว BNK48 เป็นพรีเซ็นเตอร์ จับกลุ่มนักเรียน นักศึกษา คนรุ่นใหม่

เซฮุน EXO เถ้าแก่น้อยXเซฮุน : เดือน ก.ค. 2562 เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ใหม่ “เซฮุน” (Sehun) หนึ่งในสมาชิกแห่งวง EXO โดยมีกระแสแรงหลังจากเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ใหม่ 15 นาที พบว่า #TaokaenoiXSehun สามารถติดอันดับ 1 Top Trend Thai ใน “Twitter Trend” รวมถึงครองอันดับ 1 – 5 Twitter Trend ในต่างประเทศทั้งสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และยังติดอันดับ 2 ของโลกใน Worldwide Twitter Trend ภายในระยะเวลา 1 ชั่วโมง

เซฮุน แห่งวง EXO เป็นพรีเซ็นเตอร์ที่เข้ามาสร้างสีสันในกลุ่มตลาดสแน็ค ภายใต้คอนเซ็ปต์ tasty, healthy, fun และยังเป็นการปลุกตลาดสาหร่ายให้กลับมาคึกคักในช่วงโค้งสุดท้ายปีนี้ หลังจากตลาดเติบโตคงที่เพียง 1% ในปีที่ผ่านมา โดยตลาดสาหร่ายมีมูลค่า 3,000 ล้านบาท เถ้าแก่น้อยถือเป็นเบอร์ 1 ครองส่วนแบ่ง 70%

“Idol Marketing” ถือเป็นกลยุทธ์เชิงรุกสู่การสร้าง Brand Awareness ที่ช่วยผลักดันยอดขาย และเป็น Top of Mind ของกลุ่มเป้าหมายไปพร้อมกัน.

]]>
1247554
ดราม่าเป็นเหตุ “เถ้าแก่น้อย” หุ้นร่วงจาก 11.80 บาท เหลือ 10.10 บาท เจอตลาดหลักทรัพย์ขึ้น T1 ใช้บัญชีเติมเงินซื้อเท่านั้น https://positioningmag.com/1244711 Sun, 01 Sep 2019 07:57:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1244711 หลังจากวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา “เถ้าแก่น้อย” เจอดราม่ากรณีจัดกิจกรรม “Taokaenoi Exclusive ล่องเรือ กับ F4” พ่วงวันเกิดภรรยา ส่งผลให้หุ้นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ภายใต้ชื่อ “TKN” ร่วงจาก 11.80 บาท เหลือ 10.10 บาทในสัปดาห์เดียวตลาดหลักทรัพย์ต้องขึ้นเครื่องหมาย T1 ใช้บัญชีเติมเงินซื้อเท่านั้น

เมื่อเย็นวันศุกร์ที่ 30 .ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศให้หลักทรัพย์ของบริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชนหรือ TKN เป็นหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขาย ระดับ 1 (T1) Cash Balance ตั้งแต่วันที่ .ถึง 11 .. 2562 โดยสมาชิก (บริษัทหลักทรัพย์ต้องดำเนินการให้ลูกค้าซื้อหลักทรัพย์ด้วยบัญชี Cash Balance หรือบัญชีเติมเงินเท่านั้น 

โดยลูกค้าต้องวางเงินสดไว้ล่วงหน้ากับสมาชิกเต็มจำนวนก่อนซื้อหลักทรัพย์ ห้ามคำนวณวงเงินซื้อขาย โดยใช้หลักทรัพย์เป็นหลักประกันในการคำนวณเป็นวงเงินซื้อขายหลักทรัพย์ในทุกประเภทบัญชี และห้าม Net settlement หักกลบราคาค่าซื้อกับราคาค่าขายหลักทรัพย์เดียวกันในวันเดียวกัน (โดยซื้อและขายหลักทรัพย์เดียวกันในวันเดียวกัน ค่าขายคืนเป็นวงเงินในวันทำการถัดไป)

