โคราช – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 30 Mar 2022 09:48:36 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ตำนาน ‘เจ้าสัว’ ข้าวตังพันล้านจากโคราช รีแบรนด์สลัดภาพ ‘ของฝาก’ สู่ตลาดสแน็ก https://positioningmag.com/1323010 Thu, 18 Mar 2021 11:14:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1323010 ย้อนกลับไปเมื่อปี 2501 บ้านหลังเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมืองโคราช เริ่มทำหมูหยอง หมูแผ่น กุนเชียง ส่งขายในท้องถิ่นจนเป็นที่เลื่องลือในรสชาติ ได้โอกาสขยายกิจการต่อ ด้วยการเปิดร้านขายของฝากในชื่อว่าเตียหงี่เฮียง

จากความอร่อยที่บอกเล่าปากต่อปาก ทำให้สินค้าของเตียหงี่เฮียง กลายเป็นของเด็ดที่เหล่านักท่องเที่ยวและผู้สัญจรไปมาต้องแวะซื้อ

หลายปีผ่านไป แม้กิจการร้านขายของฝากจะไปได้สวย แต่ก็เริ่มมีคู่เเข่งทำผลิตภัณฑ์เดียวกันออกมา ทำให้ทายาทรุ่นสองต้องคิดหา ‘เมนูชูโรง’ เพื่อสร้างความแตกต่าง จึงนำมาสู่การเปิดตัวข้าวตังหมูหยอง ขึ้นในปี 2531 และเริ่มขยายตลาดไปวางขายในหลายจังหวัด รวมถึงส่งออกไปต่างประเทศด้วย

เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปเตียหงี่เฮียงกลายเป็นชื่อจดจำได้ยากและดูไม่ทันสมัย ทางครอบครัวจึงตกลงกันเปลี่ยนชื่อใหม่ให้จำง่ายและคุ้นหูกันมากขึ้น โดยใช้ชื่อแบรนด์ใหม่นี้ว่าเจ้าสัวนับตั้งแต่ปี 2531 เป็นต้นมา

และวันนี้เจ้าสัวการเปลี่ยนแปลงเพื่อปรับตัวครั้งสำคัญก็มาเยือนอีกครั้ง ภายใต้การนำของทายาทรุ่นสาม กับการรีแบรนด์ทรานส์ฟอร์มธุรกิจ เปลี่ยนภาพลักษณ์ ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ขยายสู่ตลาดที่ใหญ่ขึ้น พร้อมใช้พรีเซ็นเตอร์ครั้งแรกในรอบ 63 ปี 

ก้าวออกจาก ‘ของฝาก’ สู่ตลาดสแน็ก

ณภัทร โมรินทร์’ หรือ กิ๊ฟ เริ่มเรียนรู้การทำงานในกิจการของครอบครัว มามากกว่า 10 ปี จากฝ่ายเซลส์ก้าวขึ้นมากุมบังเหียนเป็นซีอีโอ แบรนด์เจ้าสัวท่ามกลางความท้าทาย หลังธุรกิจท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากวิกฤตโรคระบาด

เธอยอมรับว่า การที่ผู้คนเดินทางท่องเที่ยวน้อยลงนั้นมีผลต่อการวางแผนธุรกิจใหม่ในครั้งนี้ไม่น้อย แต่ก็ทำให้รู้ว่าทิศทางต่อไปของ แบรนด์เจ้าสัวจะไม่เป็นแค่ร้านขายของฝากที่รอให้คนมาซื้ออีกต่อไป แต่จะต้องเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค

จากไลฟ์สไตล์ของผู้คนที่เร่งรีบ แข่งกับเวลา และคนรุ่นใหม่หันมาใส่ใจการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น แม้จะเป็นอาหารทานเล่นหรือของขบเคี้ยวก็ตาม อีกทั้งตลาดในไทยยังมีของว่างทานเล่น ประเภทเนื้อสัตว์แปรรูป’ ที่อร่อยและมีประโยชน์ทางสารอาหาร สามารถทานรองท้องระหว่างมื้อได้ ‘ไม่มากนัก’ 

จึงเป็นช่องว่างตลาดที่เจ้าสัวจะปรับภาพลักษณ์ใหม่ จากสินค้าของฝากสู่สินค้าอาหารที่ทานได้ทุกวัน ในรูปแบบสแน็ก และ Ready to eat และ Ready to cook meal ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มองหาของว่างเพื่อรองท้อง รวมไปถึงอาหารที่สามารถปรุงง่าย ๆ หรือพร้อมทานได้ที่บ้าน ช่วยประหยัดเวลา และดีต่อสุขภาพ

ณภัทร โมรินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เตีย หงี่ เฮียง จำกัด เจ้าของแบรนด์เจ้าสัว

นอกจากนี้ ยังมองเห็นโอกาสของตลาดสแน็กในประเทศไทย ที่มีมูลค่ามากกว่า 40,000 ล้านบาท เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อเจาะลึกลงไปในกลุ่มสแน็ก ที่เป็น Meat หรือเนื้อสัตว์นั้น กลับมีมูลค่ารวมตอนนี้เพียง 100 กว่าล้านบาทเท่านั้น และผู้ประกอบการคู่แข่งยังน้อยจึงมองว่าเป็นโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก

ทั้งนี้ กลุ่มสแน็กที่เป็นเนื้อสัตว์ ตอนนี้มีแบรนด์อองเทร่ของเจ้าใหญ่อย่าง ส. ขอนแก่นครองตลาดอยู่

เบรกขยายสาขา หันมาบุกโมเดิร์นเทรด’

