เปิดตำนาน “แซนวิชอบร้อนเซเว่น” จากแนวคิดขนมคอร์นด็อก สู่ยอดขาย 3,000 ล้าน

รู้หรือไม่ว่า… แซนวิชอบร้อนที่ทานในเซเว่นอยู่ทุกวันนี้ มีจุดเริ่มต้นจากแนวคิดขนม “คอร์นด็อก” โดย NSL Foods เป็นพาร์ตเนอร์กับทางเซเว่นมายาวนาน ได้พัฒนาสูตรจนกลายเป็นแซนวิชอบร้อน ตอนนี้มียอดขายเกือบ 3,000 ล้าน

เริ่มจาก “คอร์นด็อก” เป็นแซนวิชเค้กไส้กรอกสูตรแรก

ถ้าพูดถึงเซเว่นฯ จากจุดยืนในเรื่อง “อิ่มสะดวก” แน่นอนว่าหลายคนต้องนึกถึงอาหารพร้อมทานต่างๆ ที่ตอนนี้มีครอบจักรวาลทั้งอาหารตามสั่ง ขนมเค้ก ผลไม้ เบอร์เกอร์ ยันชุดสุกี้ชาบูก็ยังมี แต่หนึ่งไอเทมที่ขายดีที่สุดคงหนีไม่พ้น “แซนวิชอบร้อน” เพราะเป็นอาหารที่ทานง่าย มีหลายไส้ ทานได้ตลอดทั้งวัน เป็นอาหารเช้า หรืออาหารว่างก็ได้

เบื้องหลังของแซนวิชอบร้อนก็คือ “เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์” หรือ NSL ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสำเร็จรูป ทั้งเบเกอรี่ ขนมขบเคี้ยว อาหารแช่แข็ง เป็นพาร์ตเนอร์กับทางเซเว่นฯ มายาวนาน เรียกว่าทำด้วยกันมาตั้งแต่สมัยข้าวกล่องแช่แข็ง จนเป็นแซนวิชอบร้อน

สมชาย อัศวปิยานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน)
สมชาย อัศวปิยานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน)

สมชาย อัศวปิยานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) เริ่มเล่าว่า

“จุดแรกเริ่มของบริษัทเลยเมื่อปี 2544-2545 ได้พัฒนาอาหารกล่องแช่แข็ง ตอนนั้นเข้าไปขายในซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ  เซ็นทรัล, โรบินสัน และเยาฮัน หลังจากนั้นทางเซเว่นฯ เริ่มมองเห็นว่าสินค้ากลุ่มนี้มีศักยภาพเติบโต เลยให้ทางบริษัทผลิตให้ เริ่มจากทดลองขาย 30 สาขา ขยายเป็น 300-1,000 สาขา เรื่อยๆ”

จากผลิตอาหารกล่องในตอนนั้น ในปี 2550 ก็เริ่มผลิตอาหารกล่องแช่แข็งแบรนด์ “อีซีโก” ร่วมกัน จากนั้นในปี 2552 ได้พัฒนาเป็นตัวแซนวิชอบร้อน

สมชายเล่าอีกว่า ก่อนหน้าที่จะเป็นแซนวิชอบร้อน ทางเซเว่นฯ ได้ทำแซนวิชไส้แฮมชีส ไส้หมูหยอง แต่เป็นรูปแบบให้พนักงานประกอบเองที่ร้าน ทาง NSL ส่งแค่ส่วนขนมปังแถวให้ จนเซเว่นฯ ต้องการให้พัฒนา “คอร์นด็อก” จำหน่ายที่ร้าน เป็นขนมที่มีแป้งเค้กสอดไส้ด้วยไส้กรอก ให้นึกถึงขนม “โป้งเหน่ง” ตามงานวัดต่างๆ มีลักษณะคล้ายกัน ซึ่งเซเว่นฯ อาจจะต้องการท้าชน “จิฟฟี่” ที่มีเมนูนี้เป็นตัวชูโรง