ด้านราคาหลักทรัพย์ TKN เมื่อวันที่ 30 .ที่ผ่านมา ปิดตลาดอยู่ที่ 10.10 บาท ต่ำกว่า 20 สตางค์ หรือ 1.94% จากราคาเปิดตลาด 10.30 บาท โดยพบว่าในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นสูงสุดที่ 11.80 บาท เมื่อวันที่ 23 .ที่ผ่านมา ก่อนที่ราคาจะร่วงลงในวันที่ 26 .เหลือ 10.90 บาท, 27 .เหลือ 10.40 บาท, 28 .. เหลือ 10.30 บาท และวันที่ 30 .เหลือ 10.10 บาท กระทั่งตลาดหลักทรัพย์ขึ้นเครื่องหมาย T1 ดังกล่าว

อนึ่ง ผลประกอบการเถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง ไตรมาส 2/2562 พบว่ามีรายได้รวม 2,599.08 ล้านบาท กำไรสุทธิ 179.74 ล้านบาท ย้อนกลับไปที่งบการเงินปี 2561 มีรายได้รวม 5,697.41 ล้านบาท กำไรสุทธิ 459.18 ล้านบาท, งบการเงินปี 2560 มีรายได้รวม 5,283.13 ล้านบาท กำไรสุทธิ 608.44 ล้านบาทงบการเงินปี 2559 มีรายได้รวม 4,729.39 ล้านบาท กำไรสุทธิ 781.85 ล้านบาท และงบการเงินปี 2558 มีรายได้รวม 3,515.27 ล้านบาท กำไรสุทธิ 396.95 ล้านบาท

สำหรับเถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง เป็นผู้ผลิตสาหร่ายทะเลทอดกรอบตราเถ้าแก่น้อย มีนายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ หรือ ต๊อบ อายุ 34 ปี เป็นผู้ก่อตั้ง ก่อนหน้านี้เพิ่งเจอกระแสดรามาจากกิจกรรม “Taokaenoi Exclusive ล่องเรือ กับ F4” ใช้กิจกรรมทางการตลาดจัดงานวันเกิดให้ภรรยาตัวเองอย่างไม่เหมาะสม จนแฟนคลับบอยคอตสินค้า บริษัทฯ ตัดสินใจจัดกิจกรรมอีกรอบแก่ผู้โชคดี โดยยกเลิกระบบ Top Spender และยกเลิกการเชิญแขก VIP.

Source

]]>
1244711
พลิกสูตรสู้ศึกตลาดมันฝรั่ง! “พริงเกิลส์” งัดกลยุทธ์ Glocal Brand พึ่งพลัง “เถ้าแก่น้อย” เจาะผู้บริโภคไทย https://positioningmag.com/1244659 Sat, 31 Aug 2019 02:57:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1244659 มันฝรั่งกระป๋องอเมริกัน แบรนด์อายุ 40 ปีพริงเกิลส์” (Pringles) จำหน่ายใน 140 ประเทศทั่วโลก เข้ามาทำตลาดไทยกว่า 20 ปี ปรับกลยุทธ์ครั้งสำคัญเติมความเป็น Local จับมือเถ้าแก่น้อยปั้นโปรดักต์รสชาติฮิต เจาะตลาดไทยขาย 14 ประเทศเอเชียโอเชียเนีย

อวนิช บาจาจ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เคลล็อกส์ ประเทศไทย จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย “พริงเกิลส์” กล่าวว่า ประเทศไทยถือเป็นตลาดหลักติดอันดับท็อป 5 ในเอเชียของพริงเกิลส์ กลยุทธ์การทำตลาดจึงให้ความสำคัญในการพัฒนาสินค้าเพื่อเจาะตลาดไทย ปลายปีที่ผ่านมาได้เปิดตัวรสชาติยอดฮิต “ต้มยำทรงเครื่องและสวีทชิลลี่” เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคไทย รวมทั้งปรับขนาดให้เหมาะกับช่องทางขาย โดยเพิ่มไซส์สินค้า 42 กรัม ราคา 20 บาท จำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ จากเดิมจะเน้นกระป๋องใหญ่ 107 กรัม เป็นต้น

มาปีนี้ได้จับมือเป็นพันธมิตรธุรกิจกับสแน็กสาหร่ายแบรนด์ “เถ้าแก่น้อย” Co-Branding พัฒนารสชาติที่ได้รับความนิยมในผลิตภัณฑ์ของทั้ง 2 แบรนด์