ในปี 2563 ที่ผ่านมา แม้นักท่องเที่ยวจะหายไปอย่างมาก แต่จากการที่แบรนด์ได้ ปรับกลยุทธ์รองรับ โดยเฉพาะการขยายช่องทางจำหน่าย จากเดิมที่เน้นเพิ่มสาขา เปลี่ยนมาเป็นบุกโมเดิร์นเทรด ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายของชำต่างๆ ทำให้ยอดขายรวมของปีที่แล้วเติบโต 15% และมีรายได้รวมเกินหลักพันล้านบาทเป็นครั้งแรก

ปีนี้เราตั้งเป้าจะเติบโตถึง 30% จากการรุกตลาดขนมขบเคี้ยวเต็มตัว ทำตลาดทุกช่องทางเพื่อปั้นแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก เปลี่ยนแพ็กเกจจิ้งให้ทันสมัย พกพาง่าย ออกสินค้าเละปรับราคาใหม่ ให้เข้าถึงผู้บริโภคทุกกลุ่ม โดยเน้นเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่มากที่สุด

ปัจจุบันร้านของฝากเจ้าสัว  มีจำนวนกว่า 100 สาขา แบ่งเป็นร้านค้าของตัวเอง (Stand Alone) ประมาณ 14 สาขา และแฟรนไชส์ 80 กว่าสาขา กระจายอยู่ในปั๊มนำ้มันปตท. ทั่วประเทศ พร้อมช่องทางออนไลน์ในหลายแพลตฟอร์ม ทั้งโซเชียลมีเดียและมาร์เก็ตเพลส โดยมีผลิตภัณฑ์ 2 กลุ่มไลน์โปรดักต์ ได้แก่ 

กลุ่มขนมทานเล่น สัดส่วนรายได้ 50% 

ของว่างรองท้อง ได้แก่ ข้าวตัง, ข้าวแต๋น ราคาตั้งแต่ 20-60 บาท

ของว่างทานเพลิน ได้แก่ หมูแผ่นกรอบ, หมูแท่งกรอบ และหมูทุบ ราคาตั้งแต่ 30-110 บาท

กลุ่มอาหาร สัดส่วนรายได้ 50%

อาหารพร้อมปรุง ได้แก่ กุนเชียง, หมูยอ, แหนม และไส้กรอกอีสาน ราคาตั้งแต่ 39-209 บาท

อาหารพร้อมรับประทาน ได้แก่ หมูหยอง, หมูแผ่นใหญ่

สำหรับสินค้าขายดีที่สุดของแบรนด์เจ้าสัวก็คือเบอร์หนึ่งอย่างข้าวตังตามมาด้วย หมูหยองและหมูแผ่น

ด้านการส่งออกไปต่างประเทศจะเน้นไปที่ตลาดเอเชียเป็นหลัก เช่น ฮ่องกง จีน เวียดนาม สิงคโปร์ ฯลฯ ขณะที่ตลาดในยุโรปนั้น ยังติดข้อจำกัดด้านการนำเข้าสินค้าที่ทำจากเนื้อหมู จึงจะหันไปเน้นส่งสินค้ากลุ่มธัญพืชอบกรอบไปทำตลาดแทน

เมื่อถามถึงผลิตภัณฑ์อาหารเนื้อสัตว์ที่ทำจากพืช หรือ Plant-based ที่กำลังเทรนด์อาหารแห่งอนาคต ที่มีผู้ผลิตอาหารหลายเจ้าลงมาเล่นในตลาดนี้ ผู้บริหารแบรนด์เจ้าสัว ตอบว่ามีแผนการจะพัฒนากลุ่มสินค้า Plant-based ในเร็วๆ นี้

ทุ่ม 100 ล้าน พลิกโฉมใหม่รอบ 63 ปี

สิริณัฏฐ์ ชญาน์นันท์ กรรมการผู้จัดการ แบรนด์เจ้าสัว บอกว่า ตลอดทั้งปี 2564 บริษัทตั้งงบประมาณไว้ถึง 100 ล้านบาท เพื่อลุยทำการตลาดและขยับขยายธุรกิจ ซึ่งถือว่าเป็นการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ที่สุด ไม่เคยทำขนาดนี้มาก่อน นับตั้งแต่เปิดกิจการมากว่า 63 ปี

โดยจะสื่อสารรอบด้านทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมทั้งโปรโมตผ่านหนังโฆษณาถึง 3 เรื่องในปีนี้

จากแผนการโฟกัสไปที่กลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ และครอบครัวสมัยใหม่ จึงเป็นที่มาของการเลือกครอบครัวของ ลีเดีย ศรัณย์รัชต์แมทธิว น้องดีแลนและน้องเดมี่ ดีน มาเป็นพรีเซ็นเตอร์เพื่อนำเสนอภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่อบอุ่น เข้าถึงง่าย ทันสมัยและใส่ใจในสุขภาพ

“แบรนด์เจ้าสัวเป็นแบรนด์ที่มีลูกค้าคนไทยเป็นหลัก แต่ในอนาคต หลังการท่องเที่ยวทั่วโลกกลับมาปกติ เราก็หวังจะเป็นแบรนด์ที่ชาวต่างชาติหิ้วกลับบ้าน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน

สำหรับกลยุทธ์หลัก ๆ ที่จะนำพาให้แบรนด์เจ้าสัวเติบโตได้แบบก้าวกระโดดในช่วง 3-5 ปีนี้ สิริณัฏฐ์ สรุปให้ฟังว่า

