โอสถสภา – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 13 May 2024 12:35:18 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ต้องหาทางเปลี่ยนลุค “เครื่องดื่มชูกำลัง” โจทย์ใหญ่ของทุกแบรนด์ที่อยากจะเข้ามาชิงตลาดพรีเมียม https://positioningmag.com/1473093 Fri, 10 May 2024 22:53:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1473093 “เครื่องดื่มชูกำลัง” ในประเทศไทยถูกแต่งหน้าทาปากใหม่เพื่อแปลงโฉมเป็น “Energy Drink” ส่งเข้าไปนำเสนอในหมู่คนรุ่นใหม่ ความพยายามล้างภาพจำความเป็นเครื่องดื่มเฉพาะของผู้ใช้แรงงานเกิดขึ้นมานานหลายปีแล้ว เพราะผู้ผลิตต่างหวังเพิ่มน่านน้ำใหม่ ทำให้ตลาดเติบโตและเพิ่มกำไร แต่ตลาดที่เรียกว่าเป็นกลุ่ม “พรีเมียม” นี้อาจจะเพิ่งเริ่มผลิบานในช่วงนี้นี่เอง

“การแก้ภาพจำว่าเครื่องดื่มชูกำลังเป็นสิ่งที่กินแล้วไม่ดีต่อสุขภาพ กินแล้วจะใจสั่น ภาพลักษณ์ไม่งาม จะกินก็ต้องไปแอบๆ กิน ภาพจำเหล่านี้แก้ยากมาก แต่เราก็พยายามแก้อยู่” สราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP เจ้าของแบรนด์กระทิงแดง กล่าวถึงความท้าทายในตลาดไทย

เขายังเปรียบเทียบให้เห็นด้วยว่า ประเทศไทยน่าจะเป็นประเทศเดียวในโลกที่เครื่องดื่มชูกำลังมีภาพลักษณ์เป็นเครื่องดื่มของ “ผู้ใช้แรงงาน” โอกาสที่จะดื่มคือเมื่อใช้แรงงานอย่างหนักหรือขับรถทางไกลเท่านั้น

แต่ในต่างประเทศอื่นๆ เครื่องดื่มชูกำลังเป็นเครื่องดื่มปกติทั่วไป โอกาสการดื่มกว้างกว่ามาก เช่น ดื่มในงานปาร์ตี้ ติวหนังสือสอบ ทำงานล่วงเวลา ทำให้การเติบโตของเครื่องดื่มประเภทนี้ดีกว่าเมืองไทย

นอกจากนี้ เมื่อเครื่องดื่มชูกำลังเข้าถึงคนทุกระดับในต่างประเทศ ทำให้การตลาดแข่งขันกันด้าน “แบรนด์” ต่างกับในไทยที่ “ราคา” คือจุดตัดสำคัญเพราะผู้บริโภคอ่อนไหวต่อราคาสูง การขึ้นราคาแค่ 2 บาทต่อขวดจะทำให้ยอดขายหดตัวลงทันที จนทำให้การขายเครื่องดื่มชูกำลังในไทยได้กำไรต่ำมาก

 

จาก “เครื่องดื่มชูกำลัง” สู่ “Energy Drink”

สภาวะตลาดดังนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดแต่เกิดขึ้นมานานกว่าทศวรรษ แต่การแต่งหน้าทาปากของเครื่องดื่มชูกำลังพรีเมียมมีพัฒนาการมาโดยตลอด เริ่มจากเลิกใช้ขวดแก้วสีชาหันมาใช้ขวดใส หรือเปลี่ยนมาใช้กระป๋องเพื่ออัดก๊าซลงไป แถมยังเปลี่ยนชื่อใหม่มาเป็น “เครื่องดื่มบำรุงกำลัง” หรือ “เครื่องดื่มให้พลังงาน” หรือ “Energy Drink” เพื่อทำให้ภาพทั้งหมดเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

เครื่องดื่มชูกำลัง
เรดบูล เอเนอร์จี้โซดา จากค่าย TCP

ทางกลุ่ม TCP เองจึงมีการออกผลิตภัณฑ์ที่เป็นเครื่องดื่มชูกำลังแบบ “พรีเมียม” มาเป็นระยะๆ นับตั้งแต่ออกแบรนด์ “เรดดี้” เมื่อปี 2551 จนถึง “เรดบูล ฮอลล์ เอ็กซ์เอส” เมื่อปี 2565 และล่าสุดเป็น “เรดบูล เอเนอร์จี้โซดา” ที่ออกใหม่ปี 2566 และ “เรดดี้ สปาร์คกลิ้ง” ที่ตามมาติดๆ ในปี 2567

ฟากค่าย “คาราบาว กรุ๊ป” เริ่มออก Energy Drink แบบอัดก๊าซลงกระป๋องในชื่อ “คาราบาว กรีน แอปเปิ้ล” มาตั้งแต่ปี 2562 ก่อนที่ปัจจุบันจะขยายจนมีมากถึง 6 สูตร

คาราบาว เอเนอร์จี้ดริงค์

ส่วนบริษัทอื่นๆ ทั้งหน้าใหม่หน้าเก่าก็เริ่มเข้ามาร่วมวงในตลาดนี้มากขึ้นใน 2-3 ปีมานี้ เริ่มจาก “จี บีท” ของบริษัท บีท เดอะ เวิลด์ จำกัด ที่เปิดตัวในปี 2565 เน้นทำตลาดเจาะกลุ่มเกมเมอร์ ตามด้วยแบรนด์ “Rockstar” ของซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ ที่เข้ามาจำหน่ายในปี 2565 เช่นกัน มาด้วยภาพลักษณ์ดูพรีเมียมด้วยสีทองและดำ

เครื่องดื่มชูกำลัง
จี บีท เน้นเจาะตลาดเกมเมอร์และอีสปอร์ต

อย่างไรก็ตาม คาดว่าแบรนด์ Rockstar เลิกทำการตลาดไปตั้งแต่กลางปี 2566 ก่อนที่ซันโทรี่ฯ จะเปลี่ยนตัวผู้เล่น ส่งแบรนด์ “สติงค์” เข้ามาแทนในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 เปลี่ยนจากเครื่องดื่มแบบกระป๋องมาเป็นแบบขวด PET เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยกวน

เครื่องดื่มชูกำลัง
สติงค์ จากซันโทรี่ เป๊ปซี่โค

ขณะที่เจ้าใหญ่ในกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังอย่าง “โอสถสภา” เริ่มเคลื่อนทัพเข้าพื้นที่ Energy Drink เมื่อเดือนธันวาคม 2566 เปิดตัว “M-150 สปาร์คกลิ้ง” เปลี่ยนโฉมมาลงกระป๋องอัดโซดา วางภาพเหมาะสำหรับคนทั้ง Gen Z และ Gen Y ดื่มเพื่อความสดชื่น