ทางบริษัทใช้เวลาพัฒนาอยู่ 2 ปี เพราะพัฒนาค่อนข้างยาก เลยมองว่าที่ร้านมีเครื่องอบแซนวิชอยู่แล้ว เลยพัฒนาแซนวิชเป็นเนื้อเค้ก แล้วทำไส้กรอกเป็นไส้ เวลากินจะเหมือนคอร์ด็อก จึงเกิดเป็นสินค้าตัวแรกของตระกูลแซนวิชอบร้อนก็คือ “แซนวิชเค้กไส้กรอก” พนักงานที่ร้านก็ถูกใจกับสินค้าตัวนี้ เพราะฉีกซอง แล้วเข้าเครื่องได้เลย ไม่ต้องมาประกอบเองเหมือนก่อนหน้านี้

กลุ่มแซนวิชอบร้อนจะมีการเคลื่อนไหวค่อนข้างสูง มีการปรับ เพิ่มไส้อยู่ตลอด โดยเมื่อปี 2555-2556 เป็นช่วงที่เริ่มลงตัว และเป็นช่วงพีคที่สุด หลังจากนั้นได้ใช้ชื่อแบรนด์ว่า Ezy Taste

ปัจจุบันกลุ่มแซนวิชอบร้อนมีไส้ใหม่ๆ ตลอด แต่จะมีการหมุนเวียนเฉลี่ย 20 รายการ อันไหนขายไม่ดีก็ปรับไส้ใหม่เรื่อยๆ โดย 5 ไส้ตัวท็อปที่ขายดีที่สุด ได้แก่ แฮมชีส, ไส้กรอกชีส, หมูหยองน้ำสลัด, ครัวซองต์แฮมชีส และครัวซองต์หมูหยองน้ำสลัด

ตอนนี้ NSL มีกำลังการผลิตสินค้าเบเกอรี่ทุกอย่าง รวมทั้ง OEM ให้เจ้าอื่น 1.25 ล้านชิ้น/วัน ถ้ากำลังการผลิตที่ส่งให้เซเว่นรวม 4.5 แสนชิ้น/วัน แบ่งเป็น แซนวิชอบร้อน 2 แสนชิ้น2/วัน และเบเกอรี่อื่นๆ เค้ก เอแคลร์ อีก 2.5 แสนชิ้น/วัน

น้ำท่วม 54 สร้างจุดเปลี่ยนสำคัญ

แต่เดิม NSL เป็นบริษัทที่รับผลิตอาหาร และเบเกอรี่ทั่วไป ขายให้กับหลายเจ้า ไม่ได้ทำกับแค่ที่เซเว่นฯ แต่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของบริษัทก็คือเหตุการณ์ “น้ำท่วมปี 54” ทำให้น้ำท่วมโรงงานที่อมตะนคร ไม่สามารถผลิตสินค้าให้ลูกค้าได้

ทางเซเว่นฯ เลยชวนกันจับมือเป็นผู้ผลิตหลัก ไม่ขายให้รายอื่น ตอนนั้นแซนวิชอบร้อนกำลังเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น จึงให้ทาง NSL ผลิตเอ็กคลูซีฟให้กับเซเว่นฯ เจ้าเดียว ไม่ผลิตให้ลูกค้ารายอื่น ทำให้ยอดขายเติบโตต่อเนื่อง เพราะรายได้จากเซเว่นฯ เติบโตขึ้นทุกปี

ไว้ใจเซเว่นฯ คู่ค้ามานาน

กลายเป็นประเด็นสำคัญในแวดวงการทำธุรกิจ เพราะหลายคนเคยเห็นข่าวคราวของเซเว่นฯ ในแง่ลบ ในเรื่องการลอกเลียนสูตรอาหารบ้าง หรือการนำไอเดียของคนอื่นมาพัฒนาต่อบ้าง