  1. ปั้นแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก ผ่านการใช้พรีเซ็นเตอร์ การไปอยู่ในสายตาของผู้บริโภคในช่องทางต่างๆ ทั้ง
    โซเชียลมีเดียและสื่อนอกบ้าน
  2. ออกสินค้าให้หลากหลาย โดยตั้งเป้าจะจะมีสินค้าใหม่ 8-10 ตัวต่อปี เพิ่มปัจจุบันที่มีอยู่ราว 300 SKU พร้อมกับปรับไซส์และราคา ให้ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้นด้วย
  3. ขยายช่องทางการขายเพิ่มขึ้น เน้นเข้าไปกระจายในโมเดิร์นเทรด ร้านสะดวกซื้อ ร้านโชห่วย โดยปีนี้จะไม่มีการขยายสาขาเพิ่มในประเทศไทย แต่จะมีการเจรจากับพาร์ตเนอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อหาโอกาสขยายตลาดในอาเซียนมากขึ้น
  4. ลงทุนขยายโรงงานแห่งใหม่ ในพื้นที่เดิมที่จังหวัดนครราชสีมา นำเครื่องจักรมาใช้มากขึ้น เพื่อเพิ่มกำลังผลิตมากขึ้นอีก 40% รวมถึงทุ่มงบในระบบหลังบ้านเพื่อให้ทันยุคดิจิทัล

ต้องจับตาดูว่าการรีแบรนด์ของเจ้าสัว จากของฝากท้องถิ่น สู่ตลาดอาหารพร้อมทานอยู่ใกล้ๆ ในชีวิตประจำวัน จะสร้างอิมแพคในใจผู้บริโภคได้มากน้อยแค่ไหน

 

]]>
1323010
“เซ็นทรัล” แย่งซีน “เทอร์มินอล21” ปักป้ายบอกทางตรงทางเข้า ท่ามกลางสมรภูมิ “โคราช” ที่ยังต้อง “ปาดเหงื่อ” https://positioningmag.com/1228312 Mon, 06 May 2019 11:29:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1228312 ที่มาของรูป : Facebook ที่นี่ โคราชไง

หนึ่งในภาพที่กำลังเป็นที่สนใจของโลกออนไลน์ในขณะนี้คือภาพทางทางเข้าเทอร์มินอล21 โคราชซึ่งหากเงยหน้าขึ้นไปอีกนิด จะพบกับตัวหนังสือสีดำบนพื้นขาวเขียนว่าเซ็นทรัลพลาซาตรงไปอีก 5 กิโลเมตร ซึ่งจากการตรวจสอบแล้วพบเป็นป้ายจริง


สำหรับผู้ใช้อย่างเราๆ หรือผู้ที่สัญจรไปมาคงมองเห็นว่าภาพนี้เซ็นทรัลกำลังแย่งซีนเทอร์มินอล21” อยู่ เพราะป้ายต้งอยู่ตรงทางเข้าอย่างชัดเจน แต่หากมองไปอีกมุมของผู้ประกอบการ นี่คือตลกร้ายที่ขำไม่ออก เพราะกำลังชี้ให้เห็นภาพชัดเจนว่า การแข่งขันในสมรภูมิ โคราชยังคงต้องปาดเหงื่อต่อไป

ที่เป็นอย่างนั้นต้องบอกว่าแค่บนถนนสายมิตรภาพจากกรุงเทพฯ เข้าเมืองโคราช ระยะทางไม่ถึง 10 กิโลเมตร กลับมีห้างให้เลือกเดินถึง 6 แห่ง โดยในจำนวนนี้เป็นศูนย์การค้าระดับบิ๊กอย่างเซ็นทรัลใช้เงินลงทุนกับโครงการนี้นับหมื่นล้านบาท จนเดอะมอลล์ต้องขยับตัวใช้เงินอีก 2,000 ล้านบาทปรับโฉมครั้งใหม่ และเทอร์มินอล21” ใช้เงินลงทุนไม่น้อยกว่า 6,000 ล้านบาท

เมื่อดูต้นเหตุของการลั่นกลองรบเปิดศึกชิงลูกค้าอย่างคึกคัก มาจากข้อมูลที่ว่า นี่คือทำเลศักยภาพสูง เพราะไม่เพียงลูกย่าโมที่อาศัยอยู่ในจังหวัดนครราชสีมาเกือบ 3 ล้านคนเท่านั้น

แต่ยังมีกลุ่มเป้าหมายจากจังหวัดใกล้เคียง คือ บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี ชัยภูมิ ขอนแก่น มหาสารคาม สุรินทร์ รวมแล้วกว่า 8 ล้านคน และยังมีกลุ่มที่เดินทางตามเส้นทางผ่านไปจังหวัดอื่นๆ ในภาคอีสานอีกด้วย

อ่านเต็มๆ : สมรภูมิห้างฯโคราชร้อนฉ่า เมื่อ 3 บิ๊กศูนย์การค้า เซ็นทรัล-เดอะมอลล์-เทอร์มินอล! มาครบ!

