ไต้หวัน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 08 Nov 2024 14:30:43 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 กระแส AI บูม “ไต้หวัน” รับอานิสงส์ ส่งชิปออกเพิ่มขึ้น 22% ทำนิวไฮ 5.6 ล้านล้านบาท https://positioningmag.com/1498150 Fri, 08 Nov 2024 10:23:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1498150 ปัจจุบัน เซมิคอนดักเตอร์ (สารกึ่งตัวนำที่มีคุณสมบัติในการนำไฟฟ้า หรือ ชิป) เป็นส่วนประกอบ ที่ตั้งแต่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไปจนถึงกังหันลมรวมถึงขีปนาวุธต่างก็ขาดไม่ได้ และยังเป็นอุตสาหกรรมสำคัญที่ช่วยผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจในหลายประเทศ 

ซึ่ง “ไต้หวัน” ได้กลายเป็นมหาอํานาจระดับโลกเพราะผลิตชิปส่งออกไปทั่วโลก โดยมีการรายงานว่า มูลค่าผลผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันคาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้น 22% ในปีนี้ คิดเป็นมากกว่า 5.3 ล้านล้านดอลลาร์ไต้หวัน หรือประมาณ 5.6 ล้านล้านบาท หลังจากที่ผลผลิตลดลง 10.2% เหลือ 4.3 ล้านล้านดอลลาร์ไต้หวัน (4.5 ล้านล้านบาท) ในปี 2566 เนื่องจากความต้องการด้านคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนของผู้บริโภคซบเซาลง

Cliff Hou (侯永清) ประธานสมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ไต้หวัน และรองประธานอาวุโสของ Taiwan Semiconductor Manufacturing Co (TSMC, 台積電) บริษัทผลิตชิปยักษ์ใหญ่ของไต้หวันที่ครองตลาดผลิตชิปมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลกและมี Apple Inc และ Nvidia Corp เป็นพันธมิตรหลัก แสดงความเห็นว่า 

ปัจจุบันเศรษฐกิจหลายๆ ประเทศรวมถึงไต้หวันมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จากการเพิ่มขึ้นของเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนโดย AI ซึ่งไต้หวันควรเร่งการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อรักษาตำแหน่งผู้ผลิตและส่งออกชิปที่อุตสาหกรรมทั่วโลกขาดไม่ได้ 

โดยคําพูดของ Cliff Hou เกิดขึ้นหลังจากที่ Donald Trump คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดย Donald Trump เคยกล่าวในตอนหนึ่งของการให้สัมภาษณ์ในรายการพอดแคสต์ว่า ไต้หวันได้ครองส่วนแบ่งของอุตสาหกรรมชิปของสหรัฐฯ ไปกว่า 95% ทําให้ Cliff Hou เกิดความกังวลว่า ไต้หวันอาจโดนภาษีส่งออกชิปที่สูงขึ้น เนื่องจาก Donald Trump อาจผลักดันนโยบายคุ้มครองการค้าขึ้นใหม่

ทั้งนี้ ไต้หวันยังไม่ได้รับการแจ้งเตือนการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกี่ยวกับภาษีใหม่ที่เกี่ยวกับด้านเซมิคอนดักเตอร์จากสหรัฐฯ

ที่มา : Nikkei 

]]>
1498150
เกาหลีใต้-ญี่ปุ่น-ไต้หวัน แข่งกันเปย์หนัก! หวังดึงแรงงานต่างชาติฝีมือดีเข้าทำงานในประเทศ https://positioningmag.com/1493971 Thu, 10 Oct 2024 13:28:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1493971 เกาหลีใต้ ประกาศเสนอค่าจ้างที่สูงขึ้นกว่าญี่ปุ่นและไต้หวัน สําหรับแรงงานต่างชาติที่มีทักษะเพื่อดึงดูดแรงงานต่างชาติเข้ามาทำงานในภาคส่วนต่างๆ ของประเทศมากขึ้น โดยมุ่งหวังในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานและเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

รัฐบาลเกาหลีใต้จึงได้ขยายระบบใบอนุญาตการจ้างงานสําหรับแรงงานต่างชาติที่มีทักษะต่ำด้วย ซึ่งวงเงินรายปีเพิ่มขึ้นจาก 50,000 วอนในปี 2021 เป็น 165,000 วอนในปี 2024 โปรแกรมนี้รวมถึงคนงานในร้านอาหาร การบริการ และอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา นอกจากนั้นรัฐบาลฯวางแผนรับสมัครแรงงานป่าไม้เพิ่ม เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงานในพื้นที่ชนบทและภูเขา โดยตั้งเป้าที่จะรับคนงานป่าไม้มากถึง 1,000 คนต่อปี 

นอกจากนั้นในอุตสาหกรรมการต่อเรือของเกาหลีใต้ต้องเผชิญกับการขาดแคลนแรงงานเช่นกัน โดยมีการประมาณการตัวเลขออกมาว่า ในปี 2023 อู่ต่อเรือมีการขาดดุลคนงาน 14,000 คน เนื่องจากหลายคนย้ายไปที่ภาคเซมิคอนดักเตอร์และยานยนต์ ทำให้เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เกาหลีใต้ได้เปิดศูนย์ฝึกอบรมแห่งใหม่สําหรับอุตสาหกรรมการต่อเรือที่อินโดนีเซีย โดยผู้เข้ารับการฝึกอบรมก็ได้รับการสอนเกี่ยวกับทักษะการเชื่อม ความปลอดภัย ภาษาเกาหลี และการผ่อนคลายข้อจํากัดด้านวีซ่า เพื่อเตรียมความพร้อมให้แรงงานฯพร้อมสําหรับการทํางานให้กับผู้สร้างเรือของเกาหลีใต้ทันทีเมื่อมาถึง 