เครื่องดื่มชูกำลัง
M-150 สปาร์คกลิ้ง พลิกโฉมมาเจาะกลุ่ม Gen Z

ทั้งหมดนี้เข้ามาทำราคาใหม่จากเดิมเครื่องดื่มชูกำลังขวดสีชาแบบดั้งเดิมจะขายในราคา 10-15 บาท กลายเป็นขวดละหรือกระป๋องละ 18-23 บาท

 

ตลาดยังเล็กแต่โตดี ปี’66 เติบโตถึง 20%

ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังแบบพรีเมียมหรือ Energy Drink ถือว่ายังเล็กมาก โดย TCP เคยให้ข้อมูลไว้ในปี 2565 ว่าจากตลาดเครื่องดื่มชูกำลังมูลค่า 20,000 ล้านบาทนั้นเป็นตลาดในกลุ่มพรีเมียมเพียง 2,000 ล้านบาท และตลาดนี้เติบโตประมาณ 10% ต่อปีเท่านั้น

กระทั่งในปี 2567 สราวุฒิเผยข่าวดีว่า ตลาดชูกำลังพรีเมียมมีผลตอบรับที่ดีขึ้น เพราะเมื่อปี 2566 ตลาดเติบโตถึง 20% และเห็นสัญญาณว่าภาพลักษณ์การดื่มเครื่องดื่มให้พลังงานเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดี วัดจากกลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวกล้าที่จะโพสต์ภาพตัวเองกับเครื่องดื่มลักษณะนี้ลงโซเชียลมีเดีย

ฝั่งอีกบริษัทเจ้าใหญ่ สรายุทธ จิตจรุงพร Chief Domestic Beverage Officer บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ก็มองบวกเช่นเดียวกันว่า Energy Drink โดยเฉพาะประเภทเครื่องดื่มบำรุงกำลังอัดก๊าซแบบกระป๋องจะเติบโตสูง ปัจจุบันเครื่องดื่มประเภทนี้มียอดขายราว 300 ล้านบาทต่อปี เชื่อว่าจะโตก้าวกระโดดเป็น 1,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี และจะทำให้ M-150 สปาร์คกลิ้ง เป็น ‘New S-Curve’ ของบริษัท

น่าสนใจว่าตลาดชูกำลังพรีเมียมที่เปลี่ยนโฉมแปลงชื่อเป็น Energy Drink จะเป็นใครที่ได้ส่วนแบ่งเค้กก้อนใหญ่ไปในที่สุด และจะมีใครเข้ามาร่วมวงอีกหรือไม่ในนาทีนี้ที่ฝุ่นยังตลบในสมรภูมิ

]]>
1473093
“ยันฮี” แก้เกมตลาดน้ำวิตามินชะลอตัว ออกโปรดักส์ใหม่ “แคลเซียม วอเตอร์” เจาะกลุ่มครอบครัว https://positioningmag.com/1439861 Fri, 04 Aug 2023 08:01:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1439861 “ยันฮี” แบรนด์ดั้งเดิม “น้ำวิตามิน” ต้องพลิกกลยุทธ์แก้เกมเมื่อตลาดเริ่มชะลอตัว ออกโปรดักส์ใหม่ “แคลเซียม วอเตอร์” เจาะกลุ่มครอบครัว แย้มปี 2566 ยังมีโปรดักส์ใหม่อีก 2 รายการรอออกสู่ตลาด ทั้งที่อยู่ภายใต้บริษัทร่วมทุน “โอสถสภา” และที่ผลิตจำหน่ายเอง

แบรนด์น้ำวิตามินเจ้าเก่าอย่าง “ยันฮี” เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในเครือ “ยันฮี แคลเซียม วอเตอร์” เป็นน้ำผสมแร่ธาตุแคลเซียม ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่มีปัญหาในการทานแคลเซียมจากแหล่งอื่น เช่น แพ้แลคโตสในนมวัว แคลเซียมเม็ดฟู่ทำให้เกิดอาการท้องอืด โดยเป็นผลิตภัณฑ์แต่งกลิ่นและรสโยเกิร์ต ช่วยให้ดื่มง่ายขึ้น

นพ.สุพจน์ สัมฤทธิวณิชชา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ จำกัด และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอสถสภา ยันฮี เบเวอเรจ จำกัด กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ใหม่ “ยันฮี แคลเซียม วอเตอร์” เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแคลเซียมสูง เช่น ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน ผู้ที่มีภาวะกระดูกบาง ซึ่งภาวะเหล่านี้เกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย แม้แต่ในวัยหนุ่มสาวก็มีคนที่เป็นโรคกระดูกบางเช่นกัน

กลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์นี้จึงมองว่าน่าจะเป็นกลุ่มครอบครัว เพราะสามารถทานได้ทุกคน แต่เป้าหมายหลักน่าจะเป็นกลุ่ม ‘คุณแม่’ ซึ่งมักจะเป็นผู้ซื้อสินค้าเพื่อบำรุงสุขภาพให้กับทุกคนในบ้าน

ยันฮี แคลเซียม วอเตอร์
ยันฮี แคลเซียม วอเตอร์

ทพญ.สุชาวดี สัมฤทธิวณิชชา กรรมการบริหาร บริษัท ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ จำกัด และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอสถสภา ยันฮี เบเวอเรจ จำกัด กล่าวว่า ยันฮี แคลเซียม วอเตอร์ ถือเป็นน้ำดื่มแคลเซียมเจ้าแรกในไทย ปัจจุบันมีวางจำหน่ายแล้วที่ 7-Eleven เป็นขนาดบรรจุ 460 มล. ราคา 25 บาท แต่ตั้งแต่เดือนกันยายนนี้จะมีขนาดบรรจุ 350 มล. ราคา 17 บาท ออกจำหน่ายในโมเดิร์นเทรดและร้านค้าดั้งเดิมทั่วประเทศด้วย

โอกาสการสร้างยอดขายของยันฮี แคลเซียม วอเตอร์นั้น จะขึ้นอยู่กับการตระหนักรู้ถึงความสำคัญของแคลเซียมของผู้บริโภค ทำให้บริษัทมีงบการตลาด 60 ล้านบาทเตรียมไว้เพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์และให้ความรู้