แต่ในความเป็นจริงภาพที่วางไว้ กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับไม่เหมือนกันเลย เพราะคนยังมีจำนวนเท่าเดิมไม่ได้เพิ่มขึ้น สวนทางกับห้างที่มีมากขึ้น จนมีข่าวออกมาเป็นระลอกว่า ร้านค้าทยอยปิดตัวลงไปเพราะไม่มีคนเดิน ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นทั้งกับเซ็นทรัลและเทอร์มินอล21”

เทอร์มินอล21 โคราช

ก่อนหน้านี้ราวปลายปีที่แล้ว PositioningMag ได้มีโอกาสคุยกับประเสริฐ ศรีอุฬารพงศ์กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล จำกัด ผู้พัฒนาศูนย์การค้า เทอร์มินอล21 โคราช ซึ่งเขายอมรับว่าทราฟฟิกที่ไม่เป็นไปตามที่วางไว้ทำให้มีร้านค้าบางส่วนย้ายออกไป

แต่ปัจจุบันก็ยังมีอัตราการเช่าอยู่ที่ 90-95% ถึงจะน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของศูนย์ค้าที่ 98-99% ก็ตาม ซึ่งเป็นปรกติของการทำศูนย์การค้าจะหยุดนิ่งไม่ได้ ต้องปรับไปเรื่อยๆ ขณะนี้มีทราฟฟิกเฉลี่ยวันละ 40,000 คน วันธรรมดาจะน้อยกว่าวันหยุด 15-20% ถือว่ายังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เพราะอยากได้วันละ 50,000 คนเป็นอย่างน้อย

เบื้องต้นทางเทอร์มินอล21 ได้อัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อดึงให้ลูกค้าเดินเข้ามา รวมไปถึงกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจากับร้านค้าและอีเวนต์ เพื่อแม็กเน็ตที่เข้ามาเสริม

สถานการณ์ที่เกิดขึ้น เทอมินัล21 ประเมินไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว เนื่องจากลูกค้าในโคราชส่วนใหญ่จะเป็นคนในพื้นที่และใกล้เคียง ไม่ได้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาชวยเสริมเหมือนทำเลอื่นๆ จึงไม่แปลกที่จะแข่งกันเพื่อดึงลูกค้า แต่การทำศูนย์การค้าเป็นเรื่องของระยะยาว ที่ดินที่โคราชเราก็ซื้อขาด จึงต้องเดินหน้าต่อไป คาดว่าต้องใช้เวลา 3 ปีถึงจะอยู่ตัว

หลังจากนี้คงต้องลุ้นต่อไป หากเมื่อวันที่เทอร์มินอล21 โคราชครบรอบ 3 ปี ซึ่งก็คือภายในปี 2019 นี้ จะเป็นไปอย่างที่ประเสริฐคาดหวังไว้หรือไม่?

]]>
1228312
สมรภูมิห้างฯโคราชร้อนฉ่า เมื่อ 3 บิ๊กศูนย์การค้า เซ็นทรัล-เดอะมอลล์-เทอร์มินอล! มาครบ! https://positioningmag.com/1145274 Thu, 02 Nov 2017 18:04:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1145274 มากันครบ 3 บิ๊กศูนย์การค้า เซ็นทรัล-เดอะมอลล์-เทอร์มินอล 21 เปิดศึกชิงลูกค้าเมือง “โคราช” หลังจากเซ็นทรัลดีเดย์ เปิดตัว 3 พ.ย. ลอยกระทง

สงครามค้าปลีกใน “โคราช” หัวเมืองใหญ่ของอีสาน กำลังเปิดฉากอย่างเต็มที่ หลังจากเซ็นทรัลเปิดตัวศูนย์การค้า สาขาโคราชอย่างเป็นทางการในวันลอยกระทง 3 พฤศจิกายนนี้ หลังปล่อยให้คู่แข่ง 2 ราย ชิงนำหน้าไปก่อน

ถนนสายมิตรภาพจากกรุงเทพฯ เข้าเมืองโคราช จึงยิ่งคึกคักขึ้นอีก เพราะแค่ระยะทางไม่ถึง 10 กิโลเมตร มีห้างให้เลือกเดินถึง 6 แห่ง โดยในจำนวนนี้ เป็นศูนย์การค้าระดับบิ๊กอย่าง เซ็นทรัล เดอะมอลล์ และเทอร์มินอล 21 ที่กำลังลั่นกลองรบ เปิดศึกชิงลูกค้าอย่างคึกคัก ไม่เพียงลูกย่าโมที่อาศัยอยู่ในจังหวัดนครราชสีมาเกือบ 3 ล้านคนเท่านั้น แต่ยังมีกลุ่มเป้าหมายจากจังหวัดใกล้เคียง คือ บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี ชัยภูมิ ขอนแก่น มหาสารคาม สุรินทร์ รวมแล้วกว่า 8 ล้านคน และยังมีกลุ่มที่เดินทางตามเส้นทางผ่านไปจังหวัดอื่น ๆ ในภาคอีสานอีกด้วย

ที่จริงแล้ว “เซ็นทรัล” ภายใต้ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอ็น วางแผนเปิดห้างที่โคราชมาตั้งแต่ปี 2544 แต่ติดเรื่อง ที่ดิน มาตลอด เริ่มจากเล็งที่ดินขนาด 32 ไร่ แต่พลาดเป้าหมาย จนปัจจุบันได้กลายเป็นของ “เทอร์มินอล 21” ทำให้เซ็นทรัลต้องเลื่อนโครงการออกไป ปล่อยให้คู่แข่งชิงเปิดตัวนำหน้าไปก่อน

ต่อมา ในปี 2557 ซีพีเอ็นซื้อที่ดินประมาณ 52 ไร่ ราคา 600 ล้านบาท ริมถนนเลี่ยงเมืองนครราชสีมา (By Pass) ช่วง กม.ที่ 3 ใกล้จุดลงมอเตอร์เวย์ สายบางปะอิน-นครราชสีมา ถึงขั้นประกาศจะลงทุน 9,500 ล้านบาท เนื้อที่โครงการรวม 250,000 ตารางเมตร เพื่อเตรียมสร้างห้างเซ็นทรัล โคราช

แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจมาเลือกที่ดินที่ใหญ่ขึ้น 65 ไร่ บนเส้นทางถนนมิตรภาพ-หนองคายแห่งนี้ เพราะวางจุดขายเป็นโครงการมิกซ์ยูส โปรเจกต์ใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน มูลค่าลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท พื้นที่โครงการมากกว่า 355,000 ตารางเมตร มีทั้งห้าง และธุรกิจค้าปลีกในเครือมากันครบ ประกอบด้วยห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, ท็อปส์ ซูเปอร์สโตร์, ธิงค์สเปซ บีทูเอส, ซูเปอร์สปอร์ต, พาวเวอร์บาย, ออฟฟิศเมท และร้านค้าแฟชั่นและอาหารชั้นนำกว่า 500 ร้านค้า รวมทั้งโรงแรม และสถานที่จัดงาน ที่จะทยอยเปิดตัวต่อไป

เมื่อกำหนดเปิดตัววันลอยกระทง จึงเนรมิตอีเวนต์ให้มีแสงสีเสียงแบบ Interactive อย่างเต็มที่ โดยดึงดารา หมาก ปริญ สุภารัตน์ และ แต้ว ณฐพร เตมีรักษ์ มาเป็นแม่เหล็ก ขณะที่คู่แข่งรุ่นพี่ย่อมไม่นิ่งเฉย ได้เตรียมรับน้องใหม่ โดยเฉพาะรุ่นพี่ที่อยู่มาก่อนถึง 17 ปี อย่างเดอะมอลล์

เดอะมอลล์”เลือกโคราชในการขยายออกต่างจังหวัดเป็นครั้งแรก เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2543 เมื่อมาก่อนจึงชูคอนเซ็ปต์ บ้านของคนโคราช“ จัดกิจกรรมการต่างๆ อย่างต่อเนื่องมาตลอด ครั้งล่าสุดก็เตรียมรับน้องใหม่ด้วยเทศกาล Full Moon พูนสุข ในวันที่ 3-4 พฤศจิกายน ด้วยการดึงซูเปอร์สตาร์ อย่าง ณเดชน์ คูกิมิยะ และกลุ่มนักแสดงชาย 6 คน จาก ซีรีส์วาย “เดือนเกี้ยวเดือน“ หรือ 2 Moons The series พร้อมเตรียมปาร์ตี้ในสวนน้ำรับเทศกาลสงกรานต์กับนักร้องวง พาราด็อกซ์ และแสตมป์ อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข

ตามต่อด้วย อีเวนต์แนวป็อปคัลเจอร์ ด้วยการนำเอาซูเปอร์ฮีโร่ และของสะสมหายากมาจัดแสดงโชว์และจำหน่าย ระหว่างวันที่ 7- 19 พฤศจิกายน โดยมีนักแสดงหนุ่ม อเล็กซ์ เรนเดลล์ ที่จะขึ้นเวทีสร้างสีสัน

เดอะมอลล์เคยมีประสบการณ์มาแล้วเมื่อปลายปีที่แล้ว เมื่อเทอร์มินอล 21 ของกลุ่มแลนด์แอนด์เฮาส์ บิ๊กอสังหาฯ ทุ่มงบ 5 พันล้าน ขยายสาขามาที่ โคราช ขนาดพื้นที่ 2 แสนตรางเมตร และเปิดตัว เมื่อ 19  ธันวาคม 2559 ที่ผ่านมา ครั้งนั้นเดอะมอลล์ก็จัดเทศกาล “The Mall Korat winter festival“ รับน้องเทอร์มินอล 21 ด้วยโปรโมชั่นไม่เก็บค่าที่จอดรถ 3 เดือน

ศึกครั้งนี้ทำเอาเดอะมอลล์ทุ่มงบกว่า 2,000 ล้านบาท ปรับโฉมห้าง วางจุดยืนให้เป็น “พารากอน แห่งอีสาน” เพิ่มร้านค้าแบรนด์เนมชื่อดัง ทั้งร้านอาหารและแฟชั่น สร้างเมืองหิมะจำลอง และลานสเก็ตน้ำแข็ง เป็นจุดขาย ขยายพื้นที่เป็น 80 ไร่ มีพื้นที่ศูนย์การค้า 350,000 ตารางเมตร นับว่าใหญ่ที่สุดในโคราชขณะนั้น แต่ปัจจุบันถือว่าน้อยกว่าเซ็นทรัลที่กำลังจะเปิดประมาณ 5,000 ตารางเมตร

พร้อมสร้างถนนทางเข้าใหม่จากด้านหลังติดถนนสุรนารี 2 ที่เป็นแหล่งหมู่บ้านจัดสรร ที่อยู่อาศัยของคนชั้นกลาง คนทำงานของเมืองโคราช และยังเป็นถนนที่สามารถเชื่อมต่อถนนบายพาสที่จะไปเดินทางต่อไปในจังหวัดภาคอีสานอีกด้วย

นับเป็นการรับมือของเดอะมอลล์ที่ดี แม้ช่วงแรกพลังแบรนด์และการสร้างจุดขายของเทอร์มินอล 21 ทั้งศูนย์อาหารราคาถูก ที่นำร้านดังในพื้นที่มาขึ้นห้าง มีฟู้ดแลนด์ ซูเปอร์มาร์เก็ต เปิด 24 ชั่วโมง และแลนด์มาร์กสถานที่ท่องเที่ยว เช่น หอไอเฟล หรือสะพาน ทาวเวอร์ออฟลอนดอน ที่แรงพอจนดึงลูกค้าจากห้างเดอะมอลล์ไปได้มากในช่วงแรก แต่เมื่อเดอะมอลล์เป็นห้างฯ ที่คนโคราชคุ้นเคยอยู่แล้ว เมื่อยอมทุ่มทุนปรับโฉม เพิ่มชีวิตชีวาให้ห้าง ก็สามารถดึงลูกค้าเดิมและเติมลูกค้าใหม่มาเพิ่มขึ้นได้