นายกรัฐมนตรี Han Duck-soo กล่าวว่า รัฐบาลฯคาดการณ์ว่า เกาหลีใต้จะมีประชากรเป็นชาวต่างชาติซึ่งคิดเป็น 5.7% ของประชากรในประเทศภายในปี 2042 และเน้นย้ำถึงความจําเป็นในการสร้างสมดุลระหว่างโอกาสในการทํางานสําหรับพลเมืองเกาหลี กับการจ้างแรงงานต่างชาติที่ยังต้องคิดอย่างถี่ถ้วน

ทั้งนี้มีรายงานว่า ประชากรของเกาหลีใต้จะมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบสามปี โดยสูงถึง 51.77 ล้านคนในปี 2023 แต่การเพิ่มขึ้นนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของชาวต่างชาติ 10.4% รวมเป็น 1.93 ล้านคน ทำให้การไหลเข้าของแรงงานต่างชาติได้สร้างความท้าทายบางอย่าง อาทิ นอกจากนี้ อัตราการว่างงานของประเทศยังคงสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่คนงานที่อายุน้อยกว่า สถานการณ์นี้ยังคงมีอยู่แม้จะขาดแคลนแรงงานในบางภาคส่วนก็ตาม

ที่มา : The Rio Times 

]]>
1493971
แผนรับมือกรณีจีนบุกไต้หวัน! ซีอีโอ “Nvidia” ประกาศพร้อมย้ายไปผลิต “ชิป” ที่ประเทศอื่น https://positioningmag.com/1490442 Wed, 18 Sep 2024 02:19:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1490442 ซีอีโอ “Nvidia” แย้มแนวคิดรับมือหาก “จีน” ตัดสินใจบุก “ไต้หวัน” บริษัทจะเลือกย้ายฐานผลิต “ชิป” GPUs ไปผลิตกับบริษัทอื่นที่ประเทศอื่นแทน แม้ยอมรับว่าประสิทธิภาพจะไม่ดีเท่ากับ TSMC

ระหว่างการประชุม Communacopia & Technology Conference ที่จัดโดย Goldman Sachs เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2024 “Jensen Huang” ซีอีโอของ Nvidia ตอบคำถามที่ถูกถามบนเวทีเกี่ยวกับการพึ่งพิงบริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) ให้เป็นผู้ผลิตชิป GPUs ของ Nvidia ท่ามกลางภัยคุกคามที่ประเทศจีนอาจจะเดินทัพบุกไต้หวันได้ในอนาคต

Huang ตอบว่า “ถ้าหาก TSMC ตกอยู่ในอันตราย การผลิตซัพพลายของเราจะยังมีต่อเนื่อง แม้ว่าจะไม่ดีเท่าการผลิตกับ TSMC ก็ตาม”

ซีอีโอ Nvidia บอกด้วยว่า บริษัทของเขาเป็นเจ้าของ “ทรัพย์สินทางปัญญา” เพียงพอที่จะย้ายการผลิตจากโรงงานหนึ่งไปอีกโรงงานได้ หากมีความจำเป็น “เรามีความสามารถพอที่จะทำได้” Huang กล่าว แต่เตือนด้วยว่าเทคโนโลยีในการผลิตและผลผลิตที่ออกมาอาจจะไม่ดีเทียบเท่ากับ TSMC “แต่เราก็ยังจะผลิตซัพพลายออกมาได้อยู่”

“หากว่ามีอะไรก็ตามเกิดขึ้นจริงๆ” ซีอีโอ Nvidia กล่าวต่อ “เราควรจะสามารถดึงไปผลิตชิป (fab) ในโรงงานอื่นได้” แม้ว่า TSMC จะเป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ดีที่สุดในโลกหากอ้างอิงจากตัวชี้วัดเรื่อง “อัตรากำไรที่เหลือเชื่อ”

Lin Wei-chih รองประธานบริหาร Witology Markettrend Research Institute กล่าวกับสำนักข่าว China Times ว่า ปัจจุบันโรงผลิตชิปในขั้นเวเฟอร์นั้น ไม่มีใครสามารถแทนที่เทคโนโลยีของ TSMC ได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับกลุ่มบริษัทออกแบบชิปอย่าง Nvidia หรือ AMD เองก็ไม่ได้ต้องการจะพึ่งพิงการผลิตไว้ที่บริษัทเดียวเช่นกัน

Lin บอกว่า หากบริษัทออกแบบชิปต้องการจะกระจายการผลิตให้หลากหลาย ตัวเลือกในระดับต่อมาที่พวกเขามักจะเลือกคือ Samsung (เกาหลี) ตามด้วย Intel (สหรัฐฯ)

เขายังวิเคราะห์ด้วยว่า แม้ Samsung และ Intel จะยังเทียบกับ TSMC ไม่ได้ในแง่อัตราการทำกำไรเพราะกระบวนการผลิตยังไม่ขั้นสูงเท่า แต่ถ้ามีการสั่งผลิตเป็นจำนวนมากก็จะได้การประหยัดต่อขนาดที่ช่วยถัวเฉลี่ยได้บ้าง แต่หลังจากนั้นยังมีขั้นตอนการตัดแบ่งชิ้นชิปอีก ซึ่งอาจจะทำให้ต้นทุนสูงกว่าเดิมเมื่อเปลี่ยนโรงงานผลิต

เมื่อเทียบกันแล้วเขามองว่าการกระจายคำสั่งผลิตในขั้นตอนการทดสอบชิปและบรรจุชิปลงอุปกรณ์นั้นยังทำได้ง่ายกว่า โดยมีบริษัทอย่าง Amkor Technology ที่อาจจะเห็นโอกาสในการมารับช่วงงานในขั้นตอนนี้ หรือ TSMC เองอาจจะเลือกหาเอาต์ซอร์สมาทำงานในขั้นตอนนี้ก็ได้