สำหรับ NSL ไม่กลัวในประเด็นนี้ เพราะมองว่าร่วมงานกับเซเว่นฯ มานานหลาย 10 ปี เข้าใจวัฒนธรรม รู้เป้าหมายอย่างดี มีการพัฒนาสินค้าเรื่อยๆ ไว้ใจซึ่งกันและกัน และมีการทำ MOU ร่วมกันตั้งแต่ปี 2557 ทาง NSL จะไม่ขายสินค้าที่อื่น และเซเว่นฯ ก็จะไม่เอาสินค้าไปให้ผู้ผลิตรายอื่นทำ มีการต่อสัญญาเรื่อยๆ ยาวไปถึงปี 2569

ทะยานสู่ 3,500 ล้าน

เมื่อปี 2562 NSL ได้เข้าซื้อกิจการจาก บริษัท ควอลิตี้ฟู้ด สเปเชียลตี้ จำกัด ขยายธุรกิจ “ฟู้ดเซอร์วิส” นำเข้าอาหารทะเล เนื้อสัตว์และผักแช่แข็ง มองเห็นโอกาสจากมูลค่าตลาดที่สูงถึง 20,000 ล้านบาท แต่ยังมีผู้เล่นรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย เริ่มแรกจะเน้นนำเข้าสินค้าอาหารแช่แข็ง ได้แก่ เนื้อสัตว์แช่แข็ง ปลาแซลมอน ปลาหิมะ เนื้อออสเตรเลีย หอยเชลล์

ส่วนในปีนี้มีการเพิ่มการลงทุนในส่วนของอาหารประเภท Ready to Cook และ Ready to Eat การผลิตสูตรซอสอาหารสำเร็จรูปเพื่อส่งให้กับเชนร้านอาหาร หรือโรงแรมต่างๆ เพื่อช่วยลดต้นทุนเนื่องจากไม่ต้องมีหัวหน้าพ่อครัว

สำหรับรายได้ในปี 2563 สิ้นสุดไตรมาส 3 เดือนกันยายน 2563 บริษัทมีรายได้รวม 2,164.9 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนรายได้เป็นกลุ่มเบเกอรี่ และอาหารรองท้อง 94.5% ธุรกิจฟู้ดเซอร์วิสมีรายได้ 94.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปีก่อนหน้า เนื่องจากเพิ่งซื้อธุรกิจนี้เข้ามาในช่วงครึ่งหลังของปี 2562

ในปี 2564 ตั้งเป้ายอดขายให้เติบโต 16% มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 3,500 ล้านบาท และต้องมี 6,000 ล้านบาท ภายใน 6 ปี โดยที่สัดส่วนรายได้ใน 5 ปีข้างหน้า (2564-2568) ที่เกิดจากธุรกิจอื่น (Non 7-Eleven) ต้องเพิ่มขึ้นมาในสัดส่วน 30% และอีก 70% เป็นธุรกิจร่วมกับร้านเซเว่นฯ จากปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากร้านเซเว่นฯ ครองสัดส่วนรายได้กว่า 90%

ปัจจุบัน NSL มีสินค้าด้วยกัน 4 กลุ่มใหญ่ ได้แก่

1. OEM (รับจ้างผลิต) แบ่งเป็น

  • แซนวิชอบร้อนต่างๆ แบรนด์ Ezy Taste
  • อาหารพร้อมทาน (Ready to Eat) พวกเบอร์เกอร์, ครัวซองต์, เบรดคัพ และโทสต์ แบรนด์ 7 Fresh
  • ขนมแช่เย็น ใช้แบรนด์ Ezy Sweet ได้แก่ โมจิ, ชูครีม, เค้ก, เอแคลร์, ช็อกโกแลตลาวา รวมไปถึงแซนวิชแช่เย็น และสลัดทูน่า

นอกจากนี้ยังได้ผลิตสินค้าให้อานตี้แอนส์, ขนมปังแซนวิชนมสดให้ท็อปส์ และทองม้วนแผ่นส่งให้ประเทศเกาหลี

2. ขนมทานเล่น ได้แก่ ปังไทย, พายกรอบ, ขนมปังกรอบ, ขนมพริก และสินค้าเพื่อสุขภาพ

3. ฟู้ดเซอร์วิส เนื้อสัวต์นำเข้า อาหารทะเล ผัก ผลไม้ เฟรนช์ฟรายส์ต่างๆ