รวมถึงมีการจัด “โครงการเสริมสร้างมวลกระดูกให้แข็งแรง” เปิดรับอาสาสมัคร 100 ท่านในวัย 30-60 ปี เพื่อมาทดลองดื่มยันฮี แคลเซียม วอเตอร์ ติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อพิสูจน์ว่าสามารถสร้างมวลกระดูกเพิ่มขึ้นได้จริงหรือไม่

 

ตลาด “น้ำวิตามิน” เริ่มโตช้า

การออกผลิตภัณฑ์น้ำผสมแร่ธาตุใหม่ๆ อย่าง “แคลเซียม” ของยันฮี นับได้ว่าเป็นการแก้เกม หาทางเลือกที่หลากหลายขึ้น เจาะความต้องการอื่นของผู้บริโภคในตลาดท่ามกลางตลาดที่เริ่มโตช้าลงของกลุ่มน้ำวิตามิน

ทพญ.สุชาวดี ให้ข้อมูลว่า ตัวเลขตลาดน้ำดื่มผสมวิตามินในไทยปีนี้น่าจะมีมูลค่าตลาดราว 1,900 ล้านบาท ซึ่งยอมรับว่าตลาดเริ่มโตช้าลง ถ้าเทียบกับปีที่ตลาดเคยพีคสูงสุด มูลค่าตลาดน้ำวิตามินเคยพุ่งไปมากกว่า 2,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าน้ำวิตามินแบรนด์ “ยันฮี” ยังเป็นอันดับต้นๆ ในตลาดนี้

ขณะที่ข้อมูลสถิติเก่าปี 2563 จาก “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” เคยประเมินว่า น้ำดื่มผสมวิตามินในปีนั้นน่าจะมีมูลค่าตลาดขึ้นไปแตะ 5,500 ล้านบาท สะท้อนภาพความผันผวนของน้ำดื่มผสมวิตามินที่เปลี่ยนแปลงเร็ว

นพ.สุพจน์ สัมฤทธิวณิชชา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ จำกัด และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอสถสภา ยันฮี เบเวอเรจ จำกัด และทพญ.สุชาวดี สัมฤทธิวณิชชา กรรมการบริหาร บริษัท ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ จำกัด และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอสถสภา ยันฮี เบเวอเรจ จำกัด

ตลาดน้ำดื่มผสมวิตามินเคยเฟื่องฟูอย่างมากเนื่องจากโควิด-19 เป็นตัวแปรสำคัญทำให้คนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพ จึงนิยมทานอาหารเสริมที่มีสรรพคุณช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ยังผลให้น้ำดื่มผสมวิตามินยอดขายพุ่งจนสารพัดแบรนด์ต่างเข้ามาขอชิงเค้ก

ปัจจุบันน้ำดื่มผสมวิตามินที่ถือว่าเป็นผู้นำในตลาด ได้แก่ วิตอะเดย์ ของเจเนอรัล เบฟเวอเรจ, ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ ของโรงพยาบาลยันฮี, บลู ของเซปเป้, น้ำด่าง 8.5 ของอิชิตัน และยังมีอีกหลายแบรนด์ที่กำลังพยายามตีตลาดเหมือนกัน เช่น อควาวิตซ์ ของศรีนานาพร, แมนซั่ม ของกลุ่มทีซีพี, น้ำดื่มวิตามินของโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ เป็นต้น

 

จับมือ “โอสถสภา” ออกผลิตภัณฑ์เพิ่ม

สำหรับผลิตภัณฑ์ “ยันฮี แคลเซียม วอเตอร์” ถือเป็นผลิตภัณฑ์ลำดับที่สองที่อยู่ภายใต้ บริษัท โอสถสภา ยันฮี เบเวอเรจ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บมจ.โอสถสภา (ถือหุ้น 55%) และ บริษัท ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ จำกัด (ถือหุ้น 45%) ก่อตั้งเมื่อปี 2565

นพ.สุพจน์กล่าวว่ากระบวนการทำงานร่วมกันของยันฮีกับโอสถสภา คือทางยันฮีจะคิดค้นวิจัยผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ด้านสุขภาพประชาชน จากนั้นนำเสนอกับทางโอสถสภา หากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทับซ้อนกับที่โอสถสภามีการผลิตจำหน่ายอยู่แล้ว และมองเห็นลู่ทางการตลาดร่วมกัน ก็จะนำมาผลิตจำหน่ายภายใต้บริษัทร่วมทุนนี้

เหตุผลที่ทางยันฮีสนใจร่วมทุนกับโอสถสภา เนื่องจากเป็นบริษัทที่สนใจด้านเครื่องดื่มสุขภาพเช่นเดียวกัน และโอสถสภามีเครือข่ายการกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งทั่วประเทศ

ยันฮี วิตามิน วอเตอร์
ผลิตภัณฑ์ของยันฮี วิตามิน วอเตอร์

โดยผลิตภัณฑ์แรกที่อยู่ภายใต้บริษัทนี้คือ น้ำกัญชายันฮี ปัจจุบันชะลอการผลิตออกไปก่อน หลังจากกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกัญชาและกระแสสังคมดูยังไม่แน่นอน ส่วนยันฮี แคลเซียม วอเตอร์เป็นผลิตภัณฑ์ที่สอง และในปีนี้จะมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ลำดับที่สามภายใต้บริษัทร่วมทุน

ส่วนผลิตภัณฑ์ที่ยันฮีผลิตและจำหน่ายเองก็ยังคงมีอยู่เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ยันฮี วิตามิน บี วอเตอร์ และ ยันฮี วิตามิน ซี วอเตอร์ รวมถึงในเดือนกันยายนนี้จะมีโปรดักส์ใหม่ที่ยันฮีผลิตและจำหน่ายเอง คือ เครื่องดื่มผสมแอลคาร์นิทีน ช่วยในการสลายไขมัน

ยันฮีระบุว่า โรงงานผลิตของบริษัทมีกำลังผลิตสูงถึง 300 ล้านขวดต่อปี ทำให้กำลังผลิตของบริษัทยังคงมีเพียงพอในการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ได้อีกมากจากนี้

]]>
1439861
โอสถสภา ขายหุ้นยูนิชาร์มประเทศไทย รับเงิน 3,000 ล้านบาท หลังปรับกลยุทธ์เน้นขยายธุรกิจหลัก https://positioningmag.com/1432832 Thu, 01 Jun 2023 16:55:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1432832 โอสถสภา ได้ขายหุ้นของ บริษัท ยูนิชาร์ม (ประเทศไทย) จำกัด ที่ถืออยู่ โดยได้เงินจำนวนทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท หลังจากที่บริษัทได้ปรับโครงสร้างที่เน้นไปยังการขยายกลุ่มธุรกิจหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล

บมจ. โอสถสภา (OSP) ได้แจ้งกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า บริษัทฯ ได้ลงนามในตราสารการโอนหุ้นเพื่อจำหน่ายหุ้นของ บริษัท ยูนิชาร์ม (ประเทศไทย) จำกัด (ยูนิชารม์) ที่โอสถสภาถืออยู่ทั้งหมดจำนวน 420,500 หุ้น หรือคิดเป็น 5.85% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดในยูนิชาร์ม ให้แก่บริษัท ยูนิชาร์ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ผู้ซื้อ) เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท ซึ่งประเมินราคาโดยที่ปรึกษาทางการเงินแล้ว

การจำหน่ายหุ้นของยูนิชาร์มดังกล่าวเป็นไปตามยุทธศาสตร์การบริหารจัดการการลงทุนของกลุ่มโอสถสภา ที่มุ่งเน้นการขยายกลุ่มธุรกิจหลัก ทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล ตลอดจนกลุ่มธุรกิจที่สามารถใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบทางการแข่งขัน

ก่อนหน้านี้ทางโอสถสภา ได้เคยขายธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก เช่น การขายเอเจนซี่โฆษณา FCB BANGKOK ให้ YDM Thailand มาแล้วในปี 2019 และยังรวมถึงการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่โดยเลิกสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของยูนิชาร์ม ก่อนที่จะมีการขายหุ้นในท้ายที่สุด

โดยการจำหน่ายหุ้นของยูนิชาร์มในครั้งนี้ ส่งผลให้โอสถสภาได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างเหมาะสมและคุ้มค่า ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนให้แก่โอสถสภาและผู้ถือหุ้นได้อย่างยั่งยืนต่อไป

]]>
1432832
“วรรณิภา ภักดีบุตร” ขึ้นแท่น CEO คนใหม่ “โอสถสภา” เปลี่ยนผ่านสู่ยุคมืออาชีพเต็มตัว https://positioningmag.com/1337463 Thu, 17 Jun 2021 06:56:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1337463 “โอสถสภา” จัดทัพองค์กรใหม่ แต่งตั้ง “วรรณิภา ภักดีบุตร” กรรมการผู้จัดการใหญ่ ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็น CEO ก้าวสู่การบริหารงานแบบมืออาชีพเต็มตัว

สุรินทร์ โอสถานุเคราะห์ ประธานกรรมการ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2564 ได้มีมติเห็นชอบให้เสนอชื่อเพิ่มกรรมการอิสระจำนวน 2 ท่าน ประกอบด้วย จรัมพร โชติกเสถียร และ พลเอกสุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ซึ่งเป็นผู้มีคุณวุฒิ และประสบการณ์ เป็นที่รู้จักและยอมรับ เข้าร่วมเป็นกรรมการบริษัท เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง และร่วมกำหนดวิสัยทัศน์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของบริษัทในปัจจุบัน และในอนาคต

ทำให้คณะกรรมการบริษัท เพิ่มจาก 15 ท่านเป็น 17 ท่าน โดยบริษัทจะจัดประชุม E-EGM นำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติ ในวันที่ 5 สิงหาคม 2564

Photo : Shutterstock

ที่ประชุมยังมีมติให้จัดโครงสร้างการบริหารใหม่ เนื่องจาก “ธนา ไชยประสิทธิ์” รักษาการ CEO จะขึ้นไปดำรงตำแหน่ง รองประธานคณะกรรมการบริหารอาวุโส

จึงได้แต่งตั้ง “วรรณิภา ภักดีบุตร” กรรมการผู้จัดการใหญ่ ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็น Chief Executive Officer (CEO) หรือประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เนื่องจากเป็นผู้บริหารมืออาชีพ ที่มีประสบการณ์ และร่วมขับเคลื่อนทีมบริหารโอสถสภาด้วยความแข็งแกร่งตลอดระยะเวลากว่า 5 ปี พร้อมยกเลิกตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ เพื่อความคล่องตัวในการบริหารงาน

พรธิดา บุญสา Chief Operating Officer และ Group Chief Financial Officer

ได้แต่งตั้ง พรธิดา บุญสา ขึ้นดำรงตำแหน่ง Chief Operating Officer และ Group Chief Financial Officer เพื่อช่วยขับเคลื่อนสายการปฏิบัติการ และดูแลสายงานด้านการเงิน และบัญชีของกลุ่มบริษัทโอสถสภา เนื่องจากเป็นผู้มีประสบการณ์ และคลุกคลีกับทีมปฎิบัติการผลิต และซัพพลายเชนของบริษัทอย่างแข็งแกร่งตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา โดยโครงสร้างการบริหารจัดการใหม่ของบริษัท จะมีผลตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป

สำหรับการเพิ่มกรรมการอิสระและการจัดโครงสร้างใหม่ครั้งนี้ จะทำให้โอสถสภามีความแข็งแกร่ง ด้วยโครงสร้างทั้งในส่วนของคณะกรรมการบริษัท และคณะผู้บริหาร ที่มีความรู้ความสามารถ มีวิสัยทัศน์ ซึ่งจะนำเอาประสบการณ์ความเป็นมืออาชีพมาขับเคลื่อนโอสถสภาให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

]]>
1337463
C-vitt ยังยืนหนึ่ง! Q1/64 “โอสถสภา” กำไรนิวไฮ แม้ตลาดสะดุดจากการระบาดช่วงปีใหม่ https://positioningmag.com/1332160 Fri, 14 May 2021 07:07:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1332160
  • โอสถสภา (OSP) แจ้งผลประกอบการไตรมาส 1/64 ทำรายได้ 6,776 ล้านบาท โต 1.3% YoY และทำกำไรสุทธิ ‘นิวไฮ’ ที่ 1,004 ล้านบาท เติบโต 8.4% YoY
  • กลุ่มฟังก์ชันนอลดริ้งก์และเครื่องดื่มบำรุงกำลัง สภาวะตลาดรวมหดตัวลง ผลจากการระบาดของ COVID-19 ระลอก 2 ที่ต่อเนื่องถึงเดือนมกราคม’64 แต่มาฟื้นตัวดีในช่วงมีนาคม’64
  • สินค้าเด่นของโอสถสภายังเป็น “C-vitt” เติบโตแบบ “ดับเบิล ดิจิต” สวนตลาด และทำให้มีมาร์เก็ตแชร์เพิ่มเป็น 34.9% คงอันดับ 1 ในตลาด มองไตรมาส 2 บุกต่อโดยมีผลิตภัณฑ์ไซส์ใหม่ช่วยดันยอดขายคือ C-vitt Big Pack ขนาด 1 ลิตร ไว้ทานที่บ้าน
  • อย่างไรก็ตาม กลุ่มสินค้า “ของใช้ส่วนบุคคล” ยอดขายหดถึง -18.9% YoY เพราะผู้บริโภคระวังการใช้จ่ายในช่วงการระบาด โดยเฉพาะสินค้าความงามของผู้หญิง
  • ธนา ไชยประสิทธิ์ รักษาการ CEO บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP แจ้งผลประกอบการไตรมาส 1/64 ของบริษัท ทำรายได้ 6,776 ล้านบาท โต 1.3% YoY และทำกำไรสุทธิ ‘นิวไฮ’ ที่ 1,004 ล้านบาท เติบโต 8.4% YoY มาจากนโยบาย Fit Fast Firm ที่ทำให้บริษัทบริหารต้นทุนได้ดีขึ้น

    คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการบริษัทฯ แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุถึงสถานการณ์ตลาดรวมช่วงไตรมาส 1 ได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอก 2 ทำให้ตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง ฟังก์ชันนอลดริ้งก์ และของใช้ส่วนบุคคล ต่างหดตัวในช่วงเดือนมกราคม 2564 แต่กลุ่มเครื่องดื่มเริ่มมาฟื้นตัวดีในเดือนมีนาคม 2564 เหลือเพียงกลุ่มของใช้ส่วนบุคคลที่ยังซึมตัวอยู่

    ธนา ไชยประสิทธิ์ รักษาการ CEO บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP

     

    พระเอกของปี “C-vitt” Q2/64 ออกไซส์ Big Pack ทานที่บ้าน

    ในไตรมาสแรกของปี เครื่องดื่มวิตามินซี C-vitt ยังเป็น “พระเอก” ของโอสถสภา โดยทำรายได้เติบโต “ดับเบิล ดิจิต” สวนทางตลาดที่ซบเซา ทำให้มีมาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้นเป็น 34.9% ในตลาดฟังก์ชันนอลดริ้งก์ และยังครองอันดับ 1 ในตลาด

    การเติบโตของ C-vitt ยังทำให้กลุ่มสินค้าฟังก์ชันนอลดริ้งก์โดยรวมของโอสถสภาเติบโตถึง 16.1% YoY อีกด้วย

    ธนากล่าวว่า ไตรมาส 2/64 บริษัทก็จะยังเสริมจุดแกร่งจุดนี้ โดยการออกผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับพฤติกรรมผู้บริโภคในช่วงการระบาดระลอก 3 โดยเมื่อเดือนเมษายน’64 บริษัทออกผลิตภัณฑ์ไซส์ใหม่ C-viit Big Pack ขนาด 1 ลิตร เหมาะกับการอยู่บ้าน

    C-vitt Big Pack ขนาดใหม่ 1 ลิตร ตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคที่อยู่บ้านมากขึ้น

    ขณะที่ตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลัง “M-150” ยังเป็นเบอร์ 1 ของตลาดเช่นกัน โดยมีส่วนแบ่งตลาด 54.9% พร้อมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มาเสริมยอดขายคือ “M-150 ซ่าส์” เป็นเครื่องดื่มให้พลังงานอัดก๊าซแบบกระป๋อง น้ำตาลน้อย เสริมวิตามิน

    สำหรับรายได้กลุ่มของใช้ส่วนบุคคลของ OSP ทำรายได้ไตรมาสแรก 500 ล้านบาท ลดลง -18.9% YoY เนื่องจากผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายสินค้าฟุ่มเฟือยมาตั้งแต่ช่วงที่มีการระบาด โดยเฉพาะกลุ่มของใช้เสริมความงามของผู้หญิงจะหดตัวมากกว่ากลุ่มของใช้สำหรับเด็ก

     

    จับมือยันฮี พัฒนาเครื่องดื่มผสมกัญชง

    ธนายังกล่าวถึงโมเดลธุรกิจการร่วมมือกับบริษัทอื่นๆ ที่มีมากขึ้นด้วย เช่น การจับมือกับ “ยันฮี” ปัจจุบันโอสถสภาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดจำหน่ายหลักของเครื่องดื่ม ยันฮี วิตามิน บี วอเตอร์ และมีความร่วมมือวางแผนลงทุนร่วมกันพัฒนาเครื่องดื่มผสมสารสกัดจากกัญชง (CBD) ในอนาคต

    ที่ผ่านมา โอสถสภายังมีแคมเปญการตลาดร่วมกับ เครือเอสซีจี โดยออก “M-150 รุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่น” ช่วยส่งเสริมการขายให้ ปูนตราเสือ ด้วยมีกลุ่มเป้าหมายที่ตรงกันคือกลุ่มช่าง ผู้รับเหมา

    ปีนี้น่าจะได้เห็นความเคลื่อนไหวของโอสถสภาในการจับมือพันธมิตรอื่นๆ เพิ่มอีก เพื่อหาโอกาสทางธุรกิจและขยายฐานตลาดต่อไป

    ]]>
    1332160
    “เพชร โอสถานุเคราะห์” ขายหุ้นบิ๊กล็อต “โอสถสภา” 1.2 หมื่นล้าน https://positioningmag.com/1325765 Tue, 30 Mar 2021 15:10:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1325765 โอสถสภาแจ้งการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ โดยกลุ่ม Orizon Limited ขายหุ้น 8% รวมถึง เพชร โอสถานุเคราะห์ ขายหุ้น 4% แจงว่าต้องการนำทุนไปใช้โครงการศิลปะ นิติ โอสถานุเคราะห์ ได้เข้าซื้อหุ้นเพิ่มจำนวน 215 ล้านหุ้น ทำให้มีสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 23.80% 

    บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จากการที่ผู้ถือหุ้น 2 รายในกลุ่ม Orizon ได้แก่ 1. Orizon Limited 2. นายเพชร โอสถานุเคราะห์ ได้เข้าทำรายการจำหน่ายหุ้นสามัญของบริษัทที่ถืออยู่

    • Orizon Limited จำหน่ายหุ้นสามัญจำนวน 261,060,475 หุ้น คิดเป็น 8.69%  ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทฯ
    • นายเพชร โอสถานุเคราะห์ จำหน่ายหุ้นสามัญจำนวน 120,298,525 หุ้น คิดเป็น 4% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทฯ

    เป็นการขายหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นโดยเฉพาะเจาะจง (Private Placement) ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 เพชรให้เหตุผลว่า เนื่องจากมีความสนใจที่จะอุทิศทรัพยากรของตนไปใช้ในโครงการอื่นๆ ซึ่งมุ่งหมายไปที่โครงการด้านศิลปะวัฒนธรรมและการศึกษาให้มากขึ้น เพื่อจะได้ช่วยวางรากฐานของวงการศิลปะ วัฒนธรรม และการศึกษาของประเทศชาติให้มีความเจริญก้าวหน้า ซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการสนับสนุน

    การจำหน่ายหุ้นสามัญดังกล่าวส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นกลุ่ม Orizon เมื่อนับรวมกันแล้วลดลงจากประมาณ 27.75% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทฯ มาอยู่ที่ประมาณ 15.06% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทฯ

    นอกจากนี้ “นิติ โอสถานุเคราะห์” ได้ซื้อหุ้นของบริษัทฯ เพิ่มเติมจำนวน 215,000,000 หุ้น  ทำให้มีสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 23.80%

    ]]>
    1325765
    เขย่าผังครั้งใหญ่! “เพชร โอสถานุเคราะห์” ประกาศลาออกจาก “โอสถสภา” เหตุผลสุขภาพ https://positioningmag.com/1289053 Wed, 22 Jul 2020 10:50:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1289053 เข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ เมื่อ “เพชร โอสถานุเคราะห์” ประกาศลาออกจากประธานคณะกรรมการบริหาร และ CEO เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพ คณะกรรมการบริษัทจึงมีมติให้มีการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการใหม่เพื่อเสริมศักยภาพทางธุรกิจ ให้เกิดความคล่องตัวและประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
    ซึ่งในการปรับโครงสร้างดังกล่าว เพชร โอสถานุเคราะห์ จะขึ้นมาดำรงตำแหน่ง รองประธานกรรมการ พร้อมกันนี้ได้มอบหมายให้ กรรณิกา ชลิตอาภรณ์ ผู้บริหารที่มีประสบความสำเร็จในวงการธุรกิจที่ผ่านงานกับบริษัทไทย และบริษัทข้ามชาติกว่า 40 ปีมาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหาร

    สำหรับตำแหน่ง CEO ได้แต่งตั้งให้ ธนา ไชยประสิทธิ์ หนึ่งในผู้บริหารรุ่นที่สี่ ของตระกูลโอสถานุเคราะห์ ขึ้นเป็นรักษาการ CEO ทั้งนี้คุณธนาเป็นคณะกรรมการบริหารร่วมงานกับโอสถสภามานานกว่า 30 ปีเป็นผู้บริหารที่มีประสบการณ์ครอบคลุมในทุกธุรกิจของบริษัท เป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์และใกล้ชิดกับพนักงานทุกระดับ

    นอกจากนี้ยังแต่งตั้งให้ ธัชรินทร์ โอสถานุเคราะห์ ขึ้นมาเป็นรองประธานคณะกรรมการบริหารร่วมกับคณะกรรมการในชุดนี้ด้วย และ สลิล ปิ่นขยัน เป็นประธานคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง

    สำหรับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ วรรณิภา ภักดีบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.โอสถสภา ยังคงนำทีมผู้บริหารมืออาชีพชุดเดิมซึ่งเป็นทีมที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญจากหลากหลายด้านจากธุรกิจทั้งในและต่างประเทศซึ่งได้ร่วมงานกับโอสถสภามากว่า 3 ปี

    ธนา ไชยประสิทธิ์ รักษาการ CEO เผยว่า

    “ตนรู้สึกขอบคุณคณะกรรมการบริษัททุกท่านที่ได้มอบความไว้วางใจนี้ให้ ตนจะมุ่งมั่นทุ่มเททำงานอย่างสุดความสามารถเพื่อให้โอสถสภาซึ่งเป็นบริษัทของคนไทยที่มีอายุกว่า 129 ปีให้เติบโตแข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไป”

    สำหรับการดำเนินงาน โอสถสภาโชว์ผลงานในไตรมาสแรกมีกำไรสุทธิที่ 926 ล้านบาท เติบโต 4.2% จากเครื่องดื่มเอ็ม-150 เครื่องดื่มผสมวิตามินซี ซีวิท และผลิตภัณฑ์เบบี้มายด์ ช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่าน ในเดือนมิถุนายน บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดจากกลุ่มเครื่องดื่มให้พลังงานสูงสุดในรอบ 3 ปีที่ 55.6%

    และในไตรมาส 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริ้งก์ยังทำสถิติส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดตลอดกาลที่ 38.6% โดยเครื่องดื่มวิตามิน ซี ภายใต้แบรนด์ C-Vitt สามารถทำยอดขายทะลุ 99 ล้านขวด จากการที่บริษัทสามารถขยายกำลังการผลิตได้เร็วกว่าแผนที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ บริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์เจลแอลกอฮอล์ทำความสะอาดภายใต้แบรนด์ Babimild Healthi Plus ที่ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี

    สำหรับแผนงานในครึ่งปีหลัง โอสถสภาเดินหน้าพร้อมเปิดโรงงานเครื่องดื่มที่นิคมอุตสาหกรรมทิลาวา ประเทศเมียนมา และมีแผนขยายช่องทางการจัดจำหน่ายและกระจายเครื่องดื่มซีวิททั้งในประเทศและต่างประเทศในแถบภูมิภาคอีกด้วย นอกจากนี้ Slimma เครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริ้งก์ใหม่ของโอสถสภาได้สร้างปรากฏการณ์ยอดขายเครื่องดื่มติด Top 5 ของกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มในช่องทางออนไลน์ผ่าน Lazada และเตรียมขยายสู่ช่องทางการจัดจำหน่ายในช่องทางอื่นเร็วๆ นี้ ซึ่งจากแผนงานดังกล่าวโอสถสภามีความมั่นใจว่า ธุรกิจของโอสถสภาในครึ่งปีหลังจะเติบโตสอดคล้องตามเป้าหมายที่วางไว้