Source

]]>
1490442
รู้จัก “Departure” แบรนด์น้องใหม่เบื้องหลัง “กระเป๋าเดินทาง” ลายธงชาติของ “Team Thailand” https://positioningmag.com/1488114 Fri, 30 Aug 2024 08:53:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1488114 หลายคนน่าจะเคยผ่านตา “กระเป๋าเดินทาง” ลายธงชาติที่เหล่านักกีฬาและบุคลากรทีมชาติไทยใช้เพื่อไปทำการแข่งขัน “โอลิมปิก 2024” กระเป๋าเหล่านั้นเป็นคอลเล็กชันพิเศษที่ “Departure” ออกแบบให้นักกีฬาภายใต้แคมเปญ “Team Thailand” และถือเป็นแคมเปญใหญ่ครั้งแรกเพื่อเปิดตัวแบรนด์เข้าสู่ประเทศไทย

“ตอนนี้ถ้ามีคนไทย 10 คน อาจจะยังไม่มีสักคนที่รู้จักแบรนด์ของเรา แต่เราจะทำเต็มที่ พร้อมทุ่มงบการตลาดเพื่อให้คนรู้จัก” ลีออน วู Managing Director ประจำประเทศไทยของแบรนด์ Departure กล่าวยอมรับตรงๆ ในฐานะแบรนด์น้องใหม่ในตลาดกระเป๋าเดินทาง

แบรนด์ Departure ถือกำเนิดขึ้นในไต้หวันเมื่อปี 2011 และเพิ่งจะเข้ามาเปิดช็อปครั้งแรกในไทยเมื่อปี 2020 โชคไม่ดีที่เป็นช่วงเกิดโรคระบาดพอดี ทำให้มิติด้านการตลาดของแบรนด์ต้องชะงักไปพร้อมๆ กับการจำกัดการเดินทางทั่วโลก

Departure
กระเป๋าเดินทาง Team Thailand

แต่ปีนี้แบรนด์ Departure กลับมาใส่เกียร์เดินหน้าเต็มที่แล้วเมื่อตลาดท่องเที่ยวกลับสู่ขาขึ้น ประเดิมด้วยแคมเปญใหญ่ “Team Thailand” ดังกล่าว โดยลีออนบอกว่า หลังจากเปิดตัวออกไปถือว่าได้รับการตอบรับที่ดี 99.5% ของกลุ่มสำรวจมองว่ากระเป๋าดูดี ทำให้คนไทยให้ความสนใจแบรนด์มากขึ้น และบางส่วนตามไปซื้อกระเป๋ารุ่นพิเศษ Team Thailand ด้วย

แม้ว่าในฐานะแบรนด์กระเป๋าเดินทางจะเป็นหน้าใหม่ในตลาด แต่ที่จริงแล้วบริษัทแม่ของ Departure คือ “Hersun” เป็นบริษัทเก่าแก่ในวงการ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1989 ในฐานะผู้รับจ้างผลิตคันชักและล้อกระเป๋าเดินทาง มีฐานผลิตทั้งในไต้หวัน จีน และไทย

Departureลีออนกล่าวว่า Hersun รับจ้างผลิตให้กับแบรนด์กระเป๋าเดินทางระดับลักชัวรีมานาน ก่อนที่จะตัดสินใจเปิดแบรนด์ของตนเองเพื่อนำความเชี่ยวชาญมาเจาะตลาดกลางบน แต่ใช้คุณภาพวัสดุระดับเดียวกับกลุ่มกระเป๋าลักชัวรี

“วัสดุและคุณภาพ” จึงเป็นจุดขายสำคัญของ Departure ลีออนระบุว่าด้วยความมั่นใจในวัสดุ ทำให้แบรนด์กล้า “รับประกัน” เปลี่ยนกระเป๋าใบใหม่ให้ฟรีหากกระเป๋าแตกภายใน 1 ปี และซ่อมล้อและคันชักให้ฟรีหากแตกหักเสียหายภายใน 5 ปี ซึ่งเขามองว่าเป็นการรับประกันที่ให้มากกว่า เพราะแบรนด์อื่นๆ แม้จะมีรับประกันการซ่อมแต่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

 

เมืองไทยเมืองแห่ง “แฟชั่น”

การมาเปิดสาขาในเมืองไทยของ Departure เป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ เพราะไทยเป็นประเทศแรกนอกไต้หวันที่แบรนด์ตัดสินใจเปิดช็อปและลงทุนทำตลาดอย่างเป็นทางการ

กระเป๋าเดินทางลีออนกล่าวว่า มี 2 เหตุผลใหญ่ๆ ที่ทำให้ Departure เลือกเมืองไทย

เรื่องแรกคือ คนไทยขึ้นชื่อเรื่อง “แฟชั่น” เป็นคนมีสไตล์ รักการแต่งตัว ชอบความแปลกใหม่ ทำให้การเปิดแบรนด์ใหม่ในเมืองไทยจะมีโอกาสมากกว่าไปประเทศอื่นที่อาจจะไม่ตามแฟชั่นมากนักและไม่เปิดใจกับแบรนด์ใหม่

“เท่าที่ทำตลาดมาเราพบว่าคนไทยต่างจากชาติอื่นในแง่แฟชั่น คนไทยมองว่า ‘ความสวยต้องมาก่อน’ แล้วค่อยตามด้วยฟังก์ชันใช้งาน ความทนทาน และการรับประกัน” ลีออนกล่าว “คนไทยยังพร้อมที่จะจ่ายมากกว่าให้สินค้าไลฟ์สไตล์ที่ค่อนข้างมีราคาแบบนี้ หลายคนกล้าซื้อออนไลน์เลยโดยที่ไม่เคยมาดูของจริงที่ช็อปก่อน ซึ่งต่างจากที่ไต้หวันมากๆ”

Departureเรื่องที่สองที่ Departure เลือกเมืองไทย เพราะ “ไทยคือฮับการท่องเที่ยว” เป็นประเทศที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาจากทั่วทุกมุมโลก ทำให้แบรนด์มีโอกาสเข้าถึงชาวต่างชาติอื่นๆ ด้วย รวมถึงบรรยากาศที่เป็นสากลจะช่วยยกระดับแบรนด์