ก่อนการปรับโฉมมีปริมาณลูกค้าเข้ามาใช้บริการเฉลี่ย 80,000 คนในวันธรรมดา และ 100,000 คนต่อวันในวันหยุดสุดสัปดาห์ หลังปรับโฉมมีลูกค้าเพิ่มขึ้น 15-20%

บิ๊กซี VS เทอร์มินอล 21 เปิดศึก “สะพานลอยคนข้าม”

ไม่เพียงแต่ศึกระหว่าง 3 บิ๊กศูนย์การเท่านั้น แต่ยังต้องเจอรับน้องจากบิ๊กไฮเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่มาก่อน อย่างกรณีเทอร์มินอล 21 ซึ่งตั้งใจจะสร้าง “สะพานลอยคนข้าม” ไปยังฝั่งบิ๊กซี เพื่อดึงคนมาเข้าห้างฯ แต่ก็ต้องล้มโครงการไป แม้จะได้อนุมัติจากหน่วยงานรัฐแล้ว จนต้องใช้วิธีซื้ออาคารที่เป็นร้านขายของเล็กๆ ฝั่งตรงข้าม เลยพื้นที่ของบิ๊กซีไปเล็กน้อย และขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างเพื่อเชื่อมเข้าสู่ตัวห้างเทอร์มินอล 21 ได้โดยตรง

รวมกันเราอยู่

แม้จะเป็นห้างใหญ่ แต่เมื่อมาเปิดถึงถิ่น ก็ต้องดึงความร่วมมือจากธุรกิจท้องถิ่น อย่าง “ร้านคลาส คาเฟ่” เจ้าของฉายา “สตาร์บัคส์อีสาน”  มารุต ชุ่มขุนทด เจ้าของร้าน และซีอีโอ บริษัท คลาส คอฟพี่ ในฐานะเป็นคนโคราช กล่าวว่า คลาส คอฟฟี่ ได้ร่วมมือกับบีทูเอส ร้านหนังสือและเครื่องเขียนของกลุ่มเซ็นทรัล ร่วมกันทำ co working space ในพื้นที่ของบีทูเอส Think Space ในห้างเซ็นทรัล โคราช ด้วยพื้นที่ทั้งหมด 1,500 ตารางเมตร

“ถือว่าเป็นสาขาแรกที่มีความร่วมมือกัน เพื่อจับกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ และกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ กลุ่มสตาร์ทอัพ ที่เป็นหนึ่งในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ห้างเซ็นทรัลต้องการ ขณะเดียวกันยังได้กลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่นิยมทำงานนอกสถานที่ หาที่แฮงเอาต์ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาธุรกิจ และนักเรียนนักศึกษาที่หาสถานที่อ่าน และติวหนังสือ”

นอกเหนือจากบีทูเอสแล้ว ห้างเซ็นทรัลยังมีพื้นที่สำหรับ co working space ในห้างในพื้นที่ของร้านกาแฟอีกถึง 3 แบรนด์ อยู่คนละชั้น ตั้งแต่ร้านกาแฟอเมซอนในขนาดพื้นที่ 300 ตารางเมตร ร้านกาแฟสตาร์บัคส์ในพื้นที่ 400 ตารางเมตร และร้านทรูสเฟียร์ ของกลุ่มทรู

มารุต กล่าวด้วยว่า การเข้ามาของห้างใหญ่ในโคราชครั้งนี้ พยายามหาจุดเด่นและบริการที่คนรุ่นใหม่ที่นี่ต้องการ เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ หลังลงทุนกันอย่างเต็มที่

ความคึกคักในการลงทุนของห้างต่างๆ นี้ นับเป็นการรองรับการขยายตัวของเมืองที่จะมีทั้งรถไฟความเร็วสูง และทางด่วนมอเตอร์เวย์ ที่กำลังจะมาถึงโคราชในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ที่จะมีผู้คนเดินทางทั้งทำธุรกิจ และการท่องเที่ยวอีกมาก

อย่างไรก็ตาม โจทย์ใหญ่สุดของบรรดาห้างในเมืองโคราช ก็คือ จำนวนคนเข้าห้าง ช่วงเสาร์-อาทิตย์ วันหยุดราชการ และช่วงเย็นของทุกๆ วัน มีจำนวนมาก แต่ช่วงกลางวันวันธรรมดาจะเงียบเหงามาก

“เพราะคนโคราชส่วนใหญ่คือคนทำงานทั้งในระบบราชการ โรงงานอุตสาหกรรม บริษัทเอกชน และนักศึกษา ทำให้ช่วงกลางวันคือช่วงทำงาน ดังนั้นการจัดกิจกรรมต่างๆ มักจะเกิดขึ้นในช่วงวันหยุด สิ่งที่จะเป็นบทพิสูจน์ว่าการแข่งขันธุรกิจห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ก็คือ จะสร้างกิจกรรมการตลาดอย่างไรให้น่าสนใจ และดึงกลุ่มคนในทุกช่วงวัยเข้ามาจับจ่ายใช้สอยในพื้นที่ของแต่ละห้างได้ในระยะยาว“

ขณะเดียวกัน นอกจากห้างต้องดึงธุรกิจท้องถิ่นเข้ามาเป็นแม่เหล็ก ธุรกิจท้องถิ่นเองก็ต้องร่วมทำธุรกิจกับห้างด้วยเช่นกัน