โดยในฝั่งพริงเกิลส์ เปิดตัวมันฝรั่งกระป๋อง 2 รสชาติใหม่ คือ รสสาหร่ายเถ้าแก่น้อยคลาสสิก และ รสสาหร่ายเถ้าแก่น้อยเผ็ด ส่วน “เถ้าแก่น้อย” เปิดตัวสาหร่ายแบบซอง รสชาติ “พริงเกิลส์ ซาวครีมและหัวหอม”

อวนิช บาจาจ – สมิทธิ จีรนันทน์

ที่ผ่านมาพริงเกิลส์มีแต่รสชาติสำหรับคนตะวันตกมาตลอด การร่วมมือ Co-Branding กับเถ้าแก่น้อย จะทำให้แบรนด์เข้าถึงคนไทยได้มากขึ้น โดยเฉพาะวัยรุ่น จากรสชาติสาหร่ายสแน็กที่ได้รับความนิยมของคนไทย

เราอเมริกันแบรนด์ที่แข็งแกร่งในตลาดโลก แต่ในไทยเรายังไม่แข็งแรงมากนัก ปีก่อนปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี ออกสินค้าใหม่รสชาติต้มยำทรงเครื่องกับสวีทชิลลี่เจาะตลาดไทย แม้เป็น Global Brand แต่ก็ทำโปรดักต์ที่ตอบโจทย์ Local และเราต้องการเป็น Glocal (Global + Local) เป็นแบรนด์ที่เข้าใจท้องถิ่น”

รสชาติสาหร่ายขาย 14 ประเทศ          

การทำ Co-Branding พริงเกิลส์ 2 รสชาติกับเถ้าแก่น้อย เบื้องต้นมีสัญญาทำตลาดร่วมกัน 1 ปี โดย พริงเกิลส์ จะจำหน่ายทั้ง 2 รสชาติสาหร่ายเถ้าแก่น้อยใน 14 ประเทศ ในเอเชียและโอเชียเนีย การทำตลาดรสชาติไทยถือเป็นการเชื่อมโลคัลกับตลาดโลก

แนวทางการพัฒนาสินค้าใหม่ของพริงเกิลส์ หลังจากนี้จะเพิ่มปีละ 4 – 5 รายการ จากเดิม 2 – 3 รายการเท่านั้น และเพิ่มรสชาติตามฤดูกาลของไทยมากขึ้น จากกลยุทธ์ดังกล่าววางเป้าหมายยอดขายเติบโตสูงกว่าตลาดสแน็ก จากปัจจุบันพริงเกิลส์ มีส่วนแบ่งทางการตลาด 8% ปีนี้คาดว่าจะเป็นตัวเลข 2 หลัก โดยตลาดสแน็กมีมูลค่ารวม 38,000 ล้านบาท เป็นตลาดมันฝรั่งทอดกรอบ 12,499 ล้านบาท เติบโต 14.3%

หนุนแบรนด์ “เถ้าแก่น้อย” บุกตลาดโลก  

สมิทธิ จีรนันทน์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู้ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มเป้าหมายหลักของตลาดสแน็ก เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ กลยุทธ์การทำตลาดจึงต้องสร้างความตื่นเต้นและความสนใจให้ผู้บริโภคตลอดเวลา การจับมือเป็นพันธมิตรกับพริงเกิลส์ ด้วยคอนเซ็ปต์ East Meets West กับสาหร่ายแก่น้อย รสชาติพริงเกิลส์ จะช่วยขยายตลาดทั้งลูกค้าไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะยุโรป อเมริกา แอฟริกา ที่มาท่องเที่ยวในเอเชีย รู้จักแบรนด์เถ้าแก่น้อยมากขึ้น

“การได้พันธมิตรพริงเกิลส์ ยังเป็นสปริงบอร์ดและช่วยสร้างโปรไฟล์ให้กับเถ้าแก่น้อย บุกตลาดโลกอีกด้วยด้วย หลังจากเข้าไปซื้อกิจการโรงงานผลิตสาหร่ายในสหรัฐฯ”  

ปัจจุบันตลาดรวมสแน็กสาหร่ายมีมูลค่า 3,000 ล้านบาท เถ้าแก่น้อยมีส่วนแบ่งการตลาดราว 70% เติบโตราว 5%.