“เราต้องการวางให้ไทยเป็นฮับของเราในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากนี้จะมีการขยายไปอีก 2 ประเทศคือ สิงคโปร์ และ มาเลเซีย เร็วๆ นี้” ลีออนกล่าว

กระเป๋าเดินทาง
สโตร์ของ Departure สาขาเอ็มสเฟียร์

ปัจจุบัน Departure มีสโตร์ 2 สาขาในไทย คือ สาขาเซ็นทรัล พระราม 9 และ สาขาเอ็มสเฟียร์ และภายในปี 2024 คาดว่าจะเปิดสโตร์เพิ่มอีก 2 สาขาในกรุงเทพฯ

ด้านราคาขายกระเป๋าเดินทาง Departure ใบเล็กขนาด carry-on จะเริ่มที่ประมาณ 8,000 บาท และสูงสุดเป็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ใบละกว่า 20,000 บาท ด้วยราคานี้ทำให้แบรนด์จะต้องชนกับ ‘Samsonite’ ที่เป็นผู้นำตลาดมานาน

 

ทำตลาดด้วยการ “คอลแลป” และ “Personalization”

ด้วยตลาด “กระเป๋าเดินทาง” ในไทยที่นับว่า ‘แน่นมาก’ มีผู้เล่นใหญ่หลายรายเข้ามาชิงตลาดกันครบ ทำให้ลีออนมองว่า การจะทำตลาดให้คนไทยรู้จัก มองเห็นบ่อยๆ ต้องอาศัยการ ‘คอลแลป’ กับแบรนด์หรือสินค้าอื่นๆ ยกตัวอย่าง Team Thailand ก็มองว่าเป็นการคอลแลปรูปแบบหนึ่งเพราะข้ามไปสู่วงการกีฬา

หลังจากนี้น่าจะได้เห็น Departure คอลแลปกับสินค้าอื่นอีกหลายวงการเพื่อกระจายการรับรู้ไปในหลายๆ กลุ่ม โดยลีออนแย้มว่าขณะนี้กำลังพูดคุยกับแบรนด์ในวงการสินค้า “ลักชัวรี” และวงการ “รีไซเคิล” อยู่เพื่อจะทำคอลแลปโปรเจ็กต์

ลีออน วู Managing Director ประจำประเทศไทยของแบรนด์ Departure

ส่วนการพัฒนาสินค้าของ Departure ลีออนบอกว่าปีหน้าน่าจะได้เห็นนวัตกรรมใหม่ให้ลูกค้าสามารถ “Personalization” กระเป๋าเดินทางได้ สามารถเลือกจับคู่สีตัวกระเป๋า คันชัก และล้อเองได้ เป็นระบบพรีออเดอร์ที่ใช้เวลาไม่นานและเพิ่มราคาไม่มากเพราะบริษัทแม่มีโรงงานผลิตที่ไทย

“เราจะเปิดระบบ Personalization ที่แรกที่เมืองไทย เพราะอย่างที่บอกว่าคนไทยเป็นคนแฟชั่น ต้องการมีเอกลักษณ์เฉพาะบุคคล เราจึงมองว่าเหมาะที่จะเปิดตลาดที่นี่” ลีออนกล่าว “เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่ในกลุ่มกระเป๋าเดินทางลักชัวรี แต่สำหรับตลาดกลางบน เราเชื่อว่าเราจะเป็นเจ้าแรก”

ลีออนทิ้งท้ายว่า Departure ต้องการจะมาเป็นตัวเลือกสินค้าที่เด่นทั้งด้านคุณภาพและเรื่องการดีไซน์ ซึ่งแบรนด์นิยามตัวเองว่าเป็นแบรนด์สไตล์มินิมอล เหมาะสำหรับทุกคนที่รักการเดินทาง

]]>
1488114
รัฐบาลสหรัฐฯ ทุ่ม 6.6 พันล้าน ดึง ‘TSMC’ ผู้ผลิตชิปเบอร์ 1 ของโลก ขยายโรงงานในอเมริกา https://positioningmag.com/1469461 Tue, 09 Apr 2024 03:29:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469461 ไม่ใช่แค่สกัดกั้น จีน ในการเข้าถึงชิประดับสูง แต่ สหรัฐฯ ยังเดินเกมดึงพันธมิตรเข้ามาลงทุนในประเทศ โดยรัฐบาลสหรัฐฯ วางแผนที่จะมอบเงิน 6.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับผู้ผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลกอย่าง TSMC เพื่อขยายโรงงานในรัฐแอริโซนา

รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศว่า ได้ลงนามในข้อตกลงที่ไม่มีผลผูกพันกับ TSMC (Taiwan Semiconductor Manufacturing Co.) บริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์อันดับ 1 ของโลกสัญชาติไต้หวัน เพื่อจัดหาเงินทุนสำหรับลงทุนเปิดโรงงานผลิตในเมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ จะให้เงินอุดหนุนมูลค่า 6.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกเหนือจากเงินกู้รัฐบาลประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์ จากกฎหมาย Chips and Science Act

ขณะที่ TSMC เองก็ตกลงจะเพิ่มวงเงินลงทุนในสหรัฐฯ อีก 25,000 ล้านดอลลาร์ รวมเป็น 65,000 ล้านดอลลาร์ โดยเตรียมที่จะสร้างโรงงานแห่งที่ 3 ภายในปี 2030 โดยการลงทุนดังกล่าว ถือเป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐแอริโซนา  

“อเมริกาคิดค้นชิปเหล่านี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราเปลี่ยนจากการผลิตเกือบ 40% ของกำลังการผลิตของโลก เหลือเพียง 10% และไม่มีชิปที่ทันสมัยที่สุดเลย นั่นทำให้เราเผชิญกับความเปราะบางทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติอย่างมีนัยสำคัญ” โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าว