รวินวัฒน์ จารุกำเนิดกนก กรรมการผู้จัดการ ห้างทอง ยูเฮชแอล อึ้งเฮงหลี หนึ่งในทายาทหนุ่มของร้านค้าทองเก่าแก่ 120 ปี ของเมืองโคราช กล่าวว่า ทุกวันนี้บรรดาธุรกิจห้างร้านดั้งเดิมของเมืองโคราชที่อยู่ในตลาดเก่า ล้วนแต่ต้องปรับตัวกันทั้งนั้น รวมถึงธุรกิจร้านทองของตระกูล

“ทุกวันนี้ ร้านทองเราก็ไม่สามารถแสตนด์อโลนแบบร้านโดดๆ ในตลาดเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เราต้องขยายสาขาไปตามห้างที่เปิดใหม่ๆ หรือซูเปอร์มาร์เก็ตที่มีคนจับจ่ายใช้สอยมาก เพราะเราต้องเข้าหาลูกค้า ก็เหมือนธุรกิจอื่นๆ ทุกคนต้องปรับตัวกันทั้งนั้น ใครปรับตัวไม่ได้ ก็อยู่ไม่รอด”

การปรับตัวนี้ ทุกคนมั่นใจว่าคุ้มค่า เพราะกำลังซื้อที่นี่มีจำนวนมาก นครราชสีมาเป็นจังหวัดที่มีมหาวิทยาลัยมากถึง 15 แห่ง มีนิคมอุตสาหกรรม 3 แห่ง มีโรงงานอุตสาหกรรมมากกว่า 2,000 โรงงาน และมีโรงพยาบาลขนาดใหญ่ 6 โรง และยังเป็นสถานที่ทำการของหน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่นจำนวนมาก

“คลังพลาซ่า” ใช้พลังท้องถิ่น ปลาเล็กสู้ปลาใหญ่

แม้จะมีทุนใหญ่มหาเศรษฐีมาเปิดห้างถึงถิ่นโคราช แต่เจ้าถิ่นอย่าง “คลังพลาซ่า” ก็ยังไม่ถอย

คลังพลาซ่า ถือเป็นห้างดั้งเดิมของเมืองโคราช มีตำนานมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2501 จากร้านขายอุปกรณ์การเรียนในชื่อ ”คลังวิทยา” ขยายเป็น ”คลังวิทยาดีพาร์ทเม้นท์สโตร์” ในปี 2519 ในฐานะห้างสรรพสินค้าแห่งแรกของภาคอีสาน จนกลายมาเป็นห้างสรรพสินค้า ”คลังพลาซ่า” เมี่อปี 2529

ที่จริงแล้ว ห้างแห่งแรกของเมืองโคราชคือ ห้างธารา และก็เกิดคลังวิทยาตามมา มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ห้างธาราซึ่งมีขนาดเล็กกว่าต้องล้มเลิกกิจการ คลังวิทยา จึงกลายเป็นห้างใหญ่ ต่อมาเปลี่ยนชื่อมาเป็น คลังพลาซ่า และเป็นห้างคู่เมืองโคราช ปัจจุบันมี 3 สาขา 2 สาขาแรกอยู่ในเขตเมือง ย่านการค้าตลาดเก่าของเมืองโคราช ที่ยังคงมีฐานลูกค้ากลุ่มแม่บ้าน กลุ่มคนในตลาด เมืองเก่าอย่างเหนียวแน่น มีการปรับปรุงขยายพื้นที่จนมีสาขา 3 ในรูปแบบที่ทันสมัยชื่อว่า “คลังวิลล่า” ที่เป็นคอมมูนิตี้มอลล์ และกำลังก่อสร้างสาขาที่ 4 ในชื่อว่า “คลังสเตชั่น” บนที่ดิน 17 ไร่ ริมทางรถไฟ ในแนวห้างแบบคลาสสิก มีบ้านเรือนเก่าของพนักงานรถไฟตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5

กลางปี 2556 คลังพลาซ่า สาขาที่ 2 ที่อยู่ในเมืองเก่า ใกล้อนุสาวรีย์ย่าโม ได้ปรับโฉมครั้งใหญ่ เปลี่ยนทั้งโลโก้ ภาพลักษณ์ เพื่อให้ดูทันสมัย รองรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพื่อแทนที่ฐานลูกค้าเดิมที่เป็นกลุ่มสูงวัยขึ้นเรื่อยๆ และรองรับการขยายตัวกำลังซื้อที่เป็นคนในพื้นที่และคนต่างพื้นที่ โดยขยายพื้นที่จากเดิม 20,000 ตารางเมตร เป็น 30,000 ตารางเมตร อีกทั้งเพิ่มพื้นที่จอดรถ และเพิ่มร้านค้า ร้านอาหารซึ่งเป็นที่นิยมอีกหลายร้าน โดยเปิดบริการโฉมใหม่ในเดือนกันยายน 2557

คลังพลาซ่าให้ฉายตัวเองว่าเป็น “ห้างของคนท้องถิ่น” แม้ว่าที่ผ่านมาจะได้รับผลกระทบจากการแข่งขันดุเดือดของห้างใหญ่ แต่ด้วยฐานของความเป็นคนพื้นเมือง และเป็นแลนด์ลอร์ดในพื้นที่ เป็นเจ้าของธุรกิจบ้านจัดสรรขนาดใหญ่แทบทั้งหมดในเมืองโคราช ทำให้คลังพลาซ่ายังคงยังยืนหยัดต่อสู้กับห้างยักษ์ใหญ่ทั้งหมดได้อย่างแข็งแกร่งจนถึงทุกวันนี้

ห้างล้น กทม. ที่ดินแพง ทุนใหญ่พาเหรดลุย ตจว.