]]>
1244659
“ไอดอล มาร์เก็ตติ้ง” ยังได้ผล! เถ้าแก่น้อยทุ่มทุน คว้า “เซฮุน” EXO บุกตลาดครึ่งปีหลัง https://positioningmag.com/1237492 Thu, 04 Jul 2019 03:35:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1237492 ภาพ ต๊อบ อิทธิพัทธ์ : https://www.facebook.com/tobtkn/

ไม่ว่าอย่างไรไอดอล มาร์เก็ตติ้งดูจะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับตลาดสาหร่ายไปเสียแล้ว สังเกตได้จากเถ้าแก่น้อยผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งกว่า 69% ที่ใช้มานานกว่า 10 ปี เฉพาะครึ่งปีแรก 2019 ใช้กลยุทธ์นี้ไปถึง 2 ครั้งด้วยกัน

ครั้งแรกกับหนุ่มวง “F4” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์เถ้าแก่น้อย บิ๊กโรลโดยถือเป็นครั้งแรกของ ไอดอลจีน กับแบรนด์เถ้าแก่น้อย หวังเจาะฐานแฟนคลับทั้งจีนและไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดจีนที่คิดเป็นยอดขายกว่า 40% จากรายได้ทั้งหมด 5,662 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา

ส่วนครั้งที่ 2 เปลี่ยนมาเป็นเกิร์ลกรุ๊ปโดยใช้ศิลปิน ได้แก่ 6 สาว “BNK48” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าใหม่ปลาหมึกแผ่นเคลือบซอสไข่เค็ม “เถ้าแก่น้อย ทินเท็นโดยเชื่อว่านอกจากจะช่วยสร้างกลุ่มลูกค้าใหม่ และยังจะช่วยกระตุ้นยอดขายให้เติบโตมีส่วนแบ่งตลาดได้มากถึง 10% ภายใน 2 ปี

ยังไม่หมดแค่นั้น ในครึ่งปีหลังนี้ยังมีการใช้ ไอดอล มาร์เก็ตติ้งเป็นครั้งที่ 3 หากครั้งนี้เลือกใช้ไอดอลวงเกาหลี ได้แก่  เซฮุน (Sehun) แห่งวง EXO โดยหวังให้เข้ามาช่วยกระตุ้นสาหร่ายกลุ่มทอดซึ่งเป็นเซ็กเมนต์ใหญ่ที่สุดในตลาด และมีสัดส่วนรายได้ 41.6% หรือ 2,357.1 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา

ขณะเดียวกันการเลือกใช้เซฮุนนั้นไม่ได้มีเป้าหมายแค่เมืองไทย หากยังต้องการสร้างกระแสและการรับรู้ในสิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย รวมถึงประเทศจีน ซึ่งทั้ง 4 ประเทศถือเป็นกลุ่มที่ทำยอดขายมากที่สุดราว 46% จากรายได้ทั้งหมด หรือราว 2,700 ล้านบาท

อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ตั้งแต่กรกฏาคม ที่ผ่านมา กระแสตอบรับเร็ว และแรงเกินคาด

โดยหลังจากเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ใหม่ 15 นาที พบว่า #TaokaenoiXSehun สามารถติดอันดับ 1 Top Trend Thai ใน “Twitter Trend” รวมถึงครองอันดับ 1-5 Twitter Trend ในต่างประเทศทั้งสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และยังติดอันดับ 2 ของโลกใน Worldwide Twitter Trend ภายในระยะเวลา ชั่วโมง 

พร้อมกันนี้เถ้าแก่น้อยยังเปิดตัวแคมเปญ เถ้าแก่น้อยพาบินลัดฟ้า ชมคอนเสิร์ต EXO ถึงแดนกิมจิ 5 วัน 3 คืน กับคอนเสิร์ต EXO PLANET #5 –ExplOration-” และยังมีแผนจัดแคมเปญออกมาเซอร์ไพรส์แฟนคลับอย่างต่อเนื่องในอนาคตอันใกล้ด้วย