ปัจจุบัน TSMC ครองสัดส่วนถึง 90% ของชิปที่ทันสมัยที่สุดในโลก โดย Mark Liu ประธาน TSMC กล่าวว่า การจัดตั้งโรงงานในสหรัฐฯ จะทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงชิปภายในประเทศ ที่สามารถใช้ได้กับสมาร์ทโฟนไปจนถึงดาวเทียม รวมถึงระบบปัญญาประดิษฐ์ด้วย

ทั้งนี้ โรงงานทั้ง 3 แห่งคาดว่าจะสร้างงานด้านเทคโนโลยีประมาณ 6,000 ตำแหน่ง และงานทางอ้อมมากกว่า 20,000 ตำแหน่ง เช่น ในการก่อสร้างการรักษาความปลอดภัย และซัพพลายเชน รวมถึงจะดึงดูดซัพพลายเออร์เซมิคอนดักเตอร์ 14 ราย ให้กับรัฐ

การที่สหรัฐฯ สามารถดึง TSMC มาลงทุนในประเทศได้นั้น ถือว่า Win-Win ทั้ง 2 ฝ่าย เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องนำการผลิตชิปมาใช้ในประเทศมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาการผลิตชิปจากประเทศอื่น หลังจากที่เจอปัญหาชิปขาดแคลนไปในช่วงการระบาดของ COVID-19 จนส่งผลให้ราคาสูงขึ้น

ขณะที่ประเทศไต้หวันก็อยู่ในตำแหน่งที่อ่อนแอเช่นกัน เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญด้านซับพลายเชนและเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กังวลว่า ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน อาจทำให้เกิดการรุกรานทางทหารกับไต้หวัน อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตชิปที่สำคัญของประเทศ นอกจากนี้ ไต้หวันเพิ่งเจอกับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ซึ่งย้ำให้เห็นถึงความเสี่ยงของอุตสาหกรรมต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ

สำหรับกฎหมาย Chips and Science Act ได้ผ่านการรับรองในเดือนสิงหาคม 2022 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศของสหรัฐฯ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศและแข่งขันกับคู่แข่งได้ดีขึ้น เช่น จีน โดยรัฐบาลได้ วางงบอุดหนุนด้านการวิจัยและการผลิตสูงถึง 52,700 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้สมาชิกสภาคองเกรสยังได้อนุมัติวงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำอีก 75,000 ล้านดอลลาร์ด้วย

Source

]]>
1469461
‘ไต้หวัน’ เร่งตรวจสอบ 4 บริษัทเทคโนโลยีในประเทศที่ช่วย ‘หัวเว่ย’ สร้างโรงงานผลิตชิป https://positioningmag.com/1447016 Thu, 05 Oct 2023 12:15:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1447016 หลังจากที่เคยมีข่าวว่า ทางรัฐบาลจีนให้เงินสนับสนุน หัวเว่ย (Huawei Technologies) ในการสร้าง โรงงานลับ สำหรับ ผลิตชิป ทั่วประเทศจีน เพื่อหลีกเลี่ยงการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ แต่ดูเหมือนว่าจะมี บริษัทเทคโนโลยีจาก ไต้หวัน เป็นตัวช่วยด้วย

ล่าสุด ไต้หวัน กำลังจะตรวจสอบว่าหาบริษัทเทคโนโลยีในประเทศที่ช่วยบริษัท หัวเว่ย ในการสร้างโรงงานผลิตชิปในจีน เบื้องต้น พบว่ามีบริษัทเทคโนโลยีไต้หวันอย่างน้อย 4 บริษัท ที่มีส่วนร่วมในการสร้างโรงงานชิปที่หัวเว่ยเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ได้แก่ 

  • บริษัท United Integrated Services 
  • บริษัท Topco Scientific 
  • บริษัท L&K Engineering Co
  • บริษัท Cica-Huntek Chemical Technology Taiwan Co

นอกจากนี้ ยังพบว่ามีบริษัท Cica-Huntek Chemical Technology Taiwan Co. ของไต้หวัน ได้ทำสัญญาสร้างระบบซัพพลายเคมีให้กับผู้ผลิตชิปจีน 2 แห่งที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำ ได้แก่ Shenzhen Pensun Technology Co. และ Pengxinwei IC Manufacturing Co. โดยจุดที่น่าสนใจคือ ทั้งสองบริษัททำงานกับหัวเว่ย

ทั้งนี้ กระทรวงเศรษฐกิจของไต้หวัน ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบด้านการควบคุมการส่งออก ระบุว่า จะเร่งตรวจสอบความสัมพันธ์ของบริษัทไต้หวันทั้ง 4 แห่งกับหัวเว่ย เนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าวอาจยิ่งให้เกิดความตึงเครียดระหว่างไต้หวันกับรัฐบาลจีน

ย้อนไปช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา หัวเว่ยได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธง Mate 60 Pro โดยใช้ชิปเซ็ต Kirin 9000s ซึ่งเป็นชิปเซ็ตที่ใช้เทคโนโลยี 7 นาโนเมตร ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดของ Semiconductor Manufacturing International Corp (SMIC) บริษัทผู้ผลิตชิปสัญชาติจีน โดยชิปเซ็ตดังกล่าวรองรับการเชื่อมต่อ 5G

Source

]]>
1447016
TSMC ติดโผ 10 บริษัทใหญ่ที่สุดในโลกเป็นที่เรียบร้อย หลังมูลค่าหุ้นแตะ 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ https://positioningmag.com/1433961 Wed, 14 Jun 2023 05:03:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1433961 TSMC ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตชิปจากไต้หวัน ล่าสุดบริษัทสามารถติด 1 ใน 10 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้แล้ว โดยเขี่ยยักษ์ใหญ่อีกรายอย่าง Visa ลงจากตำแหน่ง นอกจากนี้บริษัทยังเป็นบริษัทที่มีมูลค่าใหญ่สุดในเอเชีย แซงหน้า Tencent แล้วอีกด้วย