    ]]>
    1289053
    “โอสถสภา” รายได้โต 5% สวนเศรษฐกิจ “C-vitt” ยอดขายพุ่ง อานิสงส์คนดื่มวิตามินซีต้านไวรัส https://positioningmag.com/1278185 Tue, 12 May 2020 15:15:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1278185
  • โอสถสภา (OSP) รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/63 รายได้รวม 6.7 พันล้านบาท เติบโต 5% กำไรสุทธิ 926 ล้านบาท เติบโต 4.2% สวนทางเศรษฐกิจไทยท่ามกลาง COVID-19
  • อานิสงส์กระแสตลาดฟังก์ชันนอลดริ้งก์ สร้างยอดขายเครื่องดื่ม “C-vitt” เติบโต 5.8% ด้านเครื่องดื่มบำรุงกำลัง “M-150” ครองมาร์เก็ตแชร์เพิ่มอีก 1.1% 
  • จับโอกาสทำตลาดเจลล้างมือ แอลกอฮอล์ เสริมรายได้กลุ่มของใช้ส่วนตัว
  • บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/63 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แจ้งรายได้รวมอยู่ที่ 6.7 พันล้านบาท เติบโต 5% และกำไรสุทธิ 926 ล้านบาท เติบโต 4.2% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

    โดยบริษัทแจกแจงการเติบโตพบว่า ธุรกิจกลุ่มที่มียอดขายเพิ่มขึ้นคือ “กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม” ทำรายได้ 5.6 พันล้านบาท โต 5.7% มีไฮไลต์ผลิตภัณฑ์ชูโรง ดังนี้

    • M-150 มีส่วนแบ่งตลาด 38.3% (เพิ่มขึ้น 1.1% YoY) มาจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ M-150 กระชายดำ
    • ผลิตภัณฑ์ “C-vitt” ของบริษัทเติบโต 5.8% (ครองส่วนแบ่งตลาด 31.3% เป็นอันดับ 1) โดยได้อานิสงส์จากการเติบโตของตลาดนี้ในไตรมาสที่ผ่านมาที่สูงถึง 16.1%
    ปรับตัวเร็ว : ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เจลล้างมือเบบี้มายด์ รับสถานการณ์ COVID-19

    ด้าน “กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล” ทำรายได้ 617 ล้านบาท หดตัวลง -4.8% ส่วนใหญ่เกิดจากดีมานด์ในต่างประเทศลดลง อย่างไรก็ตาม สำหรับตลาดภายในประเทศพบว่าผู้บริโภคใส่ใจความสะอาดมากขึ้นหลังเกิดไวรัส COVID-19 ระบาดช่วงเดือนมีนาคม ทำให้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดของโอสถสภา เช่น เบบี้มายด์ มียอดขายเพิ่มขึ้นในไทย รวมถึงบริษัทมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ทันต่อความต้องการของผู้บริโภค เช่น สเปรย์แอลกอฮอล์ เจลล้างมือแอลกอฮอล์ ภายใต้แบรนด์ โอเล่ และ เบบี้มายด์

    ก่อนหน้านี้บริษัทเอเจนซี่ คันทาร์ อินไซต์ ประเทศไทย ประเมินว่าผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องดื่มทั้งที่มีและไม่มีแอลกอฮอล์จะได้รับผลกระทบบ้าง เนื่องจากการปิดสถานที่ต่างๆ ในประเทศ อย่างไรก็ตาม หากเป็นกลุ่ม “เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ” กลับจะได้ผลเชิงบวก เพราะผู้บริโภคต้องการเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย (อ่านเพิ่มเติม : อานิสงส์ COVID-19 สินค้าเหล่านี้อาจขายดีกันไปยาวๆ แม้หมดโรคระบาด)

    Source

    ]]>
    1278185
    ลิโพ ปรับโฉมใหม่เน้นญี่ปุ่น เจาะนักศึกษา-ออฟฟิศ เล็งขายเครื่องดื่มชูกำลังเพื่อผู้หญิง https://positioningmag.com/1264494 Fri, 14 Feb 2020 13:30:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1264494 “ลิโพ” เป็นเเบรนด์ที่คนไทยรู้จักกันดี ด้วยการเจ้าเเรกที่เข้ามาบุกเบิกเครื่องดื่มชูกำลังในไทยจนถึงวันนี้ก็เข้าสู่ปีที่ 55

    ย้อนกลับไปเมื่อปี 2505 “ไทโช ฟาร์มาซูติคอล” ได้เปิดตัวลิโพที่ประเทศญี่ปุ่น จากนั้นในปี 2508 ได้ขยายตลาดมายังประเทศไทย ด้วยความร่วมมือกับ “โอสถสภา”

    เเม้เเบรนด์ที่อยู่มานานจะเเข็งเเกร่ง เเต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเเข่งขันในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังที่ดุเดือด เเละมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 23,000 ล้าน ลิโพจึงต้องขยับก้าวใหม่ ชูจุดเด่น “ความพรีเมียม” เพื่อขยายไปยังกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นพนักงานออฟฟิศ นักศึกษาเเละนักกีฬามากขึ้น

    ลิโพจึงหนีตลาดเเมสเครื่องดื่มชูกำลังที่ขายกันที่ 10 บาทต่อขวด ปรับภาพลักษณ์เเล้วขายที่ราคา 12 บาทต่อขวด มาเป็นเวลานานกว่า 20 ปีแล้ว เเสดงว่าการยืนหยัดเจาะลูกค้าเฉพาะกลุ่มนั้น “ได้ผล” ด้วยยอดขายราว 300 ล้านขวดต่อปี

    “ไทยเป็นตลาดที่ประสบความสำเร็จของลิโพ” ยูคิโอะ ซาวาดะ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท โอสถสภา ไทโช ฟาร์มาซูติคอล จำกัด กล่าว

    เล็งโอกาสเครื่องดื่มชูกำลังสำหรับ “ผู้หญิง” ในไทย

    ซาวาดะมองว่า เทรนด์ผู้บริโภคที่กำลังให้ความสำคัญกับสุขภาพเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างมาก เเละผู้บริโภคเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศไทยก็ให้ความใส่ใจเครื่องดื่มชูกำลังที่มีประโยชน์

    “ตอนนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เป็นเครื่องดื่มบำรุงกำลังสำหรับผู้หญิง เนื่องจากสัดส่วนประชากรในไทยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงเเละมีกำลังซื้อสูง จึงเป็นโอกาสที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ผู้หญิง จากเดิมที่ลูกค้าจะเป็นผู้ชายเป็นหลัก”

    ทั้งนี้ ปัจจัยการตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องดื่มชูกำลังของผู้บริโภคในไทย มี 3 ด้านได้แก่ 1) แบรนด์ 2) ความสะดวก เเละ 3) รสชาติ โดยในญี่ปุ่น ลิโพมีชนิดสินค้าอยู่ราว 20 SKU ส่วนไทยมี 2 SKU มาเลเซียที่ 2-3 SKU เวียดนาม 1 SKU และสหรัฐอเมริกามี 5 SKU