“โคราช” นับเป็นภูมิภาคทำเลทองล่าสุดที่กลุ่มธุรกิจค้าปลีกไปลงทุนกันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจทุนหนาระดับมหาเศรษฐีของไทย และของโลก ไปรวมตัวกันครบแล้ว

อย่างล่าสุด “เซ็นทรัล” ที่กำลังจะเปิดตัวที่โคราช หลังรอมานาน 16 ปี ของตระกูล “จิราธิวัฒน์” ก็ร่วมลงสนามแล้ว จากก่อนหน้านี้ แม้จะมีศูนย์การค้ารูปแบบที่ต่างกันไปรออยู่แล้ว อย่างทุนจากเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ปักธง “บิ๊กซี” ไปแล้ว ทุนจากเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ เปิดแนวรบเป็นเพื่อนโชห่วยด้วย “แม็คโคร” แล้ว และยังมีทุนจากกลุ่มเดอะมอลล์ และทุนต่างชาติ อย่าง “เทสโก้ โลตัส” รวมถึงเจ้าพ่อแลนด์แอนด์เฮาส์ “อนันต์ อัศวโภคิน” ที่จุดพลุห้างแนวใหม่ อย่างเทอร์มินอล 21 เมื่อปีที่แล้ว

ในมุมมองของ สุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยคอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ระบุว่า ที่ดินใน กรุงเทพฯ และปริมณฑล เริ่มหายากและแพง แต่ธุรกิจค้าปลีกก็ต้องลงทุนเพื่อสร้างธุรกิจใหม่ของตนเองให้ต่อเนื่อง ทุกบริษัทที่มีทุนก็รุกเต็มที่ในต่างจังหวัด

ลักษณะการบุกต่างจังหวัดหลายปีที่ผ่านมาไปลงทุนในเมืองท่องเที่ยวกันจำนวนมาก เช่น ที่เชียงใหม่ ภูเก็ต จากนั้นก็ไปบุกลงทุนในหัวเมืองใหญ่ ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงอย่างโคราช ล่าสุด ที่มีห้างไปเปิดบริการกันมาก บนถนนมิตรภาพ ที่เปรียบเทียบได้ว่าเป็นย่านธุรกิจของเมือง เหมือนซีบีด

แม้ว่า ณ ปัจจุบันจำนวนลูกค้าจะยังไม่สามารถทำให้เกิดการคุ้มทุนได้เร็ว และยังต้องรอโครงสร้างระบบการคมนาคมอย่างรถไฟความเร็วสูง และรถไฟรางเบา (โมโนเรล) แต่ธุรกิจค้าปลีกต้องมองระยะยาว คือ การซื้ออนาคต รอเวลาการคุ้มทุน และที่ได้แน่ๆ ในปัจจุบัน คือการครอบครองที่ดิน

นอกจากการลงทุนในเมืองใหญ่ๆ กระแสที่กำลังมาคือการไปลงทุนในหัวเมืองรองมากขึ้น เช่น บางรายไปลำพูน ตาก เชียงราย พิษณุโลก แล้ว

ขณะที่การลงทุนในกรุงเทพฯ กลุ่มห้างสรรพสินค้าเริ่มชะลอตัว เพราะที่ดินแพง หายากดังกล่าว และยังรองรับกลุ่มเป้าหมายได้หลากหลาย ขณะที่กลุ่มไฮเปอร์มาร์เก็ต ก็จะขยายสาขาในขนาดพื้นที่เล็กลง

ดังนั้น พื้นที่ค้าปลีกทั่วประเทศไทยปี 2560 ที่มีประมาณ 18.7 ล้านตารางเมตร อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ประมาณ 7 ล้านตารางเมตร อยู่ในต่างจังหวัด 1.1 ล้านตารางเมตร ในปีหน้าพื้นที่ค้าปลีกทั่วประเทศจะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ประมาณ 300,000-400,000 ตารางเมตร ที่เหลือจึงมุ่งหน้าสู่ต่างจังหวัดกันอย่างคึกคัก

เทรนด์นี้ จากการสำรวจของ Positioning พบว่า แผนการขยายสาขาของแต่ละแบรนด์ จะมีสัดส่วนในต่างจังหวัดมากกว่า หรือพอ ๆ กัน อย่างเช่นเซ็นทรัล ปี 2560 มีท้ังหมด 30 แห่ง อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 13 แห่ง ในต่างจังหวัด 17 แห่ง ส่วนใน 5 ปี ช่วงปี 2560-2564 เซ็นทรัล มีแผนขยายสาขาในต่างจังหวัด 7 จังหวัด กรุงเทพฯ และปริมณฑล 7 แห่ง และที่มาเลเซีย 1 แห่ง

นอกจากนี้ยังมีโรบินสันที่รุกต่างจังหวัด นอกจากไปกับห้างเซ็นทรัลแล้ว หากแยกตั้งเอง ก็จะเน้นความเป็นห้างไลฟ์สไตล์ ที่มีแผนเปิดใน 3 จังหวัดในปีนี้

ขณะที่แม็คโคร ที่เป็นห้างที่ต้องใช้พื้นที่กว้าง หยุดขยายสาขาในกรุงเทพฯ มาแล้วหลายปี โดยตั้งแต่ปี 2557 มีสาขาในกรุงเทพฯ 9 แห่ง แต่ขยายสาขาในต่างจังหวัดในช่วงปี 2557-2562 แล้ว 48 แห่ง

ส่วนบิ๊กซี ก็มีแผนการขยายห้างขนาดใหญ่ 9 แห่งในปีนี้ ที่เกือบทั้งหมดอยู่ในต่างจังหวัด.

 

]]>
1145274