โดยมูลค่าของบริษัทจากไต้หวันรายนี้อยู่ที่ 553,900 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยมากกว่า 17 ล้านล้านบาท หลังจากที่ราคาหุ้นของ TSMC มีราคาเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ต้นปี 2023 จนถึงวันนี้ถึง 32.22% ทำให้บริษัทติดอันดับ 10 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกทันที

สำหรับจุดเด่นของ TSMC คือเทคโนโลยีการผลิตชิปที่นำหน้าคู่แข่งรายอื่น ไม่ว่าจะเป็น Samsung ที่เป็นคู่แข่งที่มีความสูสีมากสุด และทิ้งห่าง Intel ไปไม่เห็นฝุ่น ทำให้บริษัทอื่นอย่าง Apple หรือ Nvidia ได้จ้างให้ผู้ผลิตชิปจากไต้หวันรายนี้ผลิตชิปให้

นอกจากนี้การเข้ามาของเทคโนโลยี AI ยังทำให้ความต้องการผลิตชิปที่มีประสิทธิภาพสูงเพิ่มมากขึ้น เพื่อที่จะใช้ในการฝึกฝน AI และเก็บข้อมูลต่างๆ ทำให้ TSMC ถือเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ได้ประโยชน์จากเรื่องดังกล่าว ซึ่งก่อนหน้านี้นักลงทุนได้

มูลค่าบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกล่าสุดนั้นมี 8 บริษัทที่มาจากสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น Apple ที่ยังครองแชมป์บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก รองลงมาคือ Microsoft มีเพียง 2 บริษัทที่อยู่นอกสหรัฐอเมริกานั่นก็คือ Saudi Aramco ผู้ผลิตน้ำมันจากซาอุดีอาระเบีย และ TSMC จากไต้หวัน

 

]]>
1433961
‘ไต้หวัน’ คาดยอดการผลิต ‘ชิป’ ปีนี้จะลดลง 5.6% ทำ GDP ร่วงเหลือ 2% https://positioningmag.com/1419803 Fri, 17 Feb 2023 14:46:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1419803 ไต้หวัน ถือเป็นประเทศ ผู้ผลิตชิปอันดับ 1 ของโลก แค่เฉพาะการผลิตของบริษัท TSMC บริษัทผู้ผลิตชิปเบอร์ 1 ของประเทศก็ครองสัดส่วนถึง 54% ของชิปทั่วโลก อย่างไรก็ตาม จากความต้องการเครื่องใช้ไฟฟ้าและสินค้าเทคโนโลยีที่ลดลง ทำให้ยอดผลิตชิปในปีนี้จะลดลงตาม

ตามรายงานของหน่วยงานวิจัยของรัฐบาลไต้หวัน คาดว่า ยอดการผลิตชิปขั้นสูงจะลดลง 5.6% ในปีนี้ ส่งผลให้มูลค่าลดลงเหลือประมาณ 150,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งการลดลงดังกล่าวจะส่งกระทบกับภาพรวมการเติบโตของประเทศ โดยคาดว่าการเติบโตของ GDP จะลดลงจาก 2.43% ในปีที่ผ่านมาเหลือ 2%

“รัฐบาลคาดการณ์ว่า GDP จะเติบโตได้ 2.75% เติบโตขึ้นจาก 2.43% ในปีที่แล้ว แต่จากการคาดการณ์ของสมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ไต้หวันว่า การผลิตจะลดลง ซึ่งนั่นจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของ GDP” Darson Chiu นักวิจัยจากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจไต้หวัน กล่าว

ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30% ของเศรษฐกิจไต้หวัน และไต้หวันครองส่วนแบ่งการส่งออกชิปที่ 60% ทั่วโลก ซึ่งการลดการผลิตของไต้หวัน จะส่งผลให้มูลค่าชิปทั่วโลกลดลงไปด้วย โดยคาดว่าจะลดลงประมาณ  4.1%

สำหรับสาเหตุที่ในปี 2566 เป็นปีที่ชะลอตัวสำหรับผู้ผลิตชิป เนื่องจากอุปสงค์สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกเริ่มไม่ได้มากเหมือนในช่วงที่เกิดการระบาด ส่งผลให้บริษัทผู้ผลิตชิปต้องชะลอการลงทุนไปด้วย

“หลังจากความเฟื่องฟูด้านอิเล็กทรอนิกส์ครั้งใหญ่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภาคส่วนนี้กำลังผ่านการปรับตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” Frederic Neumann หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคเอเชียของ HSBC กล่าว

]]>
1419803
‘ไต้หวัน’ ตั้งเป้าดึงแรงงานต่างชาติกว่า ‘4 แสนคน’ เข้าประเทศภายในปี 2573 หลังเจอปัญหาอัตราเกิดต่ำ https://positioningmag.com/1419136 Tue, 14 Feb 2023 03:16:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1419136 ไต้หวัน ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่น่าสนใจสำหรับตลาดแรงงานต่างชาติเนื่องจากปัจจุบัน ไต้หวันมีรายได้เฉลี่ยที่สูงกว่าเกาหลี เนื่อจากเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ทำให้เศรษฐกิจไต้หวันจะเติบโตดี ในขณะที่ประชากรประมาณ 23.4 ล้านคน ก็มีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ เนื่องจากอัตราการเกิดที่ชะลอตัวลง ส่งผลให้รัฐบาลพยายามจะดึงดูดแรงงานต่างชาติเข้ามามากขึ้น

เมื่อช่วงเดือนกันยายน 2022 ที่ผ่านมา ไต้หวัน ได้เปิดเผยว่า ต้องการดึงดูดแรงงานต่างชาติ 400,000 คนภายในปี 2573 โดยไต้หวันมองหาแรงงานสำหรับทำงานในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ บล็อกเชน การเงิน และพลังงานลมนอกชายฝั่ง โดยไต้หวันต้องการดึงดูดแรงงานที่มีทักษะในหลายระดับ ตั้งแต่ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษระดับสูง, คนงานด้านเทคนิค รวมถึง นักศึกษามหาวิทยาลัยจากต่างประเทศ 