    ในญี่ปุ่นลิโพมีผลิตภัณฑ์ที่เจาะกลุ่ม “ผู้หญิงเเละเด็ก” ด้วย

    เเม้ลิโพจะเป็นเเบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังรายเเรกของไทย เเต่ปัจจุบันที่มีเเบรนด์เล็กแบรนด์ใหญ่เข้ามาทำตลาด ทำให้ลิโพมีส่วนเเบ่งการตลาดอยู่ในลำดับที่ 4-5 นั้น ผู้บริหารไทโชบอกว่า “ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ” เพราะลิโพยังต้องการขยายตลาดในประเทศไทยต่อเนื่อง โดยจะเน้นไปที่การให้ความรีเมียมกับผู้บริโภค ไม่ลงไปแข่งขันในตลาดเเมสเเละมีเป้าหมายหลักคือกลุ่มคนเมือง

    “ยึดมั่นในการใช้วัตถุดิบคุณภาพจากญี่ปุ่น เจาะตลาดนีชมาร์เก็ต นี่คือเป้าหมายของเเบรนด์ลิโพ” ซาวาดะกล่าว

    ยูคิโอะ ซาวาดะ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท โอสถสภา ไทโช ฟาร์มาซูติคอล จำกัด

    ยึดตลาดพรีเมียม คนเมือง พนักงานออฟฟิศ

    ด้าน วรรณิภา ภักดีบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) เผยว่า ในปี 2563 ภาพลักษณ์ของเครื่องดื่มบำรุงกำลังในไทยมีความพรีเมียมมากขึ้นต่างจากในอดีต การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลถึงการวางแบรนด์ให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคอย่าง กลุ่มนักศึกษา พนักงานออฟฟิศ และนักกีฬา โดยบริษัทจะใช้ความได้เปรียบด้วยความที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบหลักพรีเมียมที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น

    ประวาล โรจนพฤกษ์ ผู้อำนวยการการตลาดผลิตภัณฑ์ลิโพ กล่าวว่า การที่เเบรนด์ต่างๆ เปิดตัวเครื่องดื่มชูกำลังเข้าสู่ตลาดอย่างหลากหลาย ทำให้ผู้บริโภคมากขึ้นเป็นเเนวโน้มที่ดีของตลาดภาพรวม เเม้ว่าช่วงนี้ตลาดจะทรงตัว เเต่สำหรับโอสถสภาเเล้วถือว่าเป็นตัวหลักที่ต้องทำตลาดต่อเนื่อง โดยเฉพาะการพัฒนาสินค้าใหม่ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ รักษาฐานลูกค้าเดิมเเละเพิ่มลูกค้าใหม่ ซึ่งการมีทั้งเเบรนด์ M150 ฉลาม ลิโพ เเละโสมอินซัม ทำให้โอสถสภายังคงเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มชูกำลังต่อไป

    “ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังเเบ่งเป็นตลาดเเมส 80% เเละตลาดพรีเมียม 20% สำหรับกลุ่มลูกค้าใหญ่ของลิโพจะเป็นพนักงานที่อยู่ในเมือง เเต่ก็มีการกระจายสินค้าไปทั่วประเทศ ขายดีที่สุดในภาคกลาง โดยมีช่องทางการขายเป็นเเบบร้านดั้งเดิม 75% เเละโมเดิร์นเทรด 25%”

    รีเเพ็กเกจจิ้งใหม่ ชูจุดเด่นความเป็นญี่ปุ่น

    ในโอกาสครบรอบ 55 ปี ของแบรนด์ ลิโพ ในประเทศไทย ได้เปิดตัวแคมเปญ “ลิโพ 55 ปีแห่งการส่งต่อ” พร้อมการปรับโฉมแพ็กเกจจิ้งใหม่ด้วยการเพิ่มฉลากภาษาญี่ปุ่นและเน้นไอคอน “ทอรีน 1,000 มก.” รวมถึงได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ซึ่งจะออกกาศในวันที่ 16 ก.พ. เป็นครั้งแรก

    โดยโฆษณาชุดใหม่นี้ เน้นสื่อถึงความเป็นเครื่องดื่มพรีเมียมที่มาจากวัฒนธรรมญี่ปุ่นของลิโพให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ด้วย 3 คาแร็กเตอร์ญี่ปุ่น ได้แก่ ‘ซูโม่’ สื่อถึงความแข็งแรง ‘นินจา’ สื่อถึงความกระฉับกระเฉงว่องไว และ ‘ซามูไร’ สื่อถึงดวงตาที่เฉียบคม จากการช่วยบำรุงสายตา

    ]]>
    1264494
    ต่อจิ๊กซอว์ธุรกิจ “โอสถสภา” ทุ่ม 25.5 ล้าน ถือหุ้น 51% ของบริษัททำธุรกิจ “เครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ” https://positioningmag.com/1242001 Mon, 12 Aug 2019 00:19:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1242001 การทำสินค้ามาจำหน่ายแม้จะทำออกมาดีแค่ไหน แต่ถ้าช่องทางการจำหน่ายไม่ครอบคลุมพฤติกรรมของบริโภคก็เท่านั้น ข้อนี้นั้นโอสถสภารู้เป็นอย่างดี ล่าสุดจึงเข้าถือหุ้นในบริษัทที่ทำธุรกิจเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ นับเป็นอีกหนึ่งดีลที่เข้ามาต่อจิ๊กซอว์ของการทำธุรกิจ

    โอสถสภาได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า ได้ให้บริษัท โอสถสภา เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัดซึ่งเป็นบริษัทย่อย เข้าลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นของบริษัท เอเชีย เวนดิ้ง แมชชีน โอเปอร์เรชั่น จำกัดซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งในประเทศไทยและประกอบกิจการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม อาหาร และสินค้าอื่นๆ ผ่านเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine) จากบริษัท ฟูจิ ฟูรุกาว่า อี แอนด์ ซี (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ฟูจิ อิเลคทริค (ประเทศไทย) จำกัด

    ภายใต้สัญญาซื้อขายหุ้นข้างต้นมีการตกลงขายหุ้นรวมกันเป็นจำนวน 255,000 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 51% ในราคาหุ้นละ 100 บาท รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 25,500,000 บาท

    ทั้งนี้โอสถสภาได้ระบุในเอกสารอย่างชัดเจนว่าการเข้าซื้อกิจการดังกล่าวเป็นไปตามแผนการซึ่งจะสามารถเพิ่มช่องทางการขายผลิตภัณฑ์ผ่านทางเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ

    ]]>
    1242001