แบนบริษัทเทคโนโลยีจีน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sun, 20 Sep 2020 13:25:53 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 จับตา “สิงคโปร์” เป็นฮับใหม่ของยักษ์เทคฯ จีน…เบนเข็มหาโซนปลอดภัย หนีปมขัดแย้งสหรัฐฯ https://positioningmag.com/1297970 Sun, 20 Sep 2020 13:01:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1297970 บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน กำลังเบนเข็มเพิ่มลงทุนธุรกิจไปหาโซนปลอดภัยอย่างสิงคโปร์หลังความขัดเเย้งระหว่างจีนเเละสหรัฐฯ ทีวีความตึงเครียดขึ้นต่อเนื่อง

จากรายงานของ BBC เผยว่า สองยักษ์ใหญ่อย่าง Tencent และ Alibaba กำลังวางเเผนที่จะขยายธุรกิจในสิงคโปร์ ขณะที่ ByteDance บริษัทเเม่ของ TikTok ที่กำลังมีปัญหากับรัฐบาลสหรัฐฯ อยู่ ณ ขณะนี้ ก็มีเเผนลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐในสิงคโปร์เร็วๆ นี้ด้วย

ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลวอชิงตันกับรัฐบาลปักกิ่ง กำลังตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะบรรดาบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ที่กำลังตกเป็นเป้าหมาย เเละดูเหมือนสิงคโปร์จะกลายเป็นประเทศปลอดภัยในความขัดเเย้งนี้เพราะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งสหรัฐฯ และจีนมาโดยตลอด

Tencent เทคฯ ยักษ์ใหญ่ของ หม่า ฮั่วเถิง” มหาเศรษฐีที่รวยที่สุดของจีน ซึ่งเป็นผู้ให้บริการแอปแชทยอดนิยมอย่าง Wechat ประกาศตั้งสำนักงานประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งใหม่ในสิงคโปร์ เมื่อ 15 ..ที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่า การขยายธุรกิจในสิงคโปร์จะช่วยส่งเสริมกลยุทธ์ของธุรกิจที่กำลังเติบโตในอาเซียนและพื้นที่อื่น ๆ

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐฯ สั่งห้ามการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน WeChat และ TikTok โดยจะมีผลตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 20 .. ด้วยข้ออ้างที่ว่าแอปฯ สัญชาติจีนดังกล่าวเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ 

ล่าสุด Tencent ได้เปลี่ยนชื่อ WeChat เป็น WeCom เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ใช้ก่อนที่จะถูกแบนที่ผู้ใช้งานเฉลี่ย 19 ล้านคนต่อวันในอเมริกา ดังนั้น ผลกระทบจากการถูกแบนจึงมีมากกว่า TikTok เพราะอาจทำให้ผู้ใช้ได้รับผลกระทบจากระบบการโอนเงิน จ่ายเงิน ที่อาจล่าช้าหรือติดขัดตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ที่ 20 ..เป็นต้นไป

ด้าน Alibaba บิ๊กเทคโนโลยีจีนอีกราย มีเเผนจะขยายลงทุนในสิงคโปร์ ซึ่งจะมีการทุ่มเงินเพื่อเพิ่มลงทุนใน Lazada เเละ Grab ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการเจรจา ขณะที่ ByteDance บริษัทเเม่ของ TikTok ก็มีเเผนจะลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐในสิงคโปร์เร็ว ๆ นี้ อีกทั้งบริษัทยังได้ยื่นขออนุญาตจัดตั้ง “ธนาคารดิจิทัล” จากธนาคารกลางสิงคโปร์ โดยร่วมมือกับฟินเทคอย่าง Ant Financial ของ Alibaba เเละ Sea ของ Tencent ด้วย 

“ความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะเกิดการแยกระบบเทคโนโลยีของโลกออกจากกัน ดังนั้นเหล่าบริษัทเทคทั้งหลายจึงต้องหาทางดำเนินธุรกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศจีน” Tommy Wu จาก Oxford Economics ให้ความเห็นกับ BBC 

ที่ผ่านมา สิงคโปร์เป็นประเทศเนื้อหอมที่บรรดาธุรกิจเทคโนโลยีต่างชาติให้ความเชื่อมั่น ทั้งในเเง่ในแง่ของระบบการเงินและกฎหมายที่ก้าวหน้า เเละตอนนี้ สิงคโปร์ยังเป็นพื้นที่มั่นคงในสายตาบริษัทจีนต่างๆ ทั้งในแง่ความเป็นกลางระหว่างจีนกับสหรัฐฯ การเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมของภูมิภาค หลีกหนีจากความวุ่นวายทางการเมืองในฮ่องกงได้ 

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจสิงคโปร์บอบช้ำจากพิษ COVID-19 มากกว่าที่ประเมินไว้ เช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลก บ่งชี้สัญญาณการฟื้นตัวที่ต้องใช้เวลานาน โดยตัวเลขจีดีพีในไตรมาส 2 หดตัวถึง 42.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2020 พร้อมหั่นคาดการณ์เศรษฐกิจทั้งปีนี้ เป็นติดลบ 5-7% จากเดิมที่เคยคาดไว้ที่ 4-7% 