“การดึงดูดผู้มีความสามารถระดับสูงให้มีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมของไต้หวันจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรม”

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการเปิดเผยถึงมาตรการดึงดูดว่าจะออกมาในลักษณะใด แต่เมื่อเดือนที่แล้วคณะรัฐมนตรีของไต้หวันได้ อนุมัติร่างแก้ไขกฎหมายคนเข้าเมือง 52 ฉบับ เพื่อให้แรงงานต่างชาติสามารถพำนักอาศัยได้ง่ายขึ้น ที่ผ่านมา ไต้หวันค่อนข้าง เข้มงวดกับแรงงานต่างชาติเป็นพิเศษ ขณะที่เหล่านักกศึกษาต่างชาติก็หวังว่าจะทำงานในไต้หวันหลังจากจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในไต้หวัน

ปัจจุบัน ไต้หวันมีชาวต่างชาติมากกว่า 5,300 คน ที่จัดอยู่ในประเภทผู้มีความสามารถระดับมืออาชีพมีคุณสมบัติภายใต้วีซ่า 3 ปีและโครงการใบอนุญาตทำงานแบบเปิดที่สร้างขึ้นในปี 2561

หนึ่งในสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ไต้หวัน พยายามจะดึงดูดแรงงานต่างชาตินั้นมาจาก จำนวนประชากรของประเทศลดลงเรื่อย ๆ ส่งผลให้แรงงานในประเทศจะเริ่มหดตัว โดยจำนวนประชากรโดยรวมของเกาะ ลดลง 110,674 คนในปีที่ผ่านมา เนื่องจากจำนวนการเกิดที่ต่ำเป็นประวัติการณ์และการเสียชีวิตมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ขณะที่วัยเจริญพันธุ์ของไต้หวันคาดว่าจะ ลดลงสู่ระดับต่ำที่สุดในโลกภายในปี 2578 ตามที่สภาพัฒนาแห่งชาติระบุเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีการคาดการณ์ว่าจะเห็นการฟื้นตัวที่ภายในปี 2588 ก็ตาม

ไม่ใช่แค่ไต้หวันที่เจอปัญหาด้านแรงงาน แต่ยังมี ฮ่องกง จีนแผ่นดินใหญ่ สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ซึ่งต่างก็ประสบปัญหาแรงงานในท้องถิ่นหดตัวเนื่องจากอัตราการเกิดต่ำ โดยฮ่องกงเองเพิ่งจะขยายเวลาการพำนักสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศเป็น 2 ปี พร้อมเสนอวีซ่าใหม่ 2 ปีแก่ผู้ที่มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 2.5 ล้านเหรียญฮ่องกง (318,000 เหรียญสหรัฐ) ต่อปี

“ฉันคิดว่าทุกคนกำลังแข่งขันเพื่อสิ่งเดียวกัน” อลิเซีย การ์เซีย-เฮอร์เรโร หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ Natixis Corporate & Investment Banking ในฮ่องกง กล่าว

]]>
1419136
จับตาอุตสาหกรรม ‘ชิป’ สงครามครั้งใหม่ของ ‘สหรัฐฯ-จีน’ ศึกตัดสิน ‘ผู้ชนะ’ ในเศรษฐกิจโลก https://positioningmag.com/1396346 Tue, 16 Aug 2022 11:56:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1396346 ดูเหมือนสงครามด้านเทคโนโลยีของ สหรัฐอเมริกา และ จีน จะไม่ได้มีแค่ สมาร์ทโฟน, แกดเจ็ต, แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียหรือการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ แต่สมรภูมิใหม่กำลังเกิดขึ้นซึ่งลึกลงไปอีกขั้นหรือก็คือ ส่วนประกอบ ที่ขับเคลื่อนเทคโนโลยีตั้งแต่สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ รถยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าในชีวิตประจำวัน

อย่างที่หลายคนรู้ว่า จีน เป็นแหล่ง ผลิตอุปกรณ์ไอทีอันดับ 1 ของโลก ถือเป็นกำลังสำคัญในการผลิตเทคโนโลยีมาเป็นเวลานาน อย่าง Apple, Google และ Microsoft แบรนด์สัญชาติอเมริกาก็พึ่งพาจีนอย่างมากในการผลิตอุปกรณ์และประกอบชิ้นส่วน

โดยจีนก็รู้ถึงจุดแข็งตรงนี้ดี ก็ยิ่งให้ความสำคัญกับการผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ยอดขายเซมิคอนดักเตอร์ของจีนเติบโตมากกว่า 30% ในปี 2020 โดยมีมูลค่าถึง 4 หมื่นล้านดอลลาร์ ตามตัวเลขจากสมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (SIA)

เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ทำให้อุปทานชิปทั่วโลกขาดแคลน ขณะที่ปีนี้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงจากการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดของจีน ซึ่งทำให้โรงงานหยุดชะงักและส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชน ขณะนี้ หลายภูมิภาคกำลังคิดทบทวนแนวทางของตนต่ออุตสาหกรรมนี้ เพื่อที่จะสามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้นและลดความเสี่ยงต่อการผลิตของจีน

แน่นอนว่าสหรัฐฯ ก็คิดถึงเรื่องนี้ รวมถึงเพื่อจะได้สามารถแข่งขันกับจีนได้ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ล่าสุดได้ลงนามในกฎหมายฉบับใหม่ที่มีเป้าหมายเพื่อ ส่งเสริมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนชิปในระยะยาว รวมถึงเพื่อลดการพึ่งพาประเทศอื่น ๆ แน่นอนว่าโดยเฉพาะกับจีน