สำหรับตลาดขนมขบเคี้ยวประเภทสาหร่ายในเมืองไทยมีมูลค่ารวมประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยใน 5 เดือนแรกที่ผ่านมามีการเติบโตคงที่  ขณะที่ในครึ่งปีหลังคาดว่าจะมีการเติบโตสูงขึ้นหลังจากที่การเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น ส่งผลให้อารมณ์การจับจ่ายกลับมาคึกคัก รวมถึงมาตรการต่างๆ ของภาครัฐที่จะออกมากระตุ้นกำลังซื้อ ทำให้เชื่อว่าในปีนี้ตลาดสาหร่ายโดยรวมจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน.

]]>
1237492
สาหร่ายอย่างเดียวไม่พอ! เถ้าแก่น้อยขอ 10 ปี มุ่งสู่องค์กรนวัตกรรมอาหาร แตกไลน์ทำสแน็คไข่เค็ม “ทินเท็น” ดึง BNK48 เจาะกลุ่มโอตะ https://positioningmag.com/1224972 Sat, 13 Apr 2019 01:55:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1224972 เถ้าแก่น้อย” กำลังเป็นอีกหนึ่งในธุรกิจที่ประกาศชัดเจนจะไม่จำกัดตัวอยู่ในธุรกิจขนมขบเคี้ยว” เท่านั้น แต่จะใช้เวลา 10 ปี ในการก้าวเข้าสู่ผู้ประกอบด้านนวัตกรรมอาหารหรือ innovation food company นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการผลิต ทำให้วันนี้ของเถ้าแก่น้อยไม่ได้มีแค่สาหร่ายปรุงรส” ที่รู้จักกันดีอีกต่อไป

แผนธุรกิจใหม่ที่เราวาง มุ่งก้าวสู่การเป็นบริษัทนวัตกรรมอาหารให้ได้ภายใน 10 ปีข้างหน้า โดยมีเป้ารายได้ที่ 1 หมื่นล้านภายใน 5 ปี ดังเราจำเป็นต้องมีผลิตภัณฑ์และธุรกิจตัวใหม่ๆ เข้ามาเสริม สำหรับปีนี้บริษัทมีโปรเจกต์ใหญ่ที่เตรียมจะออกหลังจากนี้อีก 2 โปรเจกต์

อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN กล่าว

เขายกตัวอย่าง การซื้อลิขสิทธิ์สูตรซอสไข่เค็ม” มาจากประเทศสิงคโปร์ แล้วนำมาผสมกับสาหร่ายรวมถึงพัฒนามาเป็น “ปลาหมึกไข่เค็ม ”เถ้าแก่น้อยทินเท็น ขนมขบเคี้ยวที่นำมาวางขาย เพื่อสร้างความแตกต่างจากสแน็คปลาหมึก ที่วางขายในตลาด

เถ้าแก่น้อยใช้งบประมาณ 25 ล้านบาทในการทำตลาด ผ่านกลยุทธ์ไอดอล มาร์เก็ตติ้ง โดยมี 6 สาว BNK48 ได้แก่ น้องวี น้องจูเน่ น้องฟ้อนด์ น้องมายยู น้องนิว และน้องมิวนิค มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อต้องการสร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มวัยรุ่น กลุ่มโอตะ โดยจะมีทั้งภาพยนตร์โฆษณา กิจกรรม

ที่ผ่านมาเถ้าแก่น้อยเลือกใช้ดาราชายและบอยแบนด์เป็นพรีเซ็นเตอร์มาตลอด สามารถสร้างฐานลูกค้ากลุ่มเป้าหมายทั้งวัยรุ่นหญิง และคนวัยทำงานมาแล้ว ในปีนี้เราเลือก BNK48 เกิร์ลกรุ๊ปที่กำลังโด่งดังมีแฟนคลับที่แข็งแกร่งมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้าใหม่ ทินเท็น เพราะเชื่อว่านอกจากจะช่วยสร้างกลุ่มลูกค้าใหม่ และยังจะช่วยกระตุ้นยอดขายให้เติบโตมีส่วนแบ่งตลาดได้มากถึง 10% ภายใน 2 ปี

]]>
1224972