Photo : Shutterstock

Nick Redfearn จากบริษัทปรึกษาธุรกิจ Rouse ให้ความเห็นว่า ปกติเเล้ว สำนักงานใหญ่ที่มาเปิดประจำภูมิภาคจะดำเนินธุรกิจแทนบริษัทแม่ ทำหน้าที่เป็นผู้ลงทุนต่อในประเทศอื่น ๆ ทั้งในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ซึ่งช่วยให้บรรดาบริษัทจีนหลีกเลี่ยงการเปิดเผยตัวว่าเป็นทุนจีนโดยตรงได้

อย่างไรก็ตาม ความเห็นอีกมุมจาก Rui Ma นักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจีน มองว่า ความเคลื่อนไหวของบริษัทเทคฯ จีนที่สนใจลงทุนสิงคโปร์มากขึ้น ก็ไม่ต่างจากการเข้ามาตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกในสิงคโปร์ของบริษัทเทคโนโลยีตะวันตก อย่าง Google, Facebook, LinkedIn และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งความขัดแย้งจีนกับสหรัฐฯ เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่ใช่สาเหตุหลักที่ต้องย้ายธุรกิจ เเต่เป็นการที่บริษัทจีนมองเห็นโอกาสระยะยาวในการขยายธุรกิจทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก

ถ้าบริษัทตะวันตกสามารถก้าวสู่ระดับโลกได้ ทำไมบริษัทจีนจะทำไม่ได้” Rui Ma กล่าว

 

ที่มา : BBC 

 

]]>
1297970
ระอุต่อเนื่อง! สหรัฐฯ แบนบริษัทเทคโนโลยีจีนอีก 5 แห่ง อ้างเหตุผลความมั่นคง https://positioningmag.com/1235719 Thu, 23 May 2019 13:55:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1235719 ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และ จีน ยังคงระบุต่อเนื่องนับตั้งแต่กรณีการแบน Huawei เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อน กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ได้ประกาศขึ้นบัญชีดำบริษัทเทคโนโลยีจีน 5 แห่ง ในการโจมตีอุตสาหกรรมซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของปักกิ่งอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งน่าจะเพิ่มความตึงเครียดก่อนหน้าการพับกันระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และ สี จิ้นผิง ในสัปดาห์หน้า

รายงานจากสำนักข่าว AFP ระบุว่า ประกาศดังกล่าวมุ่งเป้าบริษัท Sugon ผู้ผลิตซูเปอร์คอมพิวเตอร์รายใหญ่ของจีน ร่วมกับบริษัทไมโครชิบลูกข่าย 3 แห่งและสถาบันคอมพิวเตอร์ที่เป็นของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน

บริษัททั้งหมดนี้จะถูกห้ามไม่ให้รับเทคโนโลยีของสหรัฐฯ หลังจากรัฐบาลตัดสินว่าบริษัทเหล่านี้กำลังการขัดต่อผลประโยชน์ด้านความมั่นคงแห่งชาติหรือนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ

ความตึงเครียดระหว่างสองเศรษฐกิจใหญ่ของโลกลุกลามเข้าสู่ภาคเทคโนโลยีเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เนื่องจากคณะบริหารของทรัมป์สั่งแบน หัวเว่ย บริษัทเทคโนโลยีจีนออกจากตลาดสหรัฐฯ ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง

เมื่อเดือนพฤษภาคม สหรัฐฯ ระบุว่า พวกเขาได้เพิ่ม Huawei ลงในรายชื่อนิติบุคคลที่ถูกห้ามไม่ได้รับชิ้นส่วนประกอบที่ผลิตในสหรัฐฯ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากวอชิงตัน ถึงแม้ว่าหัวเว่ยจะได้รับสิทธิละเว้น 90 วันก็ตาม

หลังจากนั้น Facebook และ Google ได้ประกาศว่า พวกเขาจะตัดขาดกับ Huawei เพื่อให้เป็นไปตามการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ทำให้ Huawei ยิ่งโดดเดียวขึ้นไปอีก

ปักกิ่งตอบโต้ด้วยการข่มขู่ว่าจะจัดทำบัญชีดำบริษัทและบุคคลต่างชาติที่ไม่น่าเชื่อถือเพื่อกดดันให้เหล่าบริษัทต่างชาติยังคงความสัมพันธ์ทางการค้ากับ Huawei

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา New York Times รายงานว่า รัฐบาลจีนเรียกผู้บริหารจากบริษัทสหรัฐฯ อย่าง Dell และ Microsoft รวมถึง Samsung ของเกาหลีใต้เข้าพบเพื่อเตือนว่า ความเคลื่อนไหวใดๆ ก็ตามที่จะยุติธุรกิจของพวกเขาในจีน อาจนำไปสู่การถูกตอบโต้ได้

ทั้งนี้ประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสีของจีน จะพบกันในสัปดาห์หน้าแบบนอกรอบ ในการประชุมซัมมิทจี20 ในญี่ปุ่น.

Source

]]>
1235719