“อีกสิ่งสำคัญที่จะป้องกันไม่ให้จีนขยายอำนาจในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีคือ การผูกมิตรหรือการย้ายซัพพลายเชนผ่านพันธมิตรของสหรัฐฯ เช่น เกาหลีใต้และญี่ปุ่น” เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐ กล่าว

ภายใต้กฎหมาย CHIPS and Science Act รัฐบาลจะให้สิ่งจูงใจสำหรับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศ รวมถึงการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการระดมทุนมากกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์ และการลงทุนเพิ่มเติมในมูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ กระทรวงพาณิชย์ และสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติ

หรือในฝั่งของยุโรปเอง สมาชิกสภานิติบัญญัติของยุโรป ก็ได้เสนอการลงทุนมูลค่าหลาย หมื่นล้านดอลลาร์ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของทวีป อย่างไรก็ตาม จีนยังคงพยายามขยายอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ต่อไป โดยเป็นส่วนหนึ่งของแผน 5 ปีที่ประกาศเมื่อปีที่แล้ว

“ที่ทุกประเทศต่างทุ่มกับเรื่องเซมิคอนดักเตอร์ เป็นเพราะว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ตัดสินว่าใคร ‘ชนะ’ ในเศรษฐกิจโลกในอนาคต และการพึ่งพาตนเองในการผลิตชิปนั้นพูดง่ายแต่ทำยาก เนื่องจากชั้นของเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญเฉพาะที่เกี่ยวข้องที่เกี่ยวข้อง” Kenton Thibaut, Resident China Fellow แห่ง Digital Forensic Research Lab ของ Atlantic Council ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กล่าว

อย่างไรก็ตาม Kenton กล่าวเสริมว่า เรื่องที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีกคือ ไต้หวัน เกาะปกครองตนเองนอกชายฝั่งของจีน ซึ่งกลายเป็นตัวจุดชนวนความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ เข้าไปอีก เนื่องจากการไปเยือนของ แนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ซึ่งทำให้จีนไม่พอใจ เนื่องจากจีนมองว่า ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน ภายใต้นโยบาย จีนเดียว

อย่างที่หลายคนรู้ว่า ไต้หวันมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก เนื่องจากมีผู้ผลิตชั้นนำของโลกหลายรายตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่นั่น และเป็นซัพพลายเออร์ของ Apple Foxconn และ Pegatron ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของไต้หวันคือ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company หรือ TSMC คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 90% ของชิปคอมพิวเตอร์ขั้นสูงสุดในโลก

“ไม่มีใครสามารถควบคุม TSMC ได้ด้วยการบังคับ หากคุณใช้กำลังทหารหรือการบุกรุก คุณจะทำให้โรงงาน TSMC ไม่สามารถใช้งานได้ เพราะนี่เป็นโรงงานผลิตที่ซับซ้อน และขึ้นอยู่กับการเชื่อมต่อแบบเรียลไทม์กับโลกภายนอก — กับยุโรป กับญี่ปุ่นด้วย สหรัฐอเมริกา” Mark Liu ประธานบริษัทกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ CNN

Photo : shutterstock

ที่ผ่านมา TSMC ได้ลงนามไปแล้วว่า บริษัทได้ลงทุนอย่างน้อย 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อสร้างโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในรัฐแอริโซนา โดยคาดว่าจะเริ่มการผลิตในปี 2567 ขณะที่ GlobalWafers ผู้ผลิตชาวไต้หวันอีกรายเพิ่งลงนามว่าจะลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์เพื่อสร้างโรงงานแผ่นเวเฟอร์ซิลิคอนในเท็กซัส และกลุ่มบริษัทซัมซุงและเกาหลีใต้ เมื่อต้นปีนี้ SK Group มีแผนที่จะใช้เงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์เพื่อขยายฐานการผลิตเทคโนโลยีในสหรัฐฯ

Zachary Collier ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านการจัดการของมหาวิทยาลัย Radford แห่งเวอร์จิเนีย ให้ความเห็นว่า แม้ว่าการลงทุนของ TSMC เกิดขึ้นก่อนกฎหมาย CHIPS AND Science Act แต่กฎหมายดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะกระตุ้นให้บริษัทต่าง ๆ ย้ายไปตั้งโรงงานที่สหรัฐฯ มากขึ้น

และนอกเหนือไปจากการสนับสนุนระยะสั้นของสหรัฐฯ แล้ว บริษัทต่าง ๆ ยังมองว่าสหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีเสถียรภาพ ความปลอดภัย และแรงงานที่มีการศึกษาสูง และที่สำคัญที่สุด คือ ดีมานด์ที่มหาศาล โดยคิดเป็น 1 ใน 4 ของความต้องการเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก โดย TSMC เคยเปิดเผยว่า ตลาดอเมริกาเหนือคิดเป็น 65% ของรายได้ โดยจีนและญี่ปุ่นคิดเป็น 10% และ 5% ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันจีนยังมีข้อได้เปรียบตรงที่จีนมีกลยุทธ์ร่วมกันในการนำเสนอเทคโนโลยีและจัดหาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญให้กับประเทศต่าง ๆ ที่ต้องการเทคโนโลยีเหล่านี้ ขณะที่สหรัฐฯ และประเทศประชาธิปไตยอื่น ๆ จำเป็นต้องพัฒนากลยุทธ์เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ไม่เพียงแต่มุ่งเน้นการแข่งขันกับจีนเท่านั้น แต่ยังต้องดำเนินการในเชิงรุกในการจัดหาโซลูชันที่ตรงตามความต้องการที่แท้จริง

สุกท้าย Zachary Collier ย้ำว่า แม้ว่าแต่ละประเทศมีเป้าหมายในพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เพื่อลดการพึ่งพาประเทศอื่น แต่สุดท้ายแล้วความต้องการใช้งานมันอยู่ในระดับโลก ดังนั้น การพึ่งพาอาศัยกันย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

Source

]]>